วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:

เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน

หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก

ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ

. . . . . . . . . . . . . .

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ


***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ

2.ร้านออนไลน์

3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า

สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา

ตอน: บทที่ 5 แรกพบ

น้อยเดินไปปาดเหงื่อที่ไหลโชกไป ก่อนจะเงยหน้ามองบนฟ้า เห็นดวงตะวันขึ้นตรงศีรษะ แสงแดดในยามนี้ไม่เคยปรานีผู้ใด น้อยออกเดินเท้าจากวัดมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้คาดว่าน่าจะออกมาจากท่าเตา และผ่านมาจนถึงอีกหมู่บ้านแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ เขาไม่รู้ว่าจากที่นี่ไปถึงสถานีรถไฟในตัวเมืองอยุธยานั้น มีระยะทางเท่าไร

คิดแล้วก็เสียดายที่ตัวเองมัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานงกๆ ไม่ได้สนใจความเป็นไปของโลกภายนอก ทำตัวไม่ต่างจากกบในกะลา จึงไม่รู้เส้นทางสัญจรอะไรกับเขาบ้างเลย พอเห็นว่ามีชายหนุ่มสองคนถือตะกร้าใส่ผักผ่านมา น้อยก็รีบก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าเดินเข้าไปไถ่ถามเขาเสียที อาจเป็นเพราะนิสัยที่ชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ทำให้ประหม่าเมื่อจะต้องเปิดใจพูดคุยกับใครสักคน

แต่ก็คิดได้ว่า...หากไม่พูดคุยกับใครเลย แล้วจะไปหาพิมที่พระนครได้อย่างไร พอเงยหน้าขึ้นมองทางก็เห็นลุงป้าคู่หนึ่ง น่าจะเป็นสามีภรรยากัน กำลังเดินถือปิ่นโตและตะกร้าใส่ดอกไม้ธูปเทียนสวนทางมาพอดี คาดว่าทั้งสองคงเพิ่งออกมาจากวัดใกล้เคียง พอลุงป้าคู่นั้นเดินเข้ามาใกล้ น้อยก็ไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปถาม

“ลุงป้าจ๋า สถานีรถไฟอยู่อีกไกลไหมจ๊ะ”

“จากนี่ไปถึงสถานีรถไฟในตัวเมืองก็น่าจะไม่ต่ำกว่าสิบห้าโลฯ” ลุงตอบ

“ไกลขนาดนั้นเลยหรือจ๊ะ”

“ใช่ ไกลทีเดียว หากเดินไปก็ต้องใช้เวลาค่อนวันเลยนะ” คราวนี้ป้าเป็นคนตอบบ้าง

“ขอบใจมากนะจ๊ะ”

หลังจากได้คำตอบ น้อยก็เครียดขึ้นมาทันที เพราะหากเป็นอย่างที่ลุงกับป้าบอกละก็ เขาน่าจะไปถึงสถานีรถไฟพรุ่งนี้เช้า แล้วค่ำนี้เขาจะนอนที่ไหน จากตรงนี้ก็ไม่เห็นจะมีวี่แววรถราให้พึ่งพาเลยสักคัน เว้นเสียแต่ว่าจะหาเรือหางยาวเข้าไปในตัวเมือง แต่ทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็ล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น น้อยอยากเก็บเงินที่หลวงพ่อให้ไว้ใช้จ่ายให้คุ้มค่ามากที่สุด อะไรที่ไม่จำเป็นและคิดว่าตัวเองพอทำได้ ก็อยากจะพึ่งตัวเองก่อน

ในระหว่างที่กำลังใช้ความคิด จึงไม่ทันได้สังเกตชายอีกคนที่เดินสวนมา และจ้องมองย่ามที่น้อยกำลังสะพายอยู่ สายตามีพิรุธชอบกล รู้ตัวอีกทีย่ามก็ถูกกระตุกออกจากต้นแขนไปอย่างรวดเร็ว แต่น้อยไหวตัวทัน ยื้อแย่งย่ามของตนเอาไว้ ไม่ยอมให้ชายผู้นั้นเอาไปได้ง่ายๆ

“ไม่! อย่าเอาของข้าไป” น้อยยื้อยุดเอาไว้ เท้าจิกพื้นดินสู้ยิบตา ด้านไอ้โจรพอเห็นว่าเหยื่อสู้ไม่ถอย ก็ถีบหน้าท้องจนชายหนุ่มเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น แต่มือหนายังเหนียว กำถุงย่ามเอาไว้แน่นสุดใจขาดดิ้น

“เฮ้ย! หยุดนะเว้ย”

ไอ้โจรหันไปมอง เห็นพลเมืองดีกำลังวิ่งเข้ามาทางนี้ ก็เป็นการจุดระเบิดให้มันเตะซ้ำเข้าไปที่ร่างบนพื้นอีกหลายครั้งจนตัวช้ำตัวงอ น้อยคิดจะสู้สุดใจ แต่พอเผลอ กอปรกับความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอดทาง พยายามจะยื้อยุดเอาไว้แต่ก็เพลี่ยงพล้ำปล่อยถุงย่ามหลุดจากมือไปจนได้

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าพ่อหนุ่ม” พลเมืองที่เห็นเหตุการณ์วิ่งเข้ามาประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นจากพื้น

น้อยลุกขึ้น มองภาพชายเสื้อดำวิ่งไปพร้อมถุงย่ามที่มีเงินและข้าวของของตน ก็โกรธจนสติแตก น้อยไม่ยอมแพ้ยังพยายามจะตามไปเอาข้าวของกลับคืนมา แต่มือของชายพลเมืองดีก็รีบคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทัน

“อย่าตามไปเลย หากมันมีมีดแทงเอ็งขึ้นมา เอ็งจะเป็นอันตรายเอาได้” จันเตือน

“แต่นั่นมันของของฉันนะจ๊ะ แล้วยังจะเงินพวกนั้นอีก ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันก็มีอยู่เท่านั้น ถ้าฉันไม่มีมันฉันจะไปพระนครได้ยังไง” น้อยบอกน้ำเสียงเศร้าสร้อย

จันเข้าใจหัวอกคนทำงานหาเช้ากินค่ำด้วยกันเป็นอย่างดี ทำอาชีพสุจริตแท้ๆ แต่ต้องมาถูกโจรฉกชิงวิ่งราว มองแล้วก็น่าเห็นใจ แต่พอได้ยินชายหนุ่มพูดว่ากำลังจะไปพระนคร ก็พอจะมีลู่ทางช่วยเหลือกันอยู่

“เอ็งกำลังจะไปพระนครรึ”

น้อยพยักหน้าหงึกๆ “ใช่จ้ะ ฉันว่าจะไปขึ้นรถไฟ แต่ก็มาเจอโจรนั่นเสียก่อน”

“งั้นเอ็งไปกับข้าก็ได้ ข้าเป็นสรั่งเรือ[1] กำลังจะเอาข้าวเปลือกจากทางเหนือไปส่งที่ท่าราชวงศ์ในพระนครอยู่พอดี ถ้าเอ็งไม่รู้จะไปยังไง ก็ไปกับข้าก็ได้” จันเสนอ

น้อยได้ยินเท่านั้นก็รู้สึกว่ามีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้วก็หน้าหมองลง

“แต่ฉันไม่มีเงินให้น้าหรอก...”

“เรื่องเงินทองไม่ใช่ปัญหา แค่เอ็งช่วยงานบนเรือ ก็ถือว่าเป็นค่าเรือแล้ว”

“ขอบคุณมากนะจ๊ะน้า บุญคุณครั้งนี้ฉันจะไม่มีวันลืมเลย” น้อยยกยิ้มที่มุมปากเบาๆ เขาอยากจะยิ้มให้กว้างกว่านี้ แต่เพราะยังเสียดายข้าวของเงินทองที่เสียไปอยู่จึงดีใจไม่ค่อยเต็มที่นัก แต่ก็ถือว่าในความโชคร้าย ยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่ เพราะนานๆ ทีจะมีคนจิตใจดีมีเมตตาช่วยเหลือเขาบ้างสักครั้ง

“บุญคงบุญคุณอะไร เป็นคนไทยด้วยกันก็ต้องช่วยเหลือกันสิ” จันตบบ่า ก่อนจะออกเดินนำน้อยไปจนถึงเรือโป๊ะ[2] ลำใหญ่ที่เขาจอดเทียบท่าเอาไว้รับข้าวเปลือกอีกร้อยกระสอบ...

“เอานี่พวกเอ็ง นี่ไอ้น้อย มันจะขอติดเรือไปพระนครด้วยคน” พอมาถึงเรือ จันก็รีบแนะนำผู้มาใหม่ให้ลูกน้องทั้งหลายได้รู้จักทันที “มีอะไรก็เรียกใช้มันได้ จะให้มันทำอะไรก็สอนมันด้วย”

น้อยมองชายหลายคนที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน กำลังทยอยขนข้าวเปลือกแบกใส่หลัง ขึ้นเรือไปอย่างขยันขันแข็ง ทำให้พลอยคิดถึงบรรยากาศตอนที่ตนทำงานเป็นกุลีโรงสีขึ้นมา

แดงกับผาน เป็นสองคนแรกที่เดินเข้ามาหาน้อย มองหน้าซื่อบื้อ ก็นึกขัน ที่จันพาคนอ่อนปวกเปียกเช่นนี้มาทำงานบนเรือ

“หน้าอ่อนแบบนี้ คงจะไม่เคยผ่านงานแบกหามหนักๆ มาล่ะสิท่า” แดงสบประมาท ไล่สายตามองอย่างดูแคลน แต่น้อยก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร “เอ็งอายุเท่าไรล่ะ”

“จะย่างเข้ายี่สิบแปดแล้วจ้ะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ยังหนุ่มยังแน่น แสดงว่ายังแบกหามได้สบาย มีข้าวเปลือกที่ยังไม่เอาขึ้นเรืออยู่ห้าสิบกระสอบ เอ็งไปช่วยเพื่อนเขาขนขึ้นมาบนเรือก็แล้วกัน”

น้อยพยักหน้า ก้าวเข้าไปหยิบกระสอบข้าวที่หนักถึงห้าสิบกิโลกรัมขึ้นมาแบกไว้บนบ่าอย่างแข็งแรง แล้วเดินไต่สะพานไม้ขึ้นไปบนเรือโป๊ะอย่างคล่องแคล่วว่องไว และท่าทางนั้นก็ทำให้แดงกับผานตะลึงไปในทันที



*****************************



เมื่อลูกเรือทั้งหมดนำกระสอบข้าวเปลือกขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว เรือโป๊ะก็ถูกเรือโยงลากออกมาจากฝั่ง ลอยละล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเรือเคลื่อนตัว ลมเย็นก็พัดโชยมาตามสายน้ำ ทำให้คนบนเรือรู้สึกเย็นสบาย แม้จะอยู่ในช่วงเวลากลางวันที่สภาพอากาศร้อนจัดก็ตามที

ด้วยความที่เรือโป๊ะเป็นเรือลำใหญ่อยู่สูงกว่าผิวน้ำมาก ทำให้มอง เห็นทัศนียภาพความงดงามของบ้านเรือน วัดวาอารามที่สำคัญของประเทศ พอผ่านโค้งหัวแหลม ที่เป็นโค้งอันตรายสำหรับคนเดินเรือมาได้ ก็จะเห็นวัดกษัตราธิราชและวัดไชยวัฒนารามที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก น้อยมองสองริมฝั่งแม่น้ำเห็นวิถีชีวิตของชาวพระนครศรีอยุธยาที่ต้องพึ่งพาอาศัยแม่น้ำในการดำรงชีวิต ภาพกลุ่มเด็กกระโดดลงเล่นน้ำตูมตาม ทำให้คิดถึงสมัยตอนเป็นเด็ก ภาพที่แม่อาบน้ำให้ลูกน้อยก็พลอยทำให้มีความสุขตามไปด้วย พอระดับน้ำลดเรือก็แวะจอดนอนกันที่บางปะอิน พอระดับน้ำขึ้นก็ออกเดินทางไปยังปทุมธานีกันต่อ

“เฮ้ย พวกเรา เรือขายของมาว่ะ”

ผานร้องบอกทุกคนในเรือเมื่อเห็นเรือขายของเจ้าประจำ บนเรือลำนี้มีขายทุกสรรพสิ่งทั้งข้าวของเครื่องใช้ไปจนถึงของกิน แต่ส่วนมากจะเป็นพวกข้าวต้มขนม เปรียบเสมือนร้านโชห่วยเล็กๆ บนแม่น้ำ และก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยที่ทำให้ลูกเรือพากันติดใจจนต้องแวะอุดหนุนทุกครั้งที่มาถึง

“อ้าว ไอ้น้อย ทำไมเอ็งไม่ไปกินก๋วยเตี๋ยวกับเพื่อนเขาล่ะ” จันถามเมื่อเห็นว่าน้อยปลีกตัวออกมานั่งอยู่คนเดียว น้อยก้มหน้าไม่ตอบจัน แต่เพียงเท่านั้นจันก็พอจะเดาออก “ไม่มีเงินใช่ไหม...ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าเลี้ยงเอง” พูดจบจันก็หันไปตะโกนสั่งกับแม่ค้าบนเรือ “เอาก๋วยเตี๋ยวสองจ้ะ”

น้อยมองการกระทำของจันก็ซาบซึ้งใจ

“ขอบคุณน้ามากนะจ๊ะ”

น้อยรอแม่ค้าลวกก๋วยเตี๋ยว ราดน้ำซุปใส่ชามเรียบร้อยก็ถือมานั่งกินเงียบๆ ในขณะที่แดงกับผานก็กำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเช่นกัน จ้องมองมาอย่างไม่พอใจ น้อยรู้ตัว แต่ไม่สนใจ ตั้งใจจะรีบกินแล้วรีบไปทำงานต่อ

“ว่าแต่เอ็งจะไปทำอะไรที่พระนครล่ะ” เสียงของจันดังขึ้นมาอีกรอบ ขณะที่เดินถือชามก๋วยเตี๋ยวมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ น้อย

“ไปตามหาคนจ้ะ”

“อ้อ ไปตามหาเมียนี่เอง”

ชายหนุ่มหน้าแดงซ่าน...ก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้นอยู่หรอก แต่รู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นได้แค่ไหน

“ไม่ใช่หรอกจ้ะ ฉันจะไปตามหาน้องสาวน่ะ”

“แล้วเอ็งรู้รึว่าน้องสาวเอ็งอยู่ที่ไหน พระนครกว้างใหญ่ใช่จะหากันเจอได้ง่ายๆ”

น้อยส่ายหน้า “ฉันไม่รู้หรอกจ้ะ”

“อ้าว แล้วอย่างนี้เอ็งจะไปหาเจอได้ยังไง”

น้อยลดชามก๋วยเตี๋ยวลง ถอนใจอ่อน เขาเองก็ไม่รู้จะไปตามหาพิมที่ไหน คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะหากันเจอ แล้วถ้าเจอกันแล้วจะทำอย่างไร นั่นต่างหากคือสิ่งที่เขากังวล

“เฮ้อ...เอ็งนี่มันพูดน้อยสมชื่อจริงๆ ถามคำตอบคำ หากไม่ถามก็ไม่ตอบเลย บางทีข้าก็คิดว่าเอ็งเป็นใบ้” จันถอนหายใจเฮือก แล้วก็หันมาพูดด้วยต่อ “ข้าน่ะเป็นคนปากน้ำโพ พอลืมตาดูโลกก็จำได้ว่าอยู่บนเรือแล้ว”

“น้ายังโชคดีที่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ฉันนี่สิ พ่อแม่ตัวเองเป็นใครก็ยังไม่รู้เลย” น้อยพูดหงอยๆ

จันถอนหายใจอีกครั้ง เจอกันครั้งแรกก็เห็นอีกฝ่ายถูกโจรชิงทรัพย์ แถมยังไม่รู้จักครอบครัวตัวเองอีก ชีวิตที่ผ่านมาของไอ้หนุ่มคนนี้คงลำบากอยู่ไม่น้อย

“เอ็งนี่มันชีวิตอาภัพอับโชคจริงๆ เอาเถอะ ถ้าตามหาน้องสาวไม่เจอ หรือไม่มีญาติที่ไหนให้พึ่ง ก็ไปอยู่กับข้าที่ปากน้ำโพก็ได้ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตั้งใจทำงานเก็บเงินเก็บทอง เดี๋ยวสักวันชีวิตมันก็ดีขึ้นเองแหละน่า...” จันตบบ่ากว้างให้กำลังใจ ก่อนจะล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง “อะนี่”

“อะไรจ๊ะ” น้อยมองเงินที่จันยื่นให้ก็ย่นคิ้วถาม

“เงิน ข้าให้เอ็ง เอ็งจะได้ตามหาน้องได้ง่ายขึ้นไงล่ะ” จันรีบยัดเงินใส่มือน้อยทันที ไม่ให้น้อยได้ปฏิเสธ

น้อยสะดุ้ง จะนำเงินใส่ในมือของจันคืน แต่ก็ถูกสะบัดออก

“ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกจ้ะ แค่น้าให้ฉันอาศัยเรือมาถึงพระนคร ฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณน้ายังไงแล้ว”

“เอาไปเถอะน่า มีเมื่อไหร่ค่อยคืนก็ได้”

น้อยมองหน้าจันด้วยความซาบซึ้งใจเหลือจะกล่าว ทั้งที่เขาเป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่ญาติ ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่จันก็พร้อมจะช่วยเหลือเมื่อเห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก ทำให้น้อยได้รู้ว่ายังมีคนดีมีน้ำใจหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้จริงๆ น้อยคิดถึงหลายสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เขาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีแต่คนรังเกียจเขากับมารดามาโดยตลอด เลยเหมารวมว่าโลกภายนอกจะต้องเป็นอย่างสังคมในท่าเตา และหวาดกลัวที่จะออกมาจากโลกที่ตัวเองไม่คุ้นชิน แต่การได้เดินทางร่วมกับคนเรืออย่างจัน ทำให้เขาได้รู้ว่าไม่ใช่เลย เพราะโลกใบนี้ก็มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันไป อยู่ที่เราต่างหากว่าจะเก็บเอาสายตาและคำดูถูกของคนพวกนั้นมาใส่ใจหรือเปล่า

“พี่จัน เวรยามคืนนี้จะให้ใครเฝ้าดีพี่” แดงโพล่งถามเสียงดัง ทำให้จันหันไปมอง

“ก็ให้เอ็งกับไอ้ผานนั่นแหละเป็นคนเฝ้าตามเดิม”

“ได้ยังไงวะพี่ ฉันสองคนเฝ้ามาสองคืนติดแล้วนะ พี่น่าจะให้พวกฉันพัก แล้วให้คนที่มันขึ้นเรือมาแบบไร้ประโยชน์เฝ้าน่าจะดีกว่า เผื่อบางที มันอาจจะมีประโยชน์ขึ้นมาบ้างก็ได้” แดงตวัดตามองคนที่นั่งอยู่เงียบๆ ตาขุ่นเขียว รู้สึกขวางหูขวางตา เมื่อมองใบหน้าบื้อใบ้ไร้พิษสง ทำตัวเซ่อซ่าน่าสงสาร คงตั้งใจจะประจบเจ้าของเรือทำให้จันไว้ใจ ทีนี้จะทำอะไรก็คงจะง่ายขึ้น

หากมันไม่มีที่ไป จันก็ต้องให้อยู่อาศัยร่วมเรือไปอีกคน คนเพิ่มขึ้น แต่เงินจากการส่งของเท่าเดิม ก็ต้องหารกันได้เงินน้อยลง ช่างไม่ยุติธรรมกับพวกที่อยู่มาก่อน มันเท่ากับปล่อยให้กาฝากที่เพิ่งขึ้นเรือมาไม่กี่วันชุบมือเปิบไปชัดๆ ไม่มีทางเสียหรอก ซ้ำหากปล่อยไว้นาน เห็นทีตำแหน่งลูกน้องคนโปรดของตนคงจะต้องหลุดลอยไป แล้วตกไปอยู่ในมือของไอ้น้อยแทนแน่ๆ

“เฮ้ย ไอ้แดง เอ็งพูดอย่างนั้นได้ยังไงวะ ไอ้น้อยมันก็ช่วยเหลืองานในเรือตั้งหลายอย่าง ไม่ได้นั่งงอมืองอเท้าเสียหน่อย” นายสรั่งเรือแย้งเสียงเข้ม เมื่อเห็นว่าลูกน้องพูดไม่ถูกต้อง

น้อยมองหน้าแดงกับผานก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งสองไม่ชอบตน น้อยไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้ทั้งสองไม่พอใจ แต่ในเมื่อตนเป็นน้องใหม่ อาศัยเรือของพวกเขา คนทั้งเรือก็ถือว่ามีพระคุณ พวกเขาใช้ให้ทำอะไรก็ต้องทำ หากมีวิธีไหนที่พอจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาได้ เขาก็พร้อมจะทำทั้งนั้น

“ไม่เป็นไรน้า ฉันเฝ้าให้ได้จ้ะ ถือว่าแบ่งเบาภาระพวกพี่ทั้งสองคนด้วย คืนนี้พวกพี่สองคนนอนพักให้สบายเถอะ”

พอตกลงกันได้แล้ว เรือโป๊ะลำใหญ่ที่มีเรือโยงลากอยู่ข้างหน้าก็จำต้องจอดเทียบท่าเมื่อระดับน้ำลด และต้องนอนพักผ่อนที่ปากเกร็ดก่อนเป็นเวลาหนึ่งคืน พอเช้ามืดของอีกวันถึงค่อยออกเดินทางไปยังท่าราชวงศ์ภายในพระนคร

กลางคืนเงียบสงัด มีเพียงเสียงจักจั่นเท่านั้นที่เป็นเพื่อน น้อยที่ถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่เวรยาม พอเดินตรวจตราความเรียบร้อยบนเรือเสร็จ ชายหนุ่มก็ถือตะเกียงมานั่งพักที่ข้างเรือ คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ ทำให้ท้องฟ้ามืดมิดไม่แจ่มใสเหมือนคืนก่อนๆ เมื่อความง่วงเข้าแทรกซึมจนเปลือกตาเริ่มปรือลงทีละนิด สมองก็สั่งให้ตั้งสติ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะใกล้รุ่งแล้ว หากพวกพี่ๆ มาเห็นในสภาพหลับไม่เป็นท่า คงถูกคาดโทษ ไม่พ้นต้องมีปัญหาคลางแคลงใจกันตามมาอีก       

“เฮ้ยๆ ไอ้น้อย มีไฟไหม้ที่ท้ายเรือ เอ็งรีบไปดูหน่อยเร็ว!”

เสียงของแดงดังมาจากท้ายเรือ น้อยตกใจ รีบเดินไปดูหน้าซีดหน้าสั่น หากไฟไหม้เรือและลามไปติดกระสอบข้าวเปลือก ก็นับว่าเป็นความผิดของเขาเต็มๆ

“ไหนจ๊ะพี่แดง” น้อยหันซ้ายแลขวา ไม่พบไฟไหม้อย่างที่แดงบอก พอจะหันกลับมาถาม ก็ถูกท่อนไม้ฟาดใส่ศีรษะล้มฟุบลงไป...


*****************************


ระดับน้ำขึ้นในช่วงใกล้รุ่ง นายท้ายที่ขับเรือโยงก็ส่งสัญญาณว่าได้เวลาออกเรือแล้ว แต่สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นคือ น้อยหายตัวไป ทำให้สรั่งเรืออย่างนายจัน ผู้ที่ควบคุมดูแลทุกอย่างภายในเรือเป็นกังวลจนต้องสั่งให้ลูกเรือออกตามหาในพื้นที่ใกล้เคียง เพราะคิดว่าน้อยอาจจะไปทำธุระส่วนตัว แต่เวลาล่วงเลยไปจนใกล้จะหกโมงเช้า ก็ยังไม่มีวี่แววว่าน้อยจะกลับมาอีกเลย

“ไอ้ผาน เอ็งเห็นไอ้น้อยบ้างหรือเปล่า” จันตัดสินใจถามผาน เพราะเห็นว่าเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับน้อยเมื่อคืนนี้

“ฉันเห็นมันขึ้นฝั่งไปก่อนที่พวกเราจะตื่นกันได้หน่อยจ้ะพี่จัน แล้วก็หายไปเลยเนี่ย ท่าทางลุกลี้ลุกลนชอบกล” ผานบอกหน้าเครียด ก่อนจะหันมายักคิ้วให้แดงที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“สงสัยจะเป็นพวกหนักไม่เอาเบาไม่สู้กระมัง พอเห็นว่างานหนักก็คงจะใจเสาะ ทนความลำบากไม่ไหว ป่านนี้คงหนีขึ้นฝั่งไปไหนต่อไหนแล้วละพี่” แดงรีบยุส่ง

“จะเอายังไงดีไอ้จัน ใกล้เวลาที่ต้องไปส่งของที่ราชวงศ์แล้วนะ หากไม่ออกเดินทางตั้งแต่ตอนนี้ เราอาจจะถูกนายหน้าหักหัวคิวเอาได้” คนขับเรือโยงเตือน

จันยังคงสองจิตสองใจ อันที่จริงก็เป็นห่วงน้อย แต่ถ้าหากไม่รีบไป เขาเองที่จะเดือดร้อน เสียดายแทนมันจริงๆ ใกล้จะถึงพระนครอยู่แล้วแท้ๆ จันถอนใจยาว สุดท้ายก็ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนเป็นอันดับแรก

“เตรียมออกเรือ”



********************



เมื่อแสงแดดส่องหน้า ทำให้ได้รู้ว่าตัวเองยังมีลมหายใจอยู่ เปลือกตาหนักขยับเบาๆ จนกระทั่งเห็นแสงภายนอก เขาส่ายตามองต้นไม้ใบหญ้ารอบตัวด้วยความมึนงง น้อยสะบัดศีรษะแรงๆ เมื่อความเจ็บปวดผสมกับความเมื่อยล้ายังฝากฝังอยู่ที่ต้นคอ ทำให้มองทุกอย่างพร่ามัวไปหมด

น้อยพยายามจะลุกขึ้น มืออีกข้างจับต้นไม้ใหญ่เอาไว้ไม่ให้ตนเองเซล้ม เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วน เขาก็รีบวิ่งกลับไปที่ท่าน้ำที่เรือโป๊ะจอดอยู่ แต่แล้วก็พบกับความว่างเปล่า เคว้งคว้าง...เหมือนดวงตาของเขา น้อยทรุดตัวลงกับพื้นดิน ความฝันทั้งหมดของเขาฝากไว้ที่เรือของจัน แต่ตอนนี้กลับถูกลอยแพ แล้วที่สำคัญเงินที่จันให้ไว้ใช้จ่ายก็หายไปแล้ว น้อยมองไปรอบกายอย่างไร้จุดหมาย คิดทดท้อในชะตาชีวิตของตนที่มีเคราะห์กรรมผ่านมาให้พบพานอยู่ตลอดเวลา

ชายหนุ่มตัดสินใจเดินไปตามเส้นทางสมบุกสมบันทั้งตีนเปล่า แต่ละย่างก้าวที่สัมผัสกับเศษหินเศษดินก็ยังไม่เจ็บเท่าใจที่ได้แต่เลื่อนลอยไปวันๆ เมื่อมองไปไม่เห็นทางออก ท่ามกลางความมืดมิด ก็ต้องนอนเอาแรงใต้ต้นไม้ใหญ่ สายลมเย็นพัดต้องกายก็หนาวสะท้านไปทั้งตัว มือหนากอดต้นแขนถูไปมา ยุงป่าบินเข้ามาจะกินเลือดก็บินหนีเมื่อเห็นหน้าเขา แม้แต่ยุงก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ เปลือกตาล้าจะหลับลงได้อย่างไร แม้แต่เหลือบไรยังรังเกียจเลย...

น้อยนอนเศร้า เสียแม่ไปแล้วก็ยังทำใจไม่ได้ ไหนชีวิตจะต้องมาตกระกำลำบากนอนข้างทางอย่างหมูหมา ไม่มีแม้แต่หลังคาจะคุ้มหัว

เช้าวันใหม่ แสงสีทองสาดใส่หน้า เปลือกตาขยับขึ้นมาโต้กับแสง บอกให้รู้ว่าค่ำคืนยาวนานได้ล่วงผ่านไปแล้ว น้อยลุกขึ้น หน้าตางัวเงีย มือหนาขยี้ตาให้ตื่น พอก้มมองสภาพตัวเองแล้วก็ส่ายหน้า ผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวมอมแมม เสื้อเก่าที่ผ่านมรสุมสมบุกสมบันขาดเป็นรูเล็กๆ ทำให้คิดอนาถในชีวิตของตน

เมื่อนอนพักเอาแรงเต็มที่แล้ว น้อยก็ตัดสินใจออกเดินต่อ แต่ในระหว่างนั้นก็ได้สังเกตป้ายวัดป่าที่อยู่ในละแวกนั้น มันบ่งบอกชื่อจังหวัดหนึ่งในปริมณฑล นั่นแสดงว่าเขาก็กำลังจะเข้าใกล้พระนครแล้วเต็มที แต่จะเข้าไปในพระนครได้อย่างไร แล้วจุดที่เขายืนอยู่นี่มันคือส่วนไหนก็ยังไม่รู้เลย

“พ่อหนุ่มกำลังจะไปไหนรึ”

จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนซึ่งกำลังปั่นสามล้อถีบผ่านมาส่งเสียงดังขึ้นทักทาย น้อยหันไปเห็นคนแปลกหน้าก็หวาดกลัว เร่งฝีเท้าออกห่าง แต่คนถีบสามล้อก็ปั่นเข้ามาใกล้เหมือนเดิม

“อะไร พูดด้วยดีๆ ไม่คุยด้วย เอ็งเป็นใบ้รึ”

น้อยหยุดเดิน หันไปมองชายแปลกหน้าไม่ได้พูดอะไร นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นผู้ชายบ้าใบ้จริงๆ

“ไอ้ข้าละพอเห็นคนพิการบ้าใบ้ก็สงสารเสียด้วยสิ เอ็งจะไปไหนล่ะ เดี๋ยวข้าไปส่ง ไม่คิดตังค์เลยสักแดงเดียว” ชายแปลกหน้าผู้นั้นเอื้อเฟื้อ แต่น้อยส่ายหน้าปฏิเสธ

“เอ็งไม่มีที่ไปรึ” พอเห็นน้อยพยักหน้า เขาก็ยิ่งเห็นใจ กวาดสายตามองเห็นเนื้อตัวมอมแมม สภาพเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน แต่ดูจากมัดกล้ามที่ต้นแขนก็รู้แล้วว่ายังหนุ่มยังแน่น คงจะดีไม่น้อย หากเขาได้ไอ้หนุ่มคนนี้มาทำงานด้วยกัน

“ข้าชื่อพลอย เอ็งอยากทำงานไหมล่ะ ข้ายังมีสามล้อถีบอยู่อีกคันเอาไว้ให้เช่าทำมาหากิน ข้าคิดถูกๆ วันละบาท เอ็งสนใจหรือเปล่า” พลอยเสนอ เพราะเล็งเห็นแล้วว่าเพียงเก็บค่าเช่าจากไอ้หนุ่มคนนี้เดือนหนึ่งก็น่าจะได้เงินมากมายน่าดู “อาชีพสามล้อถีบขยันหน่อยก็รุ่งนา...วันๆ ได้ลูกค้าไม่ต่ำกว่าสิบรายเลยเทียว”

น้อยยังมองหน้าพลอยอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ด้วยความที่เป็นคนบ้านนอก ระเหเร่ร่อนมาไกลบ้านเพียงลำพัง ไม่อยากจะเชื่อใจใครง่ายๆ อีก แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาเองก็ไม่มีเงินสักบาท ยิ่งพอคิดถึงเงินก่อนหน้านี้ที่อุตส่าห์ได้มาฟรีถึงสองครั้ง แต่ก็มีอันต้องเสียมันไปทุกที เรื่องโชคลาภวาสนากับคนอย่างเขาท่าทางคงไม่มีวันได้สัมผัส คงต้องใช้น้ำพักน้ำแรงของตนเองหาเอากระมัง เงินทองจึงจะไม่สูญหายไปอีก



****************************



หลังจากที่น้อยได้เจอกับพลอยในวันนั้น น้อยก็ไปอยู่อาศัยที่บ้านของพลอย ในทุกๆ เช้าเขาจะถีบสามล้อไปประจำที่จุดสำคัญๆ ในปากเกร็ดเพื่อหวังที่จะได้ลูกค้าไม่ขาดสาย แต่พลอยบอกว่าหากอยากได้ลูกค้าเยอะจริงๆ ต้องไปประจำที่ตลาด ที่ศาลาเฉลิมไทย หรือไม่ก็โรงละครต่างๆ ในพระนคร โดยเฉพาะช่วงที่มีการแสดง คนจะยิ่งครึกครื้น รับลูกค้ากันไม่หวาดไม่ไหว

น้อยที่ต้องการไปตามหาพิมที่พระนครอยู่แล้ว สนใจอยู่เหมือนกัน แต่พลอยบอกว่าระยะทางจากที่นี่ไปยังค่อนข้างไกล ส่วนมากที่ไปประจำกันที่นั่นก็จะไปอยู่ที่พระนครเลย

เช้ามืดวันหนึ่งชายหนุ่มจึงตัดสินใจลองถีบสามล้อออกมา เขาค่อยๆ ลัดเลาะไปตามเส้นทางเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักเอาแรงบ้าง ใช้เวลาร่วมครึ่งค่อนวันได้จนกระทั่งถึงพระนครในที่สุด น้อยแวะรับลูกค้ารายหนึ่งซึ่งให้เขาไปส่งที่เจริญกรุงจึงมีโอกาสได้เที่ยวชมบรรยากาศภายในพระนคร เขายอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่เจริญรุ่งเรืองกว่าที่ท่าเตามาก ถนนหนทางก็ดี มีรถราแล่นกันฉิว ร้านรวงสองฝั่งต่างก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เดินสวนกันไปมาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ช่างแตกต่างกับที่ท่าเตา

เพราะอย่างนี้สินะ พิมถึงอยากจะเข้ามาอยู่ที่นี่นักหนา

พอคิดถึงพิม ตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวเอวบางร่างน้อยคนหนึ่ง หล่อนใส่เสื้อสีขาวแขนกุด สวมผ้าถุงสีกรมท่า รวบผมเป็นหางม้าไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย แม้จะเห็นเพียงด้านหลังแต่ก็รู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูก เสี้ยวหน้าที่ได้เห็นนั้นเหมือนเป็นคนคุ้นเคยกัน เมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังจะเดินห่างออกไป เขาจึงจอดสามล้อเอาไว้แล้วรีบเดินตามหล่อนไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง น้อยมองผ่านประตูรั้วเข้าไป เห็นเป็นคฤหาสน์สีชมพู สวนด้านหน้าอลังการดูยิ่งใหญ่ น่าจะเป็นบ้านของพวกเศรษฐีกระมัง...

ขณะที่น้อยกำลังยืนอยู่หน้าประตูรั้วเหล็กบานใหญ่ ช่างบังเอิญที่ พิมก็หันกลับไปมองที่ประตูรั้วเช่นกัน ช่วงบ่ายๆ อย่างนี้เธอมักจะแอบออก ไปเที่ยวเล่นที่ตลาดใกล้ๆ วัง สักพักถึงค่อยกลับเข้ามารับใช้คุณๆ บนตึกใหญ่ แต่แล้วก็ต้องตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มที่หน้าประตูรั้ว

“พี่ใบ้!” พิมถึงกับร้องอุทานออกมา ตาเบิกกว้างราวกับเห็นผี

“มาได้ยังไงวะเนี่ย มาไกลถึงพระนครขนาดนี้ยังจะตามมาอยู่ได้ บ้าจริง” พิมบ่นกระฟัดกระเฟียด สักพักต้อยก็เดินเข้ามาสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับยื่นตะกร้าหวายให้เธอ

“อะนี่”

“อะไร”

“ถามได้ ก็ไปจ่ายตลาดยังไงล่ะ หม่อมพจนิจสั่งมาเมื่อกี้” ต้อยเริ่มขึ้นเสียง

พิมชักสีหน้า เรื่องไปจ่ายตลาด ถ้าจะให้ไปจริงๆ เธอก็ไม่เกี่ยงหรอก แต่ทำไมต้องให้ไปเวลานี้ด้วย!

“แล้วนังบัวล่ะ ปกติจะเป็นนังบัวไม่ใช่รึที่เป็นคนออกไปจ่ายตลาด”

“นังบัวมันไม่ว่าง ต้องรีบเตรียมอาหาร”

“ฉันก็ไม่ว่างเหมือนกัน” พิมหลบตาหลุกหลิก พูดปัดความรับผิดชอบหน้าตาเฉย

“โกหก วันๆ ฉันไม่เห็นหล่อนจะทำอะไรเลย นอกจากเดินไปเดินมา ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของวัง”

“ฉันนังพิม ว่าที่ต้นห้องของหม่อมเจ้าเพชราวสี ไม่มีหน้าที่ทำงานในครัวย่ะ” พิมเชิดหน้า ต่อล้อต่อเถียงกับต้อยไม่เลิก

ต้อยเบ้ปากหมั่นไส้

“ต้นห้องมันก็ขี้ข้าเหมือนกันนั่นแหละว้า ถ้าไม่อยากโดนคุณท่านตำหนิก็รีบไปจ่ายตลาดได้แล้ว ต้องใช้ด่วน” ต้อยไม่ไว้หน้า ซ้ำยังยัดตะกร้าหวายใส่มือพิมแล้วเหยียดยิ้ม เดินผ่านหน้าไป

พิมที่โดนยัดเยียดให้ทำหน้าที่แทนเห็นเท่านั้นก็ไม่พอใจ พอต้อยเดินลับไปแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะผรุสวาทออกมา คำพูดตอกย้ำว่าเป็นเพียง ‘ขี้ข้า’ มันเจ็บแปลบขึ้นมาในอกแทบระเบิด

“นังบ้า! อีไพร่! คอยดูเถอะ ถ้ากูได้เป็นคุณหญิงคุณนายเมื่อไหร่ กูจะเดินลอยหน้าลอยตา หัวเราะเยาะพวกมึงให้ฟันหลุดเลยคอยดู”

พิมฮึดฮัดไม่มีทางเลือก ก่อนจะเดินกลับมาที่ประตูวัง สอดส่ายสายตามองอย่างหวาดระแวง เมื่อไม่เห็นว่ามีใครอยู่แถวนั้นแล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก หวังว่าภาพชายหนุ่มที่เธอเห็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงแค่ตาฝาดไป

“เฮ้อ...คิดมากน่านังพิม พี่ใบ้จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เธอปลอบใจตัวเอง ก่อนจะเปิดประตู แล้วก้าวเท้าออกมาจากวังอย่างมั่นใจ

แต่ทันใดนั้นเอง...

“พิม...”

เสียงครางเรียกแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง หญิงสาวหันไปตกใจผวา

พิมเห็นแววตาเศร้าก็สัมผัสได้ถึงคำพูดทุกสิ่งที่อยู่ภายในใจ พิม ละอายใจ แต่ไม่อยากเสียหน้าเอ่ยคำขอโทษ เธอรีบหันหลังให้ เตรียมจะวิ่งหนี แต่มือหนาคว้าต้นแขนเธอเอาไว้ได้ทัน

“พิม! พิมจริงด้วย” น้อยหมุนร่างเล็กเข้ามากอดดีใจทั้งน้ำตา

“โอ๊ย ปล่อย” พิมตกใจ ขยะแขยงถึงที่สุด พยายามดันอกกว้างออกห่าง พอหลุดจากวงแขนเขามาได้ เธอก็ไปหยิบท่อนไม้แถวนั้นขึ้นมา ตั้งท่าจะฟาดใส่เขา “อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ ถ้าพี่ก้าวเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียว ฉันฟาดพี่ด้วยไม้นี่แน่”

น้อยมองหน้าพิมด้วยความผิดหวัง เสียใจ เขาอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายไม่สมควรทำ

“พิม ตอนนี้แม่พี่ตายแล้ว ส่วนพ่อก็ไล่พี่ออกจากบ้าน พี่ไม่รู้จะไปหาใคร ตอนนี้ชีวิตพี่เหลือพิมแค่คนเดียวแล้วนะ” เขาวิงวอน

“แต่ฉันไม่ต้องการพี่ เมื่อไหร่พี่จะตายๆ ไปจากชีวิตฉันสักที น่ารำคาญ!” พิมเขวี้ยงท่อนไม้ลงพื้นไปอย่างหงุดหงิด แล้ววิ่งหนีจากไปทันที

น้อยก้มหน้าเศร้า กำลังจะเดินออกไปจากตรงนั้น... แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้า รถยุโรปสีครีมจากไหนไม่รู้ก็พุ่งเข้ามาพร้อมเสียงแตรดังสนั่น น้อยหันไป เบิกตากว้างตกใจ ไม่ทันระวัง รถคันนั้นก็ปราดเข้ามาหาจนเขาเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น

ทั้งคนขับและคนโดยสารข้างหลังตกใจพอกัน ธันคนขับรถฉุนหนัก ชะโงกหน้าออกมาด่ากราด

“มายืนเกะกะอยากตายหรือไง ออกไป ทางรถจะเข้า” ธันโบกมือไล่

น้อยก้มหน้าเจื่อน รีบกระเถิบถอยด้วยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองขวางทางเข้าบ้านเขา เขาก็ต้องโมโหเป็นธรรมดา

ทว่าอารมณ์เกรี้ยวกราดของคนขับ ต่างกันลิบลับกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างหลัง เธอเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากในรถก็รู้สึกเห็นใจชายผู้นั้น เขาคงไม่รู้ว่าจะมีรถแล่นเข้ามาพอดี

“นายธันไม่ลงไปดูเขาหน่อยหรือ” เสียงหวานเปรยขึ้น ยังไม่ละสายตาไปจากใบหน้ามอมแมมของคนที่อยู่ข้างนอกรถ

“อย่าเลยกระหม่อม มันคงเป็นพวกขอทานสติไม่ดี ที่ชอบมาเดินขอเงินแถวนี้เสียมากกว่า”

“ถ้าเขาสติไม่ดีก็ยิ่งน่าเห็นใจเขานะ” เธอทอดเสียงอ่อนอย่างเวทนาในชะตากรรมของผู้ชายคนนั้น ไม่รอช้ารีบลงไปช่วยเหลือ ไม่สนใจว่าชายผู้นั้นจะเป็นใครหรือมาจากไหนด้วยซ้ำ “เป็นอะไรมากไหมจ๊ะ” มือบางช่วยประคองร่างใหญ่ให้ลุกขึ้นจากพื้น

น้อยมองคนตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง กำลังจะวิ่งหนีไป แต่มือบางยังจับแขนเขาไว้ไม่ปล่อย

“รับเงินนี่ไปเถอะนะจ๊ะ ถือว่าเป็นค่ายา ค่าทำขวัญที่คนขับรถของฉันเกือบจะขับรถชนนาย”

ชายหนุ่มมองเงินในมือที่หญิงสาวมอบให้แล้วส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ

“ทำไมล่ะ”

น้อยไม่ตอบ ได้แต่หันหลังให้ เดินก้มหน้าจากไปอย่างเซื่องซึม ทิ้งให้หญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม จ้องแผ่นหลังนั้นด้วยความสงสัย...เขาเป็นอะไรของเขากันนะ

“ท่านหญิงไม่น่าไปเมตตามันเลยกระหม่อม ดูสิ ได้รับพระกรุณาถึงขนาดนี้แล้วยังทำจองหอง” ธันพูดอย่างหมั่นไส้ มีอย่างที่ไหนเดินหนีท่านไปไม่พูดจาด้วยสักคำ

“เขาคงไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร ...ช่างเขาเถอะ เรารีบเข้าไปข้างในหาเด็จพ่อกับคุณแม่ดีกว่า”

“กระหม่อม”




หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.พ. 2565, 23:30:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.พ. 2565, 23:30:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 251





<< บทที่ 4 ได้เวลาเปิดวัง   บทที่ 6 หญิงสาวที่ทุกคนรอคอย (50%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account