วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา
ตอน: บทที่ 8 คนสวนคนใหม่ (100%)
น้อยที่กำลังรดน้ำต้นมะลิอยู่ในสวนอย่างใจเย็น ยังไม่รู้ชะตากรรมของตน เขายังคงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ที่เพชราวสีให้สมุดและดินสอเขามา แล้วอยู่ๆ ชายหนุ่มก็ผุดยิ้มที่มุมปาก เขายิ้มเพราะไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้พบเจอคนดีๆ อย่างเพชราวสี ตั้งแต่ได้พบกับเธอ เพชราวสีก็เป็นฝ่ายให้เขามาโดยตลอด ตั้งใจเข้ามาในวังแห่งนี้เพื่อจะตอบแทนบุญคุณของเธอแท้ๆ แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรตอบแทนในน้ำใจของเธอเลย
น้อยรดน้ำต้นมะลิต้นสุดท้ายเสร็จพอดี พอหันหลังกลับมา ก็ได้ยินเสียงของพระองค์เจ้าทิวากรดังขึ้นพร้อมกับตรงเข้ามาหาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เพชราวสีและหม่อมพจนิจต้องรีบตามมาห้ามปราม ส่วนพวกข้าหลวงที่อยากรู้อยากเห็นก็วิ่งมาดูกันโกลาหล
พิมที่ได้ยินเสียงดังเกรี้ยวกราด ตามด้วยเสียงซุบซิบนินทาของทุกคนราวกับตลาดแตก เธอก็ไม่พลาดที่จะตามไปเก็บเรื่องคาวๆ ของพวกผู้ดี... แต่พอมาถึง พิมก็ต้องตกใจ เมื่อได้เห็นใบหน้าของน้อย เธอรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลัง ทนดูน้ำหน้าเขาได้ไม่นานก็รีบเดินออกไปจากกลุ่มเงียบๆ
“วังหลังนี้ไม่ต้องการคนบ้าใบ้อย่างแกให้เป็นเสนียด รีบไสหัวออก ไปจากวังของฉันซะ”
น้อยหน้าซีดเผือด ยืนนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก ชายหนุ่มเริ่มหวาดกลัว เมื่อกวาดสายตามองทุกคนที่ยืนจ้องเขาอยู่ ความรู้สึกเก่าๆ ตอนที่เคยถูกประณามกลั่นแกล้งก็กลับมาอีกครั้ง แต่เมื่อมองไปอีกทางก็มีแสงสว่างเกิด ขึ้น เพราะมีเพียงเพชราวสีคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้มองเขาด้วยสายตารังเกียจเช่นคนอื่นๆ
“เด็จพ่ออย่าทำแบบนี้เลยนะเพคะ น้อยเป็นใบ้ก็ถือว่ามีกรรมมากพออยู่แล้ว เด็จพ่อยังจะขับไล่ไสส่งเขาไปไกลๆ จะไม่พระทัยร้ายกันเกินไปหน่อยหรือเพคะ”
“ลูกไม่เป็นพ่อ ลูกไม่มีวันเข้าใจ... พ่อจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถ้าไอ้พวกชาวบ้านปากตลาดมันรู้ว่าวังเสด็จพระองค์ชายต้อมรับคนบ้าใบ้ไม่สม ประกอบเข้ามาอยู่ในวัง คงไม่พ้นถูกโพนทะนาไปทั่วทั้งย่าน พ่อยอมไม่ได้หรอก...เอ้า! ยืนซื่อบื้ออยู่ทำไมล่ะวะ เจ้าของบ้านเขาไล่แล้วก็ออกไปสิ” พระองค์เจ้าทิวากรแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเกลียดชังน้อยถึงที่สุด “ไอ้ธันลากตัวมันออกไป”
เมื่อได้ยินคำสั่งนั้น ธันก็ปรี่เข้าไปประชิดตัวน้อย สองมือรวบตัวเอาไว้แน่นหนายังกับเป็นผู้ร้าย น้อยพยายามดิ้นขัดขืน เพชราวสีเห็นแล้วรับไม่ได้...คิดว่าพระบิดาทำเกินไป
“ถือว่าทำบุญกับคนยากไร้สักครั้งเถอะเพคะ คนพูดไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนไม่ดีเสียหน่อย อย่าไล่น้อยออกจากวังเลยนะเพคะ” เธอขอร้องน้ำตาซึม
“ไม่ ยังไงพ่อก็ไม่ยอม” เสด็จกัดฟันกรอด
เมื่อพระบิดายังใจแข็ง เพชราวสีก็จนปัญญา เห็นจะเหลือก็แต่ที่พึ่งสุดท้าย...
“คุณแม่ ช่วยพูดกับเด็จพ่อหน่อยสิคะ” เธอหันไปอ้อนพระมารดาแทน
ในความคิดของหม่อมพจนิจ ลูกสาวคนนี้เป็นคนว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เสมอ แต่มีเรื่องเดียวที่เพชราวสีจะทำตามแต่ใจ คือการช่วยเหลือคน ซึ่งการที่ลูกสาวเป็นคนจิตใจดีมีเมตตานับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งความเมตตาที่มีมากเกินไป จนอาจทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิดคิดเป็นอย่างอื่น คนเป็นแม่หรือจะนิ่งดูดาย เธอก็แค่อยากจะสั่งสอนให้ลูกสาวได้รู้สำนึกเรื่องความเหมาะสม ในเมื่อคุยกันดีๆ แล้วไม่ยอมฟัง ก็ถึงคราวต้องใช้ไม้แข็งให้รู้เสียบ้าง
“ไปกันเถอะเพคะ” หม่อมพจนิจทำเป็นมองเมินลูกสาว แล้วรั้งแขนสวามีให้กลับขึ้นไปบนตำหนักด้วยกัน พระองค์เจ้าทิวากรจึงเดินออกมาอย่างหัวเสีย โดยมีพจนิจตามหลังไปไม่ห่าง
เพชราวสีรู้สึกไม่ดีเลยที่เห็นพระมารดาเดินหนีเธอไปเช่นนั้น เธอหันกลับไปมองชายใบ้แล้วเห็นใจ ก่อนจะรีบสาวเท้าตามพระมารดาไปอย่างรวดเร็ว
“คุณแม่คะ ช่วยลูกกราบทูลเด็จพ่อให้รับน้อยได้ไหมคะ ถือว่าลูกขอร้อง”
หม่อมพจนิจถอนใจ “แล้วทำไมลูกถึงอยากให้มันอยู่นัก มันเป็นคนบ้าใบ้ ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า จะไว้เนื้อเชื่อใจได้มากแค่ไหนเราก็ไม่รู้”
เพชราวสีเอื้อมมือไปจับมือของพระมารดาอย่างนุ่มนวล
“ลูกเชื่อว่าน้อยเป็นคนดี คุณแม่ทำบุญกับคนตกทุกข์ได้ยากถือเป็นกุศลมหาศาลเลยนะคะ”
“ไม่ต้องมาอ้างเรื่องบาปบุญกับแม่” หม่อมพจนิจขึ้นเสียงใส่ ลูกคนนี้ฉลาดแถมยังหัวหมอ ชอบเอาเรื่องบาปบุญมาให้คล้อยตามได้อยู่เรื่อย แม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูกสาว แต่เพราะเป็นชาวพุทธ เรื่องบาปบุญจึงอยู่ในกมลสันดานมาตั้งแต่เกิด จากที่ว่าจะใจแข็งจึงยอมอ่อนให้
“แม่จะช่วยกราบทูลเสด็จพ่อให้ก็ได้...”
เพชราวสียิ้มออก แต่ดีใจได้ไม่นาน รอยยิ้มนั้นก็เริ่มจางหาย
“แต่มีข้อแม้ว่าลูกจะต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีก และมันก็ต้องอยู่ที่เรือนคนใช้และภายในสวนเท่านั้น ห้ามให้มันขึ้นมายุ่มย่ามบนตำหนักใหญ่เด็ดขาด”
เพชราวสีชะงัก น้อยแค่พูดไม่ได้ ทำไมพระบิดาพระมารดาของเธอถึงต้องตั้งป้อมรังเกียจเขามากมายขนาดนี้
**************************
น้อยถูกไล่ไม่ต่างจากโยนออกมาจากวัง ชายหนุ่มนั่งคอตกถอนใจในโชคชะตา เพิ่งได้เข้าไปอยู่ในวังนี้ไม่ถึงวันก็ต้องเตรียมใจระหกระเหินเร่ร่อนไปอีกแล้วหรือ...เขาทำใจอยู่ครู่ก็ลุกขึ้น จะเดินจากไป ในเมื่ออยู่ที่นี่ไม่ได้ก็คิดว่าจะหาหนทางใหม่ตอบแทนบุญคุณเพชราวสี แต่ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เอ็งนี่มันทำบุญด้วยอะไรวะ เสด็จพระองค์ชายไล่เอ็งออกจากวังแล้วแท้ๆ แต่ท่านหญิงเธอมีเมตตา ไปขอร้องให้ท่านรับอุปถัมภ์เอ็งไว้จนได้”
น้อยถึงกับชะงัก ที่ผ่านมาเขาเคยมีแต่ให้คนอื่นมาโดยตลอด ไม่เคยได้รู้ซึ้งถึงการเป็นผู้รับเลย เพชราวสียอมขัดใจบุพการีเพื่อช่วยเขา คิดแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็เปรียบเหมือนนางฟ้า...ต่อชีวิตให้เขาได้มีลมหายใจอีกครั้ง
น้อยอยากเป็นคนใหม่ ให้สมกับโอกาสที่เพชราวสีมอบให้ อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากเป็นคนขี้แพ้ เป็นคนอ่อนแอที่ยอมให้คนอื่นรังแกอยู่ร่ำไป แต่เมื่อคิดจะลุกขึ้นสู้ทีไรก็ไม่เห็นจะทำให้อะไรดีขึ้นมา ตนจึงท้อ ได้แต่อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวมาโดยตลอด แต่วันนี้เพชราวสีได้แสดงให้เขาเห็นแล้วว่า...ขนาดเธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ เธอก็ยังยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา จนสามารถทำให้เขาเข้าไปอยู่ในวังแห่งนี้ได้สำเร็จ มองเธอแล้วก็เหมือนมีพลังบวกโอบล้อมตัวเขาไว้ เธอทำให้เขาเปลี่ยนความคิด และอยาก จะเริ่มต้นใหม่กับชีวิตที่เหลืออยู่...
“เอ้า! ยืนเหม่ออยู่นั่นแหละ ตามข้ามาเร็ว ข้าจะพาเอ็งไปดูห้องนอนดีๆ ที่ที่เหมาะสมกับคนบ้าใบ้อย่างเอ็ง”
น้อยรู้ว่านั่นคือคำประชด แต่ก็รีบเดินตามธันไปยังโรงรถเก่าที่อยู่ใกล้ๆ กันกับเรือนคนใช้ แต่อยู่ห่างจากตึกใหญ่พอสมควร น้อยมองสำรวจบริเวณรอบๆ เห็นมีเล้าเป็ดเล้าไก่อยู่ติดกัน กลิ่นขี้ไก่ลอยมาตามลมคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ น้อยยิ้มรู้ทันความคิดพระองค์เจ้าทิวากร ที่แท้ก็จะให้เขามาเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่นี่เอง หารู้ไม่ว่ากลิ่นขี้ไก่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ น้อยกลับดีใจด้วยซ้ำที่ได้ทำสวน เลี้ยงเป็ดไก่ อยู่อย่างสันโดษ พอมองไปอีกทางเห็นศาลาริมน้ำ ก็พานให้นึกถึงสระบัวหลังกระท่อมที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่กับแม่มะลิและพ่อช้อน
ทันทีที่ธันเปิดประตูโรงรถออก ละอองฝุ่นคลุ้งโขมงตีเข้าหน้า จนธันสำลักไอค่อกแค่ก น้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบยกมือขึ้นโบกพัดไล่ฝุ่นละอองให้อากาศตรงหน้าดีขึ้น
“เสด็จพระองค์ชายมีรับสั่งให้เอาห้องนี้ให้เอ็ง คงต้องปัดกวาดเช็ดถูกันนานหน่อย หวังว่าเอ็งคงจะอยู่ได้นะ” ธันแสยะยิ้มหยัน
น้อยมองเข้าไปภายในโรงรถเก่าค่อนข้างโทรม ก็แน่ละ มันเก่าสมชื่อเลย มีหยากไย่เกาะเต็มไปหมด พื้นปูนก็มีคราบน้ำมันเศษดินเลอะเทอะ เงยหน้ามองขึ้นไปบนหลังคาสังกะสีก็มีแต่รอยรั่ว แถมไม้ตีผนังบางส่วนก็ผุพังเพราะปลวกกัดกินแทบไม่เหลือโครง น้อยหนักใจสงสัยงานนี้คงต้องซ่อมแซมกันอีกยาว
***************************
ช่วงเย็นใกล้ค่ำ หลังจากที่พวงไปรับป้องกลับจากโรงเรียน พวงก็พาลูกชายแวะซื้อขนมเปี๊ยะเจ้าดังในตลาดจึงกลับมาช้ากว่าปกติ พวงเดินเข้ามาในครัวยังไม่ทันจะได้นั่ง บัวก็ร้องทักขึ้น
“อ้าวลุง! กลับมาแล้วเรอะ มาไม่ทันพายุเข้าก็ถือว่ารอดตัวไป”
พวงหูผึ่ง “พายุ!? พายุอะไรรึนังบัว”
บัววางตะหลิว เอี้ยวตัวมาพูดคุยกับพวงเป็นเรื่องเป็นราว
“ก็พายุพระพิโรธของเสด็จท่านน่ะสิ ท่านโวยเสียงดังลั่น กริ้วมากที่รู้ว่าลุงเอาไอ้คนบ้าใบ้เข้ามาทำงานในวังของท่าน”
“ไอ้น้อยน่ะรึเป็นใบ้” พวงตะลึง งงเป็นไก่ตาแตก ไอ้น้อยมันก็พูดได้นี่ ทำไมทุกคนถึงเข้าใจว่ามันเป็นใบ้
“ก็ใช่น่ะสิ แล้วลุงคิดยังไงรับคนบ้าใบ้เข้ามาทำงาน ลุงก็รู้ไม่ใช่รึว่าเสด็จพระองค์ชายไม่โปรดพวกพิกลพิการไม่สมประกอบ”
พวงฟังแล้วก็กลุ้มใจ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่ได้การละ ต้องคุยกับไอ้น้อยให้รู้ความ
*********************
เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดจากบัว พวงก็รีบไปหาน้อยที่โรงรถเก่า เห็นชายหนุ่มกำลังตักน้ำจากบ่อไปใส่ตุ๋มอย่างขยันขันแข็ง มองแล้วก็สังเวชใจ หากมันบอกว่าไม่ได้เป็นใบ้ตั้งแต่แรก เสด็จท่านก็คงไม่เกลียดชังและสั่งให้มาอยู่โรงรถเก่าโสโครก ใกล้เล้าเป็ดเล้าไก่ให้ทุกข์ใจเช่นนี้
“ไอ้น้อย ทำไมเอ็งต้องแกล้งเป็นใบ้ด้วยวะ”
น้อยยกถังเทน้ำใส่ตุ๋มเสร็จ ก็หันกลับมาเห็นพวงยืนอยู่หน้าตาขึงขัง น้อยรู้สึกผิด จึงยกมือไหว้พวงก่อนเป็นอันดับแรก
“ฉันขอโทษนะจ๊ะลุง ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลย ตอนที่ฉันได้เจอท่านหญิง เธอเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นใบ้ ฉันไม่รู้จะทำยังไงก็เลยต้องตามน้ำไป”
พวงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ! แล้วเอ็งจะแกล้งเป็นใบ้แบบนี้ไปอีกนานเท่าไร”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ” น้อยหน้าเจื่อนลง
พวงหน่ายใจ รู้ว่าน้อยเป็นคนดี ขอแค่มันขยันขันแข็ง ไม่ขี้เกียจ รู้จักทำงาน คอยแบ่งเบาภาระเล็กๆ น้อยๆ เรื่องอื่นพวงก็ไม่สนใจหรอก เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัว...
ด้านพิมที่แอบมองพวงกับน้อยพูดคุยกันอยู่ พอเห็นพวงเดินกลับ ไปแล้ว พิมก็รีบเข้าไปหาน้อยหวังจะเคลียร์ใจกันให้รู้เรื่อง
“พี่ใบ้!”
น้อยหันกลับมาเห็นหญิงสาวก็ชะงักงัน
“พิม...” น้อยยังไม่ทันได้พูดอะไร กำปั้นน้อยๆ ก็พุ่งเข้ามาทุบตีที่อกรัวอย่างเกรี้ยวกราด
“พี่ตามฉันมาทำไม เมื่อไหร่พี่จะเลิกยุ่งกับชีวิตฉันสักที”
พิมสติแตกทุบตีเขาอย่างบ้าคลั่ง หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงทนให้หล่อนโขกสับระบายอารมณ์จนหนำใจ แต่ตอนนี้เขาตาสว่างแล้ว จะไม่มีผู้ชายโง่ๆ คนนั้นอีกต่อไป
น้อยสุดจะทนกับพฤติกรรมของพิม รีบรวบกำปั้นเล็กๆ เอาไว้เป็นการเตือนสติ
“พี่ไม่ได้ตามใครทั้งนั้น แล้วก็หยุดหลงตัวเองได้แล้ว” น้อยกัดฟันกรอด เอือมระอา ไม่คิดว่าพิมจะหลงตัวเองได้มากถึงเพียงนี้
พิมสะบัดมือเขาออกอย่างรังเกียจ มองน้อยตาเขียวปัด
“ถ้าพี่ไม่ได้ตามฉันมา แล้วพี่เข้ามาอยู่ในวังนี้ทำไม พี่ต้องการอะไรกันแน่”
“มันไม่ใช่เรื่องของเธอ” น้อยจ้องหน้าพิมอย่างเอาเรื่อง
พิมประหลาดใจ ท่าทีของน้อยดูเปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อน
“ไม่ว่าพี่คิดจะทำอะไร ฉันขอเตือนพี่ไว้เลยนะ ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เขาเป็นท่านชายมีฐานะสูงส่งกว่าพี่มาก น้ำหน้าอย่างพี่ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ก็ไม่มีวันได้ใจนังพิมคนนี้ไป” พูดจบพิมก็สะบัดหน้าจากไปด้วยความโมโห
น้อยมองตามร่างบางจนลับตา คำตอบในใจเหลือเพียงความว่างเปล่า แปลกใจตัวเอง ทำไมคำพูดถากถางและสายตารังเกียจของพิม ไม่ทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจได้เหมือนเมื่อก่อน
แต่ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น ดวงตาคู่สวยล้อมกรอบแพขนตาสีดำงอน ที่ทอดมองมาจากหน้าต่างบนตำหนักใหญ่ เห็นถึงความเคลื่อนไหวของ พิมตั้งแต่ต้น เห็นพิมเดินเข้าไปหาน้อยที่โรงรถเก่าท่าทางเร่งร้อน แม้จะไม่รู้ว่าพูดอะไร และไม่ได้เห็นน้อยชัดนักเพราะหันหลังให้ แต่ดูจากปฏิกิริยาและสีหน้าท่าทางของพิมแล้ว เธอก็อดสงสัยไม่ได้
“พิมกับน้อยรู้จักกันด้วยเหรอ”
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
น้อยรดน้ำต้นมะลิต้นสุดท้ายเสร็จพอดี พอหันหลังกลับมา ก็ได้ยินเสียงของพระองค์เจ้าทิวากรดังขึ้นพร้อมกับตรงเข้ามาหาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เพชราวสีและหม่อมพจนิจต้องรีบตามมาห้ามปราม ส่วนพวกข้าหลวงที่อยากรู้อยากเห็นก็วิ่งมาดูกันโกลาหล
พิมที่ได้ยินเสียงดังเกรี้ยวกราด ตามด้วยเสียงซุบซิบนินทาของทุกคนราวกับตลาดแตก เธอก็ไม่พลาดที่จะตามไปเก็บเรื่องคาวๆ ของพวกผู้ดี... แต่พอมาถึง พิมก็ต้องตกใจ เมื่อได้เห็นใบหน้าของน้อย เธอรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลัง ทนดูน้ำหน้าเขาได้ไม่นานก็รีบเดินออกไปจากกลุ่มเงียบๆ
“วังหลังนี้ไม่ต้องการคนบ้าใบ้อย่างแกให้เป็นเสนียด รีบไสหัวออก ไปจากวังของฉันซะ”
น้อยหน้าซีดเผือด ยืนนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก ชายหนุ่มเริ่มหวาดกลัว เมื่อกวาดสายตามองทุกคนที่ยืนจ้องเขาอยู่ ความรู้สึกเก่าๆ ตอนที่เคยถูกประณามกลั่นแกล้งก็กลับมาอีกครั้ง แต่เมื่อมองไปอีกทางก็มีแสงสว่างเกิด ขึ้น เพราะมีเพียงเพชราวสีคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้มองเขาด้วยสายตารังเกียจเช่นคนอื่นๆ
“เด็จพ่ออย่าทำแบบนี้เลยนะเพคะ น้อยเป็นใบ้ก็ถือว่ามีกรรมมากพออยู่แล้ว เด็จพ่อยังจะขับไล่ไสส่งเขาไปไกลๆ จะไม่พระทัยร้ายกันเกินไปหน่อยหรือเพคะ”
“ลูกไม่เป็นพ่อ ลูกไม่มีวันเข้าใจ... พ่อจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถ้าไอ้พวกชาวบ้านปากตลาดมันรู้ว่าวังเสด็จพระองค์ชายต้อมรับคนบ้าใบ้ไม่สม ประกอบเข้ามาอยู่ในวัง คงไม่พ้นถูกโพนทะนาไปทั่วทั้งย่าน พ่อยอมไม่ได้หรอก...เอ้า! ยืนซื่อบื้ออยู่ทำไมล่ะวะ เจ้าของบ้านเขาไล่แล้วก็ออกไปสิ” พระองค์เจ้าทิวากรแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเกลียดชังน้อยถึงที่สุด “ไอ้ธันลากตัวมันออกไป”
เมื่อได้ยินคำสั่งนั้น ธันก็ปรี่เข้าไปประชิดตัวน้อย สองมือรวบตัวเอาไว้แน่นหนายังกับเป็นผู้ร้าย น้อยพยายามดิ้นขัดขืน เพชราวสีเห็นแล้วรับไม่ได้...คิดว่าพระบิดาทำเกินไป
“ถือว่าทำบุญกับคนยากไร้สักครั้งเถอะเพคะ คนพูดไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนไม่ดีเสียหน่อย อย่าไล่น้อยออกจากวังเลยนะเพคะ” เธอขอร้องน้ำตาซึม
“ไม่ ยังไงพ่อก็ไม่ยอม” เสด็จกัดฟันกรอด
เมื่อพระบิดายังใจแข็ง เพชราวสีก็จนปัญญา เห็นจะเหลือก็แต่ที่พึ่งสุดท้าย...
“คุณแม่ ช่วยพูดกับเด็จพ่อหน่อยสิคะ” เธอหันไปอ้อนพระมารดาแทน
ในความคิดของหม่อมพจนิจ ลูกสาวคนนี้เป็นคนว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เสมอ แต่มีเรื่องเดียวที่เพชราวสีจะทำตามแต่ใจ คือการช่วยเหลือคน ซึ่งการที่ลูกสาวเป็นคนจิตใจดีมีเมตตานับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งความเมตตาที่มีมากเกินไป จนอาจทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิดคิดเป็นอย่างอื่น คนเป็นแม่หรือจะนิ่งดูดาย เธอก็แค่อยากจะสั่งสอนให้ลูกสาวได้รู้สำนึกเรื่องความเหมาะสม ในเมื่อคุยกันดีๆ แล้วไม่ยอมฟัง ก็ถึงคราวต้องใช้ไม้แข็งให้รู้เสียบ้าง
“ไปกันเถอะเพคะ” หม่อมพจนิจทำเป็นมองเมินลูกสาว แล้วรั้งแขนสวามีให้กลับขึ้นไปบนตำหนักด้วยกัน พระองค์เจ้าทิวากรจึงเดินออกมาอย่างหัวเสีย โดยมีพจนิจตามหลังไปไม่ห่าง
เพชราวสีรู้สึกไม่ดีเลยที่เห็นพระมารดาเดินหนีเธอไปเช่นนั้น เธอหันกลับไปมองชายใบ้แล้วเห็นใจ ก่อนจะรีบสาวเท้าตามพระมารดาไปอย่างรวดเร็ว
“คุณแม่คะ ช่วยลูกกราบทูลเด็จพ่อให้รับน้อยได้ไหมคะ ถือว่าลูกขอร้อง”
หม่อมพจนิจถอนใจ “แล้วทำไมลูกถึงอยากให้มันอยู่นัก มันเป็นคนบ้าใบ้ ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า จะไว้เนื้อเชื่อใจได้มากแค่ไหนเราก็ไม่รู้”
เพชราวสีเอื้อมมือไปจับมือของพระมารดาอย่างนุ่มนวล
“ลูกเชื่อว่าน้อยเป็นคนดี คุณแม่ทำบุญกับคนตกทุกข์ได้ยากถือเป็นกุศลมหาศาลเลยนะคะ”
“ไม่ต้องมาอ้างเรื่องบาปบุญกับแม่” หม่อมพจนิจขึ้นเสียงใส่ ลูกคนนี้ฉลาดแถมยังหัวหมอ ชอบเอาเรื่องบาปบุญมาให้คล้อยตามได้อยู่เรื่อย แม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูกสาว แต่เพราะเป็นชาวพุทธ เรื่องบาปบุญจึงอยู่ในกมลสันดานมาตั้งแต่เกิด จากที่ว่าจะใจแข็งจึงยอมอ่อนให้
“แม่จะช่วยกราบทูลเสด็จพ่อให้ก็ได้...”
เพชราวสียิ้มออก แต่ดีใจได้ไม่นาน รอยยิ้มนั้นก็เริ่มจางหาย
“แต่มีข้อแม้ว่าลูกจะต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีก และมันก็ต้องอยู่ที่เรือนคนใช้และภายในสวนเท่านั้น ห้ามให้มันขึ้นมายุ่มย่ามบนตำหนักใหญ่เด็ดขาด”
เพชราวสีชะงัก น้อยแค่พูดไม่ได้ ทำไมพระบิดาพระมารดาของเธอถึงต้องตั้งป้อมรังเกียจเขามากมายขนาดนี้
**************************
น้อยถูกไล่ไม่ต่างจากโยนออกมาจากวัง ชายหนุ่มนั่งคอตกถอนใจในโชคชะตา เพิ่งได้เข้าไปอยู่ในวังนี้ไม่ถึงวันก็ต้องเตรียมใจระหกระเหินเร่ร่อนไปอีกแล้วหรือ...เขาทำใจอยู่ครู่ก็ลุกขึ้น จะเดินจากไป ในเมื่ออยู่ที่นี่ไม่ได้ก็คิดว่าจะหาหนทางใหม่ตอบแทนบุญคุณเพชราวสี แต่ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เอ็งนี่มันทำบุญด้วยอะไรวะ เสด็จพระองค์ชายไล่เอ็งออกจากวังแล้วแท้ๆ แต่ท่านหญิงเธอมีเมตตา ไปขอร้องให้ท่านรับอุปถัมภ์เอ็งไว้จนได้”
น้อยถึงกับชะงัก ที่ผ่านมาเขาเคยมีแต่ให้คนอื่นมาโดยตลอด ไม่เคยได้รู้ซึ้งถึงการเป็นผู้รับเลย เพชราวสียอมขัดใจบุพการีเพื่อช่วยเขา คิดแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็เปรียบเหมือนนางฟ้า...ต่อชีวิตให้เขาได้มีลมหายใจอีกครั้ง
น้อยอยากเป็นคนใหม่ ให้สมกับโอกาสที่เพชราวสีมอบให้ อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากเป็นคนขี้แพ้ เป็นคนอ่อนแอที่ยอมให้คนอื่นรังแกอยู่ร่ำไป แต่เมื่อคิดจะลุกขึ้นสู้ทีไรก็ไม่เห็นจะทำให้อะไรดีขึ้นมา ตนจึงท้อ ได้แต่อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวมาโดยตลอด แต่วันนี้เพชราวสีได้แสดงให้เขาเห็นแล้วว่า...ขนาดเธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ เธอก็ยังยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา จนสามารถทำให้เขาเข้าไปอยู่ในวังแห่งนี้ได้สำเร็จ มองเธอแล้วก็เหมือนมีพลังบวกโอบล้อมตัวเขาไว้ เธอทำให้เขาเปลี่ยนความคิด และอยาก จะเริ่มต้นใหม่กับชีวิตที่เหลืออยู่...
“เอ้า! ยืนเหม่ออยู่นั่นแหละ ตามข้ามาเร็ว ข้าจะพาเอ็งไปดูห้องนอนดีๆ ที่ที่เหมาะสมกับคนบ้าใบ้อย่างเอ็ง”
น้อยรู้ว่านั่นคือคำประชด แต่ก็รีบเดินตามธันไปยังโรงรถเก่าที่อยู่ใกล้ๆ กันกับเรือนคนใช้ แต่อยู่ห่างจากตึกใหญ่พอสมควร น้อยมองสำรวจบริเวณรอบๆ เห็นมีเล้าเป็ดเล้าไก่อยู่ติดกัน กลิ่นขี้ไก่ลอยมาตามลมคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ น้อยยิ้มรู้ทันความคิดพระองค์เจ้าทิวากร ที่แท้ก็จะให้เขามาเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่นี่เอง หารู้ไม่ว่ากลิ่นขี้ไก่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ น้อยกลับดีใจด้วยซ้ำที่ได้ทำสวน เลี้ยงเป็ดไก่ อยู่อย่างสันโดษ พอมองไปอีกทางเห็นศาลาริมน้ำ ก็พานให้นึกถึงสระบัวหลังกระท่อมที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่กับแม่มะลิและพ่อช้อน
ทันทีที่ธันเปิดประตูโรงรถออก ละอองฝุ่นคลุ้งโขมงตีเข้าหน้า จนธันสำลักไอค่อกแค่ก น้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบยกมือขึ้นโบกพัดไล่ฝุ่นละอองให้อากาศตรงหน้าดีขึ้น
“เสด็จพระองค์ชายมีรับสั่งให้เอาห้องนี้ให้เอ็ง คงต้องปัดกวาดเช็ดถูกันนานหน่อย หวังว่าเอ็งคงจะอยู่ได้นะ” ธันแสยะยิ้มหยัน
น้อยมองเข้าไปภายในโรงรถเก่าค่อนข้างโทรม ก็แน่ละ มันเก่าสมชื่อเลย มีหยากไย่เกาะเต็มไปหมด พื้นปูนก็มีคราบน้ำมันเศษดินเลอะเทอะ เงยหน้ามองขึ้นไปบนหลังคาสังกะสีก็มีแต่รอยรั่ว แถมไม้ตีผนังบางส่วนก็ผุพังเพราะปลวกกัดกินแทบไม่เหลือโครง น้อยหนักใจสงสัยงานนี้คงต้องซ่อมแซมกันอีกยาว
***************************
ช่วงเย็นใกล้ค่ำ หลังจากที่พวงไปรับป้องกลับจากโรงเรียน พวงก็พาลูกชายแวะซื้อขนมเปี๊ยะเจ้าดังในตลาดจึงกลับมาช้ากว่าปกติ พวงเดินเข้ามาในครัวยังไม่ทันจะได้นั่ง บัวก็ร้องทักขึ้น
“อ้าวลุง! กลับมาแล้วเรอะ มาไม่ทันพายุเข้าก็ถือว่ารอดตัวไป”
พวงหูผึ่ง “พายุ!? พายุอะไรรึนังบัว”
บัววางตะหลิว เอี้ยวตัวมาพูดคุยกับพวงเป็นเรื่องเป็นราว
“ก็พายุพระพิโรธของเสด็จท่านน่ะสิ ท่านโวยเสียงดังลั่น กริ้วมากที่รู้ว่าลุงเอาไอ้คนบ้าใบ้เข้ามาทำงานในวังของท่าน”
“ไอ้น้อยน่ะรึเป็นใบ้” พวงตะลึง งงเป็นไก่ตาแตก ไอ้น้อยมันก็พูดได้นี่ ทำไมทุกคนถึงเข้าใจว่ามันเป็นใบ้
“ก็ใช่น่ะสิ แล้วลุงคิดยังไงรับคนบ้าใบ้เข้ามาทำงาน ลุงก็รู้ไม่ใช่รึว่าเสด็จพระองค์ชายไม่โปรดพวกพิกลพิการไม่สมประกอบ”
พวงฟังแล้วก็กลุ้มใจ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่ได้การละ ต้องคุยกับไอ้น้อยให้รู้ความ
*********************
เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดจากบัว พวงก็รีบไปหาน้อยที่โรงรถเก่า เห็นชายหนุ่มกำลังตักน้ำจากบ่อไปใส่ตุ๋มอย่างขยันขันแข็ง มองแล้วก็สังเวชใจ หากมันบอกว่าไม่ได้เป็นใบ้ตั้งแต่แรก เสด็จท่านก็คงไม่เกลียดชังและสั่งให้มาอยู่โรงรถเก่าโสโครก ใกล้เล้าเป็ดเล้าไก่ให้ทุกข์ใจเช่นนี้
“ไอ้น้อย ทำไมเอ็งต้องแกล้งเป็นใบ้ด้วยวะ”
น้อยยกถังเทน้ำใส่ตุ๋มเสร็จ ก็หันกลับมาเห็นพวงยืนอยู่หน้าตาขึงขัง น้อยรู้สึกผิด จึงยกมือไหว้พวงก่อนเป็นอันดับแรก
“ฉันขอโทษนะจ๊ะลุง ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลย ตอนที่ฉันได้เจอท่านหญิง เธอเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นใบ้ ฉันไม่รู้จะทำยังไงก็เลยต้องตามน้ำไป”
พวงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ! แล้วเอ็งจะแกล้งเป็นใบ้แบบนี้ไปอีกนานเท่าไร”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ” น้อยหน้าเจื่อนลง
พวงหน่ายใจ รู้ว่าน้อยเป็นคนดี ขอแค่มันขยันขันแข็ง ไม่ขี้เกียจ รู้จักทำงาน คอยแบ่งเบาภาระเล็กๆ น้อยๆ เรื่องอื่นพวงก็ไม่สนใจหรอก เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัว...
ด้านพิมที่แอบมองพวงกับน้อยพูดคุยกันอยู่ พอเห็นพวงเดินกลับ ไปแล้ว พิมก็รีบเข้าไปหาน้อยหวังจะเคลียร์ใจกันให้รู้เรื่อง
“พี่ใบ้!”
น้อยหันกลับมาเห็นหญิงสาวก็ชะงักงัน
“พิม...” น้อยยังไม่ทันได้พูดอะไร กำปั้นน้อยๆ ก็พุ่งเข้ามาทุบตีที่อกรัวอย่างเกรี้ยวกราด
“พี่ตามฉันมาทำไม เมื่อไหร่พี่จะเลิกยุ่งกับชีวิตฉันสักที”
พิมสติแตกทุบตีเขาอย่างบ้าคลั่ง หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงทนให้หล่อนโขกสับระบายอารมณ์จนหนำใจ แต่ตอนนี้เขาตาสว่างแล้ว จะไม่มีผู้ชายโง่ๆ คนนั้นอีกต่อไป
น้อยสุดจะทนกับพฤติกรรมของพิม รีบรวบกำปั้นเล็กๆ เอาไว้เป็นการเตือนสติ
“พี่ไม่ได้ตามใครทั้งนั้น แล้วก็หยุดหลงตัวเองได้แล้ว” น้อยกัดฟันกรอด เอือมระอา ไม่คิดว่าพิมจะหลงตัวเองได้มากถึงเพียงนี้
พิมสะบัดมือเขาออกอย่างรังเกียจ มองน้อยตาเขียวปัด
“ถ้าพี่ไม่ได้ตามฉันมา แล้วพี่เข้ามาอยู่ในวังนี้ทำไม พี่ต้องการอะไรกันแน่”
“มันไม่ใช่เรื่องของเธอ” น้อยจ้องหน้าพิมอย่างเอาเรื่อง
พิมประหลาดใจ ท่าทีของน้อยดูเปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อน
“ไม่ว่าพี่คิดจะทำอะไร ฉันขอเตือนพี่ไว้เลยนะ ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เขาเป็นท่านชายมีฐานะสูงส่งกว่าพี่มาก น้ำหน้าอย่างพี่ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ก็ไม่มีวันได้ใจนังพิมคนนี้ไป” พูดจบพิมก็สะบัดหน้าจากไปด้วยความโมโห
น้อยมองตามร่างบางจนลับตา คำตอบในใจเหลือเพียงความว่างเปล่า แปลกใจตัวเอง ทำไมคำพูดถากถางและสายตารังเกียจของพิม ไม่ทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจได้เหมือนเมื่อก่อน
แต่ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น ดวงตาคู่สวยล้อมกรอบแพขนตาสีดำงอน ที่ทอดมองมาจากหน้าต่างบนตำหนักใหญ่ เห็นถึงความเคลื่อนไหวของ พิมตั้งแต่ต้น เห็นพิมเดินเข้าไปหาน้อยที่โรงรถเก่าท่าทางเร่งร้อน แม้จะไม่รู้ว่าพูดอะไร และไม่ได้เห็นน้อยชัดนักเพราะหันหลังให้ แต่ดูจากปฏิกิริยาและสีหน้าท่าทางของพิมแล้ว เธอก็อดสงสัยไม่ได้
“พิมกับน้อยรู้จักกันด้วยเหรอ”
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มี.ค. 2565, 19:30:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มี.ค. 2565, 19:30:10 น.
จำนวนการเข้าชม : 274
<< บทที่ 8 คนสวนคนใหม่ (50%) | บทที่ 9 ความสัมพันธ์ที่ต้องซ่อน (50%) >> |