วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:

เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน

หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก

ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ

. . . . . . . . . . . . . .

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ


***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ

2.ร้านออนไลน์

3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า

สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา

ตอน: บทที่ 4 ได้เวลาเปิดวัง

“นี่นะรึ วังราชสาสน์ ช่างงดงามใหญ่โตเอาเรื่อง”

พิมตาลุกวาว ยืนมองประตูรั้วเหล็กบานใหญ่สุดคลาสสิก ปราการด้านแรกที่จะต้องผ่านไปให้ได้ แค่ประตูทางเข้ายังงดงามขนาดนี้แล้วข้างในจะขนาดไหน พอมองเข้าไปก็เห็นวังสีชมพูหลังใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า ทั้งหลังสร้างด้วยไม้สไตล์บาวาเรียน เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่สะดุดตา หากใครขับรถผ่านไปมาไม่พ้นต้องเหลียวมองอัตโนมัติ

“แน่ละ วังเจ้านาย ก็ต้องใหญ่โตสมฐานะเป็นธรรมดา ได้ดีเมื่อไหร่อย่าลืมข้าละ... ไม่งั้นเองเจอดีแน่นังพิม” เจิดไม่พ้นแว้งทวงสัญญาที่ตกลงกันไว้แต่ต้น

พิมแอบกลอกตามองบน บางครั้งก็รู้สึกหงุดหงิด จนถึงตอนนี้ก็ยังครุ่นคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าคิดถูกแล้วหรือ ที่ร่วมมือกับไอ้เจิด!

“รู้แล้วน่า...เอ็งกลับไปได้แล้ว”

เจิดจ้องหน้าพิมอยู่นั่นเองจนกระทั่งเปิดประตูขึ้นรถไป ทำเอาพิมถึงกับขนลุกซู่กับสายตาที่เจิดมองมา ไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไร แต่ที่แน่ๆ เธอจะไม่มีวันกลับไปร่วมมือกับเจิดอีกเด็ดขาด

“ไปเสียได้ก็ดี!” พิมมองตาขวาง แล้วก็หันกลับมาสนใจวังตรงหน้า

“มีใครอยู่ไหม” พิมตะโกนเรียกคนที่อยู่ข้างใน สักพักก็มีหญิงร่างป้อมผิวสีน้ำผึ้ง ใบหน้าสาวเต่งตึงน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน หล่อนวิ่งมาใส่ผ้าถุงสีกรมท่า ท่อนบนเป็นเสื้อสีขาวเรียบ เดาว่าคงเป็นคนรับใช้ของวัง

“วังราชสาสน์จ้า มาหาใครกันล่ะแม่” ต้อยวิ่งมาหยุดอยู่ที่ประตู

“ฉันชื่อพิม ลูกสาวแม่ภา มาหาคนชื่อสาย”

ต้อยหยุดคิด “สาย... ป้าสายหยุดนะรึ”

“นั่นแหละ”

ต้อยกวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็พบว่าหล่อนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณนวลเนียน งามเกินชาวบ้านทั่วไป มองไปมองมาไม่คุ้นหน้าคงจะไม่ใช่ชาวบ้านแถวนี้ เห็นหล่อนถือทั้งชะลอมมะม่วง มะนาว ข้างกายยังมีกระเป๋าใบใหญ่พร้อมอย่างกับจะเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับป้าแกอย่างไรอย่างนั้น...

“งั้นตามฉันมา”

พิมยิ้มปลื้ม เมื่อเห็นต้อยเปิดประตูให้เธอก็รีบหอบหิ้วสัมภาระเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่พิมกำลังเดินตามต้อยเข้าไปในอาณาเขตของวังอันใหญ่โต เธอก็ชะเง้อชะแง้คอยาว มองสิ่งแวดล้อมภายในวังอย่างตื่นตาตื่นใจ ตาคู่สวยเบิกขึ้น เมื่อได้เห็นสวนที่จัดแต่งด้วยพุ่มไม้เตี้ยๆ ด้านหน้าวัง มีน้ำพุประดับสวนพวยพุ่งขึ้นสูงดูอลังการมาก ทุกอย่างดูงดงามไปหมด อดสงสัยไม่ได้ว่าวังใหญ่ขนาดนี้มีคนอยู่กันกี่คน...

“วังนี้ช่างใหญ่โต อยู่กันกี่คนรึ”

“อยู่กันสามท่าน”

“แค่สามคนเองรึ ฉันก็นึกว่าอยู่กันเป็นสิบ ถ้าให้คนทั้งท่าเตามาอยู่ก็ยังเหลือพื้นที่ไว้ปลูกผักเลี้ยงไก่เหลือเฟือเลยเนี่ย”

ต้อยฟังแล้วไม่เข้าหู รูปกายเจ้าหล่อนงามจริง แต่คำพูดคำจากิริยาท่าทางยังไงก็ไม่พ้นบ้านนอกเข้ากรุง ซ้ำยังดูสะดีดสะดิ้ง พูดจาก็จาบจ้วง น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากไม่น่าฟังเลยสักนิด

“ที่นี่ไม่ใช่สลัมไก่กาที่หล่อนจากมานะยะ จะพูดจาอะไรก็ให้ระวังปากเอาไว้บ้าง”

ต้อยว่าขณะที่กำลังเดินเชิดอยู่ข้างหน้า เลยไม่เห็นสาวข้างหลังเบะปากใส่ ท่าวางอำนาจของต้อยทำให้พิมรู้สึกหมั่นไส้ เธอไม่ชอบให้ใครมาสั่งสอนอยู่แล้ว ยิ่งเป็นคนใช้ระดับล่าง เธอก็ยิ่งชัง

“แล้วเป็นอะไรกับป้าแกล่ะ”

“เป็นญาติห่างๆ” คราวนี้เธอตอบเสียงแข็ง

“จะมาพักกับป้าแกรึ เห็นหอบข้าวของมาเยอะแยะเชียว”

“ใช่”

ต้อยสะบัดหน้ากลับมาหาคนข้างหลัง “นี่วังเจ้านะยะหล่อน ไม่ใช่สถานสงเคราะห์ จะมาขอพักสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ต้องได้รับอนุญาตจากคุณท่านเสียก่อน”

“ฉันรู้ แล้วใครบอกมิทราบว่าฉันจะมาพักชั่วคราว ฉันจะมาอยู่ที่นี่เลยต่างหาก” พิมลอยหน้าลอยตาตอบ

ต้อยทำท่าจะสวนขึ้นอีก แต่เสียงใครบางคนก็แทรกขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

“มีอะไรกันรึนังต้อย”

ต้อยหันมา เห็นสายหยุดเดินเข้ามาหาพอดี

“ป้ามาก็ดีแล้ว แม่คนนี้เขาบอกว่าเป็นญาติป้า จะมาขออยู่ด้วย” ต้อยวางท่ามือเท้าสะเอว

ด้านพิมที่เห็นหน้าสายหยุดก็ดีใจ จะรีบเข้าไปหา แต่ต้อยยืนขวางอยู่ เธอจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น เดินชนไหล่ต้อยไปเฉยๆ แรงชนของพิมทำต้อยแทบกระเด็น พอตั้งตัวได้ต้อยก็ยืนอ้าปากค้าง ได้แต่ข่มอารมณ์ไว้ ทำเป็นยืนกอดอกสีหน้าบึ้งตึงไม่ถูกชะตากับแม่คนนี้สุดขีด!

“สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อพิม ลูกแม่ภา น้องสาวคนละแม่ของป้ายังไงจ๊ะ ป้าสายจำฉันได้ไหม”

สายหยุดยังทำหน้าฉงน เพราะตอนที่เจอกันครั้งล่าสุด พิมยังเด็กมาก จึงจำหน้าตาไม่ค่อยได้ แต่พอนึกใคร่ครวญดีๆ “อ๋อ! ป้าจำได้แล้ว เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่นึกเลยว่าโตแล้วจะงามปานนี้ งามจนป้าจำแทบไม่ได้ แล้วเอ็งมาได้ยังไงล่ะ พ่อแม่เขารู้เรื่องที่เอ็งมาหาป้าที่นี่หรือเปล่า”

“รู้จ้ะรู้” พิมรีบพยักหน้าทันที

“แล้วพ่อกับแม่เขาไม่ได้มาด้วยรึ”

เมื่อถูกถามถึงบุพการีซ้ำ หญิงสาวก็มีพิรุธให้เห็นในแววตา เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้พิมคิดหนัก เพราะก่อนที่จะออกจากบ้านมาเธอไม่ได้บอกบิดามารดาแต่อย่างใด แต่เลือกที่จะเก็บกระเป๋าหนีออกมาจากบ้านเลย พอคิดมาถึงตรงนี้พิมก็เริ่มรู้สึกผิดที่ทำให้บิดามารดาต้องทุกข์ใจ แต่เธอก็คิดเอาไว้แล้วว่าหลังจากที่จัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เธอจะเขียนจดหมายไปบอกพวกท่าน พร้อมกับขอโทษพวกท่านด้วย จึงปดกับผู้เป็นป้าไปว่า

“มาจ้ะ แต่พ่อกับแม่แกเป็นห่วงสวน พอส่งฉันลงจากรถไฟ พ่อกับแม่ก็รีบกลับไปอยุธยาเลย”

“เสียดาย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน น่าจะแวะมาหากันหน่อย” สายหยุดถอนหายใจยาว “แล้วเอ็งมาที่นี่มีธุระอะไรรึ”

พิมหน้าเจื่อน เม้มริมฝีปากแน่น...ก่อนจะเอ่ย “คือ...ถ้าฉันจะมาอยู่ที่นี่ ป้าพอจะช่วยฉันได้ไหมจ๊ะ”

“ได้สิ” สายหยุดยิ้ม เพราะยินดีต้อนรับพิมเอามากๆ เดิมทีก็เคยคิดว่าจะขอตัวพิมมาอยู่ด้วยกันที่วังตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่ภาไม่ยอม อ้างว่าลูกยังเด็กมาก ไม่อยากให้อยู่ในวังที่มีกฎระเบียบเคร่งครัดเกินไปเลยไม่ได้ตัวพิมมาอยู่ด้วยกันตั้งแต่ตอนนั้น “ที่วังกำลังขาดคนอยู่พอดี ได้เอ็งมาอยู่ด้วยจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระป้า แต่จะเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ เอ็งต้องได้รับอนุญาตจากหม่อมพจนิจเสียก่อน”

สายหยุดพูดไปยิ้มไปอย่างเอ็นดู ผิดกับต้อยที่ยืนมองอย่างขัดใจ ป้าสายหยุดเป็นข้าหลวงใหญ่ เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงที่ดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในวังนี้มาช้านาน... แกอยู่มาจนถึงปูนนี้ ทำไมถึงได้ดูหลานสาวตัวเองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วสันดานมันเป็นอย่างไร!



***********************



เมื่อเข้ามาภายในโถงรับรองอันโอ่อ่า พิมที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ที่พื้นตาเป็นประกาย มองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น ด้านนอกวังว่างดงามแล้ว เข้ามาด้านในงดงามยิ่งกว่า

หญิงสาวไล่สายตามองไปที่โซฟาหลุยส์เคลือบสีน้ำตาลทองงดงามแปลกตา ผนังห้องสีครีม ลวดลายหรูหรา ข้างบนฝ้ากรุลายฉลุสุดประณีต แถมยังมีโคมระย้าทำจากแก้วมีมูลค่าห้อยลงมาน่าอัศจรรย์ใจ สมกับเป็นวังเจ้านายโดยแท้

ขณะที่พิมและสายหยุดกำลังนั่งพับเพียบรออย่างเจียมตัว หญิงวัยกลางคนท่าทางสง่างามก็เดินเข้ามานั่งที่โซฟาหลุยส์ตัวใหญ่ พิมกังวล ได้แต่ก้มหน้าหลบตา ไม่กล้าเงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่สูงกว่า จนกระทั่งเสียงหวานเอ่ยขึ้นมาอย่างมีเมตตา

“ไหนมาให้ฉันดูใกล้ๆ หน่อยซิ” 

เสียงนั้นเป็นเสียงของ ‘หม่อมพจนิจ’ เธอเป็นภรรยาเพียงคนเดียว ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นทิวากรพงษ์ประภาส พระองค์เจ้าทิวากร มีพระนามลำลองว่า เสด็จพระองค์ชายต้อม หม่อมพจนิจเป็นประมุขฝ่ายในของวังนี้ ในอดีต พจนิจคือหญิงสาวสูงศักดิ์ที่ม่ายรัก เธอเคยแต่งงานมาแล้วหนึ่งครั้งแต่ก็ได้หย่าร้างกับอดีตสามีไปก่อนจะมาพบกับเสด็จพระองค์ชาย ซึ่งญาติของเธอเป็นผู้แนะนำให้ ตอนนั้นเป็นที่โจษจันกันไปทั่ววงสังคม เพราะเห็นว่าพจนิจนั้นไม่คู่ควรจะเป็นสะใภ้หลวงแม้แต่น้อย แต่เพราะเป็นคนสวย จิตใจดี เป็นกุลสตรีก้นครัว สูตรตำราอาหารชาววังตำรับคุณนิจไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะฝีมือปลายจวักอันเลิศรส จึงได้มัดใจเจ้าจอม ยอมรับว่าคู่ควรจะได้เป็นสะใภ้ของท่าน จากนั้นมาทั้งสองก็ร่วมทุกข์ร่วมสุข มีลูกสาวและลูกชายที่น่ารักด้วยกัน อยู่กินกันมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อได้ยินหม่อมพจนิจเรียก พิมก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ หม่อมพจนิจยิ้มกริ่ม รู้ว่าสาวน้อยตรงหน้าคงจะเกร็งมากถึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง คนมีบารมีสูงกว่าพิจมองแล้วชอบใจ ก่อนจะเชยคางเด็กขึ้นมาชมให้เห็นเต็มสองตา

ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้ม สะอาดไร้คราบเหงื่อไคลไม่เหมือนเด็กสาวบ้านนอกบ้านนาทั่วไป นึกอิจฉาในความงามเบาๆ หากสมัยสาวๆ หล่อนหน้าตาสะสวยอย่างนี้บ้าง ขี้คร้านผู้ชายคงจะเทียวมาหาหัวกระไดไม่แห้ง แต่หล่อนเติบโตอยู่แต่ในวังหลัง จะพบหน้าบุรุษสักครั้งก็ถือว่ายากมาก

“งามนะแม่สาย ผิวพรรณก็เนียนดี ใบหน้าก็งามสม”

สายหยุดปลื้ม ก่อนจะเสริมว่า

“เจ้าค่ะ แม่เขาเคยเป็นนางงามเก่ามาก่อน”

“งั้นเรอะ” หม่อมพจนิจยิ้มพอใจ “แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ”

“ชื่อพิมเจ้าค่ะ”

“อายุเท่าไรแล้ว”

“ปีนี้จะย่างเข้ายี่สิบเอ็ดแล้วเจ้าค่ะ” พอหม่อมพจนิจถามเข้ามากๆ อาการกริ่งเกรงในช่วงแรกก็หายไป พิมยิ้มชื่น มองหน้าหม่อมพจนิจไม่มีอาการเคอะเขินอีกต่อไป

“ดีจริง ลูกสาวฉันก็เพิ่งจะยี่สิบไปหมาดๆ ยัยวสีกำลังจะกลับมาจากอังกฤษเดือนหน้านี้แล้ว ฉันจะให้เธอมาเป็นต้นห้องของยัยวสี ระหว่างนี้ก็ช่วยแม่สายเขาทำงานไปก่อนก็แล้วกันนะ”

“ขอบพระคุณหม่อมมากนะคะที่เมตตาพิม” พิมกระพุ่มมือขึ้นไหว้เจ้านายคนใหม่อย่างอ่อนช้อย


***********************

พอออกมาจากโถงรับรองบนตึกใหญ่ พิมก็เดินตามสายหยุดมาจนถึงเรือนพักคนใช้ซึ่งมีอยู่หลายห้องด้วยกัน แยกชายหญิงชัดเจน สายหยุดเปิดประตูห้องพักห้องท้ายสุด พิมกวาดสายตาสำรวจภายในห้องแล้วรู้สึกว่าดูดีทีเดียว มีเตียงนอนเล็กๆ อยู่ติดหน้าต่าง อีกฟากมีโต๊ะเก้าอี้อเนกประสงค์อยู่หนึ่งชุด พร้อมหีบใส่ผ้าวางไว้ใกล้กัน

พิมเดินเข้ามาวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้บนเตียงนอน ก่อนจะทรุดนั่งลงไปอย่างเหนื่อยอ่อน

“หม่อมพจนิจสั่งให้จัดห้องนี้ให้เอ็ง” สายหยุดบอก พลางวางหมอนที่ถือมาด้วยจัดให้เข้าที่เข้าทางบนเตียง

“วังนี้เขาไม่ได้อยู่กันแค่สามคนหรอกรึป้า แล้วคุณวสีเป็นใครกัน” พิมถามอย่างสงสัยใคร่รู่

สายหยุดวางมือจากหมอน แล้วหันมาบอกหลานสาวอย่างใจเย็น

“ไม่ใช่คุณวสี เอ็งต้องเรียกท่านว่า ท่านหญิง”

พิมทำหน้างง

“แล้ววังนี้ก็ไม่ได้มีแค่สามท่าน แต่มีสี่ท่าน มีเสด็จพระองค์ชายต้อม หม่อมพจนิจภรรยาของท่าน ท่านชายต้น...โอรสองค์เล็กที่ยังไม่ประสา ส่วนท่านหญิงวสี หรือ หม่อมเจ้าเพชราวสี เป็นธิดาองค์โต เสด็จไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่ยังเล็ก กำลังจะเสด็จกลับมาเร็วๆ นี้”

“นอกจากท่านชายต้นกับท่านหญิงวสี เสด็จไม่มีโอรสองค์โตบ้างเลยรึ”

“ไม่มีหรอก ท่านมีแค่ธิดากับโอรสสององค์เท่านี้”

พิมถอนใจเศร้า คิดว่าจะมาได้ดีมีสุขที่วังราชสาสน์ แต่กลับต้องผิดหวังทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มเสียแล้ว ดูเหมือนว่าเส้นทางที่เธอเลือกจะยากกว่าที่คิดไว้



************************

ในเวลาเดียวกันทางฟากของน้อย หลังจากที่ถูกช้อนไล่ออกจากบ้าน น้อยก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน เพราะไม่มีเพื่อนสนิทหรือญาติมิตรให้พึ่งพา จะไปที่ใดก็คงไม่มีใครต้อนรับ จึงต้องหนีมาอยู่วัดกับหลวงพ่อ

เมื่อมาอยู่วัดน้อยก็ไม่ได้นิ่งดูดาย ช่วยเหลืองานทุกอย่างในวัดโดยไม่เคยเกียจคร้าน ทุกเช้าน้อยจะเข้าไปทำความสะอาดศาลา หลังจากนั้นก็จะมีญาติโยมเข้ามาทำบุญถวายภัตตาหารเช้า น้อยต้องรอให้พระท่านฉันข้าวให้เสร็จเสียก่อน แล้วลำดับต่อไปตนจึงจะกินได้

พอเสร็จแล้วน้อยก็ไปล้างบาตรใส่ข้าว ล้างถ้วยชามที่ครัวด้านหลัง ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนตั่งไม้เตี้ยๆ บนพื้นดินที่ชื้นแฉะ หยิบบาตรขึ้นมาล้างทำความสะอาดเอาเศษข้าวที่เหลืออยู่ตรงก้นออกไปอย่างตั้งอกตั้งใจ

ในขณะเดียวกันนั้นก็มีชายวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินกร่างตรงเข้ามาหา และยื่นกระทงใบตองที่ใส่ขนมถ้วยฟูหลากสีสันให้น้อย

“ไอ้ใบ้ ข้าให้เอ็ง”

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘ใบ้’ คลี่ยิ้ม เพราะไม่ค่อยจะมีใครเอื้ออารีแบ่งปันสิ่งของให้เขามากนัก น้อยรีบล้างมือให้สะอาด เตรียมจะรับของจากชายแปลกหน้าผู้นั้น แต่พอเขายื่นมือออกไป ชายคนนั้นก็กลับปล่อยกระทงใบตองตกพื้นจนขนมถ้วยฟูหน้าตาน่ากินเปื้อนดินกินไม่ได้อีกแล้ว

“กินสิไอ้ใบ้” ชายวัยรุ่นสั่ง แล้วก็พากันหัวเราะเยาะลั่น

น้อยได้แต่มองขนมถ้วยฟูด้วยความเสียดาย ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าคนพวกนี้จงใจมากลั่นแกล้งตน

“ข้าบอกให้กินไง” ชายคนเดิมตะคอกสั่งเสียงดัง ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะถีบน้อยตกลงจากตั่ง แล้วจับกดแขนทั้งสองข้างเอาไว้แน่น จากนั้นชายวัยรุ่นที่เป็นหัวโจก ก็หยิบขนมถ้วยฟูชิ้นที่ตกพื้นขึ้นมา แล้วบีบปากน้อยทำท่าจะยัดเข้าไปในปากให้ได้

น้อยพยายามสะบัดหน้าหนี ดิ้นทุรนทุราย แต่พวกมันมีกันสามคน รุมเขาเพียงคนเดียวจะดิ้นให้หลุดคงยาก

แต่ก่อนที่กลุ่มวัยรุ่นที่กำลังคึกคะนองจะทำอะไรไปมากกว่านั้น หลวงพ่อที่เห็นเหตุการณ์ก็เข้ามาห้ามปราม “พวกเอ็งทำอะไรกัน ในวัดในวาแท้ๆ”

วัยรุ่นทั้งสามเห็นพระเจ้าก็เกรงกลัว รีบทิ้งน้อยแล้วเดินหนีไปอย่างเสียดาย ที่ไม่ได้กลั่นแกล้งชายใบ้ให้หนำใจอย่างที่ต้องการ

หลวงพ่อส่ายหน้า มองคนพาลพวกนั้นจนหายลับตาไปกันหมดแล้วจึงหันมาจับจ้องชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่ากระพุ่มมือไหว้ แววตาเศร้าไม่เบิกบาน

“ไอ้น้อย เอ็งอย่าได้ไปใส่ใจคนพวกนั้นเลย คนเราก็เหมือนดอกบัว มีสี่เหล่าแปลกแยกกันไป หากเราคิดดีทำดีก็ไม่จำเป็นต้องไปกลัวใคร คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้หรอก” หลวงพ่อให้ข้อคิดก่อนจะเดินจากไป

มือที่ประนมไหว้ระหว่างอก ตกลงมาที่หน้าตักอย่างอ่อนแรง แล้วหยดน้ำตาก็ร่วงเผาะ เพราะเหนื่อยจะต่อสู้กับชีวิตที่แร้นแค้นเช่นนี้เต็มทน คำที่หลวงพ่อพูดว่า ‘คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้’ เขาเคยเชื่อคำนั้นอย่างสุดหัวใจ แต่เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยได้รับอะไรดีๆ อย่างคนอื่นเขาเลย น้อยเลยชักไม่แน่ใจว่าการเป็นคนดี จะทำให้เขาผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ และมีชีวิตที่ดีขึ้น อย่างที่หลวงพ่อพูดไว้จริงหรือไม่

ตลอดทั้งวันนั้นน้อยไม่ได้ทำอะไรมากนัก เขาจึงตัดสินใจออกจากวัดโดยนำผ้าห่มผืนบางติดตัวมาด้วย ชายหนุ่มเดินห่างจากชุมชนออกไปไกลเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งมืดค่ำ เขาเดินมาจนถึงต้นไทรต้นหนึ่งที่สูงเด่นตระหง่านอยู่กลางทุ่งที่ห่างไกลสายตาผู้คน ในตอนกลางวันต้นไทรใหญ่ทำคุณให้ร่มเงาบดบังแสงแดดได้ดี แต่ด้วยรากที่แตกกระจายยิบย้อยลงพื้นดินเป็นจำนวนมาก ทำให้ในตอนกลางคืนเป็นต้นไม้ที่น่ากลัวและวังเวงไม่น้อย อย่างที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้

ร่างสูงโปร่งเดินเข้าไปใกล้กิ่งต้นไทรกิ่งหนึ่ง ที่ยื่นออกมาอย่างแข็ง-แรงจากต้น และอยู่ในระดับที่ชายหนุ่มพอจะเอื้อมถึง ก่อนจะหันมองผ้าผืนบางในมือ มีเสี้ยวหนึ่งในใจที่รู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง ไม่อยากจะสู้ต่อกับชีวิตไร้ค่าเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว

ชายหนุ่มเหวี่ยงผ้าขึ้นผูกกับกิ่งต้นไทรรัดไว้เป็นปมห่วงแน่นหนา แต่แล้วในวินาทีสุดท้ายที่กำลังจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ภาพใบหน้าของแม่มะลิก็ปรากฏขึ้นมาเตือนใจ เมื่อคิดได้ว่าแม่อุตส่าห์เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ หมดอะไรไปตั้งมากมาย แม่มะลิให้ชีวิต ให้โอกาสเด็กตาดำๆ แปลกหน้าคนนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไข หรือมีส่วนใดที่เป็นของแม่เลย ถ้าแม่มะลิยังมีชีวิตอยู่ แม่ก็คงจะไม่ยอมให้เขาทำเรื่องประชดชีวิตเช่นนี้แน่นอน แล้วเขาจะกล้าทำลายชีวิตของตัวเองทิ้งได้อย่างไร

น้อยปล่อยมือออก ทรุดลงกับพื้นดินราวใบไม้ที่ร่วงโรย ส่งเสียงห้าวร้องไห้โฮออกมา ก่อนจะระบายความอัดอั้นตันใจทั้งหมดด้วยการทุบกำปั้นกับพื้นดินแรงๆ ไปหลายครั้ง

“ทำไม ทำไมวะ!”

ชายหนุ่มยกแขนปาดน้ำตาทิ้ง เมื่อหยุดความคิดที่จะฆ่าตัวตายได้ สิ่งเดียวที่คิดถึงในตอนนี้คือการไปตามหาพิมที่พระนคร แม้พิมจะทำไม่ดีกับเขาไว้ แต่เขาไม่เคยโกรธเกลียดเธอเลย มีแต่ความหวังดี และจะมีให้ตลอดไป ในเมื่อกลับไปบ้านไม่ได้แล้ว คนสำคัญที่เหลืออยู่ในชีวิตเขาตอนนี้ ก็มีแค่พิมคนเดียวเท่านั้น แม้จะไม่รู้ว่าหนทางที่จะไปพระนครนั้นไปอย่างไร แต่ในเมื่อตัดสินใจจะไปแล้วก็ต้องทำให้ได้ เขาจึงกลับไปกราบลาหลวงพ่อที่วัด ซึ่งท่านก็เป็นห่วง ไม่อยากให้ไปสักเท่าไร เพราะเห็นว่าพระนครนั้นอยู่ห่างไกล แล้วคนใบ้ไปตัวคนเดียวจะไปพูดคุยกับใครเขารู้เรื่อง

“จะไปหาโยมพิมที่พระนครอย่างนั้นรึ” หลวงพ่อถามชายหนุ่มที่กำลังนั่งประนมมืออยู่เบื้องหน้า ได้แต่พยักหน้าซึมๆ ไม่พูดอะไรออกมาเหมือนเดิม

“แล้วมีเงินทองติดตัวไปบ้างหรือเปล่า” หลวงพ่อถามต่อด้วยความเป็นห่วง แล้วก็เห็นชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ 

“อาตมาพอจะมีเงินอยู่บ้าง เอาเงินนี่ไป เก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น”

หลวงพ่อยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้ชายใบ้ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอจะไปถึงพระนครได้ แต่น้อยก็รีบส่ายหน้า ปฏิเสธไม่รับเงิน

“รับไปเถอะ พระนครอยู่ไกลโพ้น ไม่รู้กี่วันกว่าจะถึง ถ้าไม่ไปทางเรือ ก็ต้องทางรถไฟ ถ้าเอ็งไม่มีเงินให้เขา แล้วคิดหรือว่าเขาจะยอมให้ไป”

น้อยเงยหน้ามองหลวงพ่อด้วยแววตาวาวแสง ตื้นตันใจที่หลวงพ่อเมตตาให้อาศัยอยู่วัดแล้วยังจะให้เงินทองติดตัวไปอีก

“พูดตามตรงนะ อาตมาไม่อยากให้ไปเลย เป็นห่วง แต่ในเมื่อเอ็งตัดสินใจจะไปแล้วก็ขอให้เดินทางปลอดภัย อย่าได้มีอันตรายใดๆ มาพ้องพาน” หลวงพ่อพูดอย่างเอ็นดู เพราะเห็นน้อยมาแต่เล็กแต่น้อย ชายหนุ่มเป็นคนดี ไม่เคยคิดร้าย มีพิษมีภัยกับใคร ขนาดมีแต่คนรุมกลั่นแกล้งรังแกสารพัดก็ไม่เคยเห็นว่าน้อยจะทำร้ายใครเลย เมื่อน้อยตัดสินใจจะไปจากที่นี่จึงอดเป็นห่วงไม่ได้ ทั้งชีวิตมันอยู่แต่ในท่าเตา ไม่เคยออกไปไหนไกลเลย ก็ได้แต่ภาวนาให้มันไปได้ตลอดรอดฝั่งตามจุดหมายที่มันหวังไว้

เมื่อหลวงพ่อพูดจบ น้อยก็ก้มลงกราบลาหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะออกมาจากวัด แล้วเดินไปตามทางดินลูกรัง...



หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.พ. 2565, 10:11:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2565, 10:11:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 254





<< บทที่ 3 เศษธุลี   บทที่ 5 แรกพบ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account