กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3

ตอนที่ ๓

แม้จะเริ่มคุ้นกับรถยุโรปคันใหญ่ของคุณอังกาบแล้ว แต่จากหนทางที่ขนาดเป็นถนนเส้นหลักแล้วทว่ายางมะตอยบนพื้นก็ผุพังเป็นหลุมบ่อไม่ต่างจากผิวดวงจันทร์ นั่นยิ่งทำให้พีรพัฒน์ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการหักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆแคบๆซึ่งตัดออกไปจากตัวถนน

และหากเส้นหลักว่าแย่แล้ว บอกได้เลยว่าในซอยเล็กๆแคบๆนี้ยิ่งแย่กว่า เพราะนอกจากจะเป็นพื้นดินแดงที่สร้างฝุ่นคละคลุ้งแล้ว เขายังต้องทนหัวสั่นหัวคลอนกับหลุมบ่อบนถนนที่หนักกว่าเดิม

บนทางสายแคบๆ ฟากหนึ่งเป็นพงหญ้ารกเรื้อสูงท่วมหัว ส่วนอีกฟากคือไร่อ้อยที่ยาวเรื่อยขนาบไปเกือบสุดสายตา นี่ถ้าโชคร้ายมีรถสวนออกมาสักคันก็คงต้องมีการถอยกลับกันบ้างแน่

พีรพัฒน์ค่อยๆประคองรถไปตามถนนวิบากอย่างอดทน จากข้อมูลที่ได้จากนางบัวศรีทำให้เขารู้ว่า ที่ดินไกลปืนเที่ยงแถบจังหวัดกาญจนบุรีนี้ คุณอังกาบได้ขายออกไปตั้งแต่สมัยที่ระดมหาเงินทุนเพื่อการก่อตั้งเอพีกรุ๊ปเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าจากการตรวจสอบกับคุณวิฑูรย์ทนายของคุณอังกาบก็พบว่า ยังมีที่ดินผืนเล็กๆที่คุณอังกาบมิได้จำหน่ายออกไปอยู่ด้วย และที่ดินผืนนั้นก็คือที่ที่นางบัวศรีเล่าให้เขาฟังอีกว่าเป็นที่ที่คุณอังกาบอนุเคราะห์ให้ต้นห้องชื่อสายใจได้ใช้ทำมาหากิน

หลังจากขับรถไปตามถนนที่แทบจะขนาบด้วยป่าหญ้าและไร่อ้อยราวๆครึ่งชั่วโมงพีรพัฒน์ก็เริ่มจะมองเห็นบ้านไม้หลังคามุงสังกะสีเก่าๆอยู่ไกลๆ

“หวังว่านั่นคงจะใช่นะ” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะบ่น เพราะนอกจากทางมาจะไม่ดีแล้ว การหาบ้านของอดีตต้นห้องคุณอังกาบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

เขาต้องลงไปถามทางกับชาวบ้านถึงสามครั้งกว่าจะหาซอยนี้เจอ และก็ต้องหยุดถามอีกครั้งตรงต้นๆปากทางถึงที่ตั้ง ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าเป็นบ้านหลังที่ห้าถ้านับเข้ามาเรื่อยๆ นั่นละคือคำตอบที่ง่ายสุด! และแน่นอนปฏิบัติง่ายที่สุดด้วย นั่นเพราะถนนเส้นนี้เปลี่ยวมาก มีบ้านไม่กี่หลังตั้งห่างกันเป็นช่วงๆ ถ้าไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเองละก็ เขาก็แทบไม่อยากเชื่อว่ามันจะยังมีสถานที่ที่ทุรกันดารขนาดนี้อยู่

เจอสภาพแบบนี้ก็อดที่จะนึกถึงหน้าคุณดวงทิพย์ไม่ได้ นี่ถ้าแม่มาด้วยสงสัยคงยิ่งต้องบ่นเขาน่าดู เพราะเพียงแค่ที่ยื่นจดหมายให้ดูครานั้น คุณดวงทิพย์ยังนิ่วหน้าใส่เขาทันทีที่เงยขึ้นมาเลย

‘วันที่ที่ลงในจดหมายนี่มันผ่านมาตั้งเกือบสองเดือนแล้วนี่จ๊ะ’

ในประโยคที่คล้ายจะเป็นแค่การถามไถ่กลับเจือด้วยแววตำหนิเสียจนชายหนุ่มต้องลอบถอนหายใจ คิ้วของคุณดวงทิพย์ย่นเข้าหากันหนักขึ้นอีกเมื่อก้มลงพินิจจดหมายอีกครั้งก่อนเปล่งเสียงออกมาเบาๆ

‘ตายจริง’

ใช่ เนื้อความในจดหมายนั่นบอกชัดว่าตัวคนเขียนคงใกล้จะลาโลกเต็มทน และแน่นอน นั่นคือเมื่อเกือบสองเดือนที่แล้ว เพราะฉะนั้นป่านนี้เจ้าของจดหมายนั่นก็คงจะ...

คุณดวงทิพย์เงยหน้าขึ้นมองพีรพัฒน์อีกหน ชายหนุ่มนึกไม่ออกว่าตัวเองควรพูดอะไร จึงเลือกจะเงียบ คนเป็นแม่เลยถอนใจออกมาพรืดใหญ่

‘เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมพีถึงเพิ่งมาปรึกษาแม่ล่ะหืม ตั้งสองเดือนมาแล้ว นี่มันเกี่ยวกับเรื่องเป็นเรื่องตายของเขาเชียวนะพี’

คุณดวงทิพย์สีหน้าเคร่งเครียด ก้มลงมองจดหมายอย่างหนักใจ พีรพัฒน์ไม่ได้เอ่ยอะไรเพื่อปลดเปลื้องลดทอนคำตำหนิแม้แต่น้อย เพราะที่คุณดวงทิพย์พูดก็ถูก แม้ช่วงที่ได้รับจดหมายฉบับนี้เขาจะยังวุ่นวายกับเรื่องงานศพป้าอัง เรื่องมรดกหรือแม้แต่เรื่องการพยายามติดตามข่าวของดนัยวัฒน์ แต่เขาก็ไม่ควรที่จะมองข้ามความเป็นความตายของใครเช่นนั้นเหมือนกัน

‘เฮ้อ!’ คุณดวงทิพย์ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง พึมพำเสียงแผ่ว ‘เวรกรรมจริงๆ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง ท่าทางจะเจ็บหนักเสียด้วย’

และนั่นก็คือประโยคที่ทำให้พีรพัฒน์ตัดสินใจมาที่นี่ในที่สุด

ชายหนุ่มหยุดรถเมื่อเลี้ยวเข้ามาตรงลานโล่งเล็กๆหน้าบ้านหลังที่หมายตา ฝุ่นดินยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ตอนที่เขาเปิดประตูลงมา พีรพัฒน์ดันประตูรถปิดเบาๆขณะกวาดตามองไปรอบๆ

บ้านไม้หลังเล็กหลังคามุงสังกะสีเก่าๆให้ความรู้สึกยิ่งทรุดโทรมเมื่อได้มาเห็นในระยะใกล้ ด้านข้างที่ยาวออกไปทั้งซ้ายและขวาดูคล้ายๆจะเป็นแปลงผักสวนครัวขนาดเล็ก พีรพัฒน์หรี่ตามองค้างที่มีถั่วและบวบพันกันแน่นเขียวครึ้มอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

ประหลาดแท้ที่แปลงผักนั่นมันดูรกเรื้อมากเหลือเกินเมื่อเทียบกับแปลงผักสวนครัวที่เขาเคยเห็นคุณดวงทิพย์ทำที่บ้านสวนตั้งแต่เด็ก ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด สะระตะไปมาก็ค่อยนึกออกว่า อาจไม่ใช่เรื่องแปลกก็ได้ที่เขาจะเห็นผักสวนครัวมากกว่าสิบชนิดกระจุกแน่นอยู่ในพื้นที่เดียวกัน นั่นเพราะที่ดินตรงนี้ หากจำที่นางบัวศรีเล่าไม่ผิดละก็ แค่สองไร่สามงานเท่านั้น

อย่างนี้เรียกที่เท่าแมวดิ้นตายก็เห็นจะได้และไม่ผิดไปมากนัก เพราะสองไร่สามงานมันเล็กมากสำหรับการจะใช้สร้างบ้านและลงหลักปักฐานทำมาหากินเลี้ยงชีพ

‘แต่แรกคุณอังเธอก็จะแบ่งให้สักสิบไร่ แต่แม่สายใจแกขอก็แค่ที่เล็กๆตรงนั้นเองล่ะค่ะ’ เสียงเนิบนาบของนางบัวศรีดังขึ้นในความคิดยามเมื่อพีรพัฒน์นึกย้อน ‘แกว่าแค่สองไร่กว่าก็เป็นบุญสำหรับแกกับหลานแล้ว’

‘แล้วเพราะอะไรเขาถึงได้ขอลาออกไปล่ะ ป้ารู้หรือเปล่า?’ พีรพัฒน์ถาม เป็นเรื่องผิดวิสัยเขามากที่จู่ๆต้องมานั่งซักไซ้เรื่องราวของใครสักคน แต่หนนี้มันจำเป็น เพราะเขาไม่เคยรู้อะไรเลย ก่อนได้รับจดหมายเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีหญิงชื่อสายใจที่เคยเป็นต้นห้องของป้าอังอยู่บนโลกนี้ ทว่านาทีนี้เขากลับต้องตัดสินใจว่าจะรับช่วยเหลือคนที่ไม่เคยรู้จักเลยสักนิดหรือไม่

‘ที่แกขอออกก็เพราะว่าหลานของแกนั่นแหละค่ะ’ คนเล่าผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆยามเอื้อนเอ่ยต่อไป ‘แม่สายใจแกไม่อยากให้หลานแกโตขึ้นในสภาพเด็กรับใช้ ลำพังแค่มันเกิดมาไม่มีพ่อก็น่าสังเวชใจพออยู่แล้ว’

‘หืม? เด็กจิ๊บนั่นกำพร้าหรือ?’

‘เฮ้อ! ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นพ่อมัน นังสายหยุดน่ะไปท้องกับใครไม่รู้ พอคลอดก็เอามาทิ้งไว้กับแม่ แล้วตัวมันก็หาย เข้ากลีบเมฆไปโน้น เฮ้อ! นึกแล้วป้าก็สงส้านสงสารแม่สายใจ คุณพีเชื่อไหม ใจนังสายหยุดมันน่ะด๊ำดำนะคะ ขนาดชื่อลูก มันยังไม่ตั้งให้เลย’

‘จริงรึ?’

‘ค่ะ ชื่อเล่นเจ้าจิ๊บนี่แม่สายใจแกเป็นคนตั้งของแกเอง แต่ชื่อจริงน่ะแกขอให้คุณอังเป็นคนตั้งให้ค่ะ’

ชายหนุ่มอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ‘ป้าอังตั้งให้?’

‘ใช่ค่ะ’ นางบัวศรียืนยัน ‘คุณอังเธอตั้งให้ เพร๊าะเพราะเชียวนะคะ’ เพราะน้ำเสียงที่เน้นย้ำคำว่า ‘เพร๊าะเพราะ’ ส่งผลให้คนฟังถึงกับต้องอมยิ้ม ไถ่ถามเบาๆ

‘หึๆ จริงรึ’

‘โธ่! จริงสิคะ ป้าน่ะจำได้แม่นเชียว’

‘งั้นอะไรล่ะ ป้าอังตั้งชื่อให้เด็กคนนั้นว่าอะไร’

ราวกับคนเล่าเขาจะรอคำถามนี้อยู่แสนนาน นางบัวศรีดูจะยืดตัวขึ้นมานิดๆเมื่อเอ่ยต่อไปเต็มปากเต็มคำว่า

‘วริณสิตาค่ะ คุณอังตั้งชื่อให้เจ้าจิ๊บว่า วริณสิตา’

พีรพัฒน์ค่อยๆเบนสายตาจากสวนครัวรกๆกลับไปยังตัวบ้าน และนี่ก็อีกที่เห็นแล้วได้แต่ลอบหวั่นใจ ความจริงตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่ใช่คนรวยอะไรเลย ทว่าสิ่งปลูกสร้างยกพื้นสูงที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก็ดูเก่าคร่ำคราเสียจนพีรพัฒน์เองก็นึกไม่ออกว่ามันเป็นเคหสถานซึ่งจะอาศัยคุ้มแดดฝนให้สบายใจได้อย่างไร

ความรู้สึกผิดที่ละเลยถึงความสำคัญในจดหมายยิ่งเกาะกุมใจเขามากยิ่งขึ้น พีรพัฒน์ก้าวยาวๆไปยังหน้าบันไดของบ้านใต้ถุนยกสูง นาทีนี้ได้แต่หวังใจลึกๆว่ายังจะพบทั้งหญิงชราที่ชื่อสายใจรวมถึงหลานที่ชื่อเด็กจิ๊บนั่นด้วย

“สวัสดี มีใครอยู่บ้างหรือเปล่า?” ชายหนุ่มส่งเสียงถาม สายตาชะเง้อมองขึ้นไปด้านบนบ้านด้วยเผื่อว่าจะเจอความเคลื่อนไหวใดบ้าง ทว่าทุกอย่างก็เงียบสนิท

“สวัสดีครับ มีใครอยู่มั้ย มีใครอยู่หรือเปล่า?” เขาตะโกนออกไปอีก แต่ความเงียบที่ได้เป็นคำตอบที่ทำให้ใจชักแป้ว ความรู้สึกผิดยิ่งบีบหนักในใจเมื่อนึกถึงว่า อย่าว่าแต่สองเดือนกว่าที่เขามัวแต่ลังเลและละเลยด้วยเรื่องมรดกวุ่นๆเลย นี่ถ้าหญิงชราชื่อสายใจกำลังป่วยหนักจริง แค่สองวันเขาก็คงแย่แล้ว

พีรพัฒน์ตัดสินใจก้าวเท้าขึ้นบันไดทันที แต่ทว่า...

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ใครน่ะ จะขึ้นไปทำอะไรบนบ้านฉัน!”
.....................



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 เม.ย. 2554, 09:31:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 เม.ย. 2554, 09:31:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 3090





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
sai 11 เม.ย. 2554, 09:53:40 น.
สั้นไปป่าวอ้า รออ่านตอนต่อไป ชื่อนางเอกน่ารักจริงๆแหละค่ะ


panon 11 เม.ย. 2554, 10:15:35 น.
เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆได้อ่านอีกครั้งแล้วววววววววว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account