ร้อยเล่ห์...นายเหมันต์
เขียนนิยายรักแนวหวานมาหลายเรื่อง อยากลองแนวอิโรติกดูบ้าง มาดูกันว่าจะได้แค่ไหน
Tags: สิรินดา, รักเล่ห์, นิยายรัก
ตอน: 10: เมศขอพี่มากไป
บริเวณที่ทำงานของฉันเป็นย่านใจกลางเมือง มีร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดเล็กบรรยากาศดี มีมุมที่จัดไว้เป็นส่วนตัวซึ่งปรเมศกับฉันเคยไปกินด้วยกันอยู่สองสามร้าน เด็กหนุ่มเลือกเอาร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านกาแฟนัก
พนักงานสาวหน้าตาน่ารักพาเราไปยังที่นั่ง ปรเมศกระซิบกับเธอเบาๆ และชี้ไปที่มุมส่วนตัวด้านในสุด อาหารถูกสั่งมาเต็มโต๊ะอย่างที่คนสั่งดูจะไม่สนใจกับราคาอันค่อนข้างจะสูงของมัน ในที่สุดอาหารมาเสิร์ฟ และพนักงานถอยออกไปดูแลลูกค้าคนอื่น
"ผมอยากได้รางวัลล้านนึง พี่ช่วยผมหน่อยสิ"
เขาเอ่ยขึ้นระหว่างคีบปลาดิบเข้าปาก
"รางวัลมันล่อใจเหลือเกิน ทำยังไงทีมผมถึงจะได้"
"ไม่รู้" ฉันตอบ "พี่เป็นกรรมการใหม่ ไม่ได้มีสิทธิ์"
"อย่าเลย บริษัทของพี่สนับสนุนเงินรางวัลโครงการนี้อยู่ตั้งเยอะ พี่ต้องรู้อยู่แล้ว บอกมาเถอะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว ผมจะได้เอาไปปรับให้ถูกใจกรรมการ"
ฉันมองหน้าคนที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
เรื่องรางวัลนี่หรือเปล่านะที่ทำให้เขาเข้ามาทำตัวใกล้ชิดฉัน ทำไมฉันมองไม่ออก ทำไมไม่คิด
'ผมไม่อยากจะแข่งหรอก แต่อาจารย์ขอให้มาช่วยมหาวิทยาลัยหน่อย แกอยากให้ติดโผสักที่หนึ่งในห้าก็พอแล้ว อาจารย์อยากหาคนพรีเซ็นต์เก่งๆ ผมก็เลยต้องยอม'
เด็กหนุ่มเคยบอกฉันเมื่อตอนแรกๆ ที่เราคุยกัน 'ถือว่าแข่งกันสนุกๆ ไม่คิดอะไรมากก็แล้วกันนะครับ อย่างน้อย มันก็ทำให้เราได้รู้จักกัน' เขาอธิบายต่อ
ตอนนั้นสำหรับฉันมันง่ายเหลือเกินที่จะเชื่อ...เพราะอยากจะเชื่ออย่างนั้นอยู่แล้ว
ปรเมศไม่ได้แสดงอาการอยากเอาชนะ เขาทำตัวสนิทสนมเป็นกันเองกับหลายๆ ทีม จนกลายเป็นที่รักของกลุ่มต่างๆ ที่แข่งขัน ไม่มีภาพของการชิงดีชิงเด่นอยู่เลย
เขายังเคยแสดงอาการเบื่อๆ เสียด้วยซ้ำเวลาที่เหมันต์เดินมาเรียกให้ไปช่วยงาน (ในจังหวะที่เขากำลังพูดคุยสนุกสนานกับทีมอื่นๆ อยู่)
'เพื่อนผมมันซีเรียส อยากชนะ คงงกเงินมั้ง คนไม่เคยมีแบบนั้น' ฉันจำได้ถึงประโยคดูแคลนเพื่อนร่วมทีม ซึ่งตอนนั้นฉันค่อนข้างเห็นด้วย เพราะเหมันต์ดูเอาจริงเอาจังและตั้งใจกับการทำงานในทุกขั้นตอนทุกครั้ง
ในเวลานี้อาหารญี่ปุ่นที่เคยรสดี กลับไร้รสชาติ
"เมศขอพี่มากไป พี่ไม่..."
"ผมรู้ว่าพี่ทำได้แค่ขอดูคะแนนล่าสุด ทำไมจะไม่ได้ บอกว่าเจ้านายพี่อยากรู้ก็ได้" เขาสวนกลับมา ยกมือถือของตัวเองแล้วไถดูรูป จังหวะเดียวกันนั้นเองที่ฉันลุกขึ้นและพยายามที่จะคว้าเอาสิ่งที่อยู่ในมือของเขามา แต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่ายที่สอดมันเข้าไว้ที่กระเป๋ากางเกงแบบทันควัน
"สองแสน"
"อะ..."
"หรือไม่ก็ข้อมูลว่าคะแนนของกลุ่มผมอยู่ที่เท่าไหร่ และใครได้คะแนนสูงที่สุด"
"ฉัน"
"ผมอยากรู้พรุ่งนี้ก่อนเที่ยง ถ้าไม่อย่างนั้นก็..." คนพูดจับตะเกียบ คีบอาหารอีกชิ้นเข้าปาก ส่วนฉัน นั่งมือสั่น ตัวสั่นอยู่ตรงข้าม
"ไม่หิวหรือครับ" คนที่กำลังเอ็นจอยกับอาหารเงยหน้าขึ้นมาถาม "พี่เคยชอบร้านนี้ไม่ใช่เหรอ"
"ใครจะกินลง" ฉันสะบัดหน้า
ทำไมวันนี้รังสีของความชั่วร้ายของเด็กหนุ่มคนนี้มันฉายชัด ไม่เหมือนเมื่อเดือนก่อนที่เรานั่งแนบชิดและคุยกันเบาๆ ได้หลายชั่วโมงไม่รู้เบื่อ....
อาหารมื้อนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า น่าอึดอัดทรมานสำหรับฉัน แม้จะพยายามหว่านล้อม พูดด้วยดีๆ แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ปรเมศก็ปฏิเสธที่ข้อเสนอทุกทาง
"ขอกระเป๋าพี่หน่อย" เขาพูดแต่ไม่รอบยังไม่ทันพูดจบ ก็ดึงกระเป๋าสะพายของฉันไปเปิด และดึงกระเป๋าสตางค์ออกมา
"เมศจะทำอะไร"
"ก็มัดจำเล็กๆ น้อยๆ" คนถูดดึงธนบัตรทั้งหมดออกจากกระเป๋า วางใบละร้อยหนึ่งใบไว้ที่โต๊ะ "วันนี้ผมต้องรีบไปทำธุระต่อ ฝากพี่จ่ายด้วยละกัน สวัสดีครับ"
"อะ....เดี๋ยวสิ"
ชายหนุ่มลุกขึ้น และโค้งให้นิดหนึ่ง "กลับก่อนนะครับ ผมจะรอ...พรุ่งนี้เที่ยง..."
"เมศ...พี่"
เขาปล่อยให้เสียงของฉันลอยผ่านอากาศเหมือนไม่ได้ยิน ไม่ได้รับรู้...เดินออกจากมุมส่วนตัวไปนอกร้านโดยไม่หันกลับมาอีกเลย
จังหวะเดียวกันนั้นเองที่เจ้านายโทรเข้ามือถือ
"ลิน ผมต้องการข้อมูลด่วน ต้องพรีเซนต์ลูกค้าต่างประเทศพรุ่งนี้ คุณทำให้หน่อยได้ไหม"
"ค่ะ แต่ลินยังไม่ถึงห้อง ต้องการข้อมูลอะไรบ้างคะ เผื่อเข้าออฟฟิศไปทำให้"
"อ้าวคุณยังอยู่แถวนี้เหรอ มาเลย ผมยังอยู่ออฟฟสิ"
ฉันรีบจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตแล้วกลับเข้าตึกออฟฟิศ ฟังเจ้านายก็ร่ายยาวถึงความต้องการที่ด่วนสุดๆ โชคดีที่ยังมีน้องผู้ร่วมงานแผนกเดียวกันอีกคนทำงานอยู่ด้วย เราทั้งคู่จึงช่วยกันเตรียมข้อมูลและทำเอกสารทั้งหมดได้ภายในเวลาสองชั่วโมง
การทำงานด่วนๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ฉันคิดขณะเดินไปที่ลิฟต์ มันทำให้สมองไม่ต้องคิดวุ่นวายกับเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่ สองชั่วโมงผ่านไปรวดเร็วจนเหมือนแค่หายใจเข้าและหายใจออกเท่านั้นเอง
เจ้านายถือกระเป๋าเอกสารเดินเข้าลิฟต์มาด้วยกัน
"ขอบคุณนะที่กลับมาช่วยผม"
"เล็กน้อยค่ะ ลินยังกินข้าวอยู่แถวนี้ ก็เลยกลับมาได้เร็วหน่อย" เธอแอบดีใจ เจ้านายรู้สึกดีกับเธอแบบนี้ จะลองเลียบเคียงถามถึงความก้าวหน้าของการแข่งขัน และลำดับของผู้เข้าแข่งของโครงการ U-Start ได้ไหมนะ
คนฟังพยักหน้า
"แล้วแฟนคุณรอที่ไหนล่ะ"
"แฟน..."
"ก็กินข้าวเย็นแถวนี้ ถ้าไม่กินกับแฟนแล้วกินครับใคร เด็กๆ หน่อยใช่ไหม ผมเคยเจอไกลๆ คุณเดินจูงมือกันแต่คุณไม่เห็น..."
ฉันอ้าปากค้าง หน้าร้อน
...เจ้านายเคยเห็น เห็นแบบไหนกันนะ...แล้วเห็นหน้าปรเมศด้วยไหม
เสียงหัวเราะหึๆ ดังข้างตัว
"มีแฟนเด็กมันก็ดี กระชุ่มกระชวยดี ทำไมต้องเขิน ถ้าไม่เสียการเสียงานอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ผมไปล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน" เจ้านายเดินออกจากลิฟต์ และเดินตรงไปยังที่จอดรถส่วนตัว ปล่อยให้ฉันยืนอ้าปากค้าง หัวหมุนติ้ว ทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
พนักงานสาวหน้าตาน่ารักพาเราไปยังที่นั่ง ปรเมศกระซิบกับเธอเบาๆ และชี้ไปที่มุมส่วนตัวด้านในสุด อาหารถูกสั่งมาเต็มโต๊ะอย่างที่คนสั่งดูจะไม่สนใจกับราคาอันค่อนข้างจะสูงของมัน ในที่สุดอาหารมาเสิร์ฟ และพนักงานถอยออกไปดูแลลูกค้าคนอื่น
"ผมอยากได้รางวัลล้านนึง พี่ช่วยผมหน่อยสิ"
เขาเอ่ยขึ้นระหว่างคีบปลาดิบเข้าปาก
"รางวัลมันล่อใจเหลือเกิน ทำยังไงทีมผมถึงจะได้"
"ไม่รู้" ฉันตอบ "พี่เป็นกรรมการใหม่ ไม่ได้มีสิทธิ์"
"อย่าเลย บริษัทของพี่สนับสนุนเงินรางวัลโครงการนี้อยู่ตั้งเยอะ พี่ต้องรู้อยู่แล้ว บอกมาเถอะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว ผมจะได้เอาไปปรับให้ถูกใจกรรมการ"
ฉันมองหน้าคนที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
เรื่องรางวัลนี่หรือเปล่านะที่ทำให้เขาเข้ามาทำตัวใกล้ชิดฉัน ทำไมฉันมองไม่ออก ทำไมไม่คิด
'ผมไม่อยากจะแข่งหรอก แต่อาจารย์ขอให้มาช่วยมหาวิทยาลัยหน่อย แกอยากให้ติดโผสักที่หนึ่งในห้าก็พอแล้ว อาจารย์อยากหาคนพรีเซ็นต์เก่งๆ ผมก็เลยต้องยอม'
เด็กหนุ่มเคยบอกฉันเมื่อตอนแรกๆ ที่เราคุยกัน 'ถือว่าแข่งกันสนุกๆ ไม่คิดอะไรมากก็แล้วกันนะครับ อย่างน้อย มันก็ทำให้เราได้รู้จักกัน' เขาอธิบายต่อ
ตอนนั้นสำหรับฉันมันง่ายเหลือเกินที่จะเชื่อ...เพราะอยากจะเชื่ออย่างนั้นอยู่แล้ว
ปรเมศไม่ได้แสดงอาการอยากเอาชนะ เขาทำตัวสนิทสนมเป็นกันเองกับหลายๆ ทีม จนกลายเป็นที่รักของกลุ่มต่างๆ ที่แข่งขัน ไม่มีภาพของการชิงดีชิงเด่นอยู่เลย
เขายังเคยแสดงอาการเบื่อๆ เสียด้วยซ้ำเวลาที่เหมันต์เดินมาเรียกให้ไปช่วยงาน (ในจังหวะที่เขากำลังพูดคุยสนุกสนานกับทีมอื่นๆ อยู่)
'เพื่อนผมมันซีเรียส อยากชนะ คงงกเงินมั้ง คนไม่เคยมีแบบนั้น' ฉันจำได้ถึงประโยคดูแคลนเพื่อนร่วมทีม ซึ่งตอนนั้นฉันค่อนข้างเห็นด้วย เพราะเหมันต์ดูเอาจริงเอาจังและตั้งใจกับการทำงานในทุกขั้นตอนทุกครั้ง
ในเวลานี้อาหารญี่ปุ่นที่เคยรสดี กลับไร้รสชาติ
"เมศขอพี่มากไป พี่ไม่..."
"ผมรู้ว่าพี่ทำได้แค่ขอดูคะแนนล่าสุด ทำไมจะไม่ได้ บอกว่าเจ้านายพี่อยากรู้ก็ได้" เขาสวนกลับมา ยกมือถือของตัวเองแล้วไถดูรูป จังหวะเดียวกันนั้นเองที่ฉันลุกขึ้นและพยายามที่จะคว้าเอาสิ่งที่อยู่ในมือของเขามา แต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่ายที่สอดมันเข้าไว้ที่กระเป๋ากางเกงแบบทันควัน
"สองแสน"
"อะ..."
"หรือไม่ก็ข้อมูลว่าคะแนนของกลุ่มผมอยู่ที่เท่าไหร่ และใครได้คะแนนสูงที่สุด"
"ฉัน"
"ผมอยากรู้พรุ่งนี้ก่อนเที่ยง ถ้าไม่อย่างนั้นก็..." คนพูดจับตะเกียบ คีบอาหารอีกชิ้นเข้าปาก ส่วนฉัน นั่งมือสั่น ตัวสั่นอยู่ตรงข้าม
"ไม่หิวหรือครับ" คนที่กำลังเอ็นจอยกับอาหารเงยหน้าขึ้นมาถาม "พี่เคยชอบร้านนี้ไม่ใช่เหรอ"
"ใครจะกินลง" ฉันสะบัดหน้า
ทำไมวันนี้รังสีของความชั่วร้ายของเด็กหนุ่มคนนี้มันฉายชัด ไม่เหมือนเมื่อเดือนก่อนที่เรานั่งแนบชิดและคุยกันเบาๆ ได้หลายชั่วโมงไม่รู้เบื่อ....
อาหารมื้อนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า น่าอึดอัดทรมานสำหรับฉัน แม้จะพยายามหว่านล้อม พูดด้วยดีๆ แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ปรเมศก็ปฏิเสธที่ข้อเสนอทุกทาง
"ขอกระเป๋าพี่หน่อย" เขาพูดแต่ไม่รอบยังไม่ทันพูดจบ ก็ดึงกระเป๋าสะพายของฉันไปเปิด และดึงกระเป๋าสตางค์ออกมา
"เมศจะทำอะไร"
"ก็มัดจำเล็กๆ น้อยๆ" คนถูดดึงธนบัตรทั้งหมดออกจากกระเป๋า วางใบละร้อยหนึ่งใบไว้ที่โต๊ะ "วันนี้ผมต้องรีบไปทำธุระต่อ ฝากพี่จ่ายด้วยละกัน สวัสดีครับ"
"อะ....เดี๋ยวสิ"
ชายหนุ่มลุกขึ้น และโค้งให้นิดหนึ่ง "กลับก่อนนะครับ ผมจะรอ...พรุ่งนี้เที่ยง..."
"เมศ...พี่"
เขาปล่อยให้เสียงของฉันลอยผ่านอากาศเหมือนไม่ได้ยิน ไม่ได้รับรู้...เดินออกจากมุมส่วนตัวไปนอกร้านโดยไม่หันกลับมาอีกเลย
จังหวะเดียวกันนั้นเองที่เจ้านายโทรเข้ามือถือ
"ลิน ผมต้องการข้อมูลด่วน ต้องพรีเซนต์ลูกค้าต่างประเทศพรุ่งนี้ คุณทำให้หน่อยได้ไหม"
"ค่ะ แต่ลินยังไม่ถึงห้อง ต้องการข้อมูลอะไรบ้างคะ เผื่อเข้าออฟฟิศไปทำให้"
"อ้าวคุณยังอยู่แถวนี้เหรอ มาเลย ผมยังอยู่ออฟฟสิ"
ฉันรีบจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตแล้วกลับเข้าตึกออฟฟิศ ฟังเจ้านายก็ร่ายยาวถึงความต้องการที่ด่วนสุดๆ โชคดีที่ยังมีน้องผู้ร่วมงานแผนกเดียวกันอีกคนทำงานอยู่ด้วย เราทั้งคู่จึงช่วยกันเตรียมข้อมูลและทำเอกสารทั้งหมดได้ภายในเวลาสองชั่วโมง
การทำงานด่วนๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ฉันคิดขณะเดินไปที่ลิฟต์ มันทำให้สมองไม่ต้องคิดวุ่นวายกับเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่ สองชั่วโมงผ่านไปรวดเร็วจนเหมือนแค่หายใจเข้าและหายใจออกเท่านั้นเอง
เจ้านายถือกระเป๋าเอกสารเดินเข้าลิฟต์มาด้วยกัน
"ขอบคุณนะที่กลับมาช่วยผม"
"เล็กน้อยค่ะ ลินยังกินข้าวอยู่แถวนี้ ก็เลยกลับมาได้เร็วหน่อย" เธอแอบดีใจ เจ้านายรู้สึกดีกับเธอแบบนี้ จะลองเลียบเคียงถามถึงความก้าวหน้าของการแข่งขัน และลำดับของผู้เข้าแข่งของโครงการ U-Start ได้ไหมนะ
คนฟังพยักหน้า
"แล้วแฟนคุณรอที่ไหนล่ะ"
"แฟน..."
"ก็กินข้าวเย็นแถวนี้ ถ้าไม่กินกับแฟนแล้วกินครับใคร เด็กๆ หน่อยใช่ไหม ผมเคยเจอไกลๆ คุณเดินจูงมือกันแต่คุณไม่เห็น..."
ฉันอ้าปากค้าง หน้าร้อน
...เจ้านายเคยเห็น เห็นแบบไหนกันนะ...แล้วเห็นหน้าปรเมศด้วยไหม
เสียงหัวเราะหึๆ ดังข้างตัว
"มีแฟนเด็กมันก็ดี กระชุ่มกระชวยดี ทำไมต้องเขิน ถ้าไม่เสียการเสียงานอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ผมไปล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน" เจ้านายเดินออกจากลิฟต์ และเดินตรงไปยังที่จอดรถส่วนตัว ปล่อยให้ฉันยืนอ้าปากค้าง หัวหมุนติ้ว ทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2563, 16:50:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มิ.ย. 2563, 16:50:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 683
<< 9: แค่กินอาหารญี่ปุ่นเท่านั้นนะ | 11: วันที่โชคไม่เข้าข้าง >> |