วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:

เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน

หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก

ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ

. . . . . . . . . . . . . .

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ


***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ

2.ร้านออนไลน์

3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า

สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา

ตอน: บทที่ 3 เศษธุลี

ภายในโรงสีข้าว มีชายฉกรรจ์หลายสิบคนเทียวแบกกระสอบข้าวขึ้นลงรถบรรทุกไปมาให้วุ่น หนึ่งในนั้นมีน้อยรวมอยู่ด้วย วันนี้ทั้งวันชายหนุ่มแบกกระสอบข้าวไปหลายสิบกระสอบ หลังที่ว่าแกร่งก็เริ่มล้าเต็มที

หลังจากที่น้อยวางกระสอบข้าวถุงสุดท้ายใส่รถเสร็จ มือด้านที่ชินชาต่อการทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก หยิบผ้าขาวม้าที่คล้องคออยู่ขึ้นซับเหงื่อไคลบนใบหน้าด้วยความเหนื่อยล้า พอหันหลังกลับมาก็เห็น ‘ไอ้เข้ม’ เพื่อนที่โรงสีตรงเข้ามาหาใบหน้าตื่นตระหนก

“ไอ้น้อย! แย่แล้วโว้ย เมื่อกี้พ่อเอ็งฝากคนมาบอกว่าแม่เอ็งถูกโจรปล้นทำร้าย ตอนนี้อาการสาหัสเป็นตายเท่ากัน”

น้อยหน้าซีดทันทีที่รู้ข่าว พอตั้งสติได้ก็รีบวิ่งกลับมาบ้านทันที แต่ไม่คิดว่าระหว่างทางก่อนจะถึงบ้าน จะได้เห็นหญิงสาวอันเป็นที่รัก กำลังขนกระเป๋าเสื้อผ้าใส่รถจะขึ้นรถไปกับไอ้เจิดพอดิบพอดี

“นั่นพิมกำลังจะไปไหน” น้อยปรี่เข้าไปหาหญิงสาวด้วยใจร้อนรน

พิมหน้าซีดราวกับเห็นผี พอเห็นน้อยจะเข้ามาใกล้ก็รีบเปิดประตูจะขึ้นรถ แต่ไม่ไวเท่ามือใหญ่ที่เข้ามาคว้าแขนเธอไว้ทัน

“พิมอย่าไปเลยนะ”

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะพี่ใบ้” พิมพยายามสะบัดแขนออก

“ไม่ พี่ไม่ปล่อย”

“โอ๊ย! ฉันบอกให้ปล่อยไง” เธอตวาด

ด้านเจิดที่กลับขึ้นรถไปก่อนแล้ว เห็นเหตุการณ์ก็รู้สึกรำคาญแทน เขาอุตส่าห์วางแผนเสียดิบดี แต่ไอ้น้อยก็ดันมาตามตอแยอีกจนได้ เจิดรีบลงจากรถตรงเข้ามาประชิดตัวน้อย

“ไอ้น้อย มึงปล่อยพิมเดี๋ยวนี้นะเว้ย” สิ้นคำ หมัดก็สวนเข้าหน้าเปื้อนเหงื่อ จนน้อยเซถลาราวกับนกปีกหัก น้อยเม้มปากที่แตก กลืนเลือดลงคอซับความเจ็บปวด ก่อนจะพุ่งไปจับมือเล็กของพิมด้วยสายตาเว้าวอน

“พิม...พิมอย่าไปเลยนะ พี่เป็นห่วงพิม” เขาไม่ได้ขอร้องให้เธอกลับ มาเพื่อรักเขา แต่เพราะความผูกพันและหวังดีกับเธอมาโดยตลอดทำให้เขาไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ เมื่อเห็นว่าเส้นทางที่เธอเลือกไปไม่ได้เป็นเรื่องดีเลย

พิมสะบัดมือน้อยออกอย่างไม่ไยดี

“พี่มีสิทธิ์อะไรมาเป็นห่วงฉัน ดูสภาพตัวเองก่อนเถอะ ไม่มีทางสู้แล้วยังจะมาแส่อีก...” หล่อนหันกลับมามองเหยียด “ถ้าพี่เป็นห่วงฉันจริงๆ พี่ควรจะปล่อยฉันไปสิ ให้ฉันไปได้ดี”

“พี่เป็นห่วงพิมจริงๆ พี่ไม่อยากให้พิมต้องไปไขว่คว้าในสิ่งที่เกินตัว พิมควรจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี อย่าไปเลยนะพิม”

พิมมองน้อยด้วยสายตาเกรี้ยวกราด คำพูดของเขาเหมือนไม่อยากเห็นเธอได้ดีมากกว่า! พิมโกรธจนระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่

“พี่เป็นห่วงฉันหรือพี่อิจฉาฉันกันแน่ ถ้าพี่คิดดีต่อฉันจริง พี่ก็คงไม่มาขวางฉันแบบนี้หรอก”

“พิมก็รู้ว่าพี่รักพิม...” เสียงครางละห้อยเอ่ยออกมาจากใจ

“ถุย!” เจิดแสร้งถ่มน้ำลายดูถูกดูหมิ่น “น้ำหน้าอย่างเอ็งไม่มีใครเขาเอาหรอก จนก็จน แถมยังเป็นใบ้อีก ไม่มีใครเขาอยากเอาคนใบ้มาทำผัวหรอก”

พิมกลืนน้ำลายอึก กระอักกระอ่วนใจที่จะพูดความจริง แต่ในเมื่อสิ่งนั้นคือความรู้สึกที่แท้จริงของเธอที่มีต่อเขา ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องเสแสร้งอีกต่อไปแล้ว

“ฉันรู้มาตลอดว่าพี่รักฉัน... แต่ฉันไม่เคยรักพี่ รู้เอาไว้ซะ ที่ฉันลดตัวลงมาคบกับพี่ก็เพราะพี่มันเป็นคนหัวอ่อน ฉันก็แค่หลอกใช้พี่ก็เท่านั้น จนก็จน ที่ซุกหัวนอนยังต้องอาศัยคนอื่นอยู่เลย คนอย่างนังพิมไม่มีวันไปกัดก้อนเกลือกินหรอก ฉันเกลียดความจน เกลียดพี่ด้วย! ได้ยินไหม!!”

น้อยได้ยินชัดทุกถ้อยคำ ทุกคำโกหกที่เธอเคยเสแสร้งแกล้งทำใส่เขามาโดยตลอด ยังไม่เจ็บปวดเท่าความจริงที่เธอพูดออกมาจากใจในเวลานี้...มันเทียบไม่ได้เลย โดยเฉพาะคำพูดทิ้งท้ายว่าเธอเกลียดเขานักหนา ทุกอย่างฟ้องชัดเจนออกมาจากสายตาคู่นั้น...ที่แม้แต่คำว่าคนรู้จัก พิมก็คงไม่อยากใช้มันกับเขาด้วยซ้ำ

“ความจนมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอพิม” เขาเอ่ยออกมาน้ำเสียงสั่นเครืออย่างทดท้อสิ้นหวัง

“ใช่” พิมเสียงดังตอกกลับอย่างไม่ยี่หระ

“แล้วความรักความปรารถนาดีที่พี่มีให้พิมมาตลอดล่ะ”

“ความรักมันกินไม่ได้ เงินต่างหากที่กินได้”

ชายหนุ่มหลุบตาเศร้า ก่อนที่น้ำตาลูกผู้ชายจะร่วงลงมาอย่างน่าขัน น้อยใช้มือปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก เงยหน้าขึ้นมองพิมอีกครั้ง

“แล้วพี่ต้องทำยังไง พิมถึงจะรักพี่”

ไม่รู้อะไรสั่งให้เขาโพล่งถามออกไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าสิ่งที่พิมต้องการ เขาไม่มีวันให้ได้

“ถ้าฉันบอกว่าฉันอยากเป็นหม่อม พี่จะทำให้ฉันได้ไหม ถ้าทำได้เมื่อไหร่ ฉันจะยอมรับรักจากพี่”

คำตอบของพิมทำเจิดหัวเราะลั่น

“เอ็งนี่มันน่าสมเพชจริงๆ เล้ย คนไม่มีวาสนาอย่างเอ็ง คงต้องตายแล้วเกิดใหม่อีกสักสิบชาติ กว่าจะได้สมหวังกับนังพิม”

น้อยมองพิมด้วยสายตาตัดพ้อ ในเมื่อเธอรังเกียจเขา ซ้ำยังพูดจาดูถูกดูแคลนอย่างไม่เหลือเยื่อใยต่อกัน เขาก็ยินดีจะปล่อยเธอไปในเส้นทางที่เธอเลือก และภาวนาว่าเส้นทางนั้นจะเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับเธอ เพราะเขาเองก็รักและหวังดีต่อเธอ อยากเห็นเธอมีความสุขเช่นกัน

พิมรำคาญสายตาคู่นั้น ผู้ชายขี้แพ้อย่างน้อย จะไปมีปัญญาทำอะไรได้...นอกจากเป็นกุลีโรงสีไปจนวันตาย

“เราไปกันเถอะ เสียเวลามามากพอแล้ว”

พิมหน้าบึ้ง เดินไปเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นรถอย่างเร่งรีบ ไม่แม้แต่จะหันกลับมาชายตาแลมองน้อยให้เสียอารมณ์

เจิดยิ้มเจ้าเล่ห์ คนกระจอกงอกง่อยแบบนั้น ตายไปเสียก็คงไม่มีใครสนใจ เจิดนึกสนุกส่งสายตาเรียกพรรคพวกที่เหลือออกมาก่อนจะขึ้นรถไป อยากจะใช้ไอ้น้อยซ้อมเป็นลูกฟุตบอลเสียหน่อย ก่อนจะไปบุกไอ้พวกนักเลงฝ่ายใต้ที่ชอบมารุกล้ำอาณาเขตหากินของกำนันเทิ้มอยู่เป็นประจำ

น้อยยืนมองรถที่เคลื่อนจากไปด้วยแววตาสิ้นหวัง เขากำลังจะหันหลังกลับ...ไม่นานนัก ก็มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์เร่งเครื่องดังอึกทึกแล่นเข้ามาขวางไว้ และลูกน้องของกำนันเทิ้มอีกห้าหกคนที่ซุ่มอยู่ข้างทาง วิ่งปราดจะเข้ามาทำร้ายชายหนุ่มอย่างน่ากลัว น้อยชะงัก กวาดตามองไปรอบๆ เห็นมีแต่พวกหน้าโจรใจเหี้ยมทั้งนั้น

ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์หนึ่งในนั้นวิ่งเข้ามาหวังจะจู่โจม แต่น้อยก็สวนหมัดเข้าใส่ ซ้ำยังเตะผ่าหมากไปหนึ่งดอก พร้อมกันยังก้มหลบเท้าจระเข้ฟาดหางของชายอีกคนที่พุ่งเข้ามาจะทำร้ายอย่างหวุดหวิด แล้วก็หันมาตุ๊ยท้องด้วยหมัดหนักใส่ไอ้ร่างยักษ์จนน่วมลงไป แต่ไม่ทันได้หายใจหายคอ แขนล่ำบึ้กก็เข้ามารัดคอจนหายใจแทบไม่ออก

“เก่งนักเหรอมึง” 

จากนั้นไอ้ร่างยักษ์ก็รัวซัดหมัดเข้าท้องของน้อยอย่างแรง จนเขาล้มลงไปกองกับพื้น พอเห็นว่าน้อยเริ่มเพลี่ยงพล้ำ จากนั้นเท้าสิบกว่าคู่ก็ตะลุมบอนใส่กันชุลมุนจนร่างหนาอ่อนปวกเปียก ร่างกายแกร่งที่เคยแบกหามได้เป็นอย่างดี ตอนนี้เจ็บระบมไปทุกสัดส่วน แม้แต่เรี่ยวแรงจะลืมตาขึ้นมาก็ยังไม่มี

“พอได้แล้วพวกมึง เดี๋ยวมันตายกันพอดี”

ด้านพวกของเจิดพอเห็นว่าสาแก่ใจแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง


******************

ดวงตาพร่ามัวเห็นแสงไฟดวงน้อยห้อยติดอยู่ที่เสาสะท้อนใส่ตา...ย้อนคิดกลับไปถึงเรื่องราวก่อนหน้านั้น จำได้ว่าแม่มะลิถูกโจรใจเหี้ยมบุกทำร้ายปางตาย

“แม่!” น้อยร้องครางหาด้วยความเป็นห่วง เขาช่างบาปหนา เรื่องผู้หญิงไฉนจะสำคัญไปกว่าบุพการี สิ้นความคิดนั้นดวงตาห้าวหาญดุจมีพลังขึ้นมา แม้ภายในจะยังบอบช้ำอยู่มาก แต่ชายหนุ่มก็กัดฟันลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะเดินกึ่งวิ่งกระท่อนกระแท่นจนถึงบ้านในที่สุด

น้อยรีบวิ่งขึ้นมาบนเรือน เห็นร่างของมารดานอนนิ่ง ที่ศีรษะมีเลือด ออก แถมตามลำตัวยังมีรอยช้ำเต็มไปหมด เห็นแล้วน้ำตาลูกผู้ชายก็หลั่งรินลงมาด้วยความสะเทือนใจ

“แม่... แม่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ ใครทำร้ายแม่” น้อยโผเข้ากอดมารดาที่ปรือตาขึ้นมามอง อาการสะลึมสะลือคล้ายอ่อนแรงลงทุกที พอสัมผัสที่มือก็เย็นเฉียบจนน่าตกใจ นี่แม่กำลังจะจากเขาไปแล้วจริงๆ หรือ...!

คำถามของน้อยในวินาทีแรกที่กลับถึงบ้าน กระทบใจช้อนที่ยังคงนั่งน้ำตาซึมอยู่ข้างๆ ภรรยา เมื่อสมองนึกถึงหน้าของไป่ ในใจก็เหมือนมีไฟลุกโหมขึ้นมา

“ถ้าเอ็งอยากรู้ เอ็งก็ไปถามไอ้เจิดดูสิวะ ว่าใครที่ทำร้ายนังมะลิปางตาย”

น้อยหูผึ่ง หันขวับไปสบตาบิดาที่นั่งระทมจมน้ำตาอยู่ข้างๆ

“ไอ้เจิดมันเกี่ยวอะไรด้วยจ๊ะพ่อ”

ถึงช้อนจะไม่ตอบ แต่น้อยก็ไม่ได้โง่เกินกว่าจะปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ พอนึกย้อนกลับไปก่อนจะถึงบ้านเมื่อครู่นี้ บังเอิญเจอไอ้เจิดกับพิมอยู่ด้วยกันแถวนี้พอดี “หรือว่ามัน...”

“ช่างเถอะลูก” มะลิเอ่ยขึ้นเสียงแหบพร่า เธอรู้ตัวดีว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก ไม่อยากจะใส่ใจแล้วว่าใครเป็นคนทำ เธอตระหนักรู้ว่าชีวิตก็มีอยู่แค่นี้ มีเกิดก็ต้องมีตายเป็นธรรมดาของโลก แต่มีบางเรื่องที่เธอคงจะเสียใจมากและคงตายตาไม่หลับ หากไม่ได้บอกลูกชายก่อนสิ้นใจ

“แม่ขอโทษ... แม่อาจจะเป็นแม่ที่ไม่ดี ปกป้องอะไรเอ็งก็ไม่ได้ แต่แม่ก็รักเอ็งมากนะ เอ็งคือแก้วตาดวงใจของแม่นะไอ้น้อย” เสียงแหบแห้งเอ่ยติดๆ ขัดๆ ใบหน้าของมะลิดูเหนื่อยล้าเต็มที

แต่ก่อนมะลิเคยคิดว่าตนไม่มีปัญญาจะเลี้ยงลูกให้เติบโตเป็นคนดีได้ เพราะสิ่งแวดล้อมที่น้อยต้องพบเจอมาตั้งแต่เด็กนั้นโหดร้ายเหลือเกิน แต่ไอ้ลูกชายคนนี้ ก็เป็นคนดีให้สมปรารถนา เธอจึงภาคภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้เป็นอย่างมาก

หากเธอตายไปแล้ว น้อยจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ไม่ว่าต่อจากนี้ชีวิตของเขาจะเป็นเช่นไร แต่มันคือชะตากรรมที่น้อยจะต้องผ่านมันไปให้ได้...

แต่ใครจะคิดว่าตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา จะมีความลับที่ซ่อนอยู่เกินความคาดหมายของทุกคน

“จริงๆ แล้ว เอ็งไม่ใช่ลูกแม่”

ดวงตาที่บอบช้ำด้วยความเจ็บปวดสั่นระริก คิดว่าตนอาจจะฟังผิดไป...

“มะ...แม่พูดว่าอะไรนะจ๊ะ”

 มะลิเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เธอดีใจที่ได้บอกความจริงกับลูกแล้ว แต่ยังมีของสำคัญอีกหนึ่งสิ่งที่เธออยากมอบให้ลูกชายเก็บไว้เป็นมรดก... นิ้วเรียวเล็กชี้สั่นๆ ไปที่หิ้งพระบนผนังสูง

“ปะ...ไปเอา พะ...พระพุทธรูปลงมา แล้วดูที่ฐาน” มะลิบอกอย่างยากลำบาก

น้อยรีบลุกไปทำตามที่มารดาบอก และพบว่ามีถุงเล็กๆ ซุกซ่อนไว้ใต้ฐานพระพุทธรูป เขานำบางสิ่งในนั้นออกมาดู ก็พบว่าเป็นสร้อยเส้นหนึ่ง มีจี้ทองฝังเพชรล้อมรอบตัวอักษรวอแหวน คล้ายกับเป็นตราสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง... ในระหว่างนั้นช้อนที่มัวแต่นั่งร้องไห้เสียใจ จึงไม่ได้สนใจ มะลิรู้ดีว่าถ้าช้อนเห็นสร้อยเส้นนั้น คงไม่พ้นเอาไปขายแลกเงินซื้อเหล้าอีกตามเคย เธอจึงต้องเก็บซ่อนสร้อยเส้นนี้เอาไว้ในที่ลับตา เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม ที่จะบอกความจริงทั้งหมดแก่ลูกชาย

“เอ็งเก็บสร้อยเส้นนี้ไว้ให้ดี มันเป็นสร้อยที่ติดตัวเอ็งมาตั้งแต่เด็ก เอ็งเก็บไว้ให้ดี...”

น้อยยังงุนงง เกิดคำถามมากมายภายในใจ เขามองสร้อยในมือก็รู้สึกใจหาย พอหันกลับมามองใบหน้าซีดเซียวของแม่มะลิก็พบว่าหลับตานิ่งไป น้อยใจคอไม่ดี ใช้นิ้วอังที่จมูกของมารดาก็พบว่าไม่มีลมหายใจออกมาสัมผัสนิ้วแล้ว

“แม่!” น้อยร้องเรียกมารดาแทบขาดใจ ก่อนจะโผเข้ากอดร่างไร้วิญญาณของผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิตเอาไว้แน่น

เสียงสะอื้นไห้อย่างน่าเวทนาพาให้บรรยากาศรอบเรือนหลังนั้นวังเวงจับจิต เสียงร้องไห้ระงมดังไปทั่วทุ่งบัว จิ้งหรีดเรไรที่พากันส่งเสียงร้องอยู่เป็นประจำวันนี้กลับมีแต่เสียงร้องไห้ของชายหนุ่ม

ช้อนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปกันไปหมด เขาทั้งโกรธทั้งเสียใจที่เมียต้องมาตายเปล่าเพราะปัญหาโง่เง่าของไอ้น้อย หากมันไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกไอ้เจิด เรื่องทั้งหมดนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น และมะลิก็คงไม่ต้องตายอย่างอนาถ

ช้อนปาดน้ำตา พุ่งเข้าไปผลักน้อยออกไปให้พ้นจากร่างไร้วิญญาณของภรรยา

“อย่าแตะต้องเมียข้า!”

ช้อนตวาดใส่ ท่าทางน่ากลัวจนทำให้น้อยถึงกับชาไปทั้งตัว ชายหนุ่มยังเสียใจเรื่องที่ต้องสูญเสียมารดาไปอย่างกะทันหัน แล้วนี่คนที่เขาเรียกว่าพ่อมาทั้งชีวิตก็มาพาลรังเกียจเขาไปอีกคนอย่างนั้นเหรอ...

“เป็นเพราะเอ็งทำให้เมียข้าต้องตาย รู้อย่างนี้ ข้าน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากเอ็งให้ตายไปตั้งแต่เด็กก็ดี ไอ้ตัวซวย ไอ้ตัวกาลกิณี”

ช้อนรู้มาตลอดว่าน้อยไม่ใช่ลูกของตนกับมะลิ เพราะคืนหนึ่งมะลิไปทำงานที่ซ่องในพระนครก็อุ้มเด็กทารกหน้าตาน่ารักน่าชังกลับมาด้วย หวังจะเลี้ยงให้เป็นคนดูแลในยามแก่เฒ่า แต่ช้อนไม่เห็นด้วย เพราะทั้งสองนั้นยากจน จะไปมีปัญญาเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้โตได้อย่างไร เลี้ยงไปก็ตายเปล่า เพียงลำพังข้าวจะกินบางวันก็ยังไม่มี ถึงกระนั้นมะลิก็ยังยืนยันว่าจะเลี้ยงเด็กคนนี้ แม้จะต้องลำบากก็ตาม

“พ่อ!”

“ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพ่อ! ข้าไม่ใช่พ่อเอ็ง ไป! ออกไปจากบ้านข้า แล้วก็ไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก” ช้อนสติแตก เมียของเขาทั้งคนต้องตาย มันเกินจะรับไหว จากคนที่เคยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูก ตอนนี้คำนั้นจะไม่มีอีกแล้ว...ช้อนจับน้อยฉุดกระชากลากถูออกมาจากกระท่อมอย่างทุลักทุเล พอถึงชานเรือนก็ผลักตกลงไปก้นกระแทกพื้น ไม่สนใจความรู้สึกของคนที่ถูกกระทำเลยแม้แต่น้อย

“ออกไป ถ้าเอ็งกลับมาให้ข้าเห็นหน้า ข้าจะฆ่าเอ็ง!” ช้อนคำรามเสียงดัง น้อยน้ำตารื้นไร้เรี่ยวแรงจะเอ่ยคำใด ยังสับสนกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เขาได้แต่เงยหน้ามองบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ทำไมช่างใจร้ายนัก...

ช้อนมองหน้าน้อยกำมือเดือดดาล ก่อนจะหันหลังให้ ปิดประตูกระท่อมใส่อย่างแรง เท่านั้นน้อยก็น้ำตาร่วงเผาะ เพิ่งจะรู้ความจริงก็วันนี้...ที่ผ่านมาตลอดยี่สิบกว่าปี ความรักความผูกพันที่คิดว่าผู้เป็นพ่อมีให้ แท้จริงแล้วมันไม่เคยมีอยู่จริง เคยคิดว่าที่พ่อตีเพราะว่าพ่อรัก ที่พ่อไม่เคยส่งเสริมให้เรียนหนังสือ เพราะว่าพ่อมีเหตุผล... แต่เหตุผลที่แท้จริงคือพ่อเกลียดเขา พ่อโทษว่าเขาทำให้แม่มะลิต้องตาย ทุกคนที่เขารักต่างเกลียดชังเขาทั้งหมด เขามันเป็นตัวซวย ไม่มีใครเห็นค่า ไม่มีใครรัก ไม่มีใครต้องการ ถึงตายไปก็คงไม่มีใครจดจำชื่อไอ้น้อยคนนี้

ต่อจากนี้ไป ชีวิตคนชั่วช้าอย่างเขาจะเป็นอย่างไรคงไม่สำคัญ แล้วจะสู้ต่อไปเพื่ออะไรกัน ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตได้มลายหายไปหมดแล้ว...


หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.พ. 2565, 12:57:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.พ. 2565, 12:59:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 246





<< บทที่ 2 ความทะเยอทะยานเป็นเหตุ   บทที่ 4 ได้เวลาเปิดวัง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account