กลรัก สลับหัวใจ
เมื่อเพื่อนสาวจอมยุ่ง จับผลัดจับพลูให้เธอนัดไปดูตัวกับคาสโนว่าหนุ่มแลกกับค่าจ้างหนึ่งหมื่น ม่านนทีจึงยอมเซย์เยส แปลงร่างเป็นนางซินวางแผนตัดสัมพันธ์แทนเพื่อนสาวเสียดิบดี แต่ที่ไหนได้เขาทั้งหล่อ เท่ แถมยังมีรอยยิ้มบาดใจ ทำเอาเธอชักหวั่นไหวซะแล้วสิ
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานๆ,รักใส ๆ
ตอน: ตอนที่ 5 พรหมลิขิต หรือความบังเอิญ
บทที่ 5
พรหมลิขิต หรือความบังเอิญ
ไม่นานนัก ต้นเหตุของความหนักใจก็เดินเข้ามาหาราเมศถึงภายในห้องนามที่นัดเวลาเอาไว้เป๊ะ คุณหญิงวิมลชื่นในชุดผ้าไหมทอมือสีน้ำเงินร่างท้วม สวมสร้อยเพชรและต่างหูราคาแพงระยับเดินตรงเข้าไปหาหลานชาย สีหน้าท่าทางไม่พอใจ
“ว่ายังไงตาเมศ หายหน้าไปไหนตั้งหลายวัน ป้าสั่งให้กลับไปหาที่บ้านไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงไม่ยอมไป”
ทันที่ที่เห็นหน้าหลานชายจอมกะล่อน คุณหญิงป้าก็เปิดฉากสอบพฤติกรรมทันที
“ใจเย็น ๆ สิครับคุณหญิงป้า เชิญนั่งพักบนเก้าอี้โซฟาค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า” ราเมศลุกขึ้นยิ้มรับอย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้คงเอาตัวรอดได้ไม่ง่ายนัก
“ไม่ต้องมาทำเป็นประจบเลย” คุณหญิงวิมลชื่นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างโกรธ ๆ “ทำงามหน้าดีนักนะ รู้ตัวหรือเปล่าว่าครั้งที่แล้วแกทำให้ฉันเสียหน้าขนาดไหน”
คิ้วเข้มเลิกสูง แสร้งทำท่าประหลาดใจ
“เรื่องอะไรกันหรือครับ”
“อย่ามาแกล้งโง่นะตาเมศ นึกว่าฉันไม่รู้นิสัยแกหรือยังไง ก่อนหน้านั้นก็แอบหนีไปทีนึงแล้ว มาคราวนี้ยังกล้าปฏิเสธไม่ยอมไปตามนัดอีก ใจคอคิดจะให้คนแก่อับอายไปถึงไหนกัน” คุณหญิงวิมลชื่นหันมาถลึงตาใส่ ริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าเห็นชัดขึ้นกว่าเดิม
ราเมศกระแอมในลำคอ ยกมือขึ้นล้วงกระเป๋าเสื้อสูท
“แต่คุณหญิงป้าก็ไม่ได้เสียหน้าจริง ๆ ไม่ใช่หรือครับ” เขาซ่อนยิ้ม “เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ยังมีเจ้าเตชิตกู้หน้าให้อยู่ทั้งคน”
“ตาเมศ”
คุณหญิงวิมลชื่นตีหน้าเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ราเมศจึงยอมลดราวาศอกและหันหน้ามายอมรับผิดแต่โดยดี
“โอเคครับ ผมยอมรับผิดแล้วก็ได้ แต่เรื่องนี้จะโทษว่าเป็นความผิดของผมคนเดียวไม่ได้นะครับ เพราะผมเองก็บอกคุณหญิงป้าไปหลายครั้งแล้วว่า ยังไม่อยากนัดดูตัวอะไรกับใครตอนนี้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว
“ไม่อยากดูตัวตอนนี้ จะรอให้ฉันตายก่อนหรือยังไง” อีกฝ่ายแย้งเสียงแข็ง
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว ฉันละเบื่อไอ้ท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อนของแกจริง ๆ เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัย ควงใครต่อใครไปวัน ๆ แบบนี้ก็ไม่รู้ อายุอานามก็ปาเข้าไปตั้งยี่สิบเจ็ดแล้ว ยังจะมัวทำเป็นเล่นอยู่ได้ แบบนี้เมื่อไหร่ฉันจะได้อุ้มหลานกับเขาสักทีล่ะ”
คุณหญิงวิมลชื่นยกมือขึ้นกอดอก ถอนหายใจออกมาแรง ๆ ราวกับคนกำลังป่วยไข้
ที่แท้ก็อยากจะอุ้มหลานเร็ว ๆ นั่นเอง
“แล้วใครบอกละครับว่าผมไม่อยากแต่งงาน เพียงแต่ยังไม่อยากแต่งตอนนี้เท่านั้นเอง”
“แล้วเมื่อไหร่จะแต่ง” อีกฝ่ายย้อนถาม ราเมศได้แต่เลิกคิ้วอย่างระอาใจ
“ก็จนกว่าจะเจอเนื้อคู่ไงครับ”
คำตอบจากปากราเมศ ส่งผลให้คุณหญิงถึงกับถอนหายใจยาว เนื่องจากไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินประโยคน้ำเน่าแบบนี้ หลุดออกมาจากปากของหลานชายจอมกระล่อน
“นี่แกพูดเล่นใช่ไหม”
“ไม่รู้สิครับ” ใบหน้าหล่อเหล่ายิ้มล้อเลียน “บางทีโชคชะตาอาจกำลังรอคอยให้ผมตกหลุมรักใครสักคน ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้วก็ได้ เมื่อเวลานั้นมาถึงเมื่อไหร่เตรียมจัดงานแต่งงานไว้รอเลยก็แล้วกัน”
“ให้มันจริงตามที่ปากว่าเถอะ” คุณหญิงทำท่าเหมือนไม่อยากเชื่อ
ราเมศหัวเราะในลำคอเบา ๆ ความจริงเขาไม่คิดรีบร้อนแต่งงานตอนนี้อยู่แล้ว เพียงแต่รับปากส่ง ๆ ไปเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นเท่านั้นเอง ที่สำคัญเท่าที่ดูจากบรรดาผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตอนนี้ ยังไม่มีใครสักคนที่เข้าข่ายคำว่า ‘เนื้อคู่’ ตามความคิดของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
น่าสนใจอยู่บ้าง...ก็เห็นจะมีแต่
จู่ ๆ ห้วงความคิดของราเมศก็ปรากฏภาพสาวน้อยหน้าหวาน ผู้แสนปากร้ายเอาแต่ใจตนขึ้นมา ดวงตากลมโตมีเสน่ห์ กับร่างเล็กที่ยามกอดเหมือนกับจะบุบสลายลงได้ง่าย ๆ นั้น ก็อบอุ่นเสียจนน่าประหลาดใจ
“เป็นอะไรไปตาเมศ ยิ้มแปลก ๆ นะเรา” ผู้เป็นป้าเอ่ยถาม หลังจากที่เป็นหลานชายระบายยิ้มบนใบหน้า
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ร่างสูงปฏิเสธ ทั้งที่ในใจยังวนเวียนอยู่กับภาพของปิ่นแก้วโดยไม่รู้ตัว...
คืนวันหยุดสุดสัปดาห์ สองสาวนัดเจอกันที่ร้านอาหารย่านเกษตร-นวมินทร์ หาอะไรทานอร่อย ๆ และผ่อนคลายความเครียดไปในตัว สวนอาหารแห่งนี้มีบรรยากาศโรแมนติก เนื่องจากมีทะเลสาบอยู่ตรงกลางเป็นที่นิยมของบรรดาคู่รักและนักชิมหลายคน ระเบียงด้านบนมีห้องจัดเลี้ยงลอยฟ้า มีเสียงดนตรีไพเราะให้นั่งฟังริมทะเลสาบ เหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง
ม่านนทีสวมเดรสแขนกุดสีน้ำเงินขับผิวขาว ปล่อยผมยาวสลวยจรดกลางหลัง รูปร่างสูงโปร่งแลดูเป็นกุลสตรีมากขึ้นด้วยรองเท้าส้นสูงปลายแหลม เน้นช่วงขาให้ดูเรียวมากยิ่งกว่าเดิม
“ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มาอีกนะ” เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา พลางบ่นเบา ๆ
ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา ปิ่นแก้วก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดเดรสสีหวานขอบลูกไม้สั้นเหนือเข่า ใบหน้าหวานแต่งแต้มสีสันอย่างเป็นธรรมชาติ เส้นผมเกล้าสูงเหนือต้นคอแลดูคล้ายสาวเกาหลี
“ขอโทษนะ มาสายไปหน่อย มารอนานแล้วหรือยัง” ปิ่นแก้วเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม เดินตรงเข้าไปนั่งบนโต๊ะอาหารริมทะเลสาบ
“ไม่นานเท่าไหร่หรอก แค่เกือบ ๆ ชั่วโมงเท่านั้นเอง”
ม่านนทีพูดประชด แต่อีกฝ่ายยังคงยิ้มรับแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เหลียวมองไปรอบกายมองดูบรรยากาศอย่างถูกอกถูกใจ
“ร้านนี้สวยจังเลยนะ บรรยากาศก็ดี แถมยังได้ที่นั่งติดทะเลสาบอีกด้วย เธอเลือกได้ดีจังเลย” เธอออกปากชม
“แน่ล่ะ ม่านนทีซะอย่าง อย่ามัวแต่ชมกันเลยน่า มาเลือกอาหารในเมนูกันดีกว่า ฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว”
“อื้ม เอาสิ”
สองสาวช่วยกันเลือกอาหารในเมนูจนพอใจ ระหว่างรอให้พนักงานนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ปิ่นแก้วก็ออกปากชวนคุยถึงเรื่องสัพเพเหระ ตั้งแต่งานที่ทำเรื่อยไปจนถึงเรื่องแฟชั่น จนกระทั่งวกกลับมาถึงเรื่องว่าที่คู่ดูตัวของเธอเมื่อคราวก่อน
“จริงสิ หลังจากที่เธอเจอนายราเมศคราวก่อน หมอนั่นเคยโทรศัพท์ติดต่อกลับมาหาเธอบ้างหรือเปล่า”
ม่านนทีไม่รู้ว่าจะตอบไปอย่างไร เนื่องจากทุกวันนี้ชายหนุ่มก็ยังพยายามโทรศัพท์ติดต่อมาหาเธออยู่เสมอ แต่หญิงสาวไม่เคยคิดที่จะกดรับ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าควรจะสานสัมพันธ์กับเขาต่อดีหรือไม่
“เปล่า ไม่เคยโทรฯมาเลย” เธอตัดสินใจตอบปฏิเสธ
“เหรอ” ปิ่นแก้วทำท่ารับรู้ “ดีแล้วล่ะ ฉันเองก็ยังเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เกรงว่าเธอจะตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นเข้า ไม่อย่างนั้นคงยุ่งแน่ ๆ เลย”
“ทำไมเหรอ”
ม่านนทีถามกลับไปแทบจะในทันที เมื่อรู้สึกตัวจึงแกล้งกลบเกลื่อนด้วยการทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจ
“คือ..ฉันก็แค่อยากรู้ไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักหรอก”
“ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ เธอไม่เคยอ่านหนังสือประเภทเปิดโปงพวกผู้ชายบ้างเลยเหรอ ที่ระบุว่าผู้ชายเจ้าชู้ส่วนใหญ่มักมาในคราบของสุภาพบุรุษผู้แสนดี เอาใจเก่งสารพัด เพื่อหลอกให้ผู้หญิงอย่างเราตายใจตกหลุมรัก แล้วก็หาทางเฉดหัวส่งในภายหลังไงล่ะ”
ปิ่นแก้วยังเข็ดขยาดกับวีรกรรมของอดีตหวานใจไม่หาย
ม่านนทีได้แต่ส่ายหน้า หัวเราะเบา ๆ
“อ่านหนังสือจนคิดมากไปแล้ว”
“เธอไม่รู้อะไรซะแล้ว คิดดูสิขนาดฉันยังไม่เคยเห็นหน้าว่าที่คู่หมั้นตัวเองมาก่อน ยังอุตส่าห์แอบได้ยินสาว ๆ ในบริษัทซุบซิบกันเลยว่า หมอนี่เจ้าชู้จะตายไป” ปิ่นแก้วเอ่ยพลางใช้หลอดเขี่ยก้อนน้ำแข็งในแก้วไปมา
แม้เพื่อนสาวจะยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่สำหรับตัวตนของราเมศที่ม่านนทีรู้จัก กลับแตกต่างไปจากที่ได้ยินอย่างสิ้นเชิง บุคลิกที่อบอุ่นแลดูเป็นสุภาพบุรุษ บวกกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่มีให้เธอทุกครั้ง ชวนให้นึกถึงเจ้าชายในบทกวี มากกว่าที่จะเป็นผู้ชายเสเพลจอมเจ้าชู้ อย่างที่เพื่อนสาวกล่าวหา
“เธอแน่ใจเหรอว่าได้ยินมาไม่ผิด” ม่านนทีลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามดู “เพราะดูจากสายตาที่ฉันเห็นในคืนนั้น คุณราเมศก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายอย่างที่เธอคิดนี่นา ดูออกจะ...เอ่อ ดูดีกว่าที่คิดเอาไว้ด้วยซ้ำ”
ปิ่นแก้วยักไหล่ทำท่ายิ้มเยาะ
“ไม่จริงหรอกน้ำ ผู้ชายที่เธอเห็นในคืนนั้นไม่ใช่ตัวจริงของเขาหรอก คนอย่างเขาจะต้องแกล้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ เพื่อหลอกให้เธอตายใจแน่ ๆ”
ม่านนทีกระพริบตาถี่ ๆ “เธอรู้ได้ยังไง”
“ก็ดูอย่างนายเก้าสิ ต่อหน้าทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ พูดจาอ่อนหวาน เอาอกเอาใจสารพัด แต่พอลับหลังแล้วเป็นไง กลับไปนอนกอดกับผู้หญิงอีกคนหน้าตาเฉย เธอเองก็เห็นแล้วนี่”
“แต่นั่นมันคนละคนกันนะ”
“จะคนละคนหรือคนเดียวกัน มันก็เหมือนกันนั่นแหละน้ำ ไม่เคยได้ยินสุภาษิตโบราณที่เขาพูดกันว่า ‘ผู้ชายไม่เจ้าชู้ เปรียบเหมือนงูไม่มีพิษ’ เหรอ เชื่อฉันเถอะอยู่ห่าง ๆ หมอนั่นดีกว่า อย่าเผลอใจไปรักเขาเชียว เดี๋ยวจะโชคร้ายเอาไม่รู้ด้วยนะ”
ปิ่นแก้วสรุปพร้อมกับชักแม่น้ำทั้งห้าให้เธอฟัง ทำเอาหัวใจของม่านนทีหวั่นไหวอย่างอธิบายไม่ถูก
นั่นสินะ...ขนาดเพื่อนชายที่คบหากับปิ่นแก้วมาหลายปี ยังทรยศกันได้
แล้วผู้ชายที่เคยพบหน้ากันแค่สองครั้งอย่าง ‘เขา’ เธอจะเชื่อใจได้อย่างไร
จู่ ๆ หัวใจของม่านนทีก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ร่างบางขยับตัวลุกขึ้นจากโต๊ะทำท่าจะเดินออกไป ปิ่นแก้วเงยหน้าขึ้นถาม
“จะไปไหนเหรอน้ำ”
“ว่าจะไปเข้าห้องน้ำสักเดี๋ยว เธอนั่งรอไปคนเดียวพลาง ๆ ก่อนนะ เดี๋ยวฉันกลับมา” พูดจบสาวสวยร่างสูงโปร่งก็เดินออกไป ทิ้งให้ปิ่นแก้วนั่งจิบน้ำผลไม้มองดูวิวทิวทัศน์แก้เซ็งไปตามลำพัง
ม่านนทีเดินเลียบไปตามริมทะเลสาบ ร่างบางระหงในชุดเดรสสั้นสีน้ำเงินแลดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในยามต้องแสงไฟสลัว ความงามของเธอสะดุดเข้ากับสายตาชายหนุ่มหลายคน จนอดเหลียวมองตามหลังไม่ได้
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เพียงผู้ชายส่วนใหญ่เท่านั้นที่มองเธอ แต่ยังสะดุดเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอีกคู่หนึ่งด้วย เตชิตมองตามร่างเพรียวระหงที่เดินเลียบริมทะเลสาบอย่างไม่แน่ใจ คิ้วเข้มบนใบหน้าคมคายคลายลงเล็กน้อย ก่อนที่ร่างสูงภายใต้เสื้อเชิ้ตสีกรมท่าจะก้าวยาว ๆ ตามไปอย่างใจคิด
“คุณน้ำครับ”
น้ำเสียงเรียกชื่อที่ฟังดูคุ้นเคย ทำให้ม่านนทีชะลอปลายเท้าลงและหันกลับไปมอง ดวงหน้างามเจือไปด้วยความแปลกใจ หลังจากที่มีโอกาสพบหน้าเขาอีกเป็นคนที่สาม
“คุณราเมศ”
“พบกันอีกแล้วนะครับ” เตชิตก้าวเขามาหยุดยืนตรงหน้าเธอ พร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้
แสงไฟสีส้มสลัวกับบรรยากาศริมทะเลสาบ ส่งผลให้ชายหนุ่มในคืนนี้หล่อเหลาและดูดีมากเป็นพิเศษ ม่านนทีใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คิดไม่ถึงว่าจะพบเขาในค่ำคืนนี้
“คุณมาทำอะไรที่นี่คะ” เธอเลี่ยงหลบสายตา ด้วยการก้มมองพื้น
“ผมนัดเพื่อนมาทานข้าวกันที่นี่น่ะครับ แล้วคุณน้ำละครับมากับใคร”
คำว่า ‘เพื่อน’ ในความรู้สึกของม่านนทีในยามนี้ ไม่ต่างอะไรกับคำว่า ‘แฟนสาว’ เลยจริง ๆ
คงเป็นไปตามที่ปิ่นแก้วพูดเอาไว้ ผู้ชายของเขาจะขาดสาวสวยข้างกายได้อย่างไรกัน
“บังเอิญจังเลยค่ะ ฉันเองก็นัดทานข้าวกับเพื่อนไว้ที่นี่เหมือนกัน”
ม่านนทียิ้มบาง ๆ ดวงหน้างามแลดูมีเสน่ห์และงดงามอย่างบอกไม่ถูก เตชิตสังเกตเห็นมานานแล้วว่าม่านนทีเป็นหญิงสาวที่ดูดีในแบบฉบับของตัวเอง มีความมั่นใจตามแบบผู้หญิงเก่ง และในบางคราก็อ่อนหวานเกินบรรยาย
ชายหนุ่มลอบชำเลืองมองเธอราวกับต้องการมองให้ทะลุถึงหัวใจ เขาแน่ใจว่าผู้หญิงอย่างม่านนทีไม่ใช่คนที่จะถูกใครบังคับได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่างการดูตัว เพราะฉะนั้นความเป็นไปได้ที่เธอจะเป็นคน ๆ เดียวกับลูกสาวนักธุรกิจชื่อดัง และเปรียบเสมือนไข่ในหินจึงมีน้อยลงไปอีก
“มีอะไรเหรอคะ” เธอถามออกไป หลังจากที่เห็นสายตาจ้องมองมา
“เปล่าครับ ผมแค่กำลังสงสัยว่าคืนนี้...คุณน้ำมีนัดทานดินเนอร์กับ ‘เพื่อนคนพิเศษ’ ด้วยหรือเปล่าเท่านั้นเอง” เตชิตเน้นย้ำคำว่าพิเศษ
“คุณราเมศ” ม่านนทีแก้มร้อนผ่าว
“อภัยให้กับความเสียมารยาทของผมด้วยนะครับ แต่หากคุณน้ำไม่รังเกียจผมเองก็อยากจะร่วมโต๊ะอาหาร ทำความรู้จักกับเพื่อนของคุณด้วยเหมือนกัน” เตชิตกล่าวอย่างตรงไปตรงมา และหากม่านนทีตอบรับคำชวน นั่นก็หมายถึงโอกาสที่เขาจะได้เข้าใกล้ตัวตนของเธอ มากยิ่งขึ้นไปอีก
ทว่า...
“อย่าเลยค่ะ ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากร่วมโต๊ะเฉพาะคนสนิทมากกว่า”
เมื่ออีกฝ่ายเสนอตัวอย่างไม่กลัวเสียหน้า ม่านนทีก็มีวิธีจัดการรับมืออย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน คำตอบของม่านนทีส่งผลให้ใบหน้าคมคายมีสีเข้มขึ้นเล็กน้อย รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการปิดบังบางอย่าง
“คนสนิทที่ว่า...รวมไปถึงคนพิเศษด้วยหรือเปล่าครับ”
ม่านนทีมองหน้าเขาอย่างไม่สู้พอใจนัก เนื่องจากอีกฝ่ายเริ่มก้าวล้ำเขตส่วนตัวมากเกินไป
“ไม่รู้สิคะ แต่อาจเป็นอย่างที่คุณพูดมาก็ได้” หญิงสาวพูดไปตามใจคิด “ขอตัวก่อนนะคะ”
ม่านนทีทำท่าจะเดินผละจากไป ไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดกับเขาอีก แต่เตชิตไม่ใช่ผู้ชายที่ยอมให้เธอเดินสะบัดหนีไปได้ง่าย ๆ ร่างสูงสมส่วนถือวิสาสะเอื้อมมือขึ้นรั้งต้นแขนบาง พร้อมกับดึงเธอหลบเข้าไปยังมุมมืดที่มีต้นไม้บังให้พ้นจากสายตาผู้คน และยกแขนขึ้นกันไม่ให้เธอถอยหนี ส่งผลให้ม่านนทีอุทานออกมาอย่างตกใจ
“จะทำอะไรคะ”
เตชิตไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอตกใจ เพียงแต่ไม่อยากให้เรื่องระหว่างเธอกับเขาจบลงอย่างคลุมเครือแบบนี้ ร่างสูงยึดจับข้อมือบางเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายผละหนีจากไปอีก จากนั้นก็โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ พร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตอย่างค้นหาความจริง
“คุณตั้งใจจะหลบหน้าผมไปถึงเมื่อไหร่ คุณน้ำ” เขาถามน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาเป็นประกายคมดุ เรียวปากไม่ปรากฏรอยยิ้มเหมือนเช่นเคย ทำเอาม่านนทีใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่
“พูดเรื่องอะไรคะ ฉันไม่เข้าใจ”
“คุณไม่ยอมรับโทรศัพท์จากผม และไม่เคยเปิดเผยตัวตนของคุณให้ผมได้รู้จักจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้ง ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน คุณก็เป็นฝ่ายหนีหน้าผมมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ทั้งที่ผมออกปากอย่างตรงไปตรงมา แต่คุณกลับหลบเลี่ยงราวกับกลัวว่าผมจะล่วงรู้ความลับบางอย่าง”
เตชิตเน้นชัดทุกถ้อยคำ ส่งผลให้ม่านนทีถึงกับพูดไม่ออก
“คุณราเมศ...”
“ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า”
“.....”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เอ่ยถามน้ำเสียงจริงจัง
“จริง ๆ แล้วคุณเป็นใครกันแน่ครับคุณน้ำ”
ดวงตาสีน้ำตาลมองเธออย่างคาดคั้น ใจจริงเขาไม่ต้องการใช้วิธีนี้กดดันม่านนที แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปริปากพูดออกมาง่าย ๆ เตชิตจึงจำเป็นต้องเสี่ยงถามออกไป แม้ว่าจะต้องถูกเกลียด
“ขอโทษค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังหมายถึงอะไร” ม่านนทีทำใจแข็งตอบออกไป
“คุณน้ำ”
“คุณราเมศ ปล่อยค่ะ” ม่านนทีฝืนตัวออกห่าง แต่เตชิตไม่ยอมปล่อยจนกว่าจะล่วงรู้ความจริง
“ผมไม่ปล่อย จนกว่าจะพูดกันรู้เรื่อง”
ชายหนุ่มตัดสินใจรั้งเอวบางดึงเข้ามาใกล้ สองแขนโอบกอดร่างเล็กไว้แน่น จนใบหน้าอยู่ห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ ดวงตาของทั้งสองประสานกันในความมืดสลัว จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนระอุที่ราดรดหน้าผากและแก้มใส ม่านนทีถูกรัดรึงกับแผ่นอกกว้างลำตัวแนบชิดสนิทกัน จนกระทั่งเธอได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจที่กำลังเต้นระรัว
“คุณราเมศ”
“มองตาแล้วพูดความจริงกับผมสิคุณน้ำ” ร่างสูงยกปลายนิ้วขึ้นลูบไล้แก้มเนียนแผ่วเบา ราวกับกำลังถ่ายทอดความรู้สึกเข้าสู่หัวใจเธอ ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดทางฝ่ามือ สะกดม่านนทีให้ตรึงอยู่กับที่...ทำให้เธอไม่อาจหลบเลี่ยงไปจากดวงตาสีน้ำตาลแม้แต่วินาทีเดียว...
*****************
กรี้ดดดด
เขียนเอง แอบเขินเองค่ะ
แบบว่าแพ้ผู้ชายแบบนี้มาก ^///^
เวลาเขียนคู่หวาน สลับกับอีกคู่หนึ่ง สนุกดีค่ะ
เบลินญา
พรหมลิขิต หรือความบังเอิญ
ไม่นานนัก ต้นเหตุของความหนักใจก็เดินเข้ามาหาราเมศถึงภายในห้องนามที่นัดเวลาเอาไว้เป๊ะ คุณหญิงวิมลชื่นในชุดผ้าไหมทอมือสีน้ำเงินร่างท้วม สวมสร้อยเพชรและต่างหูราคาแพงระยับเดินตรงเข้าไปหาหลานชาย สีหน้าท่าทางไม่พอใจ
“ว่ายังไงตาเมศ หายหน้าไปไหนตั้งหลายวัน ป้าสั่งให้กลับไปหาที่บ้านไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงไม่ยอมไป”
ทันที่ที่เห็นหน้าหลานชายจอมกะล่อน คุณหญิงป้าก็เปิดฉากสอบพฤติกรรมทันที
“ใจเย็น ๆ สิครับคุณหญิงป้า เชิญนั่งพักบนเก้าอี้โซฟาค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า” ราเมศลุกขึ้นยิ้มรับอย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้คงเอาตัวรอดได้ไม่ง่ายนัก
“ไม่ต้องมาทำเป็นประจบเลย” คุณหญิงวิมลชื่นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างโกรธ ๆ “ทำงามหน้าดีนักนะ รู้ตัวหรือเปล่าว่าครั้งที่แล้วแกทำให้ฉันเสียหน้าขนาดไหน”
คิ้วเข้มเลิกสูง แสร้งทำท่าประหลาดใจ
“เรื่องอะไรกันหรือครับ”
“อย่ามาแกล้งโง่นะตาเมศ นึกว่าฉันไม่รู้นิสัยแกหรือยังไง ก่อนหน้านั้นก็แอบหนีไปทีนึงแล้ว มาคราวนี้ยังกล้าปฏิเสธไม่ยอมไปตามนัดอีก ใจคอคิดจะให้คนแก่อับอายไปถึงไหนกัน” คุณหญิงวิมลชื่นหันมาถลึงตาใส่ ริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าเห็นชัดขึ้นกว่าเดิม
ราเมศกระแอมในลำคอ ยกมือขึ้นล้วงกระเป๋าเสื้อสูท
“แต่คุณหญิงป้าก็ไม่ได้เสียหน้าจริง ๆ ไม่ใช่หรือครับ” เขาซ่อนยิ้ม “เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ยังมีเจ้าเตชิตกู้หน้าให้อยู่ทั้งคน”
“ตาเมศ”
คุณหญิงวิมลชื่นตีหน้าเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ราเมศจึงยอมลดราวาศอกและหันหน้ามายอมรับผิดแต่โดยดี
“โอเคครับ ผมยอมรับผิดแล้วก็ได้ แต่เรื่องนี้จะโทษว่าเป็นความผิดของผมคนเดียวไม่ได้นะครับ เพราะผมเองก็บอกคุณหญิงป้าไปหลายครั้งแล้วว่า ยังไม่อยากนัดดูตัวอะไรกับใครตอนนี้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว
“ไม่อยากดูตัวตอนนี้ จะรอให้ฉันตายก่อนหรือยังไง” อีกฝ่ายแย้งเสียงแข็ง
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว ฉันละเบื่อไอ้ท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อนของแกจริง ๆ เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัย ควงใครต่อใครไปวัน ๆ แบบนี้ก็ไม่รู้ อายุอานามก็ปาเข้าไปตั้งยี่สิบเจ็ดแล้ว ยังจะมัวทำเป็นเล่นอยู่ได้ แบบนี้เมื่อไหร่ฉันจะได้อุ้มหลานกับเขาสักทีล่ะ”
คุณหญิงวิมลชื่นยกมือขึ้นกอดอก ถอนหายใจออกมาแรง ๆ ราวกับคนกำลังป่วยไข้
ที่แท้ก็อยากจะอุ้มหลานเร็ว ๆ นั่นเอง
“แล้วใครบอกละครับว่าผมไม่อยากแต่งงาน เพียงแต่ยังไม่อยากแต่งตอนนี้เท่านั้นเอง”
“แล้วเมื่อไหร่จะแต่ง” อีกฝ่ายย้อนถาม ราเมศได้แต่เลิกคิ้วอย่างระอาใจ
“ก็จนกว่าจะเจอเนื้อคู่ไงครับ”
คำตอบจากปากราเมศ ส่งผลให้คุณหญิงถึงกับถอนหายใจยาว เนื่องจากไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินประโยคน้ำเน่าแบบนี้ หลุดออกมาจากปากของหลานชายจอมกระล่อน
“นี่แกพูดเล่นใช่ไหม”
“ไม่รู้สิครับ” ใบหน้าหล่อเหล่ายิ้มล้อเลียน “บางทีโชคชะตาอาจกำลังรอคอยให้ผมตกหลุมรักใครสักคน ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้วก็ได้ เมื่อเวลานั้นมาถึงเมื่อไหร่เตรียมจัดงานแต่งงานไว้รอเลยก็แล้วกัน”
“ให้มันจริงตามที่ปากว่าเถอะ” คุณหญิงทำท่าเหมือนไม่อยากเชื่อ
ราเมศหัวเราะในลำคอเบา ๆ ความจริงเขาไม่คิดรีบร้อนแต่งงานตอนนี้อยู่แล้ว เพียงแต่รับปากส่ง ๆ ไปเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นเท่านั้นเอง ที่สำคัญเท่าที่ดูจากบรรดาผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตอนนี้ ยังไม่มีใครสักคนที่เข้าข่ายคำว่า ‘เนื้อคู่’ ตามความคิดของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
น่าสนใจอยู่บ้าง...ก็เห็นจะมีแต่
จู่ ๆ ห้วงความคิดของราเมศก็ปรากฏภาพสาวน้อยหน้าหวาน ผู้แสนปากร้ายเอาแต่ใจตนขึ้นมา ดวงตากลมโตมีเสน่ห์ กับร่างเล็กที่ยามกอดเหมือนกับจะบุบสลายลงได้ง่าย ๆ นั้น ก็อบอุ่นเสียจนน่าประหลาดใจ
“เป็นอะไรไปตาเมศ ยิ้มแปลก ๆ นะเรา” ผู้เป็นป้าเอ่ยถาม หลังจากที่เป็นหลานชายระบายยิ้มบนใบหน้า
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ร่างสูงปฏิเสธ ทั้งที่ในใจยังวนเวียนอยู่กับภาพของปิ่นแก้วโดยไม่รู้ตัว...
คืนวันหยุดสุดสัปดาห์ สองสาวนัดเจอกันที่ร้านอาหารย่านเกษตร-นวมินทร์ หาอะไรทานอร่อย ๆ และผ่อนคลายความเครียดไปในตัว สวนอาหารแห่งนี้มีบรรยากาศโรแมนติก เนื่องจากมีทะเลสาบอยู่ตรงกลางเป็นที่นิยมของบรรดาคู่รักและนักชิมหลายคน ระเบียงด้านบนมีห้องจัดเลี้ยงลอยฟ้า มีเสียงดนตรีไพเราะให้นั่งฟังริมทะเลสาบ เหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง
ม่านนทีสวมเดรสแขนกุดสีน้ำเงินขับผิวขาว ปล่อยผมยาวสลวยจรดกลางหลัง รูปร่างสูงโปร่งแลดูเป็นกุลสตรีมากขึ้นด้วยรองเท้าส้นสูงปลายแหลม เน้นช่วงขาให้ดูเรียวมากยิ่งกว่าเดิม
“ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มาอีกนะ” เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา พลางบ่นเบา ๆ
ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา ปิ่นแก้วก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดเดรสสีหวานขอบลูกไม้สั้นเหนือเข่า ใบหน้าหวานแต่งแต้มสีสันอย่างเป็นธรรมชาติ เส้นผมเกล้าสูงเหนือต้นคอแลดูคล้ายสาวเกาหลี
“ขอโทษนะ มาสายไปหน่อย มารอนานแล้วหรือยัง” ปิ่นแก้วเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม เดินตรงเข้าไปนั่งบนโต๊ะอาหารริมทะเลสาบ
“ไม่นานเท่าไหร่หรอก แค่เกือบ ๆ ชั่วโมงเท่านั้นเอง”
ม่านนทีพูดประชด แต่อีกฝ่ายยังคงยิ้มรับแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เหลียวมองไปรอบกายมองดูบรรยากาศอย่างถูกอกถูกใจ
“ร้านนี้สวยจังเลยนะ บรรยากาศก็ดี แถมยังได้ที่นั่งติดทะเลสาบอีกด้วย เธอเลือกได้ดีจังเลย” เธอออกปากชม
“แน่ล่ะ ม่านนทีซะอย่าง อย่ามัวแต่ชมกันเลยน่า มาเลือกอาหารในเมนูกันดีกว่า ฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว”
“อื้ม เอาสิ”
สองสาวช่วยกันเลือกอาหารในเมนูจนพอใจ ระหว่างรอให้พนักงานนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ปิ่นแก้วก็ออกปากชวนคุยถึงเรื่องสัพเพเหระ ตั้งแต่งานที่ทำเรื่อยไปจนถึงเรื่องแฟชั่น จนกระทั่งวกกลับมาถึงเรื่องว่าที่คู่ดูตัวของเธอเมื่อคราวก่อน
“จริงสิ หลังจากที่เธอเจอนายราเมศคราวก่อน หมอนั่นเคยโทรศัพท์ติดต่อกลับมาหาเธอบ้างหรือเปล่า”
ม่านนทีไม่รู้ว่าจะตอบไปอย่างไร เนื่องจากทุกวันนี้ชายหนุ่มก็ยังพยายามโทรศัพท์ติดต่อมาหาเธออยู่เสมอ แต่หญิงสาวไม่เคยคิดที่จะกดรับ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าควรจะสานสัมพันธ์กับเขาต่อดีหรือไม่
“เปล่า ไม่เคยโทรฯมาเลย” เธอตัดสินใจตอบปฏิเสธ
“เหรอ” ปิ่นแก้วทำท่ารับรู้ “ดีแล้วล่ะ ฉันเองก็ยังเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เกรงว่าเธอจะตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นเข้า ไม่อย่างนั้นคงยุ่งแน่ ๆ เลย”
“ทำไมเหรอ”
ม่านนทีถามกลับไปแทบจะในทันที เมื่อรู้สึกตัวจึงแกล้งกลบเกลื่อนด้วยการทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจ
“คือ..ฉันก็แค่อยากรู้ไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักหรอก”
“ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ เธอไม่เคยอ่านหนังสือประเภทเปิดโปงพวกผู้ชายบ้างเลยเหรอ ที่ระบุว่าผู้ชายเจ้าชู้ส่วนใหญ่มักมาในคราบของสุภาพบุรุษผู้แสนดี เอาใจเก่งสารพัด เพื่อหลอกให้ผู้หญิงอย่างเราตายใจตกหลุมรัก แล้วก็หาทางเฉดหัวส่งในภายหลังไงล่ะ”
ปิ่นแก้วยังเข็ดขยาดกับวีรกรรมของอดีตหวานใจไม่หาย
ม่านนทีได้แต่ส่ายหน้า หัวเราะเบา ๆ
“อ่านหนังสือจนคิดมากไปแล้ว”
“เธอไม่รู้อะไรซะแล้ว คิดดูสิขนาดฉันยังไม่เคยเห็นหน้าว่าที่คู่หมั้นตัวเองมาก่อน ยังอุตส่าห์แอบได้ยินสาว ๆ ในบริษัทซุบซิบกันเลยว่า หมอนี่เจ้าชู้จะตายไป” ปิ่นแก้วเอ่ยพลางใช้หลอดเขี่ยก้อนน้ำแข็งในแก้วไปมา
แม้เพื่อนสาวจะยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่สำหรับตัวตนของราเมศที่ม่านนทีรู้จัก กลับแตกต่างไปจากที่ได้ยินอย่างสิ้นเชิง บุคลิกที่อบอุ่นแลดูเป็นสุภาพบุรุษ บวกกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่มีให้เธอทุกครั้ง ชวนให้นึกถึงเจ้าชายในบทกวี มากกว่าที่จะเป็นผู้ชายเสเพลจอมเจ้าชู้ อย่างที่เพื่อนสาวกล่าวหา
“เธอแน่ใจเหรอว่าได้ยินมาไม่ผิด” ม่านนทีลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามดู “เพราะดูจากสายตาที่ฉันเห็นในคืนนั้น คุณราเมศก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายอย่างที่เธอคิดนี่นา ดูออกจะ...เอ่อ ดูดีกว่าที่คิดเอาไว้ด้วยซ้ำ”
ปิ่นแก้วยักไหล่ทำท่ายิ้มเยาะ
“ไม่จริงหรอกน้ำ ผู้ชายที่เธอเห็นในคืนนั้นไม่ใช่ตัวจริงของเขาหรอก คนอย่างเขาจะต้องแกล้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ เพื่อหลอกให้เธอตายใจแน่ ๆ”
ม่านนทีกระพริบตาถี่ ๆ “เธอรู้ได้ยังไง”
“ก็ดูอย่างนายเก้าสิ ต่อหน้าทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ พูดจาอ่อนหวาน เอาอกเอาใจสารพัด แต่พอลับหลังแล้วเป็นไง กลับไปนอนกอดกับผู้หญิงอีกคนหน้าตาเฉย เธอเองก็เห็นแล้วนี่”
“แต่นั่นมันคนละคนกันนะ”
“จะคนละคนหรือคนเดียวกัน มันก็เหมือนกันนั่นแหละน้ำ ไม่เคยได้ยินสุภาษิตโบราณที่เขาพูดกันว่า ‘ผู้ชายไม่เจ้าชู้ เปรียบเหมือนงูไม่มีพิษ’ เหรอ เชื่อฉันเถอะอยู่ห่าง ๆ หมอนั่นดีกว่า อย่าเผลอใจไปรักเขาเชียว เดี๋ยวจะโชคร้ายเอาไม่รู้ด้วยนะ”
ปิ่นแก้วสรุปพร้อมกับชักแม่น้ำทั้งห้าให้เธอฟัง ทำเอาหัวใจของม่านนทีหวั่นไหวอย่างอธิบายไม่ถูก
นั่นสินะ...ขนาดเพื่อนชายที่คบหากับปิ่นแก้วมาหลายปี ยังทรยศกันได้
แล้วผู้ชายที่เคยพบหน้ากันแค่สองครั้งอย่าง ‘เขา’ เธอจะเชื่อใจได้อย่างไร
จู่ ๆ หัวใจของม่านนทีก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ร่างบางขยับตัวลุกขึ้นจากโต๊ะทำท่าจะเดินออกไป ปิ่นแก้วเงยหน้าขึ้นถาม
“จะไปไหนเหรอน้ำ”
“ว่าจะไปเข้าห้องน้ำสักเดี๋ยว เธอนั่งรอไปคนเดียวพลาง ๆ ก่อนนะ เดี๋ยวฉันกลับมา” พูดจบสาวสวยร่างสูงโปร่งก็เดินออกไป ทิ้งให้ปิ่นแก้วนั่งจิบน้ำผลไม้มองดูวิวทิวทัศน์แก้เซ็งไปตามลำพัง
ม่านนทีเดินเลียบไปตามริมทะเลสาบ ร่างบางระหงในชุดเดรสสั้นสีน้ำเงินแลดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในยามต้องแสงไฟสลัว ความงามของเธอสะดุดเข้ากับสายตาชายหนุ่มหลายคน จนอดเหลียวมองตามหลังไม่ได้
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เพียงผู้ชายส่วนใหญ่เท่านั้นที่มองเธอ แต่ยังสะดุดเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอีกคู่หนึ่งด้วย เตชิตมองตามร่างเพรียวระหงที่เดินเลียบริมทะเลสาบอย่างไม่แน่ใจ คิ้วเข้มบนใบหน้าคมคายคลายลงเล็กน้อย ก่อนที่ร่างสูงภายใต้เสื้อเชิ้ตสีกรมท่าจะก้าวยาว ๆ ตามไปอย่างใจคิด
“คุณน้ำครับ”
น้ำเสียงเรียกชื่อที่ฟังดูคุ้นเคย ทำให้ม่านนทีชะลอปลายเท้าลงและหันกลับไปมอง ดวงหน้างามเจือไปด้วยความแปลกใจ หลังจากที่มีโอกาสพบหน้าเขาอีกเป็นคนที่สาม
“คุณราเมศ”
“พบกันอีกแล้วนะครับ” เตชิตก้าวเขามาหยุดยืนตรงหน้าเธอ พร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้
แสงไฟสีส้มสลัวกับบรรยากาศริมทะเลสาบ ส่งผลให้ชายหนุ่มในคืนนี้หล่อเหลาและดูดีมากเป็นพิเศษ ม่านนทีใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คิดไม่ถึงว่าจะพบเขาในค่ำคืนนี้
“คุณมาทำอะไรที่นี่คะ” เธอเลี่ยงหลบสายตา ด้วยการก้มมองพื้น
“ผมนัดเพื่อนมาทานข้าวกันที่นี่น่ะครับ แล้วคุณน้ำละครับมากับใคร”
คำว่า ‘เพื่อน’ ในความรู้สึกของม่านนทีในยามนี้ ไม่ต่างอะไรกับคำว่า ‘แฟนสาว’ เลยจริง ๆ
คงเป็นไปตามที่ปิ่นแก้วพูดเอาไว้ ผู้ชายของเขาจะขาดสาวสวยข้างกายได้อย่างไรกัน
“บังเอิญจังเลยค่ะ ฉันเองก็นัดทานข้าวกับเพื่อนไว้ที่นี่เหมือนกัน”
ม่านนทียิ้มบาง ๆ ดวงหน้างามแลดูมีเสน่ห์และงดงามอย่างบอกไม่ถูก เตชิตสังเกตเห็นมานานแล้วว่าม่านนทีเป็นหญิงสาวที่ดูดีในแบบฉบับของตัวเอง มีความมั่นใจตามแบบผู้หญิงเก่ง และในบางคราก็อ่อนหวานเกินบรรยาย
ชายหนุ่มลอบชำเลืองมองเธอราวกับต้องการมองให้ทะลุถึงหัวใจ เขาแน่ใจว่าผู้หญิงอย่างม่านนทีไม่ใช่คนที่จะถูกใครบังคับได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่างการดูตัว เพราะฉะนั้นความเป็นไปได้ที่เธอจะเป็นคน ๆ เดียวกับลูกสาวนักธุรกิจชื่อดัง และเปรียบเสมือนไข่ในหินจึงมีน้อยลงไปอีก
“มีอะไรเหรอคะ” เธอถามออกไป หลังจากที่เห็นสายตาจ้องมองมา
“เปล่าครับ ผมแค่กำลังสงสัยว่าคืนนี้...คุณน้ำมีนัดทานดินเนอร์กับ ‘เพื่อนคนพิเศษ’ ด้วยหรือเปล่าเท่านั้นเอง” เตชิตเน้นย้ำคำว่าพิเศษ
“คุณราเมศ” ม่านนทีแก้มร้อนผ่าว
“อภัยให้กับความเสียมารยาทของผมด้วยนะครับ แต่หากคุณน้ำไม่รังเกียจผมเองก็อยากจะร่วมโต๊ะอาหาร ทำความรู้จักกับเพื่อนของคุณด้วยเหมือนกัน” เตชิตกล่าวอย่างตรงไปตรงมา และหากม่านนทีตอบรับคำชวน นั่นก็หมายถึงโอกาสที่เขาจะได้เข้าใกล้ตัวตนของเธอ มากยิ่งขึ้นไปอีก
ทว่า...
“อย่าเลยค่ะ ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากร่วมโต๊ะเฉพาะคนสนิทมากกว่า”
เมื่ออีกฝ่ายเสนอตัวอย่างไม่กลัวเสียหน้า ม่านนทีก็มีวิธีจัดการรับมืออย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน คำตอบของม่านนทีส่งผลให้ใบหน้าคมคายมีสีเข้มขึ้นเล็กน้อย รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการปิดบังบางอย่าง
“คนสนิทที่ว่า...รวมไปถึงคนพิเศษด้วยหรือเปล่าครับ”
ม่านนทีมองหน้าเขาอย่างไม่สู้พอใจนัก เนื่องจากอีกฝ่ายเริ่มก้าวล้ำเขตส่วนตัวมากเกินไป
“ไม่รู้สิคะ แต่อาจเป็นอย่างที่คุณพูดมาก็ได้” หญิงสาวพูดไปตามใจคิด “ขอตัวก่อนนะคะ”
ม่านนทีทำท่าจะเดินผละจากไป ไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดกับเขาอีก แต่เตชิตไม่ใช่ผู้ชายที่ยอมให้เธอเดินสะบัดหนีไปได้ง่าย ๆ ร่างสูงสมส่วนถือวิสาสะเอื้อมมือขึ้นรั้งต้นแขนบาง พร้อมกับดึงเธอหลบเข้าไปยังมุมมืดที่มีต้นไม้บังให้พ้นจากสายตาผู้คน และยกแขนขึ้นกันไม่ให้เธอถอยหนี ส่งผลให้ม่านนทีอุทานออกมาอย่างตกใจ
“จะทำอะไรคะ”
เตชิตไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอตกใจ เพียงแต่ไม่อยากให้เรื่องระหว่างเธอกับเขาจบลงอย่างคลุมเครือแบบนี้ ร่างสูงยึดจับข้อมือบางเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายผละหนีจากไปอีก จากนั้นก็โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ พร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตอย่างค้นหาความจริง
“คุณตั้งใจจะหลบหน้าผมไปถึงเมื่อไหร่ คุณน้ำ” เขาถามน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาเป็นประกายคมดุ เรียวปากไม่ปรากฏรอยยิ้มเหมือนเช่นเคย ทำเอาม่านนทีใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่
“พูดเรื่องอะไรคะ ฉันไม่เข้าใจ”
“คุณไม่ยอมรับโทรศัพท์จากผม และไม่เคยเปิดเผยตัวตนของคุณให้ผมได้รู้จักจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้ง ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน คุณก็เป็นฝ่ายหนีหน้าผมมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ทั้งที่ผมออกปากอย่างตรงไปตรงมา แต่คุณกลับหลบเลี่ยงราวกับกลัวว่าผมจะล่วงรู้ความลับบางอย่าง”
เตชิตเน้นชัดทุกถ้อยคำ ส่งผลให้ม่านนทีถึงกับพูดไม่ออก
“คุณราเมศ...”
“ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า”
“.....”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เอ่ยถามน้ำเสียงจริงจัง
“จริง ๆ แล้วคุณเป็นใครกันแน่ครับคุณน้ำ”
ดวงตาสีน้ำตาลมองเธออย่างคาดคั้น ใจจริงเขาไม่ต้องการใช้วิธีนี้กดดันม่านนที แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปริปากพูดออกมาง่าย ๆ เตชิตจึงจำเป็นต้องเสี่ยงถามออกไป แม้ว่าจะต้องถูกเกลียด
“ขอโทษค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังหมายถึงอะไร” ม่านนทีทำใจแข็งตอบออกไป
“คุณน้ำ”
“คุณราเมศ ปล่อยค่ะ” ม่านนทีฝืนตัวออกห่าง แต่เตชิตไม่ยอมปล่อยจนกว่าจะล่วงรู้ความจริง
“ผมไม่ปล่อย จนกว่าจะพูดกันรู้เรื่อง”
ชายหนุ่มตัดสินใจรั้งเอวบางดึงเข้ามาใกล้ สองแขนโอบกอดร่างเล็กไว้แน่น จนใบหน้าอยู่ห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ ดวงตาของทั้งสองประสานกันในความมืดสลัว จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนระอุที่ราดรดหน้าผากและแก้มใส ม่านนทีถูกรัดรึงกับแผ่นอกกว้างลำตัวแนบชิดสนิทกัน จนกระทั่งเธอได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจที่กำลังเต้นระรัว
“คุณราเมศ”
“มองตาแล้วพูดความจริงกับผมสิคุณน้ำ” ร่างสูงยกปลายนิ้วขึ้นลูบไล้แก้มเนียนแผ่วเบา ราวกับกำลังถ่ายทอดความรู้สึกเข้าสู่หัวใจเธอ ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดทางฝ่ามือ สะกดม่านนทีให้ตรึงอยู่กับที่...ทำให้เธอไม่อาจหลบเลี่ยงไปจากดวงตาสีน้ำตาลแม้แต่วินาทีเดียว...
*****************
กรี้ดดดด
เขียนเอง แอบเขินเองค่ะ
แบบว่าแพ้ผู้ชายแบบนี้มาก ^///^
เวลาเขียนคู่หวาน สลับกับอีกคู่หนึ่ง สนุกดีค่ะ
เบลินญา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ส.ค. 2554, 16:16:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ส.ค. 2554, 16:16:08 น.
จำนวนการเข้าชม : 2514
<< ตอนที่ 4 จูบแรก | ตอนที่ 6 พายุป่วนหัวใจ >> |

pattisa 25 ส.ค. 2554, 17:14:18 น.
เขินนนนนนนนนนน :D
เขินนนนนนนนนนน :D

Zephyr 25 ส.ค. 2554, 19:15:59 น.
ว้าว โดนแบบนี้เขินแทนเลย บอกๆไปเหอะน่าน้ำ ยังไงน้ำก็ไม่ได้คู่กะราเมศอยู่แล้ววว เอ หรือว่าตุณเตชิตจะมากับราเมศคะ ถ้างั้นก็ดี ความลับแตกโพละเลย ดีๆๆๆ
ว้าว โดนแบบนี้เขินแทนเลย บอกๆไปเหอะน่าน้ำ ยังไงน้ำก็ไม่ได้คู่กะราเมศอยู่แล้ววว เอ หรือว่าตุณเตชิตจะมากับราเมศคะ ถ้างั้นก็ดี ความลับแตกโพละเลย ดีๆๆๆ

เบลินญา 25 ส.ค. 2554, 21:33:43 น.
เขียนไปเขินไปจริง ๆ ค่ะ
แต่ความลับไม่แตกง่าย ๆ หรอกค่ะคุณ Neferretti
ไม่งั้นไม่สนุก อิอิ
เขียนไปเขินไปจริง ๆ ค่ะ
แต่ความลับไม่แตกง่าย ๆ หรอกค่ะคุณ Neferretti
ไม่งั้นไม่สนุก อิอิ