ดุจจันทร์ดั้นเมฆ: หอมดึก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
‘ตรีเมฆ’ ไม่ได้เกิดมามีชีวิตเลวร้าย เขาไม่ได้มีปมด้อยจนต้องสร้างจุดเด่น ตรงกันข้ามเขามีพร้อมทุกอย่าง แต่ความ ‘พร้อม’ นั้นทำให้ชายหนุ่มใช้ชีวิตอย่างประมาทจนสุดท้ายต้องถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ไอ้ขี้คุก’ เขาผลาญทำลายชีวิตทุกคนที่รักเขา และในวันที่เขาได้รับอิสรภาพทางกาย จิตใจเขากลับถูกความรู้สึกผิดพันธนาการแน่นหนา
‘จันทน์กะพ้อ’ หล่อนมองโลกใบนี้สวยงามไปเสียหมด มองทุกอย่างเป็นบวกจนบางครั้งพลาดพลั้งกลายเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ แต่หล่อนกลับไม่สิ้นหวังที่จะมองแต่แง่งามของชีวิต เมื่อก้าวเข้ามาในครอบครัวที่เว้าแหว่งของตรีเมฆ หล่อนกล้าๆ กลัวๆ ชายหนุ่มห่าม ดิบ เถื่อนที่พ่วงมากับป้าชราและเด็กน้อยผู้น่าสงสาร
เขามันต้องตำราผู้ชายที่พ่อสอนนักหนาว่าให้อยู่ห่างๆ เข้าไว้
ใจหนึ่งหล่อนก็อยากทำอย่างนั้น แต่อีกใจก็อยากเอาชนะความหยาบกระด้างของเขา อยากให้คนที่เอาแต่มองโลกตาขวาง หันมาเห็นแง่งามของชีวิตเสียบ้าง
แต่โดยที่หล่อนไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ดวงตาคมดุคู่นั้นกลับเอาแต่จับจ้องหล่อนไม่วาง ในเมื่อหล่อนกล้ามาส่องแสงวับๆ แวมๆ ในหัวใจที่มืดดำของเขา เมฆร้ายก้อนนี้ก็จะโอบล้อม ตีประชิด กักกั้นไว้ไม่ให้หล่อนเคลื่อนคล้อยหนีหายไปทางไหนได้อีกเลย
*********************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" (ผู้แต่ง พนาพร่ำรัก และฝนเมษา ดอกไม้พฤษภา) และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นแนวโรแมนติกดราม่า พาฟิน และอบอวลในหัวใจมากๆ ค่ะ นอกจากนี้ยังมีความน่ารักของครอบครัวที่มาพร้อมกับปัญหาสังคมในแง่มุมต่างๆ ด้วย หอมดึกบอกเล่าชีวิตคนรากหญ้าผ่านตัวละครได้มีมิติมากๆ #รับประกันความสนุกเช่นเคย!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้านbooksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้าน Banniyayindy(Budsara Thongrussamee) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช และร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า (พร้อมตอนพิเศษ)
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
‘จันทน์กะพ้อ’ หล่อนมองโลกใบนี้สวยงามไปเสียหมด มองทุกอย่างเป็นบวกจนบางครั้งพลาดพลั้งกลายเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ แต่หล่อนกลับไม่สิ้นหวังที่จะมองแต่แง่งามของชีวิต เมื่อก้าวเข้ามาในครอบครัวที่เว้าแหว่งของตรีเมฆ หล่อนกล้าๆ กลัวๆ ชายหนุ่มห่าม ดิบ เถื่อนที่พ่วงมากับป้าชราและเด็กน้อยผู้น่าสงสาร
เขามันต้องตำราผู้ชายที่พ่อสอนนักหนาว่าให้อยู่ห่างๆ เข้าไว้
ใจหนึ่งหล่อนก็อยากทำอย่างนั้น แต่อีกใจก็อยากเอาชนะความหยาบกระด้างของเขา อยากให้คนที่เอาแต่มองโลกตาขวาง หันมาเห็นแง่งามของชีวิตเสียบ้าง
แต่โดยที่หล่อนไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ดวงตาคมดุคู่นั้นกลับเอาแต่จับจ้องหล่อนไม่วาง ในเมื่อหล่อนกล้ามาส่องแสงวับๆ แวมๆ ในหัวใจที่มืดดำของเขา เมฆร้ายก้อนนี้ก็จะโอบล้อม ตีประชิด กักกั้นไว้ไม่ให้หล่อนเคลื่อนคล้อยหนีหายไปทางไหนได้อีกเลย
*********************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" (ผู้แต่ง พนาพร่ำรัก และฝนเมษา ดอกไม้พฤษภา) และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นแนวโรแมนติกดราม่า พาฟิน และอบอวลในหัวใจมากๆ ค่ะ นอกจากนี้ยังมีความน่ารักของครอบครัวที่มาพร้อมกับปัญหาสังคมในแง่มุมต่างๆ ด้วย หอมดึกบอกเล่าชีวิตคนรากหญ้าผ่านตัวละครได้มีมิติมากๆ #รับประกันความสนุกเช่นเคย!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้านbooksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้าน Banniyayindy(Budsara Thongrussamee) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช และร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า (พร้อมตอนพิเศษ)
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 9 -80%
ยามเช้าก่อนฟ้าสาง จันทน์กะพ้ออาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อแขนล้ำใส่สบายสีกลีบจำปาตัวหนึ่งกับกางเกงผ้าสบายๆ พอดีตัว สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีเข้มเพราะอากาศยามเช้าค่อนข้างเย็น หล่อนลงมาที่ใต้ถุนบ้านเห็นไฟโรงรถเปิดอยู่ก็เบาใจที่ไม่ต้องไปปลุกเขาถึงหน้าห้อง
ตรีเมฆอาบน้ำแต่งกายเรียบร้อยแล้ว เขาสวมชุดที่ปกติใส่ทำงานเสมอ ซึ่งก็คือเสื้อยืดตัวหนึ่งหลวมๆ แขนยาวกับกางเกงผ้าหนักๆ พอดีตัว ตรีเมฆถอยรถออกมาช้าๆ เมื่อเห็นหล่อนเดินลงบันไดมา แล้วก็จอดรถแล้วเดินอ้อมมาทางฝั่งผู้โดยสาร เขาเปิดประตูออกแล้วผายมือให้หล่อนเดินขึ้นไปนั่งเบาะหลัง จันทน์กะพ้อขมวดคิ้ว แต่พอเห็นรอยยกยิ้มมุมปากที่มีฟันวาววับราวกับเขี้ยวนั้นหล่อนก็อดหน้าตึงไม่ได้
“ฉันจะนั่งเบาะหน้าค่ะคุณเมฆ”
“ทำไมล่ะ จะมานั่งกับคนขับรถทำไม ไม่กลัวพ่อสงสัยเอาหรือไง”
“ไม่ค่ะ” หล่อนทำเสียงขึ้นจมูก รู้เต็มอกว่าถูกเขาตีรวนเข้าให้แล้ว
“จะแสดงทั้งทีน่าจะให้มันสมจริงกว่านี้สักหน่อย” ตรีเมฆทำเสียงเอื่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบเสื้อยีนของตนออกจากเบาะหน้าช้าๆ มือบางยื่นมาตรงหน้า ยังไม่ยอมขึ้นรถ เขาจึงเงยหน้าขึ้นสบตาหล่อน ดวงตากลมโตคู่นั้นมองมานิ่งๆ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น ก่อนจะเผยอขึ้นเอื้อนเอ่ย
“ให้กุญแจรถฉันก็ได้นะคะ ฉันขับไปรับพ่อเองได้ค่ะ”
ตรีเมฆชะงัก ก่อนจะส่ายหน้าไปมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“บอกแล้วไงว่าจะขับไปรับให้” พูดจบเขาก็เหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนเบาะรถเก่าๆ แล้วสตาร์ตเครื่องยนต์ทันที
“ขึ้นมาสิ ชักช้าเดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก”
น้ำเสียงเจือความรำคาญเล็กน้อยของเขาทำให้หล่อนอดขวางไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังยอมก้าวขึ้นมานั่งบนเบาะหน้าของรถที่กำลังจะบ่ายหน้าออกจากเรือนตรีเนตรไปในยามเช้ามืด
บริเวณสถานีขนส่งหมอชิต คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด รอนแรมข้ามคืนเข้าเมืองหลวง รถราที่มาส่งผู้โดยสารผลัดกันเข้าจอดชานชาลาคันแล้วคันเล่า พร้อมกับผู้โดยสารที่กรูกันลงมาจากรถ เสียงนายสถานีประกาศให้ผู้โดยสารระมัดระวังมิจฉาชีพที่จะเข้ามาหลอกลวงเอาทรัพย์สินหรืออาสารับจ้างไปส่งโดยคิดค่าจ้างแพงหูฉี่ดังลั่นไปมา กระนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์หลายสิบคนก็ยังป้วนเปี้ยนวนเวียนตอแยผู้โดยสารจากต่างจังหวัดที่ดูไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้หลงกล บางคนถึงกับยื้อแย่งกระเป๋าและข้าวของไปถือพร้อมลากลู่กันไปขึ้นรถของตน
ตรีเมฆเดินนำจันทน์กะพ้อเข้าไปในชานชาลาที่จอดรถจากภาคอีสานหลังจากหาที่จอดรถได้อย่างยากลำบาก หล่อนชะเง้อคอมองหาพ่อที่ชานชาลาของรถโดยสารสายอุดรธานี-กรุงเทพฯ อย่างใจจดใจจ่อ ยิ่งเห็นชายแปลกหน้าที่ชานชาลาตีวงล้อมผู้โดยสารที่ทั้งงัวเงียและเหนื่อยอ่อนกับการเดินทางด้วยแล้วยิ่งใจเสีย
“ยายหนู”
เสียงแหบต่ำดังมาจากด้านหลัง จันทน์กะพ้อผวาหันขวับไปมอง ก่อนที่ความตื่นตระหนกในแววตาจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจพลัน โผเข้าใส่อ้อมกอดกว้างที่อ้ารับ เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่กระชับอ้อมกอดหอมแก้มซ้ายขวาและลูบไล้เรือนผมนิ่มสลวยของลูกสาวด้วยความรักใคร่
“พ่อจ๋า ไปอยู่ไหนมา จันทน์มองหาแทบแย่” หล่อนตัดพ้อน้ำเสียงอู้อี้ จมูกแดงๆ
“ไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันมาน่ะสิ เช้าแล้วนี่นา...กลัวลูกสาวเหม็นขี้ฟันพ่อ”
“พ่อน่ะ ล้อลูกอีกแล้ว”
หล่อนกระเง้ากระงอด ฉวยย่ามทอมือตัดเย็บประณีตจากพ่อมาถือไว้ มองอีกทีก็เห็นว่ากระเป๋าเดินทางและกระเช้าใส่ของแห้งทั้งหลายถูกตรีเมฆถือไว้ในสองมือของเขาเรียบร้อยแล้ว
พ่อคำจันทร์มองตามสายตาของลูกสาวไปยังร่างสูงกำยำของเจ้าคนหน้ารกครึ้ม ผมค่อนข้างยาวรุงรังอย่างเพ่งพิศ ตรีเมฆรู้ตัวจึงยกมือไหว้ทั้งที่ยังถือของอยู่นั่นละ
“สวัสดีครับ ผมชื่อเมฆ คุณนายมาลีให้ผมขับรถพาคุณจันทน์มารับครับ” เขาเอ่ยแนะนำตัวเรียบง่าย พ่อคำจันทร์พยักหน้า เหลือบมองหน้าลูกสาวเล็กน้อยขณะถามชายหนุ่มต่อ
“ทำงานกับคุณนายเรอะ”
“ครับ ผมเป็นหัวหน้าคนงาน”
“อ้อ ขอบใจนะที่มารับ นั่นของแห้งสารพัด พี่ๆ เขาฝากมาให้ กลัวน้องอด”
“ขอบคุณค่ะพ่อ ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวรถติดแย่” จันทน์กะพ้อเอ่ยด้วยความเกรงใจสารถีจำเป็น เขาเดินนำออกไปที่ลานจอดรถด้านนอก ขับรถฟังเสียงพ่อลูกคุยกันกะหนุงกะหนิงไปตลอดทาง
*****************
วันนั้น หลังจากได้แนะนำพ่อคำจันทร์ให้รู้จักกับป้ามาลีและตรีเพชรแล้ว จันทน์กะพ้อก็ต้องรีบเตรียมอาหารเช้าและกลางวันไว้เผื่อคนในบ้านก่อนที่จะรีบเร่งแต่งตัวออกไปสอนที่วิทยาลัย โชคยังดีที่หล่อนมีสอนช่วงสิบโมงในเช้าวันนั้นจึงไม่ต้องกระหืดกระหอบมากนัก และพอหล่อนแต่งตัวเสร็จก็พบว่าศมามาถึงตึกแถวเรียบร้อยแล้วและกำลังจะเข้าไปดูงานอาคารโรงอาหารที่ปรับปรุงต่อเติมในวิทยาลัยต่อ เขาจึงอาสาพาหล่อนไปส่งที่คณะ จันทน์กะพ้อรู้สึกโชคดีมากที่ไม่ต้องเรียกวินมอเตอร์ไซค์จึงได้รีบขึ้นรถไปกับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เฮ้ย เมฆ ก่อนเที่ยงร้านค้าวัสดุก่อสร้างจะเอาเหล็กกับอิฐมาส่งนะ เขาเอารถเครนมา เอ็งจัดการหาที่ลงของให้ด้วย” ศมาลดกระจกลงตะโกนบอกร่างสูงที่กำลังคุมคนงานเทปูนอยู่กลางแดดจ้ายามสาย เหงื่อไคลโชกไปทั้งแผ่นอกของเขา ตรีเมฆหรี่ตามองเข้ามาในรถ ก่อนจะเท้าสะเอวร้องตอบว่า
“ได้ครับนายช่าง”
ศมาโบกมือเป็นเชิงรำคาญแกมหยอกให้เขาแล้วก็ขับรถออกไปจนพ้นแนวรั้ว
*****************
“อุแว้ อุแว้ อุแว้”
เสียงเด็กทารกร้องดังลั่นไปทั้งบ้านไม้ในยามดึกสงัด ลำดวนแม่ผู้เหนื่อยล้าพลิกตัวงึมงำ ส่วนนายจอมผู้ผัวเตะหมอนมุ้งโผงผางร้องออกมาด้วยความโมโห
“อีเด็กเปรต ร้องอยู่ได้ ไม่ได้หลับได้นอนกันพอดี”
“พี่ลุกไปดูลูกหน่อยสิ ฉี่รดที่นอนหรือเปล่า”
“หน็อยแน่! อีลำดวน มึงกล้าใช้กูเรอะ กูทำงานตากแดดมาทั้งวัน มึงยังกล้าใช้กูเรอะ เดี๋ยวถีบตกบ้าน” เสียงของไอ้จอมไม่เบานัก นายเกิดที่นอนอยู่อีกฟากเรือนยังได้ยิน เสียงเด็กร้องดังประสานมาเป็นระยะๆ จนแกร้อนใจ
“เออ! ทีฉันอุ้มท้องลูกพี่มาเก้าเดือน แถมยังต้องทำงานงกๆ จนวันคลอดล่ะ”
“อีนี่ มึงลำเลิกบุญคุณกับกูรึ!” ไอ้จอมถลันเข้าประชิด อีลำดวนเชิดหน้าเข้าใส่ ผมยาวรุงรังระอกอวบอิ่มในความมืดสลัว
“เออ! จะทำไมฉัน ลองดูสิแล้วพี่จะรู้ว่าผลมันจะเป็นยังไง”
“อีนี่ มึงถือว่าไอ้ลูกคุณนายมาลีถือหางเรอะ ทำมาอวดดีกับกู” ไอ้จอมตัวสั่นด้วยความโกรธ กระชากแขนเมียเข้าหา ลำดวนไม่ได้สะท้านแม้แต่น้อย
“ลองดูสิ คุณเมฆจะได้จัดการกับพี่ให้หมอบไปเลยไง”
“นี่มึงคงหลงไอ้ขี้คุกจนถึงขั้นกล้าท้าทายกูเลยเรอะอีร่าน!”
“แล้วพี่กล้าทำร้ายฉันไหมล่ะ!” แม่ลูกอ่อนกัดฟันกรอด หาได้หวั่นกลัวแม้แต่น้อย ไอ้จอมเงื้อมมือขึ้นสูงก็พอดีกับที่เด็กน้อยร้องไห้จ้าดังขึ้นมาอีก ตามมาด้วยเสียงตาเกิดที่เร่งเร้าอยู่ด้านนอกห้อง
“เฮ้ย! พวกเอ็งสองคนน่ะมัวแต่กัดกันอยู่ได้ ดูหลานข้าบ้างสิวะ มันร้องจนจะตายอยู่แล้ว” นายจอมสะบัดแขนเมียจนหล่อนฟุบไปกับฟูกแล้วก็ผลุนผลันลุกออกจากห้องนอนไปโดยไม่เหลียวแลลูกสาวตัวจ้อยแม้แต่น้อย
ลำดวนกัดฟันกรอด เจ็บแผลจากการคลอดแต่ก็ต้องฝืนใจเดินตรงไปที่เปลนอนของลูก ขณะที่ช้อนร่างเล็กสู่อ้อมอกและให้ปากเล็กๆ ดูดดื่มนมจากเต้าเต่งตึง ดวงตาของแม่ลูกอ่อนสาวเป็นประกาย ปากปลอบขวัญลูกรักเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่จะไม่ให้หนูต้องลำบาก แม่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เราไปพ้นขุมนรกนี่ให้ได้”
ตรีเมฆอาบน้ำแต่งกายเรียบร้อยแล้ว เขาสวมชุดที่ปกติใส่ทำงานเสมอ ซึ่งก็คือเสื้อยืดตัวหนึ่งหลวมๆ แขนยาวกับกางเกงผ้าหนักๆ พอดีตัว ตรีเมฆถอยรถออกมาช้าๆ เมื่อเห็นหล่อนเดินลงบันไดมา แล้วก็จอดรถแล้วเดินอ้อมมาทางฝั่งผู้โดยสาร เขาเปิดประตูออกแล้วผายมือให้หล่อนเดินขึ้นไปนั่งเบาะหลัง จันทน์กะพ้อขมวดคิ้ว แต่พอเห็นรอยยกยิ้มมุมปากที่มีฟันวาววับราวกับเขี้ยวนั้นหล่อนก็อดหน้าตึงไม่ได้
“ฉันจะนั่งเบาะหน้าค่ะคุณเมฆ”
“ทำไมล่ะ จะมานั่งกับคนขับรถทำไม ไม่กลัวพ่อสงสัยเอาหรือไง”
“ไม่ค่ะ” หล่อนทำเสียงขึ้นจมูก รู้เต็มอกว่าถูกเขาตีรวนเข้าให้แล้ว
“จะแสดงทั้งทีน่าจะให้มันสมจริงกว่านี้สักหน่อย” ตรีเมฆทำเสียงเอื่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบเสื้อยีนของตนออกจากเบาะหน้าช้าๆ มือบางยื่นมาตรงหน้า ยังไม่ยอมขึ้นรถ เขาจึงเงยหน้าขึ้นสบตาหล่อน ดวงตากลมโตคู่นั้นมองมานิ่งๆ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น ก่อนจะเผยอขึ้นเอื้อนเอ่ย
“ให้กุญแจรถฉันก็ได้นะคะ ฉันขับไปรับพ่อเองได้ค่ะ”
ตรีเมฆชะงัก ก่อนจะส่ายหน้าไปมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“บอกแล้วไงว่าจะขับไปรับให้” พูดจบเขาก็เหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนเบาะรถเก่าๆ แล้วสตาร์ตเครื่องยนต์ทันที
“ขึ้นมาสิ ชักช้าเดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก”
น้ำเสียงเจือความรำคาญเล็กน้อยของเขาทำให้หล่อนอดขวางไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังยอมก้าวขึ้นมานั่งบนเบาะหน้าของรถที่กำลังจะบ่ายหน้าออกจากเรือนตรีเนตรไปในยามเช้ามืด
บริเวณสถานีขนส่งหมอชิต คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด รอนแรมข้ามคืนเข้าเมืองหลวง รถราที่มาส่งผู้โดยสารผลัดกันเข้าจอดชานชาลาคันแล้วคันเล่า พร้อมกับผู้โดยสารที่กรูกันลงมาจากรถ เสียงนายสถานีประกาศให้ผู้โดยสารระมัดระวังมิจฉาชีพที่จะเข้ามาหลอกลวงเอาทรัพย์สินหรืออาสารับจ้างไปส่งโดยคิดค่าจ้างแพงหูฉี่ดังลั่นไปมา กระนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์หลายสิบคนก็ยังป้วนเปี้ยนวนเวียนตอแยผู้โดยสารจากต่างจังหวัดที่ดูไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้หลงกล บางคนถึงกับยื้อแย่งกระเป๋าและข้าวของไปถือพร้อมลากลู่กันไปขึ้นรถของตน
ตรีเมฆเดินนำจันทน์กะพ้อเข้าไปในชานชาลาที่จอดรถจากภาคอีสานหลังจากหาที่จอดรถได้อย่างยากลำบาก หล่อนชะเง้อคอมองหาพ่อที่ชานชาลาของรถโดยสารสายอุดรธานี-กรุงเทพฯ อย่างใจจดใจจ่อ ยิ่งเห็นชายแปลกหน้าที่ชานชาลาตีวงล้อมผู้โดยสารที่ทั้งงัวเงียและเหนื่อยอ่อนกับการเดินทางด้วยแล้วยิ่งใจเสีย
“ยายหนู”
เสียงแหบต่ำดังมาจากด้านหลัง จันทน์กะพ้อผวาหันขวับไปมอง ก่อนที่ความตื่นตระหนกในแววตาจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจพลัน โผเข้าใส่อ้อมกอดกว้างที่อ้ารับ เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่กระชับอ้อมกอดหอมแก้มซ้ายขวาและลูบไล้เรือนผมนิ่มสลวยของลูกสาวด้วยความรักใคร่
“พ่อจ๋า ไปอยู่ไหนมา จันทน์มองหาแทบแย่” หล่อนตัดพ้อน้ำเสียงอู้อี้ จมูกแดงๆ
“ไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันมาน่ะสิ เช้าแล้วนี่นา...กลัวลูกสาวเหม็นขี้ฟันพ่อ”
“พ่อน่ะ ล้อลูกอีกแล้ว”
หล่อนกระเง้ากระงอด ฉวยย่ามทอมือตัดเย็บประณีตจากพ่อมาถือไว้ มองอีกทีก็เห็นว่ากระเป๋าเดินทางและกระเช้าใส่ของแห้งทั้งหลายถูกตรีเมฆถือไว้ในสองมือของเขาเรียบร้อยแล้ว
พ่อคำจันทร์มองตามสายตาของลูกสาวไปยังร่างสูงกำยำของเจ้าคนหน้ารกครึ้ม ผมค่อนข้างยาวรุงรังอย่างเพ่งพิศ ตรีเมฆรู้ตัวจึงยกมือไหว้ทั้งที่ยังถือของอยู่นั่นละ
“สวัสดีครับ ผมชื่อเมฆ คุณนายมาลีให้ผมขับรถพาคุณจันทน์มารับครับ” เขาเอ่ยแนะนำตัวเรียบง่าย พ่อคำจันทร์พยักหน้า เหลือบมองหน้าลูกสาวเล็กน้อยขณะถามชายหนุ่มต่อ
“ทำงานกับคุณนายเรอะ”
“ครับ ผมเป็นหัวหน้าคนงาน”
“อ้อ ขอบใจนะที่มารับ นั่นของแห้งสารพัด พี่ๆ เขาฝากมาให้ กลัวน้องอด”
“ขอบคุณค่ะพ่อ ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวรถติดแย่” จันทน์กะพ้อเอ่ยด้วยความเกรงใจสารถีจำเป็น เขาเดินนำออกไปที่ลานจอดรถด้านนอก ขับรถฟังเสียงพ่อลูกคุยกันกะหนุงกะหนิงไปตลอดทาง
*****************
วันนั้น หลังจากได้แนะนำพ่อคำจันทร์ให้รู้จักกับป้ามาลีและตรีเพชรแล้ว จันทน์กะพ้อก็ต้องรีบเตรียมอาหารเช้าและกลางวันไว้เผื่อคนในบ้านก่อนที่จะรีบเร่งแต่งตัวออกไปสอนที่วิทยาลัย โชคยังดีที่หล่อนมีสอนช่วงสิบโมงในเช้าวันนั้นจึงไม่ต้องกระหืดกระหอบมากนัก และพอหล่อนแต่งตัวเสร็จก็พบว่าศมามาถึงตึกแถวเรียบร้อยแล้วและกำลังจะเข้าไปดูงานอาคารโรงอาหารที่ปรับปรุงต่อเติมในวิทยาลัยต่อ เขาจึงอาสาพาหล่อนไปส่งที่คณะ จันทน์กะพ้อรู้สึกโชคดีมากที่ไม่ต้องเรียกวินมอเตอร์ไซค์จึงได้รีบขึ้นรถไปกับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เฮ้ย เมฆ ก่อนเที่ยงร้านค้าวัสดุก่อสร้างจะเอาเหล็กกับอิฐมาส่งนะ เขาเอารถเครนมา เอ็งจัดการหาที่ลงของให้ด้วย” ศมาลดกระจกลงตะโกนบอกร่างสูงที่กำลังคุมคนงานเทปูนอยู่กลางแดดจ้ายามสาย เหงื่อไคลโชกไปทั้งแผ่นอกของเขา ตรีเมฆหรี่ตามองเข้ามาในรถ ก่อนจะเท้าสะเอวร้องตอบว่า
“ได้ครับนายช่าง”
ศมาโบกมือเป็นเชิงรำคาญแกมหยอกให้เขาแล้วก็ขับรถออกไปจนพ้นแนวรั้ว
*****************
“อุแว้ อุแว้ อุแว้”
เสียงเด็กทารกร้องดังลั่นไปทั้งบ้านไม้ในยามดึกสงัด ลำดวนแม่ผู้เหนื่อยล้าพลิกตัวงึมงำ ส่วนนายจอมผู้ผัวเตะหมอนมุ้งโผงผางร้องออกมาด้วยความโมโห
“อีเด็กเปรต ร้องอยู่ได้ ไม่ได้หลับได้นอนกันพอดี”
“พี่ลุกไปดูลูกหน่อยสิ ฉี่รดที่นอนหรือเปล่า”
“หน็อยแน่! อีลำดวน มึงกล้าใช้กูเรอะ กูทำงานตากแดดมาทั้งวัน มึงยังกล้าใช้กูเรอะ เดี๋ยวถีบตกบ้าน” เสียงของไอ้จอมไม่เบานัก นายเกิดที่นอนอยู่อีกฟากเรือนยังได้ยิน เสียงเด็กร้องดังประสานมาเป็นระยะๆ จนแกร้อนใจ
“เออ! ทีฉันอุ้มท้องลูกพี่มาเก้าเดือน แถมยังต้องทำงานงกๆ จนวันคลอดล่ะ”
“อีนี่ มึงลำเลิกบุญคุณกับกูรึ!” ไอ้จอมถลันเข้าประชิด อีลำดวนเชิดหน้าเข้าใส่ ผมยาวรุงรังระอกอวบอิ่มในความมืดสลัว
“เออ! จะทำไมฉัน ลองดูสิแล้วพี่จะรู้ว่าผลมันจะเป็นยังไง”
“อีนี่ มึงถือว่าไอ้ลูกคุณนายมาลีถือหางเรอะ ทำมาอวดดีกับกู” ไอ้จอมตัวสั่นด้วยความโกรธ กระชากแขนเมียเข้าหา ลำดวนไม่ได้สะท้านแม้แต่น้อย
“ลองดูสิ คุณเมฆจะได้จัดการกับพี่ให้หมอบไปเลยไง”
“นี่มึงคงหลงไอ้ขี้คุกจนถึงขั้นกล้าท้าทายกูเลยเรอะอีร่าน!”
“แล้วพี่กล้าทำร้ายฉันไหมล่ะ!” แม่ลูกอ่อนกัดฟันกรอด หาได้หวั่นกลัวแม้แต่น้อย ไอ้จอมเงื้อมมือขึ้นสูงก็พอดีกับที่เด็กน้อยร้องไห้จ้าดังขึ้นมาอีก ตามมาด้วยเสียงตาเกิดที่เร่งเร้าอยู่ด้านนอกห้อง
“เฮ้ย! พวกเอ็งสองคนน่ะมัวแต่กัดกันอยู่ได้ ดูหลานข้าบ้างสิวะ มันร้องจนจะตายอยู่แล้ว” นายจอมสะบัดแขนเมียจนหล่อนฟุบไปกับฟูกแล้วก็ผลุนผลันลุกออกจากห้องนอนไปโดยไม่เหลียวแลลูกสาวตัวจ้อยแม้แต่น้อย
ลำดวนกัดฟันกรอด เจ็บแผลจากการคลอดแต่ก็ต้องฝืนใจเดินตรงไปที่เปลนอนของลูก ขณะที่ช้อนร่างเล็กสู่อ้อมอกและให้ปากเล็กๆ ดูดดื่มนมจากเต้าเต่งตึง ดวงตาของแม่ลูกอ่อนสาวเป็นประกาย ปากปลอบขวัญลูกรักเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่จะไม่ให้หนูต้องลำบาก แม่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เราไปพ้นขุมนรกนี่ให้ได้”
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2563, 15:59:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2563, 15:59:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 456
<< บทที่ 9 -60% | บทที่ 9 -100% + วางขายทุกช่องทางแล้ว >> |