จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 17

---- แวะคุยนิดนึง ---
ฝนตกหนักมากเลยคะ คนเขียนเปื่อย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ บอกแล้วว่าตัวละคร
มันน่าสงสารอิ๋บอ๋ายอะ ยังไงอย่าเพิ่งท้อหนีหายนะ
บทนี้ใส่หวานมาให้ด้วยนะคะ

ไปละคะ :D

บทที่ ๑๗

แฟ้มสำเนาเอกสารจากฝ่ายการผลิตของโชเนนฟาวกับพจนานุกรมเล่มหนาถูกศศิวิมลหอบจากในห้องนอนลงบันไดมาชั้นล่างผ่านกลุ่มคนใช้วัยกลางคนที่ขมีขมันทำความสะอาดเครื่องเรือนราคาเก่าราคาแพงโดยมียายช้อยกับยายคนอื่นอีกสองสามคนคอยคุมงาน พอเดินออกไปนอกเขตคฤหาสน์เห็นคนสวนวุ่นกับการตัดแต่งพันธุ์ไม้ในสวนแล้วก็ถอนใจ

นับแต่การจากไปของนายหญิงแห่งวิสุทธิ์สุนทร นอกจากช่วยเรื่องงานศพก็ดูเหมือนทุกคนในบ้านจะพยายามทำงานให้ยุ่งเข้าไว้เพื่อจะได้ไม่มีเวลาคิดถึงการสูญเสียครั้งนี้จนพลอยทำให้บรรยากาศในบ้านแทบไม่มีความโศกเศร้าหลงเหลือให้เห็น

ผิดกับคนที่เคยใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนวันดูแลอาการป่วยของอรพิณ เมื่อสิ้นหน้าที่สำคัญส่วนนี้ไปลำพังแค่ถักตุ๊กตาตามออเดอร์ลูกค้าหรือการเล่นดนตรีผ่อนคลายก็ไม่อาจช่วยให้เวลาในแต่ละวันเดินเร็วขึ้น ยังดีที่หล่อนจำได้ว่า ผู้เป็นสามีฝากการบ้านเล่มหนาเต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะไว้ให้อ่าน ความยากในการทำความเข้าใจของมันทำให้หล่อนไม่มีเวลาคิดถึงผู้ล่วงลับ

แต่การอุดอู้อยู่ในห้องขลุกกับเอกสารทั้งหมดนี้ทำให้หล่อนรู้สึกเครียดจึงต้องตระเวนหามุมสงบจนมาเจอเข้ากับศาลาหกเหลี่ยมหลังคฤหาสน์ที่แม้จะทรุดโทรมถูกไม้เลื้อยพันรกจนหนาตาหากก็ยังใช้การได้ทำให้หลายวันมานี้ที่นี่จึงกลายเป็นมุมอ่านหนังสือส่วนตัวของหล่อนไปโดยปริยาย

ทว่าวันนี้ศาลาที่หญิงสาวถือวิสาสะเป็นเจ้าของกลับเห็นทายาทคนเดียวของบ้านยืนกอดอกพิงเสาทอดสายตาลงไปเฝ้ามองฝูงปลาหางนกยูงสีสวยแหวกว่ายไปมาในสระน้ำละลานตานิ่งนานแทบไม่ขยับเขยื้อนหากดูผิวเผินก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นขี้ผึ้ง

หลังจากทราบแล้วว่าตอนนี้ตนเองมีอำนาจการตัดสินใจเหนือกว่าเจ้าของธุรกิจเดิม สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการเชิดอูเซนบีบบังคับให้ฝ่ายนั้นยอมขายหุ้นทั้งหมดให้ก็เท่ากับอีกไม่นานคงใกล้จบภารกิจ แต่ภาควัฒน์กลับไม่รู้สึกยินดีเหมือนทุกครา ยิ่งเมื่อเช้าเขาเพิ่งได้รับอีเมล์ให้บินไป แม้จะเป็นงานที่ใช้เวลาสั้นเพียงสองสามวันแต่ก็ทำให้เขาหนักใจหนักใจ

ศศิวิมลก้าวเท้าขึ้นไปในศาลามองสีหน้าสงบเฉยคล้ายไม่รู้สึกนึกคิดอะไรแต่กลับมีอาการถอนหายใจ ทำให้หล่อนอดรู้สึกสะท้อนใจกับการที่เขาสวมหน้ากากทำเหมือนไม่เป็นอะไรไม่ยอมแบ่งเบาความในใจให้ใคร...ความหม่นหมองในใจเลยวนเวียนอยู่กับเขาร่ำไปไม่จบไม่สิ้น

...หรือบางทีเขาคงคิดได้ว่าตัวเองไม่เหลือใครอีกแล้วจึงพยายามซ่อนความอ่อนแอไว้...

หญิงสาวเม้มริมฝีปากขณะนั่งพับเพียบบนพื้นศาลาที่ปัดถูจนสะอาดสะอ้านวางแฟ้มลงข้างตัวลอบมองเจ้าของแผ่นหลังกว้างกำยำใต้เสื้อยืดสีดำพอดีตัว นั่งนับการถอนหายใจของเขาอยู่เป็นระยะ อดทนเช่นนั้นพักใหญ่ก็เริ่มทนไม่ไหว คล้ายมีบางสิ่งดลใจให้ลุกจากพื้นตรงเข้าไปหาเขา

ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ความคิดทันทีที่แขนเนียนขาวสอดเข้ามาโอบรอบเอวสอบ..ร่างเล็กอุ่นนุ่มกรุ่นกลิ่นหอมดอกมะลิอันเป็นเอกลักษณ์ที่แนบซบบนแผ่นหลังนั้นจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจากภรรยาเพียงในนามของตัวเอง

“ พี่ภาคเลิกทำเหมือนตัวเองไม่เจ็บไม่ปวดอะไรเลยแบบนี้เถอะคะ ยิ่งพี่ภาคเก็บงำความรู้สึกแล้วไม่แสดงออกให้ใครรู้มากเท่าไหร่ ความเศร้ามันก็จะอยู่กัดกร่อนพี่ไปไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าป้าพิณมาเห็นพี่ภาคเป็นแบบนี้เข้า ท่านคงเสียใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้พี่จมอยู่กับความทุกข์แล้วในที่สุดท่านอาจจะจากไปอย่างไม่สงบ พี่ภาคอยากให้มันเป็นแบบนั้นหรือคะ ” เสียงหวานจากเบื้องหลังมีแววสั่นเครือสะเทือนใจเหลือเกินที่เห็นเขาเป็นเช่นนี้ น้ำอุ่นใสหยดซึมลงไปในเนื้อผ้า

คนตัวใหญ่รู้สึกได้ถึงน้ำตาที่หลั่งรินรดเสื้อจนเปียกชุ่ม เกือบจะคว้าข้อมือเล็กทั้งสองข้างกระชากออกจากตัวแต่พอนึกขึ้นได้ว่าแรงของเขาอาจทำให้คนตัวเล็กเจ็บตัวเอา เลยได้แต่สั่งเสียงเรียบให้ปล่อย

“ ไม่ค่ะ เล็กจะไม่ปล่อยจนกว่าพี่ภาคจะยอมรับว่าความรู้สึกของตัวเอง...เล็กไม่เข้าใจเลยว่าพี่ภาคทนโกหกตัวเองอยู่ได้ยังไงทั้งที่พี่ก็เสียใจ ” หล่อนพูดพลางสะอื้นฮักติดกัน รู้สึกขมขื่นที่ไม่อาจบรรเทาเบาบางความเจ็บช้ำให้เขาได้

ภาควัฒน์รับฟังคำปลอบใจพลางก้มลงมองลำแขนขาวที่มีแต่จะกอดรัดเอวแน่นขึ้นตามแรงสะอื้น...ความจริงแล้วในใจเขาเวลานี้แม้จะมีความเศร้าจากความอาลัยรักต่อผู้เป็นแม่อยู่ แต่หลังจากได้ใช้เวลาไต่ตรองถึงเรื่องแม่ทั้งคืนก็คิดได้ว่า การจากไปของแม่อาจจะดีกว่าอยู่ทนรับรู้ความเป็นจริงที่ว่า เขาไม่อาจเป็นลูกชายคนเดิมได้อีกแล้ว

“ เธอไม่มีวันเข้าใจฉันหรอก ปล่อยฉัน ก่อนที่ฉันจะหักแขนเธอ ” เขาบอกเสียงกระด้างแข็งกุมรอบข้อมือไว้จนอุ่นชื้นให้รู้ว่าพูดจริงไม่ได้ขู่ แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมโดยง่ายจนได้ยินเสียงกระด้างแข็งตวาดคำสั่งให้ปล่อยเสียงดังนั้นละแขนถึงหลุดจากเอวได้โดยง่ายก่อนเจ้าของร่างที่ถูกกอดรัดจะหันกลับมามองคนที่ก้มหน้างุดไม่กล้าสู้หน้าได้

“ เล็กขอโทษค่ะ...เล็กแค่เป็นห่วงพี่ภาคก็เลย ” หล่อนพูดตะกุกตะกักพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวจากกระเป๋ากระโปรงออกมาเช็ดน้ำตา

คนตรงข้ามส่ายหน้าเบาให้กับความอ่อนไหวก่อนจะเหลือบเห็นแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนพื้นก็จำได้ว่าตนเคยฝากเอกสารจากฝ่ายผลิตมาให้หล่อนไว้เป็นการบ้าน จึงเปลี่ยนบทสนทนาถามถึงเรื่องงานที่ฝากไว้เสียดื้อๆ เล่นเอาคนที่ก้มหน้าตามไม่ทันต้องถามย้ำ

“ ก็งานที่ฉันให้ไว้นะ เธออ่านไปถึงไหนแล้ว ”

“ อ้อ ก็อ่านไปได้หน่อยนึงแล้วค่ะ ที่เล็กอ่านช้าไม่ใช่เพราขี้เกียจนะคะ แต่ในนี้มันมีหลายคำที่เล็กไม่เข้าใจ ก็เลยต้องเปิดดิกบ้าง พจนานุกรมบ้าง บางทีหาไม่เจอก็ต้องจดแยกเอาไว้จะได้ถามพี่ภาคถูก ”

“ ก็ดีแล้ว ” เขาพูดเท่านั้นก็ลงจากศาลาไปเฉยๆ ทิ้งคนตัวเล็กไว้ให้ยืนจ๋อยคิดทบทวนการกระทำน่าอายของตนเองเมื่อครู่ที่ไม่รู้มีผีป่าซาตานตนใดดลใจให้เกิดยับยั้งชั่งใจเอาไปกอดเขาไว้...ป่านนี้หล่อนคงกลายเป็นผู้หญิงหน้าไม่อายไปเสียแล้วสำหรับเขา

หล่อนถอนหายใจอีกเป็นรอบที่สาม เพราะแก้ไขอะไรไม่ได้จึงได้แต่ทำใจเดินกลับไปนั่งอ่านเอกสารที่เขามอบหมายให้ต่อโดยไม่ทันเห็นผู้เป็นสามีเดินกลับเข้ามาในศาลาอีกหนแล้วย่อตัวลงตรงหน้าหยิบดอกมะลิซ้อนดอกหนึ่งทัดลงข้างใบหู

ศศิวิมลรู้สึกได้จึงชำเลืองดูจึงเห็นเขาขยับเข้ามาใกล้เสียจนได้กลิ่นโคโลจญ์ผู้ชาย แก้มสากระคายจากไรหนวดเคลียข้างแก้มสาวนวลนุ่ม ปลายจมูกสูดดมกลิ่นหอมจากดอกไม้และเรือนผมอย่างอ่อนโยน...หัวใจของหญิงสาวเต้นรัวไม่เป็นจังหวะสัมผัสได้ถึงความร้อนบนพวงแก้ม เปลือกตาหลุบลงด้วยความอายปล่อยเขาดอมความหอมกรุ่นนั้นให้ลึกถึงหัวใจ

...บางคราเขาก็อ่อนโยนหนักหนา แต่บางคราวก็เย็นชา คงจริงอย่างที่ว่า หล่อนไม่มีวันเข้าใจเขาได้...

ในห้วงเวลานั้นพระพายโชยพาดพัดให้เย็นชื่น แดดอ่อนยามเช้าทอทาบสาดกระทบราวกับกามเทพดลใจใช้ธรรมชาติโอบล้อมทั้งสองไว้ให้หลงในวังวนอันหวานละมุนนั้นตราบนานเท่านาน

ภาควัฒน์ถอนจมูกห่างจากดอกไม้มานั่งคุกเข่าเฝ้ามองอาการเก้อเขินของแม่ตัวเล็กไว้ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วพันปลายผมยาวม้วนเป็นวงอย่างเชื่องช้าเหนี่ยวนำให้อีกฝ่ายเคลื่อนตามมาจนดวงหน้านวลงามอยู่ห่างจากเขาเพียงฝ่ามือกั้น

“ ถ้าฉันไม่อยู่ เธอจะดูแลโชเนนฟาวแทนฉันได้หรือเปล่า ” เขากระซิบถามแผ่วเบาข้างหู ลมหายใจอุ่นรดมาให้รู้สึกอุ่นซ่านหญิงสาวอยากจะหลับตาไว้เช่นนั้น แต่พอได้ยินถ้อยความจากเขาก็เปิดตาแลหน้าเขาในระยะประชิดนั้นเหมือนไม่เข้าใจในคำถามพลางจ้องลึกลงไปในดวงตาคมดุจหมาป่าก็คล้ายได้เห็นประกายความนัยบางประการที่ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจหากสิ่งนั้นกลับมีพลังให้รู้สึกอุ่นใจอย่างน่าอัศจรรย์

“ ทำไมถึงถามแบบนั้นคะ พี่ภาคจะไปจากที่นี่อีกหรือคะ ” เสียงหวานเว้าวอนร้องถามคล้ายจะบอกเป็นนัยว่าอย่าจากกันไปไหนอีก

“ ฉันมีธุระต้องไปทำ จะไม่กลับบ้านสามสี่วัน ” เขาเฉลยเผื่อเวลาการเดินทางไปกลับไว้

“ ไปไหนคะ ” เลิกคิ้วสูงพลางถามอย่างวิตก น่าแปลกที่ยามนี้สามารถสบสายตาเขาในระยะใกล้ได้โดยไม่มีความหวั่นเกรงใดให้รู้สึก

“ ก็ไปทำงานนั้นแหละ อย่ารู้เลยว่าไปไหน ” บอกปัดแสดงอาการให้รู้ว่าอย่าคิดถาม

“ แต่พี่ภาคจะกลับมาแน่ใช่ไหมคะ ” ถึงจะถูกดักคอเช่นนั้นแต่ริมฝีปากอิ่มก็ยังเผยอถามขึ้นด้วยความวิตกอยู่ดี

“ อืม ” ตอบรับสั้นในลำคอ

“ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงพูดเรื่องโชเนนฟาวขึ้นมาล่ะคะ ทำเหมือนกับว่าพี่ภาคจะไม่อยู่ที่นี่แล้วอย่างนั้นแหละ ”

ชายหนุ่มลอบสูดลมหายใจคลายปอยผมสลวยให้คืนตัวตามเดิม สีหน้าแววตาเรียบเฉยคล้ายไร้ความรู้สึกแต่กลับได้เห็นริมฝีปากหยักบางของเขากระตุกเกือบเผลอยิ้มให้

“ ลืมมันไปเถอะ ” กระซิบสั่งคำครั้งสุดท้ายก็ผละถอยออกมา คนตัวเล็กยังจ้องเขาอย่างสงสัยไม่วางวาย ต่างฝ่ายต่างประสานสายตากันนิ่งนานก่อนที่หญิงคนหนึ่งจะโผล่พรวดเข้ามากลางศาลาร้องเรียกชื่อหญิงสาวเสียงหลง

เจ้าของชื่อหันไปตามต้นเสียงก็เห็นพี่เลี้ยงของตนเองนั่งหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ป่ายมือไปข้างหน้าหมายจะคว้าแขนคุณหนูของตัวเองแต่เผลอตะปบเอาลมบนพื้น

“ เมื่อคืนคะ เมื่อคืน คุณผู้หญิงนะ...ผู้หญิงนะเข้าโรงพยาบาล คะ คุณเล็ก คุณเล็กไปดูหน่อยเถอะคะ ” หล่อนละล่ำละลักบอกปานจะขาดใจ

ศศิวิมลยกมือทาบอกตกใจคลานเข่าเข้าไปใกล้เพื่อถามไถ่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากสมพรก็บอกได้แต่ชื่อโรงพยาบาลส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่ทราบแน่ชัดเพราะเพิ่งมารู้ข่าวเอาตอนเช้า...หญิงสาวรู้สึกตระหนกร้อนเหมือนถูกไฟลน อยากจะไปหาผู้เป็นป้าที่โรงพยาบาลแต่อารามรีบร้อนทำให้เกือบสะดุดล้มดีที่ภาควัฒน์ใช้แขนรับได้ทันไม่อย่างนั้นคงล้มฟาด

“ อย่าลน เดี๋ยวฉันพาไปโรงพยาบาลให้ ” ว่าเท่านั้นก็จับแขนของหล่อนพาไปขึ้นรถแล้วขับออกไปให้อย่างรวดเร็วตามที่ใจของคนตัวเล็กต้องการ…
***********************

มลธิกานอนให้น้ำเกลือไม่ได้สติอยู่ในห้องคนไข้พิเศษโดยมีมือของผู้เป็นหลานกุมแน่นไว้ตลอดคืนโดยไม่ได้หลับเลยจนถึงเช้า ในใจสับสนกระวนกระวายติดอยู่ในคำพูดของนายแพทย์ผู้ทำการรักษาที่บอกให้ทราบว่า ป้ามีอาการโรคความดันโลหิตสูงรวมทั้งเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หากเครียดมากเกินไปอาการจะกำเริบทำให้ทรุดหนักได้

ศิระกัดริมฝีปากพลางถอนลมหายใจก่อนจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อจึงหยิบออกมาดูจึงรู้ว่าทางเลขานุการส่วนตัวโทรมาเลยรีบเปิดประตูออกไปคุยนอกห้อง ระหว่างที่รับทราบรายงานว่ากำลังเริ่มการตรวจค้นหาสิ่งผิดปกติในชั้นผู้บริหารทั้งหมดและกำลังจะวางสายอยู่นั้น สายตาก็เหลือบเห็นคนรู้จักเดินหลังไวๆเลี้ยวหายไปจึงกดวางสายแล้วเดินตามไปเพราะมีเรื่องอยากพูดคุยด้วยแต่พอเลี้ยวไปกลับไม่พบใครนอกจากพยาบาลเลยได้แต่กุมขมับ สักพักก็ได้เห็นโทรศัพท์สั่งอีกคราวนี้หมายเลขที่ปรากฏเป็นเบอร์แปลกเลยกดรับก็รู้ว่า ศศิวิมลมาหาถึงหน้าห้อง เลยรีบกลับไป

ทันทีที่ผู้เป็นน้องเห็นหน้าพี่ชายก็โผเข้าไปหา รีบซักไซ้ถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้เป็นป้าถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ..ชายหนุ่มอ้าปากแต่ยั้งไว้เมื่อเห็นชายหนุ่มอีกคนยังยืนอยู่ใกล้ๆ และพอถูกมองก็เหมือนรู้ว่าต้องทำอย่างไรเลยเลี่ยงไปนั่งห่าง
ตรงเก้าอี้ห่างออกไปให้

“ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ ทำไมแม่ใหญ่ถึงเป็นแบบนี้ ”

เมื่อถูกถามซ้ำเขาก็เปิดปากเล่าถึงความจริงเกี่ยวกับวิกานดาทั้งหมดให้ฟัง...คนเป็นน้องตาโตยกมือทาบอกตกใจเป็นหนที่สอง ยังจำสายตาของคู่หมั้นสาวของพี่ได้ดีว่าเหมือนมีอะไรเคลือบแคลงอยู่ภายในแต่ไม่คิดว่าจะประสงค์ร้ายต่อกันถึงเพียงนี้

“ แล้วอย่างนี้พี่ใหญ่จะทำยังไงคะ ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะเรื่องแม่ใหญ่อีก ” พูดแล้วนิ่งคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ เอาอย่างนี้แล้วกันนะคะ เดี๋ยวเล็กจะมาเฝ้าแม่ใหญ่ให้ พี่ใหญ่จะได้ไปทำงานไม่ต้องเทียวไปเทียวมาแบบนี้ ”

“ อย่าเลย...แค่เล็กต้องจัดการเรื่องงานศพป้าพิณก็เหนื่อยแล้ว ถ้าต้องมาเฝ้าแม่ใหญ่อีกเดี๋ยวเป็นอะไรไปอีกคนจะแย่เอา อีกอย่างพี่ก็จ้างพยาบาลพิเศษให้มาดูแลแล้ว คงไม่ต้องรบกวนเล็กหรอกจ๊ะ ” คนเป็นพี่บอกพลางยกมือลูบผมน้องแทนคำขอบคุณเบาๆ

“ รบกวนอะไรกันคะ แม่ใหญ่กับพี่ใหญ่เป็นครอบครัวของเล็กนะคะ ถ้าเล็กจะมาดูแลแม่ใหญ่ก็ไม่เห็นต้องเกรงใจกันเลย หรือว่าพี่ใหญ่ไม่เห็นเล็กเป็นน้องแล้ว ”

เขาหลุบดวงตาคมที่สบสายตาน้องรู้สึกเหมือนใจหายวาบอย่างบอกไม่ถูก...น้องสาวเห็นพี่เงียบก็คิดว่าคงเครียดหนักจึงกุมมือทั้งสองของพี่ไว้

“ พี่ใหญ่อย่าคิดมากนะคะ แม่ใหญ่แข็งแรงจะตาย คงไม่เป็นอะไรมากหรอกคะ เดี๋ยวเล็กจะแวะมาดูแม่ใหญ่บ่อยๆ ส่วนพี่ใหญ่ก็จัดการเรื่องคุณวิกานดาให้เรียบร้อยก่อนนะคะ แล้วจะมาดูแม่ใหญ่ตอนไหนก็ค่อยมา ” พูดปลอบพร้อมมีรอยยิ้มให้กำลังใจแล้วโทรศัพท์ในกระเป๋าของคนเป็นพี่ก็สั่นขึ้นมาอีก

ศิระรีบรับสายจึงได้รับรายงานจากเลขานุการว่า ตอนนี้เจอเครื่องดักฟังในห้องทำงานผู้บริหารใหญ่กับในห้องประชุม...ชายหนุ่มกัดริมฝีปากแรงจนเลือดซิบ มิน่า ทำไมถึงความเคลื่อนไหวทุกอย่างของโรงแรมและตัวเขาดีนัก ที่แท้ก็ใช้วิธีสกปรกแบบนี้นี่เอง

“ มีอะไรหรือเปล่าคะ ” หล่อนร้องถามเมื่อเห็นสีหน้าเครียดเคร่งของพี่ชายหลังวางโทรศัพท์

“ พี่ต้องไปที่โรงแรมก่อน...ยังไงพี่ฝากเล็กดูแลแม่ใหญ่หน่อยนะ พอพยาบาลพิเศษมาเมื่อไหร่เล็กค่อยกลับก็ได้ ” ฝากฝังได้ก็วิ่งพรวดพราดออกไปในทันที

ศศิวิมลมองตามหลังของศิระไปด้วยความเป็นห่วงแล้วหันไปมองภาควัฒน์ที่เดินเข้ามาซ้อนหลังชวนให้เข้าไปดูอาการคนป่วยในห้องพัก...หล่อนพยักหน้ารับแต่ก่อนจะพ้นประตูก็ไม่วายจะมองไปยังทางเดินของโรงพยาบาลที่ว่างเปล่า รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูกจากนั้นจึงปิดประตูหายเข้าห้องไป
***************************

ผลการตรวจค้นทั้งชั้นบริหารทำให้ศิระทราบว่านอกจากเครื่องดักฟังในห้องทำงานของเขาแล้ว ในห้องประชุมเองก็มีเครื่องดักฟังรวมทั้งกล้องวงจรปิดขนาดจิ๋วซุกซ่อนจับตาดูการเคลื่อนไหวทุกอย่างของอังคพิมานไว้ ด้วยเรื่องนี้ทำให้คณะกรรมการบริหารรวมตัวกันขอเปิดประชุมด่วนเพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่ทำงานหละหลวมปล่อยให้จารกรรมข้อมูลเกิดขึ้น

เมื่อตั้งคณะกรรมสอบไปไล่บี้กับฝ่ายรักษาความปลอดภัย คณะกรรมการบริหารก็พร้อมใจกันมาสอบถามตัวแทนประธานกรรมการบริหารที่เป็นผู้เริ่มให้ตรวจค้นในครั้งนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย

“ คุณศิระเป็นคนสั่งให้พนักงานตรวจค้นใช่ไหมคะ แสดงว่าคุณใหญ่ทราบเป็นคนแรกว่ามีการจารกรรมข้อมูลเกิดขึ้น ทำไมถึงไม่นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเตือนให้ผู้บริหารคนอื่นระวังตัวคะ ”

“ คุณศิระทราบว่ามีคนแฝงตัวมาขโมยข้อมูลการบริหารงานของเราตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ” เสียงจากกรรมการบริหารยกมือยิงคำถามอื้ออึงทั่วห้องประชุม

ชายหนุ่มที่ถูกรุมรัวคำถามเม้มริมฝีปากสูดลมหายใจสะกดความเครียดและกดดันไว้ภายใน ส่งสัญญาณมือให้ทั้งหมดอยู่ในความสงบเพื่อจะได้ชี้แจ้งได้สะดวก

“ ก่อนอื่นผมต้องขออภัยต่อผู้บริหารทุกท่านด้วย ตอนนี้ผมกำลังพยายามเร่งตรวจสอบข้อมูลของเราที่รั่วไหลออกไปอยู่ ถ้ามีความกระจ่างเรื่องนี้เมื่อไหร่ผมจะนำเข้ารายงานให้ที่ประชุมทราบทันทีครับ ”

“ แล้วจะให้รอถึงเมื่อไหร่ครับ คุณศิระทราบไหมครับว่า ตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมาโรงแรมเราขึ้นชื่อเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยมากที่สุด เรื่องนี้ถ้าหลุดไปถึงสื่อโรงแรมเราจะเสียหายมากขนาดไหน ”

ตัวแทนประธานกรรมการบริหารหนุ่มกวาดสายตามองคณะกรรมการที่เข้ามาคล้ายจะรุมทึ้งกันเสียยิ่งกว่าแร้งก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังให้ทั้งห้องหยุดอีกหน

“ เรื่องนี้ผมขอเป็นคนรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ยังไงก็ขอให้เชื่อใจผม ให้เวลาผมตรวจสอบแก้ไขเรื่องนี้ก่อน ผมสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้โรงแรมของเราเสียชื่อหรือโดนลดอันดับความน่าเชื่อถือ แต่ตอนนี้สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยของโรงแรมใหม่ทั้งหมด และผมต้องขอความกรุณาจากทุกท่านอีกครั้งให้ช่วยรอผมตรวจสอบหน่อย ผมจะไม่ยอมให้มีอะไรมาสั่นคลอนองค์กรของเราแน่ ” เขากล่าวกับที่ประชุมอย่างมุ่งมั่น นัยน์ตาเด็ดเดี่ยวตั้งใจจนทำให้ฝ่ายบริหารคลายอารมณ์ทรุดลงนั่ง

หลังเสร็จสิ้นการประชุมด่วน ศิระเรียกฝ่ายบุคคลมาสอบถามเป็นการส่วนตัวถึงเรื่องการรับพนักงานใหม่ก็ได้รับรายงานว่าในช่วงสามเดือนที่ผ่านมามีการรับพนักงานใหม่เข้ามาในแผนกแม่บ้าน แผนกซ่อมบำรุงและรักษาความปลอดภัย เขาเลยเรียกเลขานุการส่วนตัวให้ไปเรียกหัวหน้าแผนกทั้งสามมาพบพร้อมกับพาพนักงานใหม่มาด้วย และเมื่อทุกคนเข้ามาพบเขาหัวหน้าแต่ละแผนกกลับรายงานให้ทราบว่ามี พนักงานสองสามคนในฝ่ายตนพอทำงานพ้นโปรสามเดือนก็หายหน้าไปไม่มาทำงานได้หลายวันแล้ว พอทราบผลก็เชิญให้ทั้งหมดกลับยกเว้นฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่เขาสั่งให้ส่งเทปวงจรปิดที่บันทึกไว้ในชั้นบริหารในสามเดือนมาให้ด้วย

ชายหนุ่มถอนหายใจสิ่งที่กังวลมากกว่าการแทรกซึมหาข้อมูลจากพนักงานระดับล่าง คือความเป็นไปได้ที่ฝ่ายบริหารใหญ่ว่าจะมีใครถูกซื้อตัวไปบ้างหรือเปล่าต่างหากที่น่ากลัวกว่า ขณะที่ครุ่นคิดหนักก็ฉุกคิดได้ถึงช่วงเวลาที่เข้าไปในทำงานแล้วพบแม่ใหญ่กำลังหาเอกสารสำคัญอยู่

ศิระตาโตคว้าสูทลุกพรวดจากเก้าอี้รีบขับรถกลับไปที่คฤหาสน์อังคพิมาน สลัดรองเท้าหนังได้ก็วิ่งขึ้นบันไดเข้าไปในห้องทำงานกวาดสายตามองทั่วห้อง ค้นทุกซอกทุกมุมก่อนจะเจอเข้ากับเครื่องดักฟังที่มีลักษณะเหมือนกับเครื่องที่ติดในห้องทำงานเขาตรงข้างหลังภาพถ่ายของมลธิกาในกรอบทอง

“ ระยำ ” เขาสบถเสียงดัง ถลกแขนเสื้อตรวจสอบทุกอย่างในห้องว่ามีเอกสารสำคัญใดหายไปจากสำเนาแฟ้มเอกสารบ้างหรือไม่แต่ไม่พบอะไร ความโกรธทำให้เขาเหนื่อยจนหอบต้องเดินไปนั่งพักบนเก้าอี้ก่อนจะเหลือบเห็นลิ้นชักชั้นบนสุดตรงโต๊ะทำงานมีกุญแจดอกเล็กสีทองเสียบคาไว้

คนเป็นหลานนั่งทบทวนความจำว่าตอนเรียนมัธยมปลายเคยถามเรื่องลิ้นชักล็อกกุญแจนี้เก็บของสำคัญอะไรไว้ ตอนนั้นผู้เป็นป้าตอบเขาว่ามีพวกรูปถ่ายเก่าๆแต่นางทำกุญแจดอกนี้หายไปแล้ว

ดวงตาของศิระหรี่เล็กลงคล้ายมีบางสิ่งรบกวนจิตใจให้คิดสงสัย จึงขอใช้สิทธิ์ความเป็นหลาน เป็นทายาทคนหนึ่งของอังคพิมานดึงลิ้นชักให้เปิดออก เลื่อนเก้าอี้ให้ขยับเข้าไปใกล้จึงเห็นข้าวของถูกค้นกระจุยกระจาย ปลายนิ้วของเขาหยิบเอารูปถ่ายเก่าหลายใบออกมาพินิจ ส่วนใหญ่เป็นภาพหมู่ของคนในตระกูลอังคพิมานซึ่งเขาเคยเห็นมาก่อนจากในรูปที่ใส่กรอบแขวนเรียงรายตลอดทางเดินในโถงใหญ่

ไล่ดูบรรพบุรุษของตัวเองอยู่นานก็มาสะดุดเอากับรูปถ่ายใบสุดท้ายที่มีสก็อตเทปติดประสานรอยขาด...บุคคลในภาพคือมารดายืนกอดกับผู้เป็นป้าแนบสนิทดูรักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่การฉีกขาดเป็นสองส่วนที่อยู่ระหว่างคนทั้งสองนั้นกลับทำให้รู้สึกสะกิดใจอย่างบอกไม่ถูก

เขาวางรูปถ่ายทั้งหมดลงบนโต๊ะ หยิบของชิ้นอื่นที่มีทั้งเครื่องเขียน ของเล่น เครื่องดับ...ดูเหมือนมลธิกาจะเก็บข้าวของในความทรงจำของตนเองไว้ในลิ้นชัก รอยยิ้มบางของเขาปรากฏทุกครั้งที่ได้ลองไขลานตุ๊กตาให้มันเคลื่อนไหวบนโต๊ะ ความเครียดทุเลาลงอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้ในลิ้นชักแทบไม่เหลืออะไรให้ค้นนอกจากสมุดปกแข็งเล่มหนาที่หุ้ม...ดูเหมือนมลธิกาจะเก็บข้าวของในความทรงจำของตนเองไว้ในลิ้นชัก รอยยิ้มบางของเขาปรากฏทุกครั้งที่ได้ลองไขลานตุ๊กตาให้มันเคลื่อนไหวบนโต๊ะ ความเครียดทุเลาลงอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้ในลิ้นชักแทบไม่เหลืออะไรให้ค้นนอกจากสมุดปกแข็งเล่มหนาที่หุ้มปกด้วยหนังสีดำ

ยามพลิกหน้าแรกขึ้นดูเห็นคำอวยพรด้วยลายมือจึงรู้ว่าสมุดบันทึกเล่มนี้เป็นของขวัญที่แม่มอบให้ป้าไว้นานหลายสิบปีและเกือบจะพลิกหน้าต่อมาอ่านแล้วหากไม่รู้สึกว่า การกระทำของตัวเองกำลังละเมิดความเป็นส่วนตัวของมลธิกาอยู่จึงเลือกจะปิดสมุดหยุดอ่านทันที

ราวกับมีสิ่งใดบันดาลให้ในขณะที่หยิบสมุดเก็บลงที่เก่าจดหมายฉบับหนึ่งกลับร่วงหล่นลงพื้น พอเหลือบเห็นมือเรียวเลยต้องก้มลงหยิบมันออกมาดูก็จำได้ว่าเป็นลายมือของแม่จึงอ่านดู

แต่ยิ่งได้อ่านเขากลับยิ่งพบความจริงบางอย่าง ทุกขณะที่สายตากวาดลงไปในแต่ละบรรทัด มือไม้ของเขาก็อ่อนยวบลงจนมาหยุดที่ประโยคหนึ่งในตอนท้ายของจดหมาย

เป็นประโยคยาวเหยียดที่เล่าขานถึงชาติกำเนิดอันแท้จริงของตัวเขาและความเห็นแก่ตัวของผู้หญิงคนหนึ่งที่กล้าทำร้ายน้องสาวและทอดทิ้งลูกชายของตัวเองได้อย่างเลือดเย็นเพื่อความสำเร็จของตัวเอง

กายสูงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ล้อเลื่อนยิ่งกว่าคนหมดเรี่ยวแรง ดวงตาเลื่อนลอยกลอกกลิ้งไปมาเหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้รับรู้ ขณะที่ริมฝีปากสั่นเครือคล้ายจับไข้อยู่นานก่อนที่เขาจะระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสมเพชตัวเองออกมาดังคับห้องแล้วลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ หยิบจดหมายสอดในสมุดบันทึกเล่มนั้นนำติดตัวมา

...ในดวงตาไม่เหลืออารมณ์ใดนอกจากความว่างเปล่าราวกับว่าคนที่เดินซวนเซเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ...ก้าวเท้าลงบันไดไปอย่างเลื่อนลอย ไม่สนใจฟังเสียงจากคนรอบข้างที่ถามไถ่เรื่องอาการของเจ้าของคฤหาสน์ เวลานั้นเขาคิดเพียงแต่ว่าจะไปหาผู้หญิงที่สวมหน้ากากเล่นละครหลอกเขากับน้องมาเกือบครึ่งชีวิตให้เร็วที่สุดได้อย่างไร...




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ส.ค. 2554, 01:00:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ส.ค. 2554, 01:00:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1938





<< บทที่ ๑๖   บทที่ ๑๘ >>
violette 28 ส.ค. 2554, 02:59:04 น.
หรือว่าจริงๆแล้วแม่ใหญ่คือแม่แท้ๆของศิระแล้วน้องเล็กคือลูกของน้องสาวคะเนี่ย
โอ่ยปมเยอะมากๆๆๆค่ะแต่งเก่งจริงๆ
คนอ่านก็ลุ้นไปด้วยสงสารไปด้วย
สงสารทั้งพี่ใหญ่น้องเล็กและกก็พี่ภาคเลยค่ะ เจ็บเพราะคนรุ่นพ่อแม่ท้งนั้น


anOO 28 ส.ค. 2554, 13:12:08 น.
ความจริงเปิดเผยแล้ว แต่เปิดเผยแบบนี้นายใหญ่คงจะเจ็บน่าดู
มิน่าคุณป้าถึงอยากให้เล็กแต่งงานกับนายภาค


Edelweiss 28 ส.ค. 2554, 20:44:04 น.
ลุ้นจริงจัง


ling 29 ส.ค. 2554, 11:41:03 น.
มาไวๆนะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account