กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”
วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ
พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า
“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”
วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ
พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า
“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 2
ตอนที่ ๒
เสียงรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านทำให้คุณดวงทิพย์ต้องละสายตา เงยหน้าขึ้นมาจากการบรรจงใช้มีดเล่มเล็กฝานกล้วยน้ำว้าสุกให้เป็นแผ่นๆ รอยยิ้มละไมกระจายไปทั่วใบหน้ายามเห็นร่างสูงคุ้นตาที่เพิ่งก้าวลงมาจากรถ
“ว่ายังไง” เจ้าของบ้านเอ่ยทักทันทีที่ร่างสูงใหญ่ตรงมาหา นางน่ะกำลังนั่งทำงานอยู่บนแคร่ไม้เล็กๆใต้ถุนบ้าน
แต่ดูเหมือนคำถามนั้นคงไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังเพราะชายหนุ่มที่เพิ่งหย่อนกายลงนั่งข้างๆไม่ได้ตอบอะไรแม้แต่น้อย ทว่าสิ่งที่เขาทำ คือการปลดกระดุมข้อมือเชิ้ตแขนยาวของตัวทั้งสองข้าง แล้วดึงพรืดขึ้นมาให้แขนเสื้ออยู่พ้นเหนือข้อศอกก่อนจะพับลวกๆเข้าไปสองทบ
เห็นปลายแขนเสื้อเป็นก้อนขยุกขยุยที่อยู่เหนือศอกพ่อลูกชายคนเดียวแล้วคุณดวงทิพย์ก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจ ใบหน้าซึ่งมีเค้าสวยสง่าส่ายไปมาพร้อมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะวางมีดและกล้วยลงในกะละมังสแตนเลส เช็ดมือกับผ้าสะอาดที่วางไว้ข้างๆแล้วยื่นมือมาจัดการกับชายหนุ่ม
“จะพับทั้งที ก็พับให้มันเรียบร้อยสิจ๊ะ ไปยัดไว้เป็นก้อนขยุยๆอย่างนี้ ทำอะไรแป๊บๆมันก็จะหลุดนะ” นางว่าขณะมือนุ่มๆก็เริ่มแกะปลายแขนเสื้อพีรพัฒน์ออกมาพับใหม่
“นั่นน่ะสิครับ” แล้วเสียงคนที่จัดการพับไว้อย่างเป็นก้อนขยุยๆก็เห็นด้วยหน้าตาเฉย ก่อนจะอ้าง
“เพราะฉะนั้น ให้แม่พับให้นั่นแหละ ดีที่สุด”
“ฮื้อ! ลูกนะลูก” คุณดวงทิพย์ค้อนแกมหัวเราะให้ลูกชายอย่างพองาม และหลังจากจัดการแขนเสื้อให้พีรพัฒน์เรียบร้อย คุณดวงทิพย์ก็หยิบกล้วยขึ้นมาฝานต่อ
ชายหนุ่มชะโงกหน้าเข้ามาดู
“ทำขนมหรือครับ”
“จ้ะ” คนตอบพยักหน้า “พอดีในสวน กล้วยน้ำว้ามันสุกพร้อมกันหลายเครือ นี่ขนาดแม่ตัดปันให้เจ้าลูกชุบกับป้าน้อยไปบ้างแล้วนะ แต่ก็ยังเหลืออยู่ดี ทิ้งไว้กินไม่หมดมันก็จะงอมเสียไปเปล่าๆ ก็เลยว่าจะเอามาห่อข้าวต้มเสียหน่อย”
“หรือครับ” ชายหนุ่มว่า ขยับเข้ามาใกล้มารดาอีกนิด ก่อนจะยื่นมือลงไปหยิบกล้วยที่คุณดวงทิพย์ฝานแล้วขึ้นมากินหน้าตาเฉย
“แน่ะ!” คนเป็นแม่เลยร้องเบาๆ “จะมาหยิบอันนี้กินได้ยังไง แม่ฝานไว้จะเอาไปทำไส้ข้าวต้ม ถ้าอยากจะกิน ไปเด็ดเอาที่อยู่ในหวีนั่นดีกว่า” แล้วคุณดวงทิพย์ก็บุ้ยหน้าไปทางกล้วยน้ำว้าลูกอวบสีเหลืองนวลอีกสามหวีที่วางอยู่ข้างๆ
แต่แม้ชายหนุ่มจะพยักหน้าหงึกๆ ทว่าพอกล้วยชิ้นแรกทยอยลงกระเพาะหมด เขาก็หยิบชิ้นสองอีก อีหรอบนี้สตรีวัยห้าสิบสี่ก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
เพราะเขาก็เป็นแบบนี้เสมอนะ ลูกชายของนาง ดื้อนิ่งๆ
“ว่าแต่ วันนี้กลับมาบ้านนี่ มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?”
“หืม?” คนถูกถามออกอาการนิ่วหน้า “อะไรครับ เดี๋ยวนี้แม้แต่แม่ก็จะไม่ให้ผมกลับมาบ้านสวนที่ปทุมฯนี่แล้วหรือ”
“ฮื้อ...ไม่ใช่แบบนั้นหรอกน่า” มารดาบอก “ที่นี่ก็บ้านของพี พีจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่...”
คุณดวงทิพย์ลากเสียงค้างไว้ขณะเอื้อมมือไปใช้มีดตัดกล้วยในหวียื่นให้พีรพัฒน์
“แต่วันนี้รู้สึกเหมือนแม่จะได้ข่าวมาว่าพีงานยุ่งมากนี่นา แม่ก็เลยนึกว่าพีคงจะค้างที่ทำงานหรือไม่ก็ที่บ้านป้าอังน่ะซี”
พีรพัฒน์ชะงักมือที่กำลังจะรับกล้วยจากคุณดวงทิพย์ทันที
“นี่รักเขาโทร.มาบอกแม่หรือครับ?”
“ไม่ใช่แค่โทร.มาบอกหรอก” คุณดวงทิพย์ดึงกล้วยที่พีรพัฒน์ไม่รับกลับมาปอกเปลือกออกแล้วฝานใส่ลงกะละมัง “แต่เขาโทร.มาปรึกษา”
“ปรึกษา?” ชายหนุ่มทวนคำออกมา “แล้วเขาปรึกษาอะไรกับแม่ล่ะครับ?”
“ก็เรื่องที่พีไม่ยอมเข้าไปดูไปแลงานที่บริษัทป้าอังสักทีน่ะซี”
“ก็งานบริษัทผมเองมันยุ่ง” พีรพัฒน์พูดขณะที่มือหนาๆยื่นลงไปหยิบกล้วยขึ้นมาอีกชิ้น กำลังจะกินเข้าปากอยู่แล้ว ก็พอดีหันไปเจอว่าคนเป็นแม่น่ะกำลังจ้องหน้า ตาดุเชียว
“ถ้ายุ่งจริง ตอนนี้จะมีเวลามานั่งขโมยกล้วยแม่กินอย่างนี้มั้ย”
“เฮ่อ!” แล้วคนถูกจับไต๋ได้ก็ถอนใจยาว
ใช่! ไอ้งานยุ่งๆต่อหน้าหทัยรักวันนี้ก็เป็นแค่เรื่องอ้าง และแน่นอน รวมไปถึงอีกสองวันที่เขาขอไว้นั่นด้วย
“ผมไม่ค่อยอยากไปน่ะแม่” พีรพัฒน์บอก นี่ถ้าเขาไปพูดอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่นที่ไม่ใช่คุณดวงทิพย์ คงรับรองได้เลยว่าคนฟังต้องคิดว่าเขาน่ะเข้าขั้นบ้าชัวร์ เพราะตอนนี้ใครๆก็คิดเสมอว่า ‘พีรพัฒน์ วิศิษฏการ’ เป็นชายหนุ่มที่โชคดีและน่าอิจฉาที่สุดแห่งปี
เพราะอะไรหรือ คำตอบก็คือ...
เพราะเขาเป็นผู้ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในมรดกมูลค่ามหาศาลของ คุณอังกาบ สุริยะธาดา ผู้มีศักดิ์เป็นป้านั่นเอง!
ก็คงมีแค่สตรีวัยห้าสิบสี่ที่นั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวเท่านั้น ที่เข้าใจและรับรู้ได้ว่า มรดกและทรัพย์สมบัติมากมายนั่นไม่ได้ทำให้พีรพัฒน์รู้สึกดีหรือมีความสุขแม้แต่น้อย
นั่นเพราะเขาไม่เคยคิดอยากจะได้ และที่จริง พีรพัฒน์ก็ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะได้ด้วยซ้ำหาก ‘ดนัยวัฒน์ สุริยะธาดา’ ลูกชายคนเดียวของคุณอังกาบจะไม่เกิดสูญหายไปตอนที่เขาขอไปทำงานตามความฝันของเขาสักครั้ง ซึ่งสิ่งนั้นก็คือการไปทำข่าวที่ไหนสักแห่งในประเทศแถบตะวันออกกลางเมื่อเกือบสองปีก่อน
เรื่องร้ายเกิดขึ้นมาเมื่อดนัยวัฒน์ถูกลักพาตัวไป ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครทราบแม้กระทั่งว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือถูกกลุ่มโจรที่ลักพาไปสังหารตายเสียแล้ว และสาเหตุนั้นเองที่เป็นต้นเหตุให้คุณอังกาบทำใจไม่ได้และเริ่มล้มป่วยออดๆแอดๆเรื่อยมาจนกระทั่งมาจากไปเมื่อเดือนกว่าๆนี้ เพราะเหตุนั้น มรดกมหาศาลจึงต้องตกทอดมาสู่ทายาทในลำดับชั้นต่อมา นั่นคือพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกั?น
และพันตำวจตรีวิพัฒน์ วิศษฏการ ผู้เป็นพ่อของพีรพัฒน์ก็อยู่ในฐานะนั้นพอดี
แต่อาจโชคร้ายไปนิดตรงที่ พ.ต.ต. วิพัฒน์ ถูกผู้ร้ายยิงดับไปตั้งแต่พีรพัฒน์อยู่ชั้น ม.๒ ดังนั้นวันนี้มรดกมหาศาลเลยตกแอ้กมาทับเขา แต่ก็อย่างที่กล่าว สำหรับพีรพัฒน์แล้วมันไม่ใช่ความสุข เพราะการสูญเสียพ่อผู้เป็นเสาหลักไปตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบห้า ทำให้ชายหนุ่มมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะต้องช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของแม่อย่างที่สุด
ในช่วงที่ต้องสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย พีรพัฒน์ตัดสินใจเลือกเรียนในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เพราะนอกเหนือจากความชอบแล้วเขายังมองถึงโอกาสการทำงานที่น่าจะสดใสในอนาคต แต่แน่นอน ทุกอย่างไม่ได้ได้มาอย่างรวดเร็วหรือง่ายดาย การเรียนในสาขาวิชาวิศวกรรมนั้นก็จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย ซึ่งตอนนั้นถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจุนเจือของคุณอังกาบแล้ว พีรพัฒน์ก็อาจจะไม่มีโอกาสได้จบออกมาเป็นวิศวกรก็เป็นได้
“แต่ป้าอังเขารักพี แล้วก็มีบุญคุณกับพีมากนะ”
“ผมรู้ครับ” พีรพัฒน์ตอบ ชายหนุ่สำนึกดีว่าป้าอังเมตตาเขากับแม่มากขนาดไหน เพราะแน่นอนว่าป้าอังรู้ และเข้าใจดีว่าศาสตร์ที่เขาเลือกเรียน มันอาจจะไม่สามารถใช้ช่วยในงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของท่านได้เลย แต่ป้าอังก็ยังช่วยเหลือเขา
ช่วย...โดยมิได้หวังผลอันใดนอกจากอนาคตและความสุขที่หลานชายอย่างเขาเลือกที่จะเดินเท่านั้น พีรพัฒน์ไม่เคยหลงลืมความจริงนี้แม้ขณะจิต แต่ว่า...
“แม่รู้ ว่าพีเป็นห่วงบริษัทของพีเอง เพราะมันเพิ่งก่อตั้ง รากฐานยังไม่มั่นคง แต่ว่าเพื่อนๆเราที่ช่วยกันตั้งบริษัทมา ทั้งลภ ทั้งซ้ง ฝากเขาช่วยดูแลกันก่อนได้ไหม ถึงอย่างไรบริษัทของป้าอังก็ต้องการคนเข้าไปช่วยนะลูก”
พีรพัฒน์ได้แต่ลอบถอนใจ ฝากเพื่อนช่วยดูแล ที่แม่พูดมันก็คงเป็นเรื่องง่ายมากถ้าบ้านลภไม่ได้มีไร่กับฟาร์มปศุสัตว์อยู่ปากช่อง และบ้านซ้งไม่ได้เป็นร้านทองในย่านเยาวราช เรียกว่าต่างคนต่างมีธุรกิจครอบครัวให้ต้องช่วยบริหารกันทั้งนั้น แต่เพราะต่างก็มีความฝัน ว่าอยากจะทำงานในศาสตร์ที่ตัวเองร่ำเรียนมา สามคนจึงตกลงใจร่วมกันสร้าง ‘พีแอลเอส ซิเคียวริตี้ ซิสเต็มส์’ บริษัทด้านการรักษาความปลอดภัยบนเครือข่ายและระบบคอมพิวเตอร์
และแน่นอน ถ้าหักเรื่องของภาระงานของครอบครัวแล้ว ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุดในการจะรับหน้าที่ดูแลพีแอลเอส ซิเคียวริตี้ ซิสเต็มส์อย่างเต็มตัว แต่ทว่า...
ชายหนุ่มได้แต่ทอดถอนใจเพราะเขาเองก็รู้ดีว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่างเอพีกรุ๊ปของป้าอัง ถ้าไม่มีประธานเข้าไปบริหารในเร็ววันนี้ ที่นั่นก็คงเหมือนชิ้นเนื้อหวานๆให้แร้งการุมทึ้ง
แล้วเขาควรจะทำอย่างไร หนึ่งคือสิ่งที่ตนเองเพิ่งสร้างขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างด้วยความตั้งใจ ส่วนอีกหนึ่งคือความอุสาหะและธุรกิจที่รักของผู้มีพระคุณ
นี่เขาควรทำยังไงดี พีรพัฒน์รู้ ว่าตัวเองไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่จะสามารถบริหารงานทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกันได้
“บ้านของป้าอังก็เหมือนกัน” เสียงเนือยๆของคุณดวงทิพย์ยังเอ่ยต่อไป “ถึงพีจะไม่อยากเข้าไปอยู่ แต่ยังไงก็ต้องเข้าไปดูแลนะลูก บ้านใหญ่โต คนของป้าอังก็เยอะแยะ พีจะทิ้งเขาไม่ได้”
“ตอนนี้คนที่อยู่ในบ้านก็ออกกันไปเกือบหมดแล้วล่ะครับ จะเหลือก็แต่คนเก่าคนแก่ของป้าอังไม่กี่คนเท่านั้น”
“นั่นละ คนเก่าคนแก่ ยิ่งทิ้งเขาไม่ได้ใหญ่เลยรู้ไหม”
ชายหนุ่มได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วๆอีกครั้ง
“แม่ครับ...” เขาเอ่ยเรียก “แม่ไปอยู่ที่นั่นกับผมได้ไหม”
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา เพียงเท่านี้พีรพัฒน์ก็รู้แล้วว่าคำตอบของแม่จะเป็นอะไร เพราะนี่มันไม่ใช่ครั้งแรก ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณดวงทิพย์เตือนให้เขากระตือรือร้นเป็นธุระในเรื่องที่เกี่ยวกับป้าอัง และไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขอให้คุณดวงทิพย์ไปอยู่กับเขา
“พีก็รู้ว่าแม่รักบ้านสวน”
“ผมก็รักบ้านสวน”
“พี...”
“ผมอยากให้พี่วัฒน์เขายังมีชีวิตอยู่ และก็กลับมา”
ใช่! ถ้าเพียงแค่ดนัยวัฒน์จะไม่ได้หายสาบสูญไป พีรพัฒน์ก็คงไม่ต้องมาเป็นผู้จัดการมรดกนี่เลยแม้แต่น้อย ชีวิตของเขาก็คงจะมุ่งมั่นกับการสร้างและพัฒนาพีแอลเอส ธุรกิจไอทีเล็กๆของตนเอง แม้จะดูลำบากแต่มันก็จะเป็นความภาคภูมิใจสำหรับลูกผู้ชายเช่นเขา แต่นี่เพราะมรดกมหาศาลที่ตกมาโดยไม่ได้ปรารถนาสักนิด มิหนำซ้ำมันอาจจะทำให้เขาต้องยุติและละทิ้งความฝันที่เริ่มเป็นรูปร่างขึ้นมาแล้วเสียด้วย แล้วจะให้เขารู้สึกอย่างไร
คุณดวงทิพย์ได้แต่มองพีรพัฒน์อย่างนึกสงสาร นางเข้าใจความรู้สึกของลูกชายดี บางครั้งบางสิ่งที่ได้มาก็อาจเรียกได้เต็มปากว่าทุกขลาภ
“แม่เองก็อยาก” นางเอ่ยเบาๆ “แล้วแม่ก็เชื่อนะ ว่าวันหนึ่งพวกเราจะได้ข่าวตาวัฒน์บ้าง เพราะฉะนั้นขอให้พีคิดเสียว่า พีช่วยดูแลทุกอย่างแทนพี่เขาก่อนได้ไหมลูก”
พีรพัฒน์ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ตลอดเวลาเกือบเดือนกว่าคนเป็นแม่ก็ได้แต่บอกเขาแบบนี้ บอกด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าสุดท้ายความหมายก็คือการให้เขายอมวางความฝันด้วยการเข้าไปเป็นผู้บริหารเอพีกรุ๊ป บอกให้เขาห่างออกไปจากท่าน ห่างออกไปจากบ้านสวนที่อาศัยมาตั้งแต่เกิดด้วยการเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ของป้าอัง นาทีนี้พีรพัฒน์นึกไม่ออกเลยว่าตัวเองจะมีความสุขได้อย่างไร
และถ้าคิดว่านี่คือเรื่องปวดหัวเล็กๆสองสามเรื่องที่มาพร้อมมรดกมหาศาลของป้าอังแล้วละก็ ผิดถนัด! เพราะยังมีอีกเรื่องที่พีรพัฒน์ยังไม่เคยได้เอ่ยถึงมันเลย
ชายหนุ่มหยิบกระดาษเขียนจดหมายสีขาวพับทบออกจากกระเป๋าเสื้อก่อนยื่นให้คุณดวงทิพย์เสียเฉยๆ คุณดวงทิพย์ได้แต่กะพริบตามองหน้าเขาและกระดาษในมืออย่างสงสัย
“อะไรหรือจ๊ะ?”
“อีกเรื่องที่เกี่ยวกับป้าอังน่ะครับ”
คนเป็นแม่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆก่อนจะยื่นมือมารับจดหมายไปคลี่อ่าน อึดใจหนึ่งเต็มๆกว่าที่นางจะเงยหน้าขึ้นมาให้พีรพัฒน์ได้สบโอกาสถามว่า
“แล้วผมควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้หรือครับ”
………………….
เสียงรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านทำให้คุณดวงทิพย์ต้องละสายตา เงยหน้าขึ้นมาจากการบรรจงใช้มีดเล่มเล็กฝานกล้วยน้ำว้าสุกให้เป็นแผ่นๆ รอยยิ้มละไมกระจายไปทั่วใบหน้ายามเห็นร่างสูงคุ้นตาที่เพิ่งก้าวลงมาจากรถ
“ว่ายังไง” เจ้าของบ้านเอ่ยทักทันทีที่ร่างสูงใหญ่ตรงมาหา นางน่ะกำลังนั่งทำงานอยู่บนแคร่ไม้เล็กๆใต้ถุนบ้าน
แต่ดูเหมือนคำถามนั้นคงไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังเพราะชายหนุ่มที่เพิ่งหย่อนกายลงนั่งข้างๆไม่ได้ตอบอะไรแม้แต่น้อย ทว่าสิ่งที่เขาทำ คือการปลดกระดุมข้อมือเชิ้ตแขนยาวของตัวทั้งสองข้าง แล้วดึงพรืดขึ้นมาให้แขนเสื้ออยู่พ้นเหนือข้อศอกก่อนจะพับลวกๆเข้าไปสองทบ
เห็นปลายแขนเสื้อเป็นก้อนขยุกขยุยที่อยู่เหนือศอกพ่อลูกชายคนเดียวแล้วคุณดวงทิพย์ก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจ ใบหน้าซึ่งมีเค้าสวยสง่าส่ายไปมาพร้อมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะวางมีดและกล้วยลงในกะละมังสแตนเลส เช็ดมือกับผ้าสะอาดที่วางไว้ข้างๆแล้วยื่นมือมาจัดการกับชายหนุ่ม
“จะพับทั้งที ก็พับให้มันเรียบร้อยสิจ๊ะ ไปยัดไว้เป็นก้อนขยุยๆอย่างนี้ ทำอะไรแป๊บๆมันก็จะหลุดนะ” นางว่าขณะมือนุ่มๆก็เริ่มแกะปลายแขนเสื้อพีรพัฒน์ออกมาพับใหม่
“นั่นน่ะสิครับ” แล้วเสียงคนที่จัดการพับไว้อย่างเป็นก้อนขยุยๆก็เห็นด้วยหน้าตาเฉย ก่อนจะอ้าง
“เพราะฉะนั้น ให้แม่พับให้นั่นแหละ ดีที่สุด”
“ฮื้อ! ลูกนะลูก” คุณดวงทิพย์ค้อนแกมหัวเราะให้ลูกชายอย่างพองาม และหลังจากจัดการแขนเสื้อให้พีรพัฒน์เรียบร้อย คุณดวงทิพย์ก็หยิบกล้วยขึ้นมาฝานต่อ
ชายหนุ่มชะโงกหน้าเข้ามาดู
“ทำขนมหรือครับ”
“จ้ะ” คนตอบพยักหน้า “พอดีในสวน กล้วยน้ำว้ามันสุกพร้อมกันหลายเครือ นี่ขนาดแม่ตัดปันให้เจ้าลูกชุบกับป้าน้อยไปบ้างแล้วนะ แต่ก็ยังเหลืออยู่ดี ทิ้งไว้กินไม่หมดมันก็จะงอมเสียไปเปล่าๆ ก็เลยว่าจะเอามาห่อข้าวต้มเสียหน่อย”
“หรือครับ” ชายหนุ่มว่า ขยับเข้ามาใกล้มารดาอีกนิด ก่อนจะยื่นมือลงไปหยิบกล้วยที่คุณดวงทิพย์ฝานแล้วขึ้นมากินหน้าตาเฉย
“แน่ะ!” คนเป็นแม่เลยร้องเบาๆ “จะมาหยิบอันนี้กินได้ยังไง แม่ฝานไว้จะเอาไปทำไส้ข้าวต้ม ถ้าอยากจะกิน ไปเด็ดเอาที่อยู่ในหวีนั่นดีกว่า” แล้วคุณดวงทิพย์ก็บุ้ยหน้าไปทางกล้วยน้ำว้าลูกอวบสีเหลืองนวลอีกสามหวีที่วางอยู่ข้างๆ
แต่แม้ชายหนุ่มจะพยักหน้าหงึกๆ ทว่าพอกล้วยชิ้นแรกทยอยลงกระเพาะหมด เขาก็หยิบชิ้นสองอีก อีหรอบนี้สตรีวัยห้าสิบสี่ก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
เพราะเขาก็เป็นแบบนี้เสมอนะ ลูกชายของนาง ดื้อนิ่งๆ
“ว่าแต่ วันนี้กลับมาบ้านนี่ มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?”
“หืม?” คนถูกถามออกอาการนิ่วหน้า “อะไรครับ เดี๋ยวนี้แม้แต่แม่ก็จะไม่ให้ผมกลับมาบ้านสวนที่ปทุมฯนี่แล้วหรือ”
“ฮื้อ...ไม่ใช่แบบนั้นหรอกน่า” มารดาบอก “ที่นี่ก็บ้านของพี พีจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่...”
คุณดวงทิพย์ลากเสียงค้างไว้ขณะเอื้อมมือไปใช้มีดตัดกล้วยในหวียื่นให้พีรพัฒน์
“แต่วันนี้รู้สึกเหมือนแม่จะได้ข่าวมาว่าพีงานยุ่งมากนี่นา แม่ก็เลยนึกว่าพีคงจะค้างที่ทำงานหรือไม่ก็ที่บ้านป้าอังน่ะซี”
พีรพัฒน์ชะงักมือที่กำลังจะรับกล้วยจากคุณดวงทิพย์ทันที
“นี่รักเขาโทร.มาบอกแม่หรือครับ?”
“ไม่ใช่แค่โทร.มาบอกหรอก” คุณดวงทิพย์ดึงกล้วยที่พีรพัฒน์ไม่รับกลับมาปอกเปลือกออกแล้วฝานใส่ลงกะละมัง “แต่เขาโทร.มาปรึกษา”
“ปรึกษา?” ชายหนุ่มทวนคำออกมา “แล้วเขาปรึกษาอะไรกับแม่ล่ะครับ?”
“ก็เรื่องที่พีไม่ยอมเข้าไปดูไปแลงานที่บริษัทป้าอังสักทีน่ะซี”
“ก็งานบริษัทผมเองมันยุ่ง” พีรพัฒน์พูดขณะที่มือหนาๆยื่นลงไปหยิบกล้วยขึ้นมาอีกชิ้น กำลังจะกินเข้าปากอยู่แล้ว ก็พอดีหันไปเจอว่าคนเป็นแม่น่ะกำลังจ้องหน้า ตาดุเชียว
“ถ้ายุ่งจริง ตอนนี้จะมีเวลามานั่งขโมยกล้วยแม่กินอย่างนี้มั้ย”
“เฮ่อ!” แล้วคนถูกจับไต๋ได้ก็ถอนใจยาว
ใช่! ไอ้งานยุ่งๆต่อหน้าหทัยรักวันนี้ก็เป็นแค่เรื่องอ้าง และแน่นอน รวมไปถึงอีกสองวันที่เขาขอไว้นั่นด้วย
“ผมไม่ค่อยอยากไปน่ะแม่” พีรพัฒน์บอก นี่ถ้าเขาไปพูดอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่นที่ไม่ใช่คุณดวงทิพย์ คงรับรองได้เลยว่าคนฟังต้องคิดว่าเขาน่ะเข้าขั้นบ้าชัวร์ เพราะตอนนี้ใครๆก็คิดเสมอว่า ‘พีรพัฒน์ วิศิษฏการ’ เป็นชายหนุ่มที่โชคดีและน่าอิจฉาที่สุดแห่งปี
เพราะอะไรหรือ คำตอบก็คือ...
เพราะเขาเป็นผู้ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในมรดกมูลค่ามหาศาลของ คุณอังกาบ สุริยะธาดา ผู้มีศักดิ์เป็นป้านั่นเอง!
ก็คงมีแค่สตรีวัยห้าสิบสี่ที่นั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวเท่านั้น ที่เข้าใจและรับรู้ได้ว่า มรดกและทรัพย์สมบัติมากมายนั่นไม่ได้ทำให้พีรพัฒน์รู้สึกดีหรือมีความสุขแม้แต่น้อย
นั่นเพราะเขาไม่เคยคิดอยากจะได้ และที่จริง พีรพัฒน์ก็ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะได้ด้วยซ้ำหาก ‘ดนัยวัฒน์ สุริยะธาดา’ ลูกชายคนเดียวของคุณอังกาบจะไม่เกิดสูญหายไปตอนที่เขาขอไปทำงานตามความฝันของเขาสักครั้ง ซึ่งสิ่งนั้นก็คือการไปทำข่าวที่ไหนสักแห่งในประเทศแถบตะวันออกกลางเมื่อเกือบสองปีก่อน
เรื่องร้ายเกิดขึ้นมาเมื่อดนัยวัฒน์ถูกลักพาตัวไป ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครทราบแม้กระทั่งว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือถูกกลุ่มโจรที่ลักพาไปสังหารตายเสียแล้ว และสาเหตุนั้นเองที่เป็นต้นเหตุให้คุณอังกาบทำใจไม่ได้และเริ่มล้มป่วยออดๆแอดๆเรื่อยมาจนกระทั่งมาจากไปเมื่อเดือนกว่าๆนี้ เพราะเหตุนั้น มรดกมหาศาลจึงต้องตกทอดมาสู่ทายาทในลำดับชั้นต่อมา นั่นคือพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกั?น
และพันตำวจตรีวิพัฒน์ วิศษฏการ ผู้เป็นพ่อของพีรพัฒน์ก็อยู่ในฐานะนั้นพอดี
แต่อาจโชคร้ายไปนิดตรงที่ พ.ต.ต. วิพัฒน์ ถูกผู้ร้ายยิงดับไปตั้งแต่พีรพัฒน์อยู่ชั้น ม.๒ ดังนั้นวันนี้มรดกมหาศาลเลยตกแอ้กมาทับเขา แต่ก็อย่างที่กล่าว สำหรับพีรพัฒน์แล้วมันไม่ใช่ความสุข เพราะการสูญเสียพ่อผู้เป็นเสาหลักไปตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบห้า ทำให้ชายหนุ่มมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะต้องช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของแม่อย่างที่สุด
ในช่วงที่ต้องสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย พีรพัฒน์ตัดสินใจเลือกเรียนในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เพราะนอกเหนือจากความชอบแล้วเขายังมองถึงโอกาสการทำงานที่น่าจะสดใสในอนาคต แต่แน่นอน ทุกอย่างไม่ได้ได้มาอย่างรวดเร็วหรือง่ายดาย การเรียนในสาขาวิชาวิศวกรรมนั้นก็จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย ซึ่งตอนนั้นถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจุนเจือของคุณอังกาบแล้ว พีรพัฒน์ก็อาจจะไม่มีโอกาสได้จบออกมาเป็นวิศวกรก็เป็นได้
“แต่ป้าอังเขารักพี แล้วก็มีบุญคุณกับพีมากนะ”
“ผมรู้ครับ” พีรพัฒน์ตอบ ชายหนุ่สำนึกดีว่าป้าอังเมตตาเขากับแม่มากขนาดไหน เพราะแน่นอนว่าป้าอังรู้ และเข้าใจดีว่าศาสตร์ที่เขาเลือกเรียน มันอาจจะไม่สามารถใช้ช่วยในงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของท่านได้เลย แต่ป้าอังก็ยังช่วยเหลือเขา
ช่วย...โดยมิได้หวังผลอันใดนอกจากอนาคตและความสุขที่หลานชายอย่างเขาเลือกที่จะเดินเท่านั้น พีรพัฒน์ไม่เคยหลงลืมความจริงนี้แม้ขณะจิต แต่ว่า...
“แม่รู้ ว่าพีเป็นห่วงบริษัทของพีเอง เพราะมันเพิ่งก่อตั้ง รากฐานยังไม่มั่นคง แต่ว่าเพื่อนๆเราที่ช่วยกันตั้งบริษัทมา ทั้งลภ ทั้งซ้ง ฝากเขาช่วยดูแลกันก่อนได้ไหม ถึงอย่างไรบริษัทของป้าอังก็ต้องการคนเข้าไปช่วยนะลูก”
พีรพัฒน์ได้แต่ลอบถอนใจ ฝากเพื่อนช่วยดูแล ที่แม่พูดมันก็คงเป็นเรื่องง่ายมากถ้าบ้านลภไม่ได้มีไร่กับฟาร์มปศุสัตว์อยู่ปากช่อง และบ้านซ้งไม่ได้เป็นร้านทองในย่านเยาวราช เรียกว่าต่างคนต่างมีธุรกิจครอบครัวให้ต้องช่วยบริหารกันทั้งนั้น แต่เพราะต่างก็มีความฝัน ว่าอยากจะทำงานในศาสตร์ที่ตัวเองร่ำเรียนมา สามคนจึงตกลงใจร่วมกันสร้าง ‘พีแอลเอส ซิเคียวริตี้ ซิสเต็มส์’ บริษัทด้านการรักษาความปลอดภัยบนเครือข่ายและระบบคอมพิวเตอร์
และแน่นอน ถ้าหักเรื่องของภาระงานของครอบครัวแล้ว ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุดในการจะรับหน้าที่ดูแลพีแอลเอส ซิเคียวริตี้ ซิสเต็มส์อย่างเต็มตัว แต่ทว่า...
ชายหนุ่มได้แต่ทอดถอนใจเพราะเขาเองก็รู้ดีว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่างเอพีกรุ๊ปของป้าอัง ถ้าไม่มีประธานเข้าไปบริหารในเร็ววันนี้ ที่นั่นก็คงเหมือนชิ้นเนื้อหวานๆให้แร้งการุมทึ้ง
แล้วเขาควรจะทำอย่างไร หนึ่งคือสิ่งที่ตนเองเพิ่งสร้างขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างด้วยความตั้งใจ ส่วนอีกหนึ่งคือความอุสาหะและธุรกิจที่รักของผู้มีพระคุณ
นี่เขาควรทำยังไงดี พีรพัฒน์รู้ ว่าตัวเองไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่จะสามารถบริหารงานทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกันได้
“บ้านของป้าอังก็เหมือนกัน” เสียงเนือยๆของคุณดวงทิพย์ยังเอ่ยต่อไป “ถึงพีจะไม่อยากเข้าไปอยู่ แต่ยังไงก็ต้องเข้าไปดูแลนะลูก บ้านใหญ่โต คนของป้าอังก็เยอะแยะ พีจะทิ้งเขาไม่ได้”
“ตอนนี้คนที่อยู่ในบ้านก็ออกกันไปเกือบหมดแล้วล่ะครับ จะเหลือก็แต่คนเก่าคนแก่ของป้าอังไม่กี่คนเท่านั้น”
“นั่นละ คนเก่าคนแก่ ยิ่งทิ้งเขาไม่ได้ใหญ่เลยรู้ไหม”
ชายหนุ่มได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วๆอีกครั้ง
“แม่ครับ...” เขาเอ่ยเรียก “แม่ไปอยู่ที่นั่นกับผมได้ไหม”
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา เพียงเท่านี้พีรพัฒน์ก็รู้แล้วว่าคำตอบของแม่จะเป็นอะไร เพราะนี่มันไม่ใช่ครั้งแรก ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณดวงทิพย์เตือนให้เขากระตือรือร้นเป็นธุระในเรื่องที่เกี่ยวกับป้าอัง และไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขอให้คุณดวงทิพย์ไปอยู่กับเขา
“พีก็รู้ว่าแม่รักบ้านสวน”
“ผมก็รักบ้านสวน”
“พี...”
“ผมอยากให้พี่วัฒน์เขายังมีชีวิตอยู่ และก็กลับมา”
ใช่! ถ้าเพียงแค่ดนัยวัฒน์จะไม่ได้หายสาบสูญไป พีรพัฒน์ก็คงไม่ต้องมาเป็นผู้จัดการมรดกนี่เลยแม้แต่น้อย ชีวิตของเขาก็คงจะมุ่งมั่นกับการสร้างและพัฒนาพีแอลเอส ธุรกิจไอทีเล็กๆของตนเอง แม้จะดูลำบากแต่มันก็จะเป็นความภาคภูมิใจสำหรับลูกผู้ชายเช่นเขา แต่นี่เพราะมรดกมหาศาลที่ตกมาโดยไม่ได้ปรารถนาสักนิด มิหนำซ้ำมันอาจจะทำให้เขาต้องยุติและละทิ้งความฝันที่เริ่มเป็นรูปร่างขึ้นมาแล้วเสียด้วย แล้วจะให้เขารู้สึกอย่างไร
คุณดวงทิพย์ได้แต่มองพีรพัฒน์อย่างนึกสงสาร นางเข้าใจความรู้สึกของลูกชายดี บางครั้งบางสิ่งที่ได้มาก็อาจเรียกได้เต็มปากว่าทุกขลาภ
“แม่เองก็อยาก” นางเอ่ยเบาๆ “แล้วแม่ก็เชื่อนะ ว่าวันหนึ่งพวกเราจะได้ข่าวตาวัฒน์บ้าง เพราะฉะนั้นขอให้พีคิดเสียว่า พีช่วยดูแลทุกอย่างแทนพี่เขาก่อนได้ไหมลูก”
พีรพัฒน์ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ตลอดเวลาเกือบเดือนกว่าคนเป็นแม่ก็ได้แต่บอกเขาแบบนี้ บอกด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าสุดท้ายความหมายก็คือการให้เขายอมวางความฝันด้วยการเข้าไปเป็นผู้บริหารเอพีกรุ๊ป บอกให้เขาห่างออกไปจากท่าน ห่างออกไปจากบ้านสวนที่อาศัยมาตั้งแต่เกิดด้วยการเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ของป้าอัง นาทีนี้พีรพัฒน์นึกไม่ออกเลยว่าตัวเองจะมีความสุขได้อย่างไร
และถ้าคิดว่านี่คือเรื่องปวดหัวเล็กๆสองสามเรื่องที่มาพร้อมมรดกมหาศาลของป้าอังแล้วละก็ ผิดถนัด! เพราะยังมีอีกเรื่องที่พีรพัฒน์ยังไม่เคยได้เอ่ยถึงมันเลย
ชายหนุ่มหยิบกระดาษเขียนจดหมายสีขาวพับทบออกจากกระเป๋าเสื้อก่อนยื่นให้คุณดวงทิพย์เสียเฉยๆ คุณดวงทิพย์ได้แต่กะพริบตามองหน้าเขาและกระดาษในมืออย่างสงสัย
“อะไรหรือจ๊ะ?”
“อีกเรื่องที่เกี่ยวกับป้าอังน่ะครับ”
คนเป็นแม่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆก่อนจะยื่นมือมารับจดหมายไปคลี่อ่าน อึดใจหนึ่งเต็มๆกว่าที่นางจะเงยหน้าขึ้นมาให้พีรพัฒน์ได้สบโอกาสถามว่า
“แล้วผมควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้หรือครับ”
………………….
ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 เม.ย. 2554, 08:06:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 เม.ย. 2554, 08:06:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 3507
<< ตอนที่ 1 | ตอนที่ 3 >> |