วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา
ตอน: บทที่ 2 ความทะเยอทะยานเป็นเหตุ
เช้าวันรุ่งขึ้น ที่ตลาดคือแหล่งกระจายข่าวชั้นดี คนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ต่างเอามาเล่ากันให้ทั่วว่านังพิม ดอกฟ้างามโสภาที่หนุ่มๆ ทั้งท่าเตาหมายอยากจะได้มาเป็นเมีย ใฝ่ต่ำเอาไอ้น้อยมาทำผัว เรื่องคาวๆ แบบนี้เล่าเท่าไรคนก็ไม่เบื่อ พอไม่รู้ก็คิดเองเดาเอง ใส่สีตีไข่ให้มั่วไปหมด ชาวบ้านที่ผ่านไปมาแถวสวนของถนอมต่างก็อยากจะมาดูหน้า พิมว่าจะงดงามอย่างที่เขาเล่าลือกันหรือเปล่า
บ้างก็มายืนเกาะกลุ่มซุบซิบนินทากันอยู่หน้าบ้าน พิมมองออกไปเจ็บปวดใจทุกวัน อับอายจากที่งานไม่พอ ยังต้องมาทนดูน้ำหน้าพวกปากตลาดพูดเรื่องเธออยู่หน้าบ้านอีกหรือ ตอนนี้เธออับอายขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ซ้ำยังต้องมานั่งเสียใจที่ทำให้บิดามารดาต้องผิดหวัง
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากห้อง คนเป็นแม่ที่กำลังตากผ้าอยู่หลังบ้านได้ยินก็ตกอกตกใจ รีบขึ้นมาดู
“แม่ ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันต้องทนฟังพวกชาวบ้านมันนินทาเรื่องของฉันไปอีกนานเท่าไรเหรอแม่ ฉันเกลียดทุกอย่างที่นี่ อยากหนีไปให้พ้นๆ”
พิมบ่นทั้งน้ำตา ภาสงสารลูกสาวแทบขาดใจ เป็นขี้ปากกับใครไม่ว่า ดันไปมีข่าวเชิงชู้สาวกับไอ้น้อยคนบ้าใบ้อีก
“แล้วลูกจะให้แม่ทำยังไง จะให้แม่เอาเข็มไปเย็บปากคนพวกนั้นรึ” ภาพูดแกมประชด ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ลูกสาวของเธอทำตัวเองทั้งนั้น หากไม่เลือกคบหากับชายมากหน้าก็คงไม่เป็นที่ครหาให้ผู้ชายพวกนั้นดูถูกดูแคลนเอาได้อย่างนี้
“ฉันอยากจะหนีไปอยู่พระนคร อยากไปอยู่ในที่ที่มันเจริญกว่านี้ แม่ต้องช่วยฉันนะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” พิมเขย่าแขนมารดาอย่างเอาแต่ใจ รู้ดีว่ามารดาจะตามใจเธอทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้
ภาลำบากใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง...
“อันที่จริง แม่ก็มีญาติอยู่คนอยู่ที่พระนคร ชื่อสายหยุด เป็นพี่สาวคนละแม่ ก็เป็นป้าแท้ๆ ของลูกนั่นละ”
พิมตาลุก “ฉันจำได้แล้ว ป้าสายหยุด คนที่แม่บอกว่าเป็นข้ารับใช้คนเก่าแก่ในวังใช่ไหมจ๊ะ”
“ใช่ คนนั้นนั่นแหละ” ภาพยักหน้าเบาๆ
เมื่อคิดถึงความศิวิไลซ์ที่พระนคร พิมก็พอจะนึกภาพออกว่าจะต้องมีคนรวยคนโก้เดินตามท้องถนนเต็มไปหมด...ทันใดนั้นความทะเยอทะยานก็พุ่งเข้ามาในหัว มันจะดีสักแค่ไหนนะ ถ้าวันหนึ่งเธอได้เป็นอย่างคนพวกนั้นบ้าง
“ฉันอยากไปอยู่กับป้าสายหยุด ฉันอยากจะเข้าวังเจ้า ฉันอยากไปเป็นหม่อมจ้ะแม่” พิมตื่นเต้นสุดขีด พุ่งตัวเข้าไปกอดเอวมารดาด้วยความดีใจ
ภาสะดุ้งหู มือบางตีไหล่ลูกสาวดังเพียะ!
“พูดอย่างนั้นได้ยังไง อย่าไปพูดให้ใครได้ยินเชียวนะ เขาจะหาว่าพ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน”
“ฉันพูดจริงนะจ๊ะ ถ้าฉันได้ดีเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมารับพ่อกับแม่ไปอยู่ด้วยกัน ดีไหม”
ภามองลูกสาวแล้วส่ายหน้า คิดว่าพิมคงจะพูดเล่นไปตามประสาเด็กสาวช่างฝัน แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย...เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นและความทะยานอยากของลูกสาว มันฟ้องชัดว่าจริงจังอย่างที่พูด
“แม่แค่พูดให้ฟัง ไม่ได้บอกให้ไปอยู่กับเขา”
“อ้าว” จากที่ยิ้มบานแช่มชื่น ก็หน้าเง้างอด้วยความผิดหวัง
“ลูกคิดว่าการไปอยู่พระนครมันง่ายขนาดนั้นเลยรึ ที่นั่นไกลจากบ้านเรามาก แถมยังต้องไปอยู่ตัวคนเดียวอีก ไม่คิดว่าแม่จะเป็นห่วงบ้างเลยหรือไง”
“ไปอยู่ตัวคนเดียวที่ไหน แม่ก็เพิ่งบอกเองว่ามีป้าสายหยุด” พิมเถียง
“มันไม่เหมือนกัน ไปอยู่ที่อื่นยังไงก็ไม่สุขสบายเท่าบ้านเรา” ภาถอนหายใจยาว กุมมือลูกสาวขึ้นมาอย่างอ่อนจิตอ่อนใจ “คนเราดีก็ว่า ร้ายก็ว่า ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังถูกนินทาเลย แล้วนับประสาอะไรกับปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ล่ะลูก คนพวกนั้นมันไม่ได้มาหาให้เรากินเสียหน่อย ถ้าเราไม่สนใจเสียอย่าง เรื่องมันก็จบ พอมันเบื่อเดี๋ยวก็เลิกนินทากันไปเองนั่นแหละ”
“โอ๊ย...ฉันไม่ใช่พุทธเจ้านะแม่ ไม่ได้มีจิตใจสูงส่งอะไรขนาดนั้น ถ้าแม่ไม่พาฉันไป ฉันหาทางไปเองก็ได้” พิมไม่สนใจคำทัดทานของมารดา เวลามีใครพูดอะไรไม่เข้าหู เธอก็จะโกรธสะบัดสะบิ้งอย่างคนที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก
“ลูกเป็นผู้หญิง จะไปพระนครตัวคนเดียวได้ยังไง”
“ได้สิ ถ้าใจฉันอยากจะไปเสียอย่าง ต่อให้เป็นสวรรค์ฉันก็จะไป” ถึงพิมจะตอบออกไปอย่างมาดมั่น แต่ในใจยังไม่รู้หรอกว่าถ้าถึงเวลาต้องไปจริงๆ เธอจะไปเองได้อย่างไร
“เด็กคนนี้นี่ บอกอะไรไม่เคยเชื่อกันบ้าง”
“ไม่ว่าแม่จะพูดยังไง ฉันก็จะไปอยู่ดี ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากอยู่อีกแม้แต่วินาทีเดียว!” พิมประกาศกร้าว ภามองอย่างอิดหนาระอาใจ ลูกคนนี้อยากทำอะไร เธอเคยทัดทานได้สักที่ไหน
“เอ๊ะ นั่นมันไอ้น้อยนี่” แวบหนึ่งที่ภาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นน้อยยืนแข็งทื่อไม่พูดไม่จาอย่างเช่นทุกครั้ง
“ชังน้ำหน้านัก เป็นตัวซวย ตัวปัญหา ทำให้ครอบครัวฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน อับอายขายหน้าไปทั้งวงศ์ตระกูล แล้วยังจะมีหน้าโผล่มาให้ฉันเห็นอีกรึ หน้าด้านหน้าทนเกินไปแล้ว!”
เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าพิมจะออกมาจากบ้าน น้อยก็ยังยืนรออยู่ตรงนั้นจนมืดค่ำ ยุงก็รุมกัดอยู่อย่างนั้น ภาอดไม่ได้สงสารไล่ให้กลับบ้านไป แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดความพยายามที่จะคุยกับพิมให้ได้
หลังจากวันนั้นน้อยก็มายืนรอพิมแทบทุกวัน ในมุมที่พิมจะสามารถมองเห็นเขาได้ ด้านภารู้สึกเวทนาแกมกระอักกระอ่วนใจไปหมดทุกทาง...ก็คนมันรักของมัน ถึงจะไม่ได้มีวาสนาต่อกัน แต่ขอแค่ให้ได้เฝ้ามองคนที่รักอยู่ดีมีสุขก็เพียงพอสำหรับมันแล้ว ขณะที่พิม พอเห็นน้อยมาหาทุกวันก็รู้สึกรำคาญ ยิ่งอยากจะหนีไปให้ไกลๆ เสียให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าชาวบ้านผ่านมาแล้วเอาไปโพนทะนาต่อ ว่าไอ้น้อยคนบ้าใบ้มายืนรอเธอที่หน้าบ้านทุกวันอย่างนี้ มีหรือจะไม่เข้าใจผิดคิดกันไปใหญ่ ยิ่งทุกวันนี้เธอก็ไม่มีหน้าจะเดินออกจากบ้านไปไหนอยู่แล้ว ยังจะมากวนใจอยู่ได้
พิมบ่นอย่างหัวเสียกับบิดามารดาทุกวัน ว่าให้ไล่น้อยออกไปให้พ้นหูพ้นตา ทั้งสองคิดกลุ้ม ฝั่งนั้นก็น่าสงสาร ฝั่งนี้ก็ลูกสาว ไม่รู้จะทำอย่างไร... ถนอมจึงตัดสินใจว่าจะไปคุยกับน้อยให้เข้าใจ ในเมื่อลูกสาวไม่มีใจให้และไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว ไอ้น้อยก็ควรจะยอมรับและตัดใจ จะได้ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับพิมอีก
“ไอ้น้อยเอ๊ย...เอ็งกลับไปเสียเถอะ ยังไงลูกสาวข้าก็ไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”
ชายหนุ่มมีสีหน้าตื่นตระหนกอยากจะเอ่ยถามออกไปใจแทบขาด ถนอมก็เอ่ยต่อให้รู้ว่า
“พิมมันรู้แล้วว่าเอ็งคิดยังไงกับมัน จะบอกว่ามันรังเกียจเอ็งก็ไม่ผิดหรอก... อย่าหลงอย่ารอมันอีกเลย เอ็งมาตั้งหน้าตั้งตายืนรอลูกสาวข้าทุกวันแบบนี้ ชาวบ้านผ่านไปผ่านมาเขาจะเข้าใจผิดเอาได้”
สมองของน้อยเหมือนหยุดสั่งการไปชั่วขณะ แล้วหยดน้ำตาเม็ดเล็กๆ ก็ไหลลงมาเกินจะควบคุม เขารู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีวันได้สมหวังกับพิม แต่ไม่คิดว่าพิม เพื่อนเพียงคนเดียว จะกล้าตัดสัมพันธ์ที่มีต่อกันมาสิบกว่าปีได้ลงคอ ชายหนุ่มอดคิดน้อยใจไม่ได้ ที่ผ่านมา...ทุกสิ่งที่เขาทำให้ มันไม่มีค่าในสายตาเธอเลยหรือ
********************
วันต่อมา พิมเก็บมะม่วงอยู่ในสวน เสร็จแล้วหญิงสาวก็เดินดุ่มๆ ไปโดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครบางคนแอบซ่อนตัวอยู่หลังต้นมะม่วงต้นใหญ่ ไม่นานนัก...เจิดก็รีบปราดเข้ามาขวางไว้
“เดินกระฟัดกระเฟียดแบบนี้ โกรธใครมาหรือจ๊ะคนสวย” เจิดโผล่เข้ามาทำท่าเล่นหูเล่นตาด้วย
“ไอ้เจิด!” พิมตกใจหน้าซีด เธอชังน้ำหน้าเจิดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงตอนนี้ก็ยิ่งชังขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่ามันมีพ่อเป็นกำนันและร่ำรวยที่สุดในย่านนี้ละก็...มีหรือที่คนอย่างนังพิมจะยอมพูดด้วย
“หลบไป ข้าจะกลับบ้าน”
พิมเลือกที่จะเดินผ่านหน้าเจิดไป แต่ทว่า...
“ข้ารู้นะว่าเอ็งคิดอะไรอยู่”
คำพูดสะกิดต่อมนั้น ทำให้พิมต้องหันกลับมาจ้องตอบสายตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น ที่จ้องมองมาราวกับรู้อะไรบางอย่าง
“สองสามวันมานี้เอ็งไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะกลัวคำติฉินนินทาที่เอ็งกับไอ้น้อยเป็นผัวเมียกัน เอ็งก็เลยอยากหนีไปให้ไกลแสนไกล แต่ติดที่ไอ้น้อยมันก็ยังมาหา มาคอยกวนใจเอ็งไม่เลิก...ข้าพูดถูกใช่ไหมล่ะ”
“เอ็งรู้ได้ยังไง”
“เพราะข้า...พอจะเดาสันดานคนอย่างเอ็งออกน่ะสิ” เจิดตอบกลั้วหัวเราะ
ใช่! เขารู้ไส้รู้พุงผู้หญิงอย่างพิมดีเชียวละ! ยอมรับว่าเมื่อก่อนก็เฝ้ามองเจ้าหล่อนเพราะแอบมีใจให้ แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะความเห็นแก่ตัวและความหยิ่งผยองของเจ้าหล่อนที่เกินจะควบคุม ทำไมเขาจะต้องมาเสียเวลาสนใจหล่อนด้วย ในเมื่อทุกวันนี้ก็มีผู้หญิงวิ่งเข้าหาเขาจนเลือกใช้แทบไม่ทัน
“ข้าจะทำอะไร จะอยู่หรือไป แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเอ็ง”
“เกี่ยวสิ! เพราะข้าอยากช่วยเอ็งหนีหน้าไอ้น้อยยังไงล่ะ”
“คนอย่างเอ็งน่ะรึจะช่วยข้า” พิมร้องตะลึงเหลือเชื่อ
“ใช่”
หญิงสาวเบะปาก ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
“คนอย่างเอ็งจะช่วยใครเป็น ถ้าไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง เอ็งไม่ช่วยข้าให้เปลืองแรงหรอก”
“ฮ่าๆๆ ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่มาพูดกับเอ็ง” เจิดหัวเราะถูกใจ “ข้ารู้มาว่าเอ็งอยากจะเข้าไปอยู่ในวัง เผื่อภายภาคหน้ามีเจ้านายถูกตาต้องใจ ได้เอ็งเป็นเมียขึ้นมา เอ็งก็อย่าลืมแผ่ใบบุญมาถึงข้าบ้าง...มันก็แค่นั้น”
พิมจิกตาใส่ ที่ว่าแผ่ใบบุญ...ก็คงไม่พ้นให้เธอช่วยทำเรื่องไม่ดีแน่ พวกไอ้เจิดหูตาไวยังกับสับปะรด พวกมันรู้ทุกความเคลื่อนไหวของทุกคนในท่าเตา นี่แสดงว่าคนของมันคงได้ยินเรื่องที่เธอคุยกับคนในครอบครัวมาแน่ๆ
“เข้าพระนครมันไม่ได้ง่ายนักหรอกนะคนสวย ถ้าไม่มีคนช่วย เอายังไง ข้าพาเอ็งไปได้นา...” เจิดย้ำ
พิมรู้ว่าเจิดเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย และก็ไม่ใช่คนที่เธอจะไว้ใจได้ง่ายๆ แต่ข้อเสนอของมันครั้งนี้น่าสนใจไม่น้อย เพราะหากให้รอมารดาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไป ดูท่าแล้วคงไม่ยอมง่ายๆ ด้วย เธอร้อนใจ อยากจะหนีไปให้ไกลจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะไป ไปให้พ้นๆ จากชีวิตเฮงซวยนี่! และจะได้ตัดจบเรื่องระหว่างเธอกับน้อยให้สิ้นซากเสียที พอลองมาคิดดูแล้วยอมใช้ไอ้เจิดเป็นไม้กันหมาสักครั้งก็คงไม่เสียหาย ในวังออกจะมีกฎระเบียบเข้มงวดมากมาย ไอ้เจิดคงไม่ได้พบเธอง่ายดายนัก
“ก็ได้! แล้วแผนของเอ็งว่ายังไงล่ะ”
********************
ช่วงเย็นๆ ของวันต่อมา พิมที่ร่วมมือกับเจิด ตกลงกันว่าจะให้ลูกน้องของเจิดไปดึงความสนใจน้อยไว้ เพราะระหว่างที่จะพาพิมไปนั้น เป็นช่วง เวลาที่น้อยน่าจะกลับจากโรงสีพอดี เจิดจึงต้องหาทางกันน้อยออกไปก่อน เพื่อจะได้ขับรถพาพิมไปส่งถึงวังที่ป้าสายหยุดทำงานอยู่ได้สะดวก โดยที่บิดามารดาของหญิงสาวเองก็ไม่ได้รู้เห็นด้วยเลย
ในระหว่างที่พิมกำลังหาทางออกมาจากบ้าน... ที่กระท่อม บ้านของน้อย ‘ไอ้ไป่’ ลูกน้องของเจิดกำลังแอบด้อมๆ มองๆ อยู่ในที่ลับตา เมื่อมองเข้าไปในกระท่อมไม่เห็นแม้แต่เงาของน้อย ก็มั่นใจว่ามันยังไม่กลับมาจากโรงสีเป็นแน่ ยามนี้จึงมีเพียงมะลิคนเดียวเท่านั้นที่กำลังทำกับข้าวอยู่
ไป่กระหยิ่มยิ้มย่อง ช่วงเวลานี้แหละเหมาะที่สุด!
ไป่แอบย่องไปข้างหลังกระท่อม เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะกระโจนขึ้นมาบนชานเรือนอย่างรวดเร็ว และเริ่มรื้อค้นของไปทั่ว จังหวะนั้นเองที่มะลิได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากในกระท่อม เอะใจรีบเข้ามาดู เท่านั้นมะลิก็ตกใจเบิกตาโพลงแทบถลน เมื่อเห็นชายร่างสมส่วน คลุมหน้าคลุมตาเสียมิดชิดกำลังค้นของเธออยู่
“หยุดนะ! ช่วยด้วย!! ใครก็ได้ชะ...” มะลิร้องได้แค่นั้น มือหนาพุ่งเข้ามาปิดปากเธอแน่นเหลือแต่เสียงอู้อี้
ไป่สีหน้าเครียดจัด เพราะไม่คิดว่ามะลิจะทันเข้ามาเห็นเร็วขนาดนี้ ระหว่างที่กำลังจิตตกสับสนไม่รู้จะทำอย่างไร มะลิก็ถองเข้าให้ที่ท้องไป่จนหลุดออกมาได้ แล้ววิ่งหนีไป แต่ไม่ไวเท่าไป่ที่วิ่งตามมะลิมาติดๆ แล้วฉุดแขนมะลิไว้จนหล่อนเซล้มลงไปใกล้หม้อต้มข้าวที่กำลังเดือดปุดๆ เสี้ยววินาทีนั้น มะลิก็คว้าหม้อดินร้อนจัดสาดใส่ไอ้ไป่อย่างรวดเร็ว ทำให้ไป่สะดุ้งโหยง ดีดตัวร้อนลุกลน
มะลิฉวยโอกาสนั้นจะวิ่งหนีอีกรอบ แต่ไป่ตั้งสติได้ทัน กัดฟันแน่นด้วยความโมโห คว้าฟืนที่วางอยู่ใกล้มือฟาดใส่หลังมะลิจนล้มลงไป เพียงเท่านี้ก็น่าจะดึงความสนใจน้อยได้แล้ว เพราะถ้ามันรู้ว่าแม่ของมันบาดเจ็บ ก็ต้องอยู่ดูแลแม่ก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไป่ยังแค้นที่มะลิสาดข้าวร้อนๆ ใส่ตน เลือดขึ้นหน้ากระหน่ำฟาดเอาๆ ไม่ยั้งมือจนสาแก่ใจ...
ด้านช้อนที่เพิ่งกินเหล้ามา เดินโซเซมาแต่ไกล เห็นเมียตัวเองกำลังถูกทำร้ายก็รีบวิ่งขึ้นเรือนตะครุบไอ้โจรชั่วไว้จากด้านหลัง ก่อนจะกระชากผ้าขาวม้าหลุด เผยให้เห็นใบหน้าของไอ้โจรใจดำ ช้อนตะลึงจำได้ว่าไอ้ไป่ เป็นหนึ่งในพวกของไอ้เจิด ลูกชายของกำนันเทิ้มที่ชอบมีเรื่องกับน้อยเป็นประจำ
ไป่ตกใจที่ช้อนเห็นหน้า สายตาล่อกแล่กไม่รู้จะทำอย่างไร รีบผลักช้อนล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในป่าละเมาะข้างๆ ไป่วิ่งสุดฝีเท้าด้วยความหวาดกลัว จนกระทั่งถึงจุดที่นัดหมายกับเจิดไว้
รถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ที่ป่าละเมาะข้างทางใกล้ๆ สวนของถนอม เจิดกำลังนั่งรอพิมอยู่ในรถ พอเห็นคนของตนวิ่งมาก็รีบเปิดประตูรถลงไปถาม
“ไอ้ไป่ ทำไมมึงมาช้าจังวะ” เจิดบ่น เห็นไป่หน้าซีด เอามือปาดเหงื่อก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่อง “แล้วงานที่ข้าให้เอ็งไปทำ สำเร็จไหม”
“สำเร็จจ้ะ แต่ฉันพลั้งมือใช้ไม้ฟาดมันไปหลายครั้ง ฉันไม่แน่ใจว่ามันตายหรือเปล่า”
“โธ่เว้ย! กูบอกแล้วใช่ไหมว่าแค่ปล้น ไม่ต้องทำร้ายให้ถึงตาย ถ้ามันตายขึ้นมาจะว่ายังไง”
ไป่ก้มหน้าซีด แต่มีอีกเรื่องที่ใหญ่กว่า...
“ระ...เรื่องนั้นยังไม่สำคัญ เท่ากับว่ามีคนเห็นหน้าฉันแล้ว!”
เจิดตาลุกด้วยความตกใจ
“ตอนนี้ฉันกลัวมาก ฉันกลัวจะถูกจับเข้าคุก ลูกพี่ต้องช่วยฉันนะ”
“ใครเห็นหน้ามึง” เจิดเค้นถาม
“ไอ้ช้อนพ่อของไอ้น้อย”
เจิดหัวเสียพอสมควร ทีแรกเขาคิดแผนนี้ก็กะหาเรื่องแกล้งไอ้น้อยมัน ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต แต่พอพิจารณาแล้วก็คงไม่เป็นไร ช้อนวันๆ กินแต่เหล้าจนประสาทเสียขนาดนั้นจะไปจดจำอะไรได้ หรือถึงมันจำได้ ใครจะเชื่อคนเมาอย่างมัน
“งั้นเอ็งเอาเงินที่ปล้นมาได้หนีลงใต้ไปสักพัก พอข่าวซาแล้วค่อยกลับมา”
“จ้ะ” ไป่พยักหน้ารับ เหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็รีบวิ่งหายลับไปทันที
พิมที่เพิ่งออกมาจากบ้านได้ พร้อมสัมภาระมากมาย มองตามไป่ไปอย่างงงๆ ทันได้ยินเจิดกับไป่คุยกันแว่วๆ ก็ร้องถาม
“เอ็งใช้ไอ้ไป่ไปทำอะไร ทำไมต้องสั่งให้มันหนีลงใต้ไปด้วย”
คำถามนั้นทำเจิดชะงักงัน หันขวับ ไม่คิดว่าพิมจะมาเห็นพอดี
“ไหนว่ากว่าจะออกมาได้ ต้องรออีกสักพัก”
“ก็มันได้จังหวะพอดีเลยรีบออกมาก่อนไม่ได้หรือไง” พิมตอบเสียงหงุดหงิด “แล้วตกลงไอ้ไป่มันไปทำอะไร ใช่แผนเอ็งหรือเปล่า”
เจิดเท้าสะเอวชั่งใจอยู่ครู่ แต่ในเมื่อเจ้าหล่อนได้ยินอย่างนี้แล้ว เขาก็ไม่อยากจะปิดบัง... พอเจิดเล่าจบพิมก็ถึงกับตะลึงงัน สิ่งแรกที่พุ่งเข้ามาในหัวคือความรู้สึกผิด เพราะไม่ได้รู้เรื่องแผนการอะไรนี้ด้วยเลยสักนิด เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องมีคนตาย มันมากเกินไปแล้ว!
“อะไรนะ! ไอ้ไป่ฆ่าน้ามะลิ”
“เออ ตอนนี้เรารีบหนีเข้าพระนครกันก่อนเถอะ ก่อนจะมีใครผ่านมาเห็นแล้วสงสัย” เจิดรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“โอ๊ย! พวกโง่” พิมตวาดใส่เจิดเสียงดังลั่น “ข้าไม่น่าร่วมมือกับเอ็งตั้งแต่แรกเลย ถ้ามีใครรู้แล้วสาวมาถึงตัวข้า อนาคตข้าจะเป็นยังไง นังพิมไม่อยากติดคุกติดตะราง กินข้าวแดงกับน้ำปลาก่อนจะได้ผัวหรอกนะเว้ย”
เจิดเบือนหน้าอย่างเอือมระอา คิดว่าจะกังวลเรื่องอะไร ที่แท้กลัวว่าตัวเองจะหาผัวไม่ได้นี่เอง
“ก็คนมันพลาดไปแล้ว แทนที่จะมาเถียงกัน ตอนนี้เอ็งรีบขึ้นรถแล้วไปจากที่นี่ดีกว่าไหม ไม่งั้นไอ้แผนการที่ทำกันมาทั้งหมดก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
พิมกอดอกทำหน้าบึ้ง มองหน้าคนก่อเรื่องอย่างเคืองไม่หาย แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้เธอหันหลังกลับก็คงจะยาก มีทางเดียวคือต้องเดินหน้าต่อ...
พิมยัดสัมภาระที่หอบหิ้วมาใส่ท้ายรถ จะเปิดประตูขึ้นรถไป แต่แล้วเสียงใครบางคนก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเธอ
“พิม!”
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
บ้างก็มายืนเกาะกลุ่มซุบซิบนินทากันอยู่หน้าบ้าน พิมมองออกไปเจ็บปวดใจทุกวัน อับอายจากที่งานไม่พอ ยังต้องมาทนดูน้ำหน้าพวกปากตลาดพูดเรื่องเธออยู่หน้าบ้านอีกหรือ ตอนนี้เธออับอายขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ซ้ำยังต้องมานั่งเสียใจที่ทำให้บิดามารดาต้องผิดหวัง
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากห้อง คนเป็นแม่ที่กำลังตากผ้าอยู่หลังบ้านได้ยินก็ตกอกตกใจ รีบขึ้นมาดู
“แม่ ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันต้องทนฟังพวกชาวบ้านมันนินทาเรื่องของฉันไปอีกนานเท่าไรเหรอแม่ ฉันเกลียดทุกอย่างที่นี่ อยากหนีไปให้พ้นๆ”
พิมบ่นทั้งน้ำตา ภาสงสารลูกสาวแทบขาดใจ เป็นขี้ปากกับใครไม่ว่า ดันไปมีข่าวเชิงชู้สาวกับไอ้น้อยคนบ้าใบ้อีก
“แล้วลูกจะให้แม่ทำยังไง จะให้แม่เอาเข็มไปเย็บปากคนพวกนั้นรึ” ภาพูดแกมประชด ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ลูกสาวของเธอทำตัวเองทั้งนั้น หากไม่เลือกคบหากับชายมากหน้าก็คงไม่เป็นที่ครหาให้ผู้ชายพวกนั้นดูถูกดูแคลนเอาได้อย่างนี้
“ฉันอยากจะหนีไปอยู่พระนคร อยากไปอยู่ในที่ที่มันเจริญกว่านี้ แม่ต้องช่วยฉันนะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” พิมเขย่าแขนมารดาอย่างเอาแต่ใจ รู้ดีว่ามารดาจะตามใจเธอทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้
ภาลำบากใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง...
“อันที่จริง แม่ก็มีญาติอยู่คนอยู่ที่พระนคร ชื่อสายหยุด เป็นพี่สาวคนละแม่ ก็เป็นป้าแท้ๆ ของลูกนั่นละ”
พิมตาลุก “ฉันจำได้แล้ว ป้าสายหยุด คนที่แม่บอกว่าเป็นข้ารับใช้คนเก่าแก่ในวังใช่ไหมจ๊ะ”
“ใช่ คนนั้นนั่นแหละ” ภาพยักหน้าเบาๆ
เมื่อคิดถึงความศิวิไลซ์ที่พระนคร พิมก็พอจะนึกภาพออกว่าจะต้องมีคนรวยคนโก้เดินตามท้องถนนเต็มไปหมด...ทันใดนั้นความทะเยอทะยานก็พุ่งเข้ามาในหัว มันจะดีสักแค่ไหนนะ ถ้าวันหนึ่งเธอได้เป็นอย่างคนพวกนั้นบ้าง
“ฉันอยากไปอยู่กับป้าสายหยุด ฉันอยากจะเข้าวังเจ้า ฉันอยากไปเป็นหม่อมจ้ะแม่” พิมตื่นเต้นสุดขีด พุ่งตัวเข้าไปกอดเอวมารดาด้วยความดีใจ
ภาสะดุ้งหู มือบางตีไหล่ลูกสาวดังเพียะ!
“พูดอย่างนั้นได้ยังไง อย่าไปพูดให้ใครได้ยินเชียวนะ เขาจะหาว่าพ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน”
“ฉันพูดจริงนะจ๊ะ ถ้าฉันได้ดีเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมารับพ่อกับแม่ไปอยู่ด้วยกัน ดีไหม”
ภามองลูกสาวแล้วส่ายหน้า คิดว่าพิมคงจะพูดเล่นไปตามประสาเด็กสาวช่างฝัน แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย...เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นและความทะยานอยากของลูกสาว มันฟ้องชัดว่าจริงจังอย่างที่พูด
“แม่แค่พูดให้ฟัง ไม่ได้บอกให้ไปอยู่กับเขา”
“อ้าว” จากที่ยิ้มบานแช่มชื่น ก็หน้าเง้างอด้วยความผิดหวัง
“ลูกคิดว่าการไปอยู่พระนครมันง่ายขนาดนั้นเลยรึ ที่นั่นไกลจากบ้านเรามาก แถมยังต้องไปอยู่ตัวคนเดียวอีก ไม่คิดว่าแม่จะเป็นห่วงบ้างเลยหรือไง”
“ไปอยู่ตัวคนเดียวที่ไหน แม่ก็เพิ่งบอกเองว่ามีป้าสายหยุด” พิมเถียง
“มันไม่เหมือนกัน ไปอยู่ที่อื่นยังไงก็ไม่สุขสบายเท่าบ้านเรา” ภาถอนหายใจยาว กุมมือลูกสาวขึ้นมาอย่างอ่อนจิตอ่อนใจ “คนเราดีก็ว่า ร้ายก็ว่า ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังถูกนินทาเลย แล้วนับประสาอะไรกับปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ล่ะลูก คนพวกนั้นมันไม่ได้มาหาให้เรากินเสียหน่อย ถ้าเราไม่สนใจเสียอย่าง เรื่องมันก็จบ พอมันเบื่อเดี๋ยวก็เลิกนินทากันไปเองนั่นแหละ”
“โอ๊ย...ฉันไม่ใช่พุทธเจ้านะแม่ ไม่ได้มีจิตใจสูงส่งอะไรขนาดนั้น ถ้าแม่ไม่พาฉันไป ฉันหาทางไปเองก็ได้” พิมไม่สนใจคำทัดทานของมารดา เวลามีใครพูดอะไรไม่เข้าหู เธอก็จะโกรธสะบัดสะบิ้งอย่างคนที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก
“ลูกเป็นผู้หญิง จะไปพระนครตัวคนเดียวได้ยังไง”
“ได้สิ ถ้าใจฉันอยากจะไปเสียอย่าง ต่อให้เป็นสวรรค์ฉันก็จะไป” ถึงพิมจะตอบออกไปอย่างมาดมั่น แต่ในใจยังไม่รู้หรอกว่าถ้าถึงเวลาต้องไปจริงๆ เธอจะไปเองได้อย่างไร
“เด็กคนนี้นี่ บอกอะไรไม่เคยเชื่อกันบ้าง”
“ไม่ว่าแม่จะพูดยังไง ฉันก็จะไปอยู่ดี ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากอยู่อีกแม้แต่วินาทีเดียว!” พิมประกาศกร้าว ภามองอย่างอิดหนาระอาใจ ลูกคนนี้อยากทำอะไร เธอเคยทัดทานได้สักที่ไหน
“เอ๊ะ นั่นมันไอ้น้อยนี่” แวบหนึ่งที่ภาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นน้อยยืนแข็งทื่อไม่พูดไม่จาอย่างเช่นทุกครั้ง
“ชังน้ำหน้านัก เป็นตัวซวย ตัวปัญหา ทำให้ครอบครัวฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน อับอายขายหน้าไปทั้งวงศ์ตระกูล แล้วยังจะมีหน้าโผล่มาให้ฉันเห็นอีกรึ หน้าด้านหน้าทนเกินไปแล้ว!”
เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าพิมจะออกมาจากบ้าน น้อยก็ยังยืนรออยู่ตรงนั้นจนมืดค่ำ ยุงก็รุมกัดอยู่อย่างนั้น ภาอดไม่ได้สงสารไล่ให้กลับบ้านไป แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดความพยายามที่จะคุยกับพิมให้ได้
หลังจากวันนั้นน้อยก็มายืนรอพิมแทบทุกวัน ในมุมที่พิมจะสามารถมองเห็นเขาได้ ด้านภารู้สึกเวทนาแกมกระอักกระอ่วนใจไปหมดทุกทาง...ก็คนมันรักของมัน ถึงจะไม่ได้มีวาสนาต่อกัน แต่ขอแค่ให้ได้เฝ้ามองคนที่รักอยู่ดีมีสุขก็เพียงพอสำหรับมันแล้ว ขณะที่พิม พอเห็นน้อยมาหาทุกวันก็รู้สึกรำคาญ ยิ่งอยากจะหนีไปให้ไกลๆ เสียให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าชาวบ้านผ่านมาแล้วเอาไปโพนทะนาต่อ ว่าไอ้น้อยคนบ้าใบ้มายืนรอเธอที่หน้าบ้านทุกวันอย่างนี้ มีหรือจะไม่เข้าใจผิดคิดกันไปใหญ่ ยิ่งทุกวันนี้เธอก็ไม่มีหน้าจะเดินออกจากบ้านไปไหนอยู่แล้ว ยังจะมากวนใจอยู่ได้
พิมบ่นอย่างหัวเสียกับบิดามารดาทุกวัน ว่าให้ไล่น้อยออกไปให้พ้นหูพ้นตา ทั้งสองคิดกลุ้ม ฝั่งนั้นก็น่าสงสาร ฝั่งนี้ก็ลูกสาว ไม่รู้จะทำอย่างไร... ถนอมจึงตัดสินใจว่าจะไปคุยกับน้อยให้เข้าใจ ในเมื่อลูกสาวไม่มีใจให้และไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว ไอ้น้อยก็ควรจะยอมรับและตัดใจ จะได้ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับพิมอีก
“ไอ้น้อยเอ๊ย...เอ็งกลับไปเสียเถอะ ยังไงลูกสาวข้าก็ไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”
ชายหนุ่มมีสีหน้าตื่นตระหนกอยากจะเอ่ยถามออกไปใจแทบขาด ถนอมก็เอ่ยต่อให้รู้ว่า
“พิมมันรู้แล้วว่าเอ็งคิดยังไงกับมัน จะบอกว่ามันรังเกียจเอ็งก็ไม่ผิดหรอก... อย่าหลงอย่ารอมันอีกเลย เอ็งมาตั้งหน้าตั้งตายืนรอลูกสาวข้าทุกวันแบบนี้ ชาวบ้านผ่านไปผ่านมาเขาจะเข้าใจผิดเอาได้”
สมองของน้อยเหมือนหยุดสั่งการไปชั่วขณะ แล้วหยดน้ำตาเม็ดเล็กๆ ก็ไหลลงมาเกินจะควบคุม เขารู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีวันได้สมหวังกับพิม แต่ไม่คิดว่าพิม เพื่อนเพียงคนเดียว จะกล้าตัดสัมพันธ์ที่มีต่อกันมาสิบกว่าปีได้ลงคอ ชายหนุ่มอดคิดน้อยใจไม่ได้ ที่ผ่านมา...ทุกสิ่งที่เขาทำให้ มันไม่มีค่าในสายตาเธอเลยหรือ
********************
วันต่อมา พิมเก็บมะม่วงอยู่ในสวน เสร็จแล้วหญิงสาวก็เดินดุ่มๆ ไปโดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครบางคนแอบซ่อนตัวอยู่หลังต้นมะม่วงต้นใหญ่ ไม่นานนัก...เจิดก็รีบปราดเข้ามาขวางไว้
“เดินกระฟัดกระเฟียดแบบนี้ โกรธใครมาหรือจ๊ะคนสวย” เจิดโผล่เข้ามาทำท่าเล่นหูเล่นตาด้วย
“ไอ้เจิด!” พิมตกใจหน้าซีด เธอชังน้ำหน้าเจิดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงตอนนี้ก็ยิ่งชังขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่ามันมีพ่อเป็นกำนันและร่ำรวยที่สุดในย่านนี้ละก็...มีหรือที่คนอย่างนังพิมจะยอมพูดด้วย
“หลบไป ข้าจะกลับบ้าน”
พิมเลือกที่จะเดินผ่านหน้าเจิดไป แต่ทว่า...
“ข้ารู้นะว่าเอ็งคิดอะไรอยู่”
คำพูดสะกิดต่อมนั้น ทำให้พิมต้องหันกลับมาจ้องตอบสายตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น ที่จ้องมองมาราวกับรู้อะไรบางอย่าง
“สองสามวันมานี้เอ็งไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะกลัวคำติฉินนินทาที่เอ็งกับไอ้น้อยเป็นผัวเมียกัน เอ็งก็เลยอยากหนีไปให้ไกลแสนไกล แต่ติดที่ไอ้น้อยมันก็ยังมาหา มาคอยกวนใจเอ็งไม่เลิก...ข้าพูดถูกใช่ไหมล่ะ”
“เอ็งรู้ได้ยังไง”
“เพราะข้า...พอจะเดาสันดานคนอย่างเอ็งออกน่ะสิ” เจิดตอบกลั้วหัวเราะ
ใช่! เขารู้ไส้รู้พุงผู้หญิงอย่างพิมดีเชียวละ! ยอมรับว่าเมื่อก่อนก็เฝ้ามองเจ้าหล่อนเพราะแอบมีใจให้ แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะความเห็นแก่ตัวและความหยิ่งผยองของเจ้าหล่อนที่เกินจะควบคุม ทำไมเขาจะต้องมาเสียเวลาสนใจหล่อนด้วย ในเมื่อทุกวันนี้ก็มีผู้หญิงวิ่งเข้าหาเขาจนเลือกใช้แทบไม่ทัน
“ข้าจะทำอะไร จะอยู่หรือไป แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเอ็ง”
“เกี่ยวสิ! เพราะข้าอยากช่วยเอ็งหนีหน้าไอ้น้อยยังไงล่ะ”
“คนอย่างเอ็งน่ะรึจะช่วยข้า” พิมร้องตะลึงเหลือเชื่อ
“ใช่”
หญิงสาวเบะปาก ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
“คนอย่างเอ็งจะช่วยใครเป็น ถ้าไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง เอ็งไม่ช่วยข้าให้เปลืองแรงหรอก”
“ฮ่าๆๆ ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่มาพูดกับเอ็ง” เจิดหัวเราะถูกใจ “ข้ารู้มาว่าเอ็งอยากจะเข้าไปอยู่ในวัง เผื่อภายภาคหน้ามีเจ้านายถูกตาต้องใจ ได้เอ็งเป็นเมียขึ้นมา เอ็งก็อย่าลืมแผ่ใบบุญมาถึงข้าบ้าง...มันก็แค่นั้น”
พิมจิกตาใส่ ที่ว่าแผ่ใบบุญ...ก็คงไม่พ้นให้เธอช่วยทำเรื่องไม่ดีแน่ พวกไอ้เจิดหูตาไวยังกับสับปะรด พวกมันรู้ทุกความเคลื่อนไหวของทุกคนในท่าเตา นี่แสดงว่าคนของมันคงได้ยินเรื่องที่เธอคุยกับคนในครอบครัวมาแน่ๆ
“เข้าพระนครมันไม่ได้ง่ายนักหรอกนะคนสวย ถ้าไม่มีคนช่วย เอายังไง ข้าพาเอ็งไปได้นา...” เจิดย้ำ
พิมรู้ว่าเจิดเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย และก็ไม่ใช่คนที่เธอจะไว้ใจได้ง่ายๆ แต่ข้อเสนอของมันครั้งนี้น่าสนใจไม่น้อย เพราะหากให้รอมารดาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไป ดูท่าแล้วคงไม่ยอมง่ายๆ ด้วย เธอร้อนใจ อยากจะหนีไปให้ไกลจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะไป ไปให้พ้นๆ จากชีวิตเฮงซวยนี่! และจะได้ตัดจบเรื่องระหว่างเธอกับน้อยให้สิ้นซากเสียที พอลองมาคิดดูแล้วยอมใช้ไอ้เจิดเป็นไม้กันหมาสักครั้งก็คงไม่เสียหาย ในวังออกจะมีกฎระเบียบเข้มงวดมากมาย ไอ้เจิดคงไม่ได้พบเธอง่ายดายนัก
“ก็ได้! แล้วแผนของเอ็งว่ายังไงล่ะ”
********************
ช่วงเย็นๆ ของวันต่อมา พิมที่ร่วมมือกับเจิด ตกลงกันว่าจะให้ลูกน้องของเจิดไปดึงความสนใจน้อยไว้ เพราะระหว่างที่จะพาพิมไปนั้น เป็นช่วง เวลาที่น้อยน่าจะกลับจากโรงสีพอดี เจิดจึงต้องหาทางกันน้อยออกไปก่อน เพื่อจะได้ขับรถพาพิมไปส่งถึงวังที่ป้าสายหยุดทำงานอยู่ได้สะดวก โดยที่บิดามารดาของหญิงสาวเองก็ไม่ได้รู้เห็นด้วยเลย
ในระหว่างที่พิมกำลังหาทางออกมาจากบ้าน... ที่กระท่อม บ้านของน้อย ‘ไอ้ไป่’ ลูกน้องของเจิดกำลังแอบด้อมๆ มองๆ อยู่ในที่ลับตา เมื่อมองเข้าไปในกระท่อมไม่เห็นแม้แต่เงาของน้อย ก็มั่นใจว่ามันยังไม่กลับมาจากโรงสีเป็นแน่ ยามนี้จึงมีเพียงมะลิคนเดียวเท่านั้นที่กำลังทำกับข้าวอยู่
ไป่กระหยิ่มยิ้มย่อง ช่วงเวลานี้แหละเหมาะที่สุด!
ไป่แอบย่องไปข้างหลังกระท่อม เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะกระโจนขึ้นมาบนชานเรือนอย่างรวดเร็ว และเริ่มรื้อค้นของไปทั่ว จังหวะนั้นเองที่มะลิได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากในกระท่อม เอะใจรีบเข้ามาดู เท่านั้นมะลิก็ตกใจเบิกตาโพลงแทบถลน เมื่อเห็นชายร่างสมส่วน คลุมหน้าคลุมตาเสียมิดชิดกำลังค้นของเธออยู่
“หยุดนะ! ช่วยด้วย!! ใครก็ได้ชะ...” มะลิร้องได้แค่นั้น มือหนาพุ่งเข้ามาปิดปากเธอแน่นเหลือแต่เสียงอู้อี้
ไป่สีหน้าเครียดจัด เพราะไม่คิดว่ามะลิจะทันเข้ามาเห็นเร็วขนาดนี้ ระหว่างที่กำลังจิตตกสับสนไม่รู้จะทำอย่างไร มะลิก็ถองเข้าให้ที่ท้องไป่จนหลุดออกมาได้ แล้ววิ่งหนีไป แต่ไม่ไวเท่าไป่ที่วิ่งตามมะลิมาติดๆ แล้วฉุดแขนมะลิไว้จนหล่อนเซล้มลงไปใกล้หม้อต้มข้าวที่กำลังเดือดปุดๆ เสี้ยววินาทีนั้น มะลิก็คว้าหม้อดินร้อนจัดสาดใส่ไอ้ไป่อย่างรวดเร็ว ทำให้ไป่สะดุ้งโหยง ดีดตัวร้อนลุกลน
มะลิฉวยโอกาสนั้นจะวิ่งหนีอีกรอบ แต่ไป่ตั้งสติได้ทัน กัดฟันแน่นด้วยความโมโห คว้าฟืนที่วางอยู่ใกล้มือฟาดใส่หลังมะลิจนล้มลงไป เพียงเท่านี้ก็น่าจะดึงความสนใจน้อยได้แล้ว เพราะถ้ามันรู้ว่าแม่ของมันบาดเจ็บ ก็ต้องอยู่ดูแลแม่ก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไป่ยังแค้นที่มะลิสาดข้าวร้อนๆ ใส่ตน เลือดขึ้นหน้ากระหน่ำฟาดเอาๆ ไม่ยั้งมือจนสาแก่ใจ...
ด้านช้อนที่เพิ่งกินเหล้ามา เดินโซเซมาแต่ไกล เห็นเมียตัวเองกำลังถูกทำร้ายก็รีบวิ่งขึ้นเรือนตะครุบไอ้โจรชั่วไว้จากด้านหลัง ก่อนจะกระชากผ้าขาวม้าหลุด เผยให้เห็นใบหน้าของไอ้โจรใจดำ ช้อนตะลึงจำได้ว่าไอ้ไป่ เป็นหนึ่งในพวกของไอ้เจิด ลูกชายของกำนันเทิ้มที่ชอบมีเรื่องกับน้อยเป็นประจำ
ไป่ตกใจที่ช้อนเห็นหน้า สายตาล่อกแล่กไม่รู้จะทำอย่างไร รีบผลักช้อนล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในป่าละเมาะข้างๆ ไป่วิ่งสุดฝีเท้าด้วยความหวาดกลัว จนกระทั่งถึงจุดที่นัดหมายกับเจิดไว้
รถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ที่ป่าละเมาะข้างทางใกล้ๆ สวนของถนอม เจิดกำลังนั่งรอพิมอยู่ในรถ พอเห็นคนของตนวิ่งมาก็รีบเปิดประตูรถลงไปถาม
“ไอ้ไป่ ทำไมมึงมาช้าจังวะ” เจิดบ่น เห็นไป่หน้าซีด เอามือปาดเหงื่อก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่อง “แล้วงานที่ข้าให้เอ็งไปทำ สำเร็จไหม”
“สำเร็จจ้ะ แต่ฉันพลั้งมือใช้ไม้ฟาดมันไปหลายครั้ง ฉันไม่แน่ใจว่ามันตายหรือเปล่า”
“โธ่เว้ย! กูบอกแล้วใช่ไหมว่าแค่ปล้น ไม่ต้องทำร้ายให้ถึงตาย ถ้ามันตายขึ้นมาจะว่ายังไง”
ไป่ก้มหน้าซีด แต่มีอีกเรื่องที่ใหญ่กว่า...
“ระ...เรื่องนั้นยังไม่สำคัญ เท่ากับว่ามีคนเห็นหน้าฉันแล้ว!”
เจิดตาลุกด้วยความตกใจ
“ตอนนี้ฉันกลัวมาก ฉันกลัวจะถูกจับเข้าคุก ลูกพี่ต้องช่วยฉันนะ”
“ใครเห็นหน้ามึง” เจิดเค้นถาม
“ไอ้ช้อนพ่อของไอ้น้อย”
เจิดหัวเสียพอสมควร ทีแรกเขาคิดแผนนี้ก็กะหาเรื่องแกล้งไอ้น้อยมัน ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต แต่พอพิจารณาแล้วก็คงไม่เป็นไร ช้อนวันๆ กินแต่เหล้าจนประสาทเสียขนาดนั้นจะไปจดจำอะไรได้ หรือถึงมันจำได้ ใครจะเชื่อคนเมาอย่างมัน
“งั้นเอ็งเอาเงินที่ปล้นมาได้หนีลงใต้ไปสักพัก พอข่าวซาแล้วค่อยกลับมา”
“จ้ะ” ไป่พยักหน้ารับ เหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็รีบวิ่งหายลับไปทันที
พิมที่เพิ่งออกมาจากบ้านได้ พร้อมสัมภาระมากมาย มองตามไป่ไปอย่างงงๆ ทันได้ยินเจิดกับไป่คุยกันแว่วๆ ก็ร้องถาม
“เอ็งใช้ไอ้ไป่ไปทำอะไร ทำไมต้องสั่งให้มันหนีลงใต้ไปด้วย”
คำถามนั้นทำเจิดชะงักงัน หันขวับ ไม่คิดว่าพิมจะมาเห็นพอดี
“ไหนว่ากว่าจะออกมาได้ ต้องรออีกสักพัก”
“ก็มันได้จังหวะพอดีเลยรีบออกมาก่อนไม่ได้หรือไง” พิมตอบเสียงหงุดหงิด “แล้วตกลงไอ้ไป่มันไปทำอะไร ใช่แผนเอ็งหรือเปล่า”
เจิดเท้าสะเอวชั่งใจอยู่ครู่ แต่ในเมื่อเจ้าหล่อนได้ยินอย่างนี้แล้ว เขาก็ไม่อยากจะปิดบัง... พอเจิดเล่าจบพิมก็ถึงกับตะลึงงัน สิ่งแรกที่พุ่งเข้ามาในหัวคือความรู้สึกผิด เพราะไม่ได้รู้เรื่องแผนการอะไรนี้ด้วยเลยสักนิด เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องมีคนตาย มันมากเกินไปแล้ว!
“อะไรนะ! ไอ้ไป่ฆ่าน้ามะลิ”
“เออ ตอนนี้เรารีบหนีเข้าพระนครกันก่อนเถอะ ก่อนจะมีใครผ่านมาเห็นแล้วสงสัย” เจิดรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“โอ๊ย! พวกโง่” พิมตวาดใส่เจิดเสียงดังลั่น “ข้าไม่น่าร่วมมือกับเอ็งตั้งแต่แรกเลย ถ้ามีใครรู้แล้วสาวมาถึงตัวข้า อนาคตข้าจะเป็นยังไง นังพิมไม่อยากติดคุกติดตะราง กินข้าวแดงกับน้ำปลาก่อนจะได้ผัวหรอกนะเว้ย”
เจิดเบือนหน้าอย่างเอือมระอา คิดว่าจะกังวลเรื่องอะไร ที่แท้กลัวว่าตัวเองจะหาผัวไม่ได้นี่เอง
“ก็คนมันพลาดไปแล้ว แทนที่จะมาเถียงกัน ตอนนี้เอ็งรีบขึ้นรถแล้วไปจากที่นี่ดีกว่าไหม ไม่งั้นไอ้แผนการที่ทำกันมาทั้งหมดก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
พิมกอดอกทำหน้าบึ้ง มองหน้าคนก่อเรื่องอย่างเคืองไม่หาย แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้เธอหันหลังกลับก็คงจะยาก มีทางเดียวคือต้องเดินหน้าต่อ...
พิมยัดสัมภาระที่หอบหิ้วมาใส่ท้ายรถ จะเปิดประตูขึ้นรถไป แต่แล้วเสียงใครบางคนก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเธอ
“พิม!”
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.พ. 2565, 10:05:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.พ. 2565, 10:05:09 น.
จำนวนการเข้าชม : 298
<< บทที่ 1 เหตุเกิดที่งานวัด | บทที่ 3 เศษธุลี >> |