กลรัก สลับหัวใจ
เมื่อเพื่อนสาวจอมยุ่ง จับผลัดจับพลูให้เธอนัดไปดูตัวกับคาสโนว่าหนุ่มแลกกับค่าจ้างหนึ่งหมื่น ม่านนทีจึงยอมเซย์เยส แปลงร่างเป็นนางซินวางแผนตัดสัมพันธ์แทนเพื่อนสาวเสียดิบดี แต่ที่ไหนได้เขาทั้งหล่อ เท่ แถมยังมีรอยยิ้มบาดใจ ทำเอาเธอชักหวั่นไหวซะแล้วสิ
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานๆ,รักใส ๆ
ตอน: ตอนที่ 6 พายุป่วนหัวใจ
บทที่ 6
พายุป่วนหัวใจ
“ยายน้ำทำไมไปนานจังเลย”
ปิ่นแก้วนั่งเท้าคางเหลียวมองไปตามทางเดินเรียบสระน้ำ รอคอยเพื่อนสาวเดินกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากไม่ชอบนั่งคอยอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ ร่างบางใช้หลอดเขี่ยก้อนแข็งในแก้วน้ำผลไม้อย่างเบื่อหน่าย โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นรองเท้าหนังขัดเป็นเงาที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะ
“รับมาตินีเพิ่มมั้ยครับคุณผู้หญิง” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามเบา ๆ แต่ปิ่นแก้วไม่มีอารมณ์อยากจะดื่ม
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ”
“แล้วเครื่องดื่มประเภทไวน์ล่ะครับ สนใจหรือเปล่า” อีกฝ่ายยังไม่เลิกเซ้าซี้ สร้างความหงุดหงิดให้แก่หญิงสาวจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“บอกแล้วไงว่าไม่เอา พูดไม่รู้เรื่อ...”
พูดได้แค่นั้น ปิ่นแก้วก็ต้องอ้าปากค้างลืมตาโตอย่างตกใจสุดขีด หลังจากที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาสวมเสื้อแจกเก็ตสีดำทำจากหนัง ยืนล้วงกระเป๋ามองตรงมาที่เธอพร้อมกับรอยยิ้มขันบนเรียวปาก แสงไฟสลัวสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ ส่งผลให้ร่างสูงโดดเด่นชวนมองเป็นพิเศษ
“นาย” ปิ่นแก้วลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ หน้าซีดเผือดก่อนจะเข้มขึ้นในเวลาต่อมา
“สวัสดีครับคนสวย เจอกันอีกแล้วนะครับ” ราเมศยิ้มยั่ว ดวงตาเป็นประกายยิ้มขัน “แหม...ไม่คิดเลยนะ ว่าคืนนี้จะมีโอกาสพบคุณที่นี่ สงสัยว่าเราสองคนจะมีดวงสมพงศ์กันซะแล้ว”
“ไปให้พ้นหน้าฉันนะ คนอย่างนายจ้างให้ฉันก็ไม่อยากเจอหรอก” ปิ่นแก้วโมโหจนหน้าแดง “แม้แต่แผ่นดินเดียวกัน ฉันก็ยังไม่อยากเหยียบด้วยซ้ำ”
ราเมศหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมญาติดีด้วยง่าย ๆ
“อย่าพูดแบบนั้นสิคุณ อุตส่าห์ได้กลับมาเจอกันทั้งที พูดจาหวาน ๆ มากกว่านี้หน่อยสิ”
“ฝันไปเถอะ”
ชายหนุ่มไม่คิดจะต่อปากต่อคำด้วย แต่กลับถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกับโต๊ะตัวเดียวกับเธอ ไม่แยแสต่อท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนของคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย
“นี่นาย ใครอนุญาตให้นั่งไม่ทราบ รีบลุกออกไปนะ” เธอแหวเสียงดัง
ราเมศเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นั่งไขว่ห้างสองมือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางสบายอารมณ์
“ที่นั่งของคุณบรรยากาศดีนะ ติดทะเลสาบซะด้วย ผมชักชอบมุมนี้แล้วสิ ขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยเลยก็แล้วกัน” เขากล่าวหน้าตาเฉย
“อะไรนะ”
ปิ่นแก้วลืมตาโต ตั้งแต่เกิดมาจนอายุป่านนี้ยังไม่เคยเห็นผู้ชายผีทะเลคนไหน หน้าด้านเท่ากับนายคนนี้มาก่อนเลยจริง ๆ หญิงสาวพยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดไว้เต็มที่ด้วยการกำมือเข้าหากันแน่น
“ขอบอกเป็นครั้งสุดท้ายนะ ว่าโต๊ะนี้เป็นของฉันกับเพื่อน คนอื่นไม่มีสิทธิ์”
“อ้อ...มากับแฟนว่างั้นเถอะ” ราเมศกระตุกรอยยิ้ม
“คนบ้า ยั่วโมโหเก่งนักนะ”
“ก็หรือไม่จริงล่ะคุณ ลองหวงโต๊ะซะขนาดนี้ถ้าไม่ใช่แฟนจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง สารภาพมาดี ๆ เถอะ ว่าคุณนัดแฟนมานั่งกินข้าวจู๋จี๋กันริมสระน้ำ ผมจะได้เลิกเซ้าซี้” ราเมศขุดหลุมดักเธอ
ซึ่งมันก็ได้ผลเกินคาด
“พูดบ้า ๆ อย่าเอาฉันไปรวมกับผู้หญิงประเภทนั้นนะ ฉันนัดเพื่อนมากินข้าวด้วยกันต่างหาก” ปิ่นแก้วตะโกนออกไปอย่างเหลืออด แก้มเนียนแดงปลั่งด้วยความโกรธ นึกอยากจะคว้าขวดน้ำขึ้นมาฟาดศีรษะเขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“อ๋อ เหรอ ไม่ยักรู้แฮะ ว่าคนอย่างคุณก็มีเพื่อนกับเขาด้วย”
ใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยเสียงคางยาน ดวงตาเป็นประกายพอใจหลังจากที่ได้รับคำตอบยืนยันจากปากของเธอ
ทีแรกเขานัดกินข้าวกับเจ้าเตชิตเอาไว้ ไป แต่ไป ๆ มา ๆ กลับเจอเข้ากับสาวน้อยหน้าตาน่ารักโจทย์เก่าเข้าโดยบังเอิญ จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเตร่เข้ามาหาเรื่องตามประสาหนุ่มโสดอยู่ไม่สุข ดวงตาคม ๆ ลอบมองปิ่นแก้วในชุดกระโปรงเดรสสั้นสีหวาน ลายลูกไม้ไม่วางตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงของดวงจันทร์ด้วยหรือเปล่า ราเมศจึงมองเห็นว่าเธอสวยน่ารักมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“นี่นาย ถามจริง ๆ เถอะ ไม่เคยมีใครสอนหรือไงว่าเวลาอยู่หน้าต่อสุภาพสตรี ต้องทำตัวยังไงบ้าง” ปิ่นแก้วหันมาใช้วิธีเปิดศึกสงครามประสาท หวังให้อีกฝ่ายรู้สึกละอายใจขึ้นมาบ้าง
แต่ราเมศหยัดยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“ขอโทษที แต่ผมยังไม่เห็นสุภาพสตรีที่คุณว่าเลยสักคน”
“อย่ามาดูถูกกันนะ”
“ผมพูดความจริงต่างหาก ในโลกนี้มีสุภาพสตรีคนไหนบ้างที่เที่ยวกลางคืนในร้านเหล้า แถมยังนั่งดื่มจนเมามายกลับบ้านไม่ถูกเหมือนคุณ” ชายหนุ่มยิงคำถามจนเธอเถียงไม่ออก
ทำให้พาลนึกถึงเรื่องคืนนั้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เรื่องนั้นมัน...” ปิ่นแก้วอึกอัก ไม่กล้าบอกถึงสาเหตุที่ทำให้เมามายจนเกือบเสียผู้เสียคน
“ว่ายังไง แก้ตัวไม่ออกเลยสินะ” ราเมศได้ทีโน้มตัวเข้าใกล้พร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่าง ผมเองก็ยังมองไม่เห็นความอ่อนหวานในตัวคุณเลย นอกเสียจากความแข็งกระด้าง เอาแต่ใจ ไม่มีความอ่อนโยนสักนิด”
“อะไรนะ”
“ขอผมคิดดูดี ๆ ก่อนนะ จริงสิ...จะว่าไปแล้ว คุณเองก็ยังพอมีส่วนที่อ่อนหวานอยู่บ้างเหมือนกันนี่นา โดยเฉพาะ....” ชายหนุ่มกล่าวน้ำเสียงปนเจ้าชู้ พลางเลื่อนสายตาหยุดอยู่บนเรียวปากสีชมพูระเรื่อ “ริมฝีปากซ่อนความหวานนั่น”
ซ่าา
หลังจากหลุดปากพูดออกไปแล้ว ร่างสูงก็แทบลุกขึ้นหลบน้ำผลไม้ที่สาดเข้าใส่แทบไม่ทัน
ปิ่นแก้วโมโหจนลมออกหู มือจับแก้วน้ำไม่ยอมปล่อย
“ถ้าขืนยังไม่ยอมหยุดพูดอีกละก็ ฉันจะขว้างแก้วน้ำใบนี้ใส่หัวนาย เอาให้แตกจนหมอไม่รับเย็บเลยคอยดู”
ไม่พูดเปล่าแต่ปิ่นแก้วยังทำท่าจะขว้างเข้าใส่จริง ๆ ราเมศจึงยอมรามือเลิกก่อกวนอารมณ์เธอด้วยการผายมือยอมแพ้ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมกับสั่งลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย
“ดูท่าว่าผมจะเล่นแรงเกินไปหน่อยสินะ” เขาเอ่ยยิ้ม “เอาเป็นว่า คืนนี้ผมดีใจที่ได้พบคุณอีกก็แล้วกัน หวังว่าครั้งหน้าความสัมพันธ์ระหว่างเรา จะกลายเป็นมิตรมากขึ้นกว่านี้นะครับ คนสวย”
“ฝันไปเถอะ” ปิ่นแก้วย้อนเสียงแข็ง “ถ้าต้องเจอหน้านายอีก ฉันจะวิ่งหนีพร้อมกับสาปส่งไปพร้อม ๆ กันเลย”
ราเมศหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“แล้วผมจะคอยดู”
...ม่านนทีเกือบเผลอใจพูดความจริงออกไปโดยไม่รู้ตัว เวลาที่อยู่ต่อหน้าเขาหัวใจของเธอก็หวั่นไหวเสียจนควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ แต่แล้วความจริงเรื่องที่เตชิตเป็นว่าที่คู่ดูตัวของเพื่อนสาว รวมไปถึงข่าวลือเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขาที่เพิ่งได้ยินมา ก็ทำให้หญิงสาวมีแรงแข็งขืนมากยิ่งขึ้น
“ฉัน...ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ ทุก ๆ เรื่องที่คุณทราบเกี่ยวกับตัวฉัน ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนเพียงพออยู่แล้ว”
ใบหน้าคมคายเข้มขึ้นอย่างผิดหวัง
“คุณน้ำ”
“ขอโทษนะคะ แต่เราสองคนไม่ควรพบกันต่อไปจะดีกว่า คุณเองก็คงมีคนข้างกายอยู่แล้ว มันคงไม่เหมาะนักที่จะเที่ยวทำตัวสนิทสนมกับคนอื่นแบบนี้” ม่านนทีสร้างเกราะขึ้นมาป้องกันหัวใจตัวเอง
ม่านนทีรู้ดีว่าเธอไม่ใช่ปิ่นแก้ว และไม่มีทางที่จะเลียนแบบบุคลิกคุณหนูได้อย่างแนบเนียน ทว่าเธอเองก็ไม่ต้องการให้เรื่องยุ่งยากมากไปกว่านี้ เพราะหากเขารู้ว่าเธอไม่ใช่ปิ่นแก้วว่าที่คู่หมั้นอย่างที่เข้าใจแต่แรก ความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กันก็คงสลายไปในพริบตา
ซึ่งเธอคงทนรับสายตาเย็นชาจากเขาไม่ได้แน่ ๆ
“คุณพูดเรื่องอะไร ผมไม่เข้าใจ” เตชิตกล่าวถามเสียงเข้ม “ผมไม่เคยมีใครมาก่อนเลยนะคุณน้ำ”
“พอเถอะค่ะ”
ม่านนทีตัดบท หวนนึกถึงคำพูดของปิ่นแก้วเรื่องที่เขาเป็นผู้ชายเจ้าชู้ขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
“แต่ผมยังพูดไม่จบ”
“ปล่อยค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
ม่านนทีพยายามดันตัวออกห่าง เนื่องจากไม่ต้องการให้ปิ่นแก้วเกิดความสงสัย หากแต่เตชิตไม่ยอมให้เธอไป ร่างสูงยึดจับต้นแขนบางไว้แน่น ไม่ยอมให้ม่านนทีผละจากไปทั้งที่เรื่องยังไม่กระจ่าง ทั้งยังโอบรอบเอวบางดึงเข้าหาตัวในระยะใกล้ ดวงตาที่ประสานกันและลมหายใจร้อนระอุราดที่ปัดผ่านแก้มเนียน ส่งผลให้หญิงสาวหน้าร้อนผ่าวเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด
“คุณราเมศ”
“ผมไม่อยากให้เราสองคนจบลงแบบนี้...” เตชิตพูดจากใจจริง “หากเป็นไปได้ผมอยากพบคุณอีก อยากรู้จักตัวตนของคุณ เข้าถึงหัวใจของคุณมากยิ่งขึ้นกว่านี้”
ม่านนทีพยายามรั้งหัวใจตัวเอง ไม่ให้ไหวหวั่น
“พอเถอะค่ะ เพื่อนฉันกำลังรออยู่” เธอปฏิเสธที่จะมองหน้าเขา
“คุณน้ำ”
“ปล่อย”
ร่างบางรวบรวมกำลังใจผลักเขาออกห่าง วิ่งผละจากไปจากเขาโดยไม่ยอมหันกลับมามอง เตชิตทำท่าจะก้าวตามไป แต่แล้วก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อนึกถึงความจริงได้ว่าเขาและเธอไม่ได้มาตามลำพัง ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว สีหน้าเคร่งขรึมกว่าที่เคยเป็น เป็นเวลานานมากแล้ว ที่เตชิตไม่เคยต้องเป็นฝ่ายวิ่งตามใครมาก่อนโดยเฉพาะผู้หญิง หากแต่การไล่ตามครั้งนี้กลับสร้างความหนักใจให้มากกว่าที่คิด
เตชิตตัดสินใจเดินกลับไปยังโต๊ะอาหารตามที่นัดกับราเมศเอาไว้ ระหว่างที่หัวสมองกำลังครุ่นคิดหาวิธีการเข้าถึงม่านนที เพื่อนหนุ่มจอมกะล่อนก็มานั่งจิบเบียร์รออยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“มาสายนะนาย ปล่อยให้ฉันรอตั้งนานนึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” ราเมศกล่าวทักทาย สีหน้าท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เตชิตไม่ตอบว่าอย่างไร ทั้งที่ความจริงเขาเป็นฝ่ายมาถึงก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ร่างสูงเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะฝั่งตรงกันข้าม พลางถอนหายใจยาว
“พอดีเจอคนรู้จัก ก็เลยหยุดทักทายกันนิดหน่อยน่ะ”
“ใครรึ ฉันรู้จักหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “นายอาจรู้จัก แต่อาจไม่เคยเห็นก็ได้”
คำตอบกำกวมของเพื่อนรัก ส่งผลให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“พูดจาแปลก ๆ นะวันนี้ ไปหงุดหงิดใครมาหรือยังไง” เขาเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
“ก็ไม่เชิง”
“แปลกแฮะ ปกตินายออกจะเป็นคนสุขุมแท้ ๆ แต่ไหงวันนี้กลับกลายเป็นผู้ชายขี้หงุดหงิดไปได้ละนี่...อย่าบอกนะว่าเพิ่งถูกสาวหักอกมา” ราเมศโน้มตัวเข้าหาพร้อมกับเอ่ยแซว ยังผลให้สีหน้าเตชิตเคร่งขรึมยิ่งกว่าเก่า
“พูดจาไร้สาระพอหรือยัง”
“ล้อเล่นน่า อย่าทำหน้าจริงจังนักสิ” ชายหนุ่มยิ้มขัน ไม่คิดจะเซ้าซี้ถามต่อ
สองหนุ่มสั่งอาหารมาทานที่โต๊ะท่ามกลางบรรยากาศขุ่นมัว โดยต่างฝ่ายต่างไม่มีโอกาสล่วงรู้เลยว่าอีกฟากหนึ่งของโต๊ะริมสระน้ำ ยังมีหญิงสาวอีกคู่หนึ่งกำลังนั่งคุยกันด้วยความรู้สึกยุ่งเหยิงไม่แพ้กัน โดยที่ปิ่นแก้วกับม่านนทีไม่มีอารมณ์จะแตะต้องอาหารในค่ำคืนนี้เลยแม้แต่น้อย…
หลังจากพบกันครั้งสุดท้ายที่ร้านอาหาร ม่านนทีก็ตัดสินใจเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเตชิตโดยสิ้นเชิง หญิงสาวเก็บงำความรู้สึกไม่สบายใจเอาไว้ภายในอก ทุ่มเทให้กับงานอย่างหนัก เพื่อให้ตัวเองไม่มีเวลาว่างใช้สมองไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่น ลำพังงานประจำที่ทำอยู่กับภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนก็หนักหนาพออยู่แล้ว จึงไม่อยากเพิ่มภาระหนักอกให้กับตัวเองอีกต่อไป
“เที่ยงแล้วนะคะคุณน้ำ ยังไม่ไปทานข้าวกลางวันอีกเหรอคะ” ธุรการสาวหันมาถามเธอหลังจากเข็มนาฬิกาเลยเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง
ม่านนทีกำลังง่วนอยู่กับงานที่ทำจนลืมเวลาพักเที่ยง เนื่องจากเป็นงานเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการให้เสร็จ เพื่อจะได้มีเวลาว่างเหลือพอให้ทำธุระอย่างอื่นในช่วงบ่าย ร่างบางสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกางเกงยีนส์ เส้นผมมัดรวบเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมง เป็นบุคลิกประจำเวลาทุ่มเทเวลาให้กับงาน
“อีกแป๊บก็จะเสร็จแล้วล่ะ ไปทานกันก่อนเถอะ” เธอตอบโดยไม่ยอมวางมือจากงานหน้าจอคอมพิวเตอร์
“งานส่งพรุ่งนี้นี่คะ เอาไว้กลับมาก่อนแล้วค่อยทำก็ได้”
“ไม่เป็นไรจ้ะ พอดีช่วงบ่ายไม่อยู่ต้องไปทำธุระแถว ๆ คลองเตยนิดหน่อย เลยอยากเคลียร์งานให้เสร็จก่อนน่ะ”
อีกฝ่ายหันมาเอียงคอถาม “คุณน้ำไปจะที่นั่นอีกแล้วเหรอคะ”
ม่านนทีวางมือจากงานตรงหน้า หันไปยิ้มน้อย ๆ แทนคำตอบ ธุรการสาวจึงไม่เซ้าซี้ถามอะไรต่ออีก
“งั้นมลขอตัวก่อนนะคะ ถ้าผู้จัดการโทรฯมา เดี๋ยวมลอธิบายแทนให้ก็แล้วกัน” อีกฝ่ายหันมาโบกมือให้
“ขอบใจจ้ะ”
เมื่ออีกฝ่ายเดินออกจากประตูไปแล้ว ม่านนทีจึงถือโอกาสเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้เพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า หลังจากปริ๊นงานออกมาทบทวนสองสามแผ่นจนเป็นที่พอใจหญิงสาวก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ เก็บข้าวของใส่กระเป๋าก่อนหันไปหิ้วถุงใส่ขนมใบใหญ่เดินลงบันไดไปยังรถยนต์คันเล็กที่จอดรออยู่ เปิดประตูโยนมันเข้าไปด้านในสุด
“เฮ้อ ในที่สุดก็เสร็จซะที”
ม่านนทียิ้มกับตัวเอง เดินอ้อมเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ สตาร์ทรถเคลื่อนสู่ท้องถนน ตรงไปยังจุดหมายปลายทางที่รออยู่เบื้องหน้า...
*********************
พายุป่วนหัวใจ
“ยายน้ำทำไมไปนานจังเลย”
ปิ่นแก้วนั่งเท้าคางเหลียวมองไปตามทางเดินเรียบสระน้ำ รอคอยเพื่อนสาวเดินกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากไม่ชอบนั่งคอยอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ ร่างบางใช้หลอดเขี่ยก้อนแข็งในแก้วน้ำผลไม้อย่างเบื่อหน่าย โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นรองเท้าหนังขัดเป็นเงาที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะ
“รับมาตินีเพิ่มมั้ยครับคุณผู้หญิง” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามเบา ๆ แต่ปิ่นแก้วไม่มีอารมณ์อยากจะดื่ม
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ”
“แล้วเครื่องดื่มประเภทไวน์ล่ะครับ สนใจหรือเปล่า” อีกฝ่ายยังไม่เลิกเซ้าซี้ สร้างความหงุดหงิดให้แก่หญิงสาวจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“บอกแล้วไงว่าไม่เอา พูดไม่รู้เรื่อ...”
พูดได้แค่นั้น ปิ่นแก้วก็ต้องอ้าปากค้างลืมตาโตอย่างตกใจสุดขีด หลังจากที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาสวมเสื้อแจกเก็ตสีดำทำจากหนัง ยืนล้วงกระเป๋ามองตรงมาที่เธอพร้อมกับรอยยิ้มขันบนเรียวปาก แสงไฟสลัวสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ ส่งผลให้ร่างสูงโดดเด่นชวนมองเป็นพิเศษ
“นาย” ปิ่นแก้วลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ หน้าซีดเผือดก่อนจะเข้มขึ้นในเวลาต่อมา
“สวัสดีครับคนสวย เจอกันอีกแล้วนะครับ” ราเมศยิ้มยั่ว ดวงตาเป็นประกายยิ้มขัน “แหม...ไม่คิดเลยนะ ว่าคืนนี้จะมีโอกาสพบคุณที่นี่ สงสัยว่าเราสองคนจะมีดวงสมพงศ์กันซะแล้ว”
“ไปให้พ้นหน้าฉันนะ คนอย่างนายจ้างให้ฉันก็ไม่อยากเจอหรอก” ปิ่นแก้วโมโหจนหน้าแดง “แม้แต่แผ่นดินเดียวกัน ฉันก็ยังไม่อยากเหยียบด้วยซ้ำ”
ราเมศหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมญาติดีด้วยง่าย ๆ
“อย่าพูดแบบนั้นสิคุณ อุตส่าห์ได้กลับมาเจอกันทั้งที พูดจาหวาน ๆ มากกว่านี้หน่อยสิ”
“ฝันไปเถอะ”
ชายหนุ่มไม่คิดจะต่อปากต่อคำด้วย แต่กลับถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกับโต๊ะตัวเดียวกับเธอ ไม่แยแสต่อท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนของคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย
“นี่นาย ใครอนุญาตให้นั่งไม่ทราบ รีบลุกออกไปนะ” เธอแหวเสียงดัง
ราเมศเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นั่งไขว่ห้างสองมือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางสบายอารมณ์
“ที่นั่งของคุณบรรยากาศดีนะ ติดทะเลสาบซะด้วย ผมชักชอบมุมนี้แล้วสิ ขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยเลยก็แล้วกัน” เขากล่าวหน้าตาเฉย
“อะไรนะ”
ปิ่นแก้วลืมตาโต ตั้งแต่เกิดมาจนอายุป่านนี้ยังไม่เคยเห็นผู้ชายผีทะเลคนไหน หน้าด้านเท่ากับนายคนนี้มาก่อนเลยจริง ๆ หญิงสาวพยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดไว้เต็มที่ด้วยการกำมือเข้าหากันแน่น
“ขอบอกเป็นครั้งสุดท้ายนะ ว่าโต๊ะนี้เป็นของฉันกับเพื่อน คนอื่นไม่มีสิทธิ์”
“อ้อ...มากับแฟนว่างั้นเถอะ” ราเมศกระตุกรอยยิ้ม
“คนบ้า ยั่วโมโหเก่งนักนะ”
“ก็หรือไม่จริงล่ะคุณ ลองหวงโต๊ะซะขนาดนี้ถ้าไม่ใช่แฟนจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง สารภาพมาดี ๆ เถอะ ว่าคุณนัดแฟนมานั่งกินข้าวจู๋จี๋กันริมสระน้ำ ผมจะได้เลิกเซ้าซี้” ราเมศขุดหลุมดักเธอ
ซึ่งมันก็ได้ผลเกินคาด
“พูดบ้า ๆ อย่าเอาฉันไปรวมกับผู้หญิงประเภทนั้นนะ ฉันนัดเพื่อนมากินข้าวด้วยกันต่างหาก” ปิ่นแก้วตะโกนออกไปอย่างเหลืออด แก้มเนียนแดงปลั่งด้วยความโกรธ นึกอยากจะคว้าขวดน้ำขึ้นมาฟาดศีรษะเขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“อ๋อ เหรอ ไม่ยักรู้แฮะ ว่าคนอย่างคุณก็มีเพื่อนกับเขาด้วย”
ใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยเสียงคางยาน ดวงตาเป็นประกายพอใจหลังจากที่ได้รับคำตอบยืนยันจากปากของเธอ
ทีแรกเขานัดกินข้าวกับเจ้าเตชิตเอาไว้ ไป แต่ไป ๆ มา ๆ กลับเจอเข้ากับสาวน้อยหน้าตาน่ารักโจทย์เก่าเข้าโดยบังเอิญ จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเตร่เข้ามาหาเรื่องตามประสาหนุ่มโสดอยู่ไม่สุข ดวงตาคม ๆ ลอบมองปิ่นแก้วในชุดกระโปรงเดรสสั้นสีหวาน ลายลูกไม้ไม่วางตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงของดวงจันทร์ด้วยหรือเปล่า ราเมศจึงมองเห็นว่าเธอสวยน่ารักมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“นี่นาย ถามจริง ๆ เถอะ ไม่เคยมีใครสอนหรือไงว่าเวลาอยู่หน้าต่อสุภาพสตรี ต้องทำตัวยังไงบ้าง” ปิ่นแก้วหันมาใช้วิธีเปิดศึกสงครามประสาท หวังให้อีกฝ่ายรู้สึกละอายใจขึ้นมาบ้าง
แต่ราเมศหยัดยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“ขอโทษที แต่ผมยังไม่เห็นสุภาพสตรีที่คุณว่าเลยสักคน”
“อย่ามาดูถูกกันนะ”
“ผมพูดความจริงต่างหาก ในโลกนี้มีสุภาพสตรีคนไหนบ้างที่เที่ยวกลางคืนในร้านเหล้า แถมยังนั่งดื่มจนเมามายกลับบ้านไม่ถูกเหมือนคุณ” ชายหนุ่มยิงคำถามจนเธอเถียงไม่ออก
ทำให้พาลนึกถึงเรื่องคืนนั้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เรื่องนั้นมัน...” ปิ่นแก้วอึกอัก ไม่กล้าบอกถึงสาเหตุที่ทำให้เมามายจนเกือบเสียผู้เสียคน
“ว่ายังไง แก้ตัวไม่ออกเลยสินะ” ราเมศได้ทีโน้มตัวเข้าใกล้พร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่าง ผมเองก็ยังมองไม่เห็นความอ่อนหวานในตัวคุณเลย นอกเสียจากความแข็งกระด้าง เอาแต่ใจ ไม่มีความอ่อนโยนสักนิด”
“อะไรนะ”
“ขอผมคิดดูดี ๆ ก่อนนะ จริงสิ...จะว่าไปแล้ว คุณเองก็ยังพอมีส่วนที่อ่อนหวานอยู่บ้างเหมือนกันนี่นา โดยเฉพาะ....” ชายหนุ่มกล่าวน้ำเสียงปนเจ้าชู้ พลางเลื่อนสายตาหยุดอยู่บนเรียวปากสีชมพูระเรื่อ “ริมฝีปากซ่อนความหวานนั่น”
ซ่าา
หลังจากหลุดปากพูดออกไปแล้ว ร่างสูงก็แทบลุกขึ้นหลบน้ำผลไม้ที่สาดเข้าใส่แทบไม่ทัน
ปิ่นแก้วโมโหจนลมออกหู มือจับแก้วน้ำไม่ยอมปล่อย
“ถ้าขืนยังไม่ยอมหยุดพูดอีกละก็ ฉันจะขว้างแก้วน้ำใบนี้ใส่หัวนาย เอาให้แตกจนหมอไม่รับเย็บเลยคอยดู”
ไม่พูดเปล่าแต่ปิ่นแก้วยังทำท่าจะขว้างเข้าใส่จริง ๆ ราเมศจึงยอมรามือเลิกก่อกวนอารมณ์เธอด้วยการผายมือยอมแพ้ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมกับสั่งลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย
“ดูท่าว่าผมจะเล่นแรงเกินไปหน่อยสินะ” เขาเอ่ยยิ้ม “เอาเป็นว่า คืนนี้ผมดีใจที่ได้พบคุณอีกก็แล้วกัน หวังว่าครั้งหน้าความสัมพันธ์ระหว่างเรา จะกลายเป็นมิตรมากขึ้นกว่านี้นะครับ คนสวย”
“ฝันไปเถอะ” ปิ่นแก้วย้อนเสียงแข็ง “ถ้าต้องเจอหน้านายอีก ฉันจะวิ่งหนีพร้อมกับสาปส่งไปพร้อม ๆ กันเลย”
ราเมศหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“แล้วผมจะคอยดู”
...ม่านนทีเกือบเผลอใจพูดความจริงออกไปโดยไม่รู้ตัว เวลาที่อยู่ต่อหน้าเขาหัวใจของเธอก็หวั่นไหวเสียจนควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ แต่แล้วความจริงเรื่องที่เตชิตเป็นว่าที่คู่ดูตัวของเพื่อนสาว รวมไปถึงข่าวลือเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขาที่เพิ่งได้ยินมา ก็ทำให้หญิงสาวมีแรงแข็งขืนมากยิ่งขึ้น
“ฉัน...ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ ทุก ๆ เรื่องที่คุณทราบเกี่ยวกับตัวฉัน ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนเพียงพออยู่แล้ว”
ใบหน้าคมคายเข้มขึ้นอย่างผิดหวัง
“คุณน้ำ”
“ขอโทษนะคะ แต่เราสองคนไม่ควรพบกันต่อไปจะดีกว่า คุณเองก็คงมีคนข้างกายอยู่แล้ว มันคงไม่เหมาะนักที่จะเที่ยวทำตัวสนิทสนมกับคนอื่นแบบนี้” ม่านนทีสร้างเกราะขึ้นมาป้องกันหัวใจตัวเอง
ม่านนทีรู้ดีว่าเธอไม่ใช่ปิ่นแก้ว และไม่มีทางที่จะเลียนแบบบุคลิกคุณหนูได้อย่างแนบเนียน ทว่าเธอเองก็ไม่ต้องการให้เรื่องยุ่งยากมากไปกว่านี้ เพราะหากเขารู้ว่าเธอไม่ใช่ปิ่นแก้วว่าที่คู่หมั้นอย่างที่เข้าใจแต่แรก ความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กันก็คงสลายไปในพริบตา
ซึ่งเธอคงทนรับสายตาเย็นชาจากเขาไม่ได้แน่ ๆ
“คุณพูดเรื่องอะไร ผมไม่เข้าใจ” เตชิตกล่าวถามเสียงเข้ม “ผมไม่เคยมีใครมาก่อนเลยนะคุณน้ำ”
“พอเถอะค่ะ”
ม่านนทีตัดบท หวนนึกถึงคำพูดของปิ่นแก้วเรื่องที่เขาเป็นผู้ชายเจ้าชู้ขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
“แต่ผมยังพูดไม่จบ”
“ปล่อยค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
ม่านนทีพยายามดันตัวออกห่าง เนื่องจากไม่ต้องการให้ปิ่นแก้วเกิดความสงสัย หากแต่เตชิตไม่ยอมให้เธอไป ร่างสูงยึดจับต้นแขนบางไว้แน่น ไม่ยอมให้ม่านนทีผละจากไปทั้งที่เรื่องยังไม่กระจ่าง ทั้งยังโอบรอบเอวบางดึงเข้าหาตัวในระยะใกล้ ดวงตาที่ประสานกันและลมหายใจร้อนระอุราดที่ปัดผ่านแก้มเนียน ส่งผลให้หญิงสาวหน้าร้อนผ่าวเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด
“คุณราเมศ”
“ผมไม่อยากให้เราสองคนจบลงแบบนี้...” เตชิตพูดจากใจจริง “หากเป็นไปได้ผมอยากพบคุณอีก อยากรู้จักตัวตนของคุณ เข้าถึงหัวใจของคุณมากยิ่งขึ้นกว่านี้”
ม่านนทีพยายามรั้งหัวใจตัวเอง ไม่ให้ไหวหวั่น
“พอเถอะค่ะ เพื่อนฉันกำลังรออยู่” เธอปฏิเสธที่จะมองหน้าเขา
“คุณน้ำ”
“ปล่อย”
ร่างบางรวบรวมกำลังใจผลักเขาออกห่าง วิ่งผละจากไปจากเขาโดยไม่ยอมหันกลับมามอง เตชิตทำท่าจะก้าวตามไป แต่แล้วก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อนึกถึงความจริงได้ว่าเขาและเธอไม่ได้มาตามลำพัง ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว สีหน้าเคร่งขรึมกว่าที่เคยเป็น เป็นเวลานานมากแล้ว ที่เตชิตไม่เคยต้องเป็นฝ่ายวิ่งตามใครมาก่อนโดยเฉพาะผู้หญิง หากแต่การไล่ตามครั้งนี้กลับสร้างความหนักใจให้มากกว่าที่คิด
เตชิตตัดสินใจเดินกลับไปยังโต๊ะอาหารตามที่นัดกับราเมศเอาไว้ ระหว่างที่หัวสมองกำลังครุ่นคิดหาวิธีการเข้าถึงม่านนที เพื่อนหนุ่มจอมกะล่อนก็มานั่งจิบเบียร์รออยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“มาสายนะนาย ปล่อยให้ฉันรอตั้งนานนึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” ราเมศกล่าวทักทาย สีหน้าท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เตชิตไม่ตอบว่าอย่างไร ทั้งที่ความจริงเขาเป็นฝ่ายมาถึงก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ร่างสูงเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะฝั่งตรงกันข้าม พลางถอนหายใจยาว
“พอดีเจอคนรู้จัก ก็เลยหยุดทักทายกันนิดหน่อยน่ะ”
“ใครรึ ฉันรู้จักหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “นายอาจรู้จัก แต่อาจไม่เคยเห็นก็ได้”
คำตอบกำกวมของเพื่อนรัก ส่งผลให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“พูดจาแปลก ๆ นะวันนี้ ไปหงุดหงิดใครมาหรือยังไง” เขาเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
“ก็ไม่เชิง”
“แปลกแฮะ ปกตินายออกจะเป็นคนสุขุมแท้ ๆ แต่ไหงวันนี้กลับกลายเป็นผู้ชายขี้หงุดหงิดไปได้ละนี่...อย่าบอกนะว่าเพิ่งถูกสาวหักอกมา” ราเมศโน้มตัวเข้าหาพร้อมกับเอ่ยแซว ยังผลให้สีหน้าเตชิตเคร่งขรึมยิ่งกว่าเก่า
“พูดจาไร้สาระพอหรือยัง”
“ล้อเล่นน่า อย่าทำหน้าจริงจังนักสิ” ชายหนุ่มยิ้มขัน ไม่คิดจะเซ้าซี้ถามต่อ
สองหนุ่มสั่งอาหารมาทานที่โต๊ะท่ามกลางบรรยากาศขุ่นมัว โดยต่างฝ่ายต่างไม่มีโอกาสล่วงรู้เลยว่าอีกฟากหนึ่งของโต๊ะริมสระน้ำ ยังมีหญิงสาวอีกคู่หนึ่งกำลังนั่งคุยกันด้วยความรู้สึกยุ่งเหยิงไม่แพ้กัน โดยที่ปิ่นแก้วกับม่านนทีไม่มีอารมณ์จะแตะต้องอาหารในค่ำคืนนี้เลยแม้แต่น้อย…
หลังจากพบกันครั้งสุดท้ายที่ร้านอาหาร ม่านนทีก็ตัดสินใจเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเตชิตโดยสิ้นเชิง หญิงสาวเก็บงำความรู้สึกไม่สบายใจเอาไว้ภายในอก ทุ่มเทให้กับงานอย่างหนัก เพื่อให้ตัวเองไม่มีเวลาว่างใช้สมองไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่น ลำพังงานประจำที่ทำอยู่กับภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนก็หนักหนาพออยู่แล้ว จึงไม่อยากเพิ่มภาระหนักอกให้กับตัวเองอีกต่อไป
“เที่ยงแล้วนะคะคุณน้ำ ยังไม่ไปทานข้าวกลางวันอีกเหรอคะ” ธุรการสาวหันมาถามเธอหลังจากเข็มนาฬิกาเลยเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง
ม่านนทีกำลังง่วนอยู่กับงานที่ทำจนลืมเวลาพักเที่ยง เนื่องจากเป็นงานเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการให้เสร็จ เพื่อจะได้มีเวลาว่างเหลือพอให้ทำธุระอย่างอื่นในช่วงบ่าย ร่างบางสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกางเกงยีนส์ เส้นผมมัดรวบเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมง เป็นบุคลิกประจำเวลาทุ่มเทเวลาให้กับงาน
“อีกแป๊บก็จะเสร็จแล้วล่ะ ไปทานกันก่อนเถอะ” เธอตอบโดยไม่ยอมวางมือจากงานหน้าจอคอมพิวเตอร์
“งานส่งพรุ่งนี้นี่คะ เอาไว้กลับมาก่อนแล้วค่อยทำก็ได้”
“ไม่เป็นไรจ้ะ พอดีช่วงบ่ายไม่อยู่ต้องไปทำธุระแถว ๆ คลองเตยนิดหน่อย เลยอยากเคลียร์งานให้เสร็จก่อนน่ะ”
อีกฝ่ายหันมาเอียงคอถาม “คุณน้ำไปจะที่นั่นอีกแล้วเหรอคะ”
ม่านนทีวางมือจากงานตรงหน้า หันไปยิ้มน้อย ๆ แทนคำตอบ ธุรการสาวจึงไม่เซ้าซี้ถามอะไรต่ออีก
“งั้นมลขอตัวก่อนนะคะ ถ้าผู้จัดการโทรฯมา เดี๋ยวมลอธิบายแทนให้ก็แล้วกัน” อีกฝ่ายหันมาโบกมือให้
“ขอบใจจ้ะ”
เมื่ออีกฝ่ายเดินออกจากประตูไปแล้ว ม่านนทีจึงถือโอกาสเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้เพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า หลังจากปริ๊นงานออกมาทบทวนสองสามแผ่นจนเป็นที่พอใจหญิงสาวก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ เก็บข้าวของใส่กระเป๋าก่อนหันไปหิ้วถุงใส่ขนมใบใหญ่เดินลงบันไดไปยังรถยนต์คันเล็กที่จอดรออยู่ เปิดประตูโยนมันเข้าไปด้านในสุด
“เฮ้อ ในที่สุดก็เสร็จซะที”
ม่านนทียิ้มกับตัวเอง เดินอ้อมเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ สตาร์ทรถเคลื่อนสู่ท้องถนน ตรงไปยังจุดหมายปลายทางที่รออยู่เบื้องหน้า...
*********************

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ส.ค. 2554, 10:28:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ส.ค. 2554, 10:28:30 น.
จำนวนการเข้าชม : 2464
<< ตอนที่ 5 พรหมลิขิต หรือความบังเอิญ | นางฟ้าผู้อารี >> |

Zephyr 26 ส.ค. 2554, 12:46:20 น.
เฮ้อ ลุ้นให้ความแตก แต่คงอีกนานใช่มั้ยคะ แตกแต่เนิ่นๆคงไม่มันส์พอดี แต่คุณเตชิตคะ อีกคู่เค้าไม่เห็นต้องรู้ตัวตนที่แท้จริงกันเลย เคายังกัดกันได้อ่ะ คุณก็เอามั่งสิคะ อิอิ หลอกให้ตกหลุมก่อน ค่อยเค้นทีหลังยังไม่สายจริงมะ หึหึ
เฮ้อ ลุ้นให้ความแตก แต่คงอีกนานใช่มั้ยคะ แตกแต่เนิ่นๆคงไม่มันส์พอดี แต่คุณเตชิตคะ อีกคู่เค้าไม่เห็นต้องรู้ตัวตนที่แท้จริงกันเลย เคายังกัดกันได้อ่ะ คุณก็เอามั่งสิคะ อิอิ หลอกให้ตกหลุมก่อน ค่อยเค้นทีหลังยังไม่สายจริงมะ หึหึ



ดารานิล 26 ส.ค. 2554, 21:00:03 น.
แวะมาลงชื่อก่อน อิอิ
แวะมาลงชื่อก่อน อิอิ

anOO 28 ส.ค. 2554, 14:15:12 น.
ท่าทางจะรักกันคลุมเครือแบบนี้ไปอีกสักพักแน่เลย
แต่ก็แอบลุ้นให้ความแตกเร็วๆ นะคะ่
ท่าทางจะรักกันคลุมเครือแบบนี้ไปอีกสักพักแน่เลย
แต่ก็แอบลุ้นให้ความแตกเร็วๆ นะคะ่