วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:

เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน

หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก

ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ

. . . . . . . . . . . . . .

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ


***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ

2.ร้านออนไลน์

3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า

สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา

ตอน: บทที่ 6 หญิงสาวที่ทุกคนรอคอย (50%)

“กลับบ้านเราเสียทีนะลูก แม่คิดถึงหนูใจแทบขาดรู้ไหม”

หม่อมพจนิจโผเข้ากอดร่างบอบบางของลูกสาวด้วยความรักและคิดถึงสุดหัวใจ หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายปี คนเป็นแม่ก็เฝ้ารอวันนี้มาโดยตลอด

เพชราวสีกอดพระมารดาอยู่ครู่ ก็หันมายิ้มให้พระบิดาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน

“ลูกกลับมาคราวนี้โตเป็นสาวสวยขึ้นมาก จนพ่อจำแทบไม่ได้”

พระองค์เจ้าทิวากรมองลูกสาวคนเดียวด้วยความภาคภูมิใจ

“สงสัยคงเพราะลูกไปอยู่อังกฤษเสียนาน จนจะกลายเป็นพวกแหม่มไปแล้วมั้งเพคะ” เพชราวสีพูดติดตลก ทำให้พระบิดาลอบขำออกมา

“พี่วสี!”

เสียงน้อยๆ ดังขึ้น เพชราวสีหันไปตามเสียงเรียกนั้น เห็นเด็กชายตัวเล็กวิ่งถลาเข้ามาหา ยิ้มร่า ก่อนจะโถมทั้งตัวกอดพี่สาวเอาไว้แน่นด้วยความคิดถึง

“ว่ายังไงชายต้น ไม่ได้เจอกันนาน ตัวโตขึ้นเยอะเลยนะเรา” หญิงสาวยิ้มกริ่ม ผละน้องชายออกจากอกเพื่อให้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มเต็มตา จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน น้องชายของเธอเพิ่งอายุครบสี่ขวบเท่านั้นเอง

“ตอนนี้เด็จพ่อพาชายไปเข้าโรงเรียนแล้วนะครับ เรียนกับครูฝรั่ง สอนอะไรก็ไม่รู้ชายไม่เข้าใจเลย”

พระองค์เจ้าทิวากรนั่งยิ้มเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กช่างฉอเลาะ หลังจากที่ลูกสาวคนโตไปเรียนที่อังกฤษได้สักพักใหญ่ๆ พจนิจก็มีลูกชายคนนี้ให้เขา ทำให้วังราชสาสน์ที่เคยเงียบเหงา กลับมามีสีสันอีกครั้ง พลวริศค่อนข้างเป็นเด็กเอาแต่ใจ เป็นตัวแสบประจำบ้าน ชอบเล่นซุกซนปีนป่ายโน่นนี่ตามประสา หาเรื่องให้พ่อกับแม่ต้องปวดหัวเป็นประจำ

“เขาเรียกภาษาอังกฤษจ้ะ เราต้องเรียนนะรู้ไหม เพราะภายหน้าจะสำคัญมาก” เพชราวสีลูบผมทุยของน้องชายอย่างเอ็นดู

หม่อมเจ้าพลวริศพยักหน้ารับ ก่อนที่พระบิดาจะเอ่ยแทรกขึ้นว่า

“พ่อคิดว่าพ่อจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับลูก ลูกจะว่ายังไง”

“หากเป็นพระประสงค์ของเด็จพ่อ ลูกก็ไม่ขัดเพคะ”

เสด็จยิ้มออก “งั้นดีเลย พ่อจะได้เชิญเสด็จพระองค์ผ่องกับชายภาส...พระคู่หมั้นของลูกมาร่วมงานด้วย ลูกจะได้ทำความรู้จักกับพี่เขาเสียที”

คำพูดทิ้งท้ายของพระบิดาทำเอาหัวใจของเพชราวสีกระตุกแรงขึ้น เมื่อนึกถึงพระคู่หมั้น หม่อมเจ้าภาณุมาศ อาภาภิรมย์ หรือพี่ชายภาสของเธอ ที่มีอายุห่างกันถึงเจ็ดปี คู่หมายที่เธอไม่เคยพบหน้าเลยสักครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเมื่อรู้ว่าจะได้เจอกันเป็นครั้งแรก เธอไม่เคยมีความรัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักคืออะไร...แต่จู่ๆ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็จะจับเธอแต่งงานเลยทันที มันช่างแปลกประหลาด



*************************



เพชราวสีอยู่พูดคุยกับพระบิดาพระมารดาต่ออีกสักพักก็ขอตัวขึ้นไปบนห้อง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว แต่ทว่าสมองก็ยังวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องที่พระบิดาพูดไว้

สายหยุดที่คอยดูแลปรนนิบัติเพชราวสีอยู่ในห้อง ถือแปรงหวีผมเข้ามาหา ขณะที่หญิงสาวยังคงนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สายหยุดหวีเรือนผมนุ่มสลวยให้อย่างใจเย็น ก่อนจะถาม...

“ท่านหญิงของป้า นั่งเหม่ออยู่นานสองนานแล้ว เป็นอะไรไปเพคะ เหนื่อยหรือเปล่า”

“เปล่าจ้ะ” เพชราวสีส่ายหน้า

เมื่อเห็นว่ามีที่พึ่ง หญิงสาวก็หันหน้างามมาถามสายหยุด แม่นมของเธอ ที่คอยสั่งสอนและเข้าใจเธอมาโดยตลอด สายหยุดเปรียบเสมือนแม่อีกคนของเธอก็ว่าได้ น่าจะให้คำปรึกษาแก่เธอได้ดี

“ป้าสายเคยมีความรักไหม”

สายหยุดอมยิ้มหน้าแดงแจ๋ เมื่อหวนคิดถึงความรักสมัยสาวๆ ของเธอ และคำพูดของเพชราวสีก็ช่างไร้เดียงสา

“ใครบ้างเพคะจะไม่เคยมีความรัก”

ดวงตาคู่สวยเป็นประกายเริ่มสนใจขึ้นมา

“แล้วป้าสายรู้สึกยังไง อะไรที่บอกว่าเรามีความรัก”

“โธ่ ท่านหญิง... มีเรื่องอะไรให้กลุ้มพระทัยเพคะถึงได้ตรัสถามแบบนี้”

สายหยุดเริ่มเอะใจ เธอเลี้ยงเพชราวสีมาตั้งแต่เด็ก ย่อมรู้จักนิสัยเป็นอย่างดี แต่ไหนแต่ไรเพชราวสีไม่เคยคิดถามเกี่ยวกับเรื่องความรัก เพราะเธอเป็นคนที่วางตัวดี ถึงจะไปอยู่เมืองนอกเมืองนามานาน แต่เธอก็ยังรักนวลสงวนตัวรักษาขนบประเพณีตามแบบฉบับหญิงชาววัง อย่างที่คุณแม่ของเธอพร่ำสอนเป็นอย่างดี จึงไม่เคยทำตัวเองให้หม่นหมอง แต่ทำไมวันนี้ท่านหญิงของเธอกลับสนใจอยากรู้เรื่องของความรักนัก แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติของหนุ่มสาว เพราะผู้หญิงในวัยเดียวกันกับเพชราวสีต่างก็ออกเรือน มีลูกมีเต้ากันไปแล้วมากมาย

“ฉันกังวลเหลือเกิน ไม่เคยเจอพี่ชายภาสเลยสักครั้ง เคยเห็นเพียงรูปและคำบอกเล่าจากเด็จพ่อกับคุณแม่ ฉันเลยไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง” เพชราวสีถอนหายใจ “เฮ้อ! ท่านจะเป็นคนยังไงนะ จะดีกับฉันหรือเปล่า”

ด้วยความที่เพชราวสีถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่เด็ก เธอจึงไม่ได้อยู่ใกล้ชิดภาณุมาศอย่างที่ควรจะเป็น พอเธอกลับมาเยี่ยมบ้าน ก็ได้ข่าวว่า เขาย้ายไปเรียนต่อที่สิงคโปร์ตามพระปิตุจฉา เลยคลาดกันมาแล้วครั้งหนึ่ง พอเธอกลับไปอังกฤษก็ดันเป็นช่วงสงครามโลก ไม่สะดวกกับการเดินทาง จึงไม่ได้พบหน้ากันเสียที แต่ถึงอย่างนั้นชื่อของเขาก็ไม่เคยหายไปจากชีวิตของเธอเลย แม้จะอยู่ไกลกันคนละฟากโลก แต่เธอก็มักจะได้ยินเรื่องราวของเขาจากฟากเมืองไทยอยู่เสมอ และอดชื่นชมในตัวเขาไม่ได้

ตั้งแต่จำความได้ พระบิดาพระมารดาก็ปลูกฝังเรื่องของหม่อมเจ้าภาณุมาศใส่หัวเธอมาโดยตลอด ทำให้เธอคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่เหมาะสมกับเธอมากที่สุด และไม่เคยแลมองชายอื่นเลย...เพราะไม่ว่าอย่างไร เธอก็คงไม่พ้นต้องแต่งงานกับเขาอยู่ดี

แต่เรื่องที่เป็นปัญหาสำหรับเธอก็คือ แม้จะเป็นพระคู่หมั้นกัน แต่ทั้งเธอและเขาก็คือคนแปลกหน้า ไม่เคยได้เรียนรู้นิสัยใจคอกันเลย จึงรู้สึกประหม่า อึดอัดจนไม่กล้าบอกใคร แม้แต่พระบิดาพระมารดา แต่กับสายหยุด เป็นคนที่เลี้ยงดูเธอมาใกล้ชิดยิ่งกว่าพวกท่านทั้งสอง เธอจึงกล้าสารภาพความในใจออกมา

สายหยุดได้ยินเพชราวสีรำพึงเช่นนั้นก็สงสาร แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่กุมมือนุ่มขึ้นมาปลอบ

“อย่ากังวลไปเลยเพคะ ความรักไม่สำคัญเท่าความเหมาะสมหรอกเพคะ ท่านชายภาส ท่านเป็นถึงพระโอรสของพระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสี เหมาะสมกันทั้งรูปทรัพย์ ฐานะ แลชาติตระกูล นับว่าท่านหญิงของป้ากำลังจะได้เพชรล้ำค่ามาครอบครองไว้กับตัว”

เมื่อเห็นสายหยุดยิ้มให้ เพชราวสีก็คลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ ยอมรับว่าคำพูดของสายหยุดช่วยเธอได้มาก แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า ฐานะและความเหมาะสม จะสำคัญกว่าความรักและความดีจริงๆ หรือ...



*************************


ภายในห้องเครื่องวันนี้วุ่นวายกว่าทุกวัน เพราะทุกคนต่างก็ให้ความสนใจเรื่องของเพชราวสี หม่อมพจนิจสั่งให้จัดเตรียมอาหารชุดใหญ่เป็นการต้อนรับลูกสาว ไม่ว่าจะเป็นของโปรดอย่างพะแนงเนื้อรสเผ็ด แสร้งว่ากุ้ง ปลาดุกฟู แกงเขียวหวานมังคุดที่ล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดของเพชราวสีทั้งสิ้น

ในขณะที่บัวกำลังนั่งหั่นเนื้อเตรียมทำพะแนงอยู่นั้น บัวเงยหน้าขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ต้อยเดินเข้ามาพอดี บัวจึงโพล่งถามด้วยความร้อนใจ

“ว่ายังไงบ้างวะนังต้อย เจอท่านหญิงหรือเปล่า”

ต้อยออกอาการคันปาก ปรี่เข้ามานั่งคุยกับบัวที่แคร่ทันที

“เจอซี้...งามอย่างกับนางฟ้าก็ไม่ปาน รูปโฉมงามสง่า ผิวพรรณขาวผ่องดุจทองคำ”

“ปานนั้นเลยหรือวะ” บัวได้ฟังก็ยิ่งตื่นเต้น

“ก็ใช่น่ะสิ ข้าเห็นกับตา ท่านงามหาที่เปรียบไม่ได้”

ต้อยพูดไปใจก็พลางนึกถึงใบหน้าสวยหวานของเพชราวสี หากใครได้เห็นรูปโฉมของท่าน ก็จะรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

เมื่อธันได้ยินเสียงสองสาวพูดคุยกันดังออกมาถึงข้างนอก ธันก็รีบเดินเข้ามาผสมโรง

“ใช่ ข้าไปรับท่านมาเอง ท่านงามผ่อง แถมยังเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา เห็นคนข้างถนนท่านก็นึกสงสาร”

“โธ่...แม่คุณ ช่างเป็นบุญของพวกเราแท้ๆ ที่มีเจ้านายดี” บัวเอ่ยด้วยความตื้นตันใจ และทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกไม่ต่างกันเลย

ขณะที่ต้อยและธันกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องของเพชราวสี สายหยุดก็เดินเข้ามาสีหน้าขุ่นมัว ทุกคนทำหน้าฉงน ไม่เคยเห็นสายหยุดข้าหลวงใหญ่มีอาการเช่นนี้มาก่อน เมื่อเห็นว่าสายหยุดทรุดตัวลงนั่งแล้ว ธันก็เป็นคนแรกที่เอ่ยถาม

“มีอะไรหรือเปล่าป้า เดินมาหน้ามุ่ยบอกบุญไม่รับเชียว”

“นั่นสิ หรือโดนหม่อมท่านตำหนิมารึ” ต้อยเดา

“เปล่าหรอก... ข้าแค่สงสารท่านหญิงของข้า”

“สงสารเรื่องอะไรป้า” ต้อยฉงนงุนงงยิ่ง

ระหว่างที่ทุกคนต่างพูดคุยกัน พิมที่เพิ่งกลับมาจากตลาดกำลังจะเดินเข้ามาในครัว เมื่อได้ยินเรื่องของหม่อมเจ้าเพชราวสี สมองก็สั่งให้หยุดฟังเรื่องของท่านหญิงคนสวยที่ทุกคนในวังนี้รักและเทิดทูนหนักหนา พิมไม่กล้าพรวดพราดเข้าไป ได้แต่แอบยืนอยู่ใกล้ๆ ในระยะที่พอจะได้ยินทุกคำ

“วันนี้ท่านหญิงถามข้าเรื่องท่านชายภาส เห็นแล้วข้าก็เศร้าใจ เธอยังเยาว์ แต่ก็ต้องมาเสกสมรสกับชายที่ไม่ได้รัก ไม่เคยพบหน้า ข้าละสงสารท่านจริงๆ” พูดจบสายหยุดก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เอ...แต่ข่าวที่ฉันรู้มา ท่านชายภาสนี่...ท่านก็หล่อเหลาเอาการอยู่นะป้า เหมาะสมกับท่านหญิงของเรามาก เพราะท่านเองก็งามหาหญิงใดเปรียบ” ธันพูด

“จริงรึไอ้ธัน”

“จริงสิวะนังต้อย”

“ทรงงามเหมือนพระเอกยี่เกหลังตลาดหรือเปล่า” ต้อยสนใจขึ้นมาทันที

“จะไปรู้หรือวะ ข้าเองก็ยังไม่เคยเจอท่านชายภาสเลยสักครั้ง แต่เปรียบกันไม่ได้หรอกเว้ย ไอ้พระเอกยี่เกของเอ็งน่ะ เพราะยังไงท่านชายภาสก็ต้องรูปงามกว่าอยู่แล้ว”

เมื่อพิมได้ฟังเรื่องพระคู่หมั้นของหม่อมเจ้าเพชราวสี ก็เกิดความสนใจใคร่รู้อยากจะเห็นหน้าขึ้นมาทันที แต่ไม่น้อยไปกว่าความอิจฉาริษยาที่ก่อเกิดขึ้นในใจ ทำไมชีวิตของคนที่ดีอยู่แล้วจะต้องได้อะไรที่ดีๆ อยู่เรื่อย โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลยเสียจริง!


หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ





ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.พ. 2565, 10:41:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.พ. 2565, 14:36:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 196





<< บทที่ 5 แรกพบ   บทที่ 6 หญิงสาวที่ทุกคนรอคอย (100%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account