วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:

เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน

หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก

ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ

. . . . . . . . . . . . . .

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ


***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ

2.ร้านออนไลน์

3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า

สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา

ตอน: บทที่ 9 ความสัมพันธ์ที่ต้องซ่อน (50%)

ช่วงสายของวัน ณ ศาลาสีขาวท่ามกลางหมู่มวลต้นไม้ดอกไม้ เพชราวสีกำลังใช้เวลาว่างเหลือล้นนั่งอ่านนิยายชวนฝัน ซึ่งถือเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งที่เธอชอบทำมากที่สุดในช่วงนี้ เธอพลิกหน้ากระดาษเตรียมจะอ่านหน้าต่อไป... แต่เสียงหวานใสของพิมก็เข้ามาขัดจังหวะ

“หนังสือที่ท่านหญิงสั่งให้ไปหาได้แล้วค่ะ” พิมยิ้มแป้น ก่อนจะวางหนังสือเล่มน้อยลงบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล

“ขอบใจจ้ะ”

พิมแอบทำหน้าเบื่อหน่าย เห็นเพชราวสีเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวาน ดูไม่มีพิษมีภัย วันๆ ก็เอาแต่นั่งอ่านหนังสือ ทำอาหาร เย็บปักถักร้อยอยู่แต่บ้าน น่าเบื่อสิ้นดี พิมมองเพชราวสีเอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือ เธอก็ตีหน้าซื่อถือดีนั่งลงบนเก้าอี้ทัดเทียมกัน

“ท่านหญิงชอบอ่านหนังสือมากหรือคะ” พิมถามเสียงแข็ง

การกระทำของพิมนั้นทำเพชราวสีอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงเงยหน้ามองพิมแล้วยิ้มบางๆ ให้ ไม่ได้พูดอะไร

“ภาษาอะไรหรือคะ พิมอ่านไม่ออก” พิมได้ทีก็เอาใหญ่ เห็นท่านหญิงไม่ว่าอะไร เธอก็ชะโงกหน้าเข้าไปดูหนังสือเล่มนั้นด้วย นิ้วเรียวเลื่อนชี้ตัวหนังสือไปมายิ่งพาให้งง

“ภาษาอังกฤษจ้ะ ใช้พูดกันมากในฝั่งตะวันตก”

ด้านน้อยที่กำลังตัดแต่งกิ่งไม้อยู่ใกล้ๆ ศาลา เห็นพิมนั่งเก้าอี้เทียมกันกับเพชราวสีก็รู้สึกไม่สบายใจ รู้ดีว่าจุดประสงค์ที่พิมเข้ามาอยู่ในวังแห่งนี้ เพราะความทะเยอทะยาน อยากมีอยากเป็น พอเห็นเพชราวสีใจดีเข้าหน่อย พิมก็คงไม่รู้จักความเกรงใจ คิดตีตนเทียบเพชราวสีอยู่ตลอดเวลา

“แล้วท่านหญิงอ่านอะไรอยู่หรือคะ”

“นิยายเล่มโปรดของฉันน่ะ เป็นเรื่องของพลทหารผู้ต่ำต้อยหลงรักหญิงสาวสูงศักดิ์”

“แล้วตอนจบเป็นยังไงบ้างคะ ได้สมหวังกันหรือเปล่า”

เพชราวสีปรายตาลงเศร้าๆ

“เป็นเรื่องน่าเศร้า ตอบจบฝ่ายหญิงไปแต่งงานกับคนอื่น ส่วนฝ่ายชายก็ตายในสงคราม”

“ถ้าตอนจบเศร้าขนาดนี้ ท่านหญิงจะชอบไปทำไมคะ เศร้าก็เศร้า สู้ไปอ่านเรื่องบันเทิงใจไม่ดีกว่าหรือคะ” พิมทำปากคว่ำ พูดเปรยเหมือนประชดประชัน ทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องเศร้าไม่สมหวัง แต่ก็ยังจะอ่านอยู่ได้ น่าโง่ชะมัด!

“ไม่มีใครชอบตอนจบแบบเศร้าๆ หรอก แต่ที่อ่านเพราะฉันชอบพระเอกของเรื่องต่างหาก เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ทางบ้านของฝ่ายหญิงยอมรับในตัวเขา ยอมเสียสละทุกอย่างได้เพื่อหญิงที่เขารัก...แม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง”

เพชราวสีตาเป็นประกายสุกใส ทุกครั้งที่เธออ่านนิยายก็มักคิดฝันเสมอว่าอยากจะแต่งงานกับพระเอกในนิยายของเธอ แต่เพราะเขาเป็นแค่ตัวละคร ก็เป็นได้แค่ชายในฝันเท่านั้นละ ถ้าเป็นไปได้ในโลกความเป็นจริง เธอก็อยากจะแต่งงานกับผู้ชายที่สามารถปกป้องดูแลเธอได้ รักและซื่อสัตย์ต่อเธอเพียงคนเดียว และหวังว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นหม่อมเจ้าภาณุมาศ พระคู่หมั้นที่เพียบพร้อม ที่พระบิดาพระมารดาเลือกให้แล้วว่าคู่ควรกับเธอมากที่สุด

“น่าอิจฉานางเอกในเรื่องจังเลยนะคะ ฟังแล้ว พิมก็อยากจะมีความรักดีๆ แบบนั้นบ้างจัง”

“สวยๆ แบบพิมจะต้องมีความรักดีๆ เข้ามาอยู่แล้วละจ้ะ” เพชราวสีพูดอย่างเอ็นดู

“ความรักดีๆ อย่างที่ท่านหญิงว่า พิมคงไม่มีวันได้สมหวังหรอกค่ะ เพราะเขาคนนั้นกำลังจะหลุดลอยไป...” ประโยคท้ายพิมกัดกรามแน่น หันมาจ้องหน้าเพชราวสีตาเขม็งอย่างลืมตัว

“อะไรจ๊ะ ที่ว่าหลุดลอยไป”

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” พิมทำไขสือ “เดี๋ยวพิมไปหาของว่างมาให้ท่านหญิงทานดีกว่า”

สิ้นคำนั้นพิมก็ผลุนผลันลุกออกไปทันที

เพชราวสีมองตามพิมไปอย่างรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่าง เธอไม่ได้สงสัยในท่าทีแปลกประหลาดนั้น เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัว แต่พิมคือคนในปกครอง เธอจึงอดเป็นห่วงไม่ได้

เมื่อพิมห่างออกไปได้สักพัก เพชราวสีก็ตั้งท่าจะอ่านหนังสือต่อ... ในขณะที่สายตากำลังจดจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือ เธอก็เหลือบไปเห็นรองเท้าหนังสีดำเงาวับ เพชราวสีเฉลียวใจไล่มองตั้งแต่เท้าขึ้นมาจนถึงกลางลำตัวที่อยู่ในชุดสูทสีเข้มดูภูมิฐาน เธอกวาดสายตาไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าหล่อคม กระตุกยิ้มให้เบาๆ

“พี่ชายภาส” เธอมองภาณุมาศอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมาหาเธอถึงบ้านในยามนี้

พอก้มมองตัวเองแล้ว เพชราวสีก็รู้สึกอับอาย วันๆ เธอเอาแต่นั่งอ่านหนังสือ ทำขนมอยู่แต่กับบ้าน ไม่ได้ออกไปสมาคมที่ไหน ในขณะที่ท่านชายจบปริญญาโทจากนอก โก้สมฐานะ ซ้ำยังรับราชการในกระทรวงสำคัญ เพชราวสีทำหน้าเครียด ในเวลานี้เธอคงดูเป็นเด็กกะโปโลมากเลยใช่ไหมในสายตาเขา

“หม่อมป้าบอกว่าน้องนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวน พี่มารบกวนเวลาของน้องหรือเปล่า”

“เปล่าเลยค่ะ” หล่อนสายหน้าเบาๆ “พี่ชายภาสจะมา ทำไมไม่โทร. มาบอกก่อนคะ น้องจะได้เตรียมตัวให้ดีกว่านี้หน่อย”

ภาณุมาศอมยิ้ม “จะต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย เราเป็นคู่หมั้นกัน ไปมาหาสู่กันก็ไม่เห็นจะแปลก คิดเยอะจริงนะเรา”

เพชราวสียิ้มโล่งใจ ถ้าเขารักเธอจริงก็ต้องรักที่เธอเป็นเธอ แบบนั้นสิ ถึงจะถูกต้อง

เพชราวสีนั่งพูดคุยกับท่านชายอย่างอารมณ์ดี เธอเล่าเรื่องมากมายให้เขาฟัง ส่วนเขาเองก็แลกเปลี่ยนเรื่องราวสมัยเด็กๆ ให้เธอฟังหลายเรื่องเช่นกัน หากสายตาคนภายนอกมองมา ก็คงคิดว่าสองหนุ่มสาวที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกจะต้องไปกันได้ด้วยดี แม้ภาณุมาศจะมีใจให้เพชราวสี วางเธอไว้เป็นแม่ของลูก แต่ในความคิดของเพชราวสี คำว่า ‘รัก’ ยังรวดเร็วเกินไปสำหรับเธอ เธอก็ได้แต่หวังว่าเธอจะรักหม่อมเจ้าภาณุมาศให้ได้จริงๆ สักวัน

ระหว่างนั้นน้อยยังกวาดใบไม้อยู่แถวนั้น เห็นเพชราวสีนั่งพูดคุยอยู่กับชายคนนั้นอย่างสนุกสนานก็แปลกใจ พร้อมเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน

“เรื่องที่ทำงานเป็นยังไงบ้างคะ”

เพชราวสีเอ่ยถามท่านชายต่อ เธออยากจะรู้เรื่องงานของเขาบ้าง แต่แล้วก็ต้องหน้าเจื่อนลง เมื่อเห็นเขาเงียบไป เธอนึกถึงคำพูดของพระมารดาที่เคยสอนไว้ว่า สตรีที่ดีไม่ควรจะถามเรื่องการงานของผู้ชาย นั่นอาจจะทำให้เขาไม่พอใจที่เธอไปละลาบละล้วง

“เอ่อ...ขอโทษค่ะ น้องไม่ควรจะถามเรื่องนี้เลย”

“ทำไมต้องขอโทษ” เขาเลิกคิ้ว

“ก็...ผู้หญิงไม่ควรจะถามเรื่องการงานของผู้ชายไม่ใช่หรือคะ”

คำตอบของเธอ ทำภาณุมาศลอบยิ้ม ในชุดกระโปรงสีหวานสดใส เธอดูมีเสน่ห์เหลือเกินในยามนี้ ภาณุมาศเอื้อมมือไปกุมมืออ่อนนุ่มของหญิงสาว เพชราวสีตกใจกับการถึงเนื้อถึงตัวของเขา และสายตาที่เขามองเธอก็ช่างแพรวพราวดีเหลือเกิน

“สำหรับน้องแล้ว ไม่ว่าน้องจะถามเรื่องอะไรกับพี่ ไม่มีคำว่าผิด”

เพชราวสีขยับยิ้มเบาๆ ค่อยๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขาอย่างเกร็งๆ

“เอ่อ...พี่ชายภาสอยากจะลองทำธุรกิจดูบ้างไหมคะ” เธออ้อมแอ้มชวนเขาคุยต่อ

“อืม...ก่อนหน้าที่จะเข้ารับราชการที่กรม พี่ก็เคยคุยๆ เรื่องนี้เอาไว้กับเพื่อนบ้างเหมือนกัน”

“จริงเหรอคะ” เพชราวสีตาโต “ถ้าอย่างนั้นน้องคงจะต้องขอความรู้จากพี่ชายไว้บ้างแล้วละค่ะ เพราะน้องเองก็มีความคิดอยากจะทำผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปอยู่เหมือนกัน”

“ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป?” เขาทำหน้างง

“ใช่ค่ะ คุณแม่บอกว่าน้องทำอาหารเก่ง พวกขนมปัง ขนมไทยก็ทำได้เกือบหมด น่าจะดีไม่น้อย ถ้าเราจะแปรรูปอาหารพวกนี้เป็นอาหารแช่แข็งส่งขายไปยังเมืองหนาวๆ ในฝั่งยุโรป และอเมริกา” เพชราวสีเสนอความคิด

หลังจากที่ฟังจบ ภาณุมาศก็ทำหน้าหนักอกหนักใจ ความคิดของเพชราวสีดูพิลึกพิลั่นเกินคำบรรยาย บ้านไหน วังไหน เขาให้ผู้หญิงทำงานกัน ไม่เคยจะมี

“น้องวสีอยากทำงานหรือคะ” 

“ถ้าทำได้ก็ดีน่ะสิคะ แต่เสด็จพ่อคงไม่ยอม ท่านว่ามันเหนื่อยเกิน ไปสำหรับผู้หญิง” เธอทำหน้าจ๋อย

“จริงค่ะ อย่างน้องวสี ไม่ต้องทำงานก็มีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต สวยๆ อย่างน้องวสี แค่ยืนผูกไทให้พี่ในทุกๆ เช้าก็พอแล้วค่ะ”

เพชราวสียิ้มแห้ง เห็นเพียงฟันกระต่ายสองซี่เล็กน้อย นี่คงจะเป็นอีกหนึ่งความผิดหวัง ที่เธอได้รับจากหม่อมเจ้าภาณุมาศ ทำไมพวกผู้ชายไม่ชอบให้ผู้หญิงทำงานกันนัก เธอเห็นหญิงชาวบ้านทั่วไปยังทำมาค้าขายกันได้ ไม่เห็นจะมีใครตายเลยสักคน แล้วเหตุใด หม่อมเจ้าอย่างเธอจะทำบ้างไม่ได้เล่า 

“เอ๊ะ! นั่นคุณพิมนี่” ภาณุมาศโพล่งขึ้น เมื่อเหลือบไปเห็นหญิงสาวกำลังเดินถือถาดใส่อะไรบางอย่าง ตรงมาทางศาลา

พิมหยุดชะงัก เมื่อเห็นหม่อมเจ้าภาณุมาศกำลังนั่งสนทนากับเพชราวสี เมื่อเขาหันมา สายตาคมกริบของเขาเหมือนกระชากวิญญาณของเธอให้หลุดออกไปจากร่าง

เธอจะมีหน้าเดินไปหาเขาได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องที่เธอโกหกเขาไว้มันช่างน่าอับอาย ถ้าเขารู้ว่าเธอเป็นเพียงคนรับใช้ ที่คอยรองมือรองเท้าให้พระคู่หมั้นของเขา เขาจะรู้สึกเช่นไร...เขาจะยังอ่อนโยน พูดจาดีกับเธออยู่ไหม สุดจะรู้ใจของเขา...

เมื่อมองเพชราวสี พิมก็หนักใจไม่ต่างกัน ถ้าเธอไม่เดินไปเสิร์ฟของว่างให้ เพชราวสีก็จะยิ่งสงสัย พิมถึงกับกุมขมับ คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี

พิมก้มหน้าซีด ถือถาดมาทั้งมือไม้สั่น หลบหน้าหลบตาหม่อมเจ้าภาณุมาศอยู่ตลอด ก่อนจะวางขนมและถ้วยน้ำชาบนโต๊ะท่าทางลุกลี้ลุกลนผิดปกติ

“หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”

เพชราวสีไม่ทันได้เอ่ย พิมก็หันหลัง เร่งฝีเท้าจากไป ไม่คิดจะหันกลับมามองอากัปกิริยาของคนทั้งสองอีกเลย

เพชราวสีตงิดใจขึ้นมา... ปกติแล้วพิมเป็นคนมารยาทดี เมื่อพบเจอผู้ใหญ่ หล่อนต้องหยุดไหว้ทุกครั้ง แต่ทำไมครั้งนี้ นอกจากพิมจะไม่สวัสดีพระคู่หมั้นของเธอแล้วยังหลบเลี่ยงออกไปเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ดูจะสนใจเรื่องของพระคู่หมั้นของเธอมากเป็นพิเศษ

“พี่ชายภาสรู้จักกับพิมด้วยหรือคะ”

“เราบังเอิญเจอกันในงานเลี้ยงต้อนรับน้องเมื่อสองสามวันก่อน วันนั้นคุณพิมเธอแต่งตัวสวยมาก เธอใส่ชุดราตรีสีขาวดูสง่างาม แต่ทำไมวันนี้คุณพิมถึงได้แต่งตัวราวกับเป็นคนรับใช้ของน้องเลย”

เพชราวสีถึงกับอึ้ง เธอไม่โกรธไม่แปลกใจที่พิมจะแต่งตัวสวยๆ เข้าร่วมงานเลี้ยง แต่เธอสงสัยชุดราตรีสีขาวที่พิมใส่มากกว่า เพชราวสีจำได้ว่า ในวันงานพระมารดาได้นำชุดราตรีสีขาวมาให้เธอเลือกถึงสองชุด แต่เธอถูกใจชุดแรก จึงแขวนชุดที่สองไว้ในห้องนอน ถ้าพิมไม่ได้ขโมยมันมาใส่ แล้วพิมจะไปเอาชุดราตรีสีขาวมาจากที่ไหนกัน

“ความจริงแล้ว พิมเป็นต้นห้องของน้องเองค่ะ”

“อ้าว! เป็นแค่บ่าว แล้วทำไมน้องถึงปล่อยให้ออกมาร่วมงานสำคัญเช่นนี้ได้” ภาณุมาศเบิกตากว้าง พิมเป็นเพียงบ่าวรับใช้ แต่เพชราวสีก็ยังให้หล่อนแต่งตัวสวยสะดุดตาออกมาร่วมงานเลี้ยงสำคัญ เขาเชื่อว่ายังไงเสด็จลุงกับหม่อมป้าคงจะไม่ใจดีขนาดนั้น

เพชราวสีเริ่มรู้สึกไม่ดี บ่าวก็ไม่ใช่คนหรืออย่างไรกัน

นึกถึงวันแรกที่พบพิม เธอรักและเอ็นดูพิมเสมือนเพื่อนคนหนึ่ง แล้ววันนี้ เธอจะใส่ความทำให้เพื่อนของเธอดูไม่ดีในสายตาคนอื่นได้อย่างไร

“ถึงพิมจะเป็นเพียงคนใช้ แต่พิมก็เหมือนเพื่อนคนหนึ่งของน้อง คงไม่แปลกอะไรมั้งคะ ถ้าพิมจะสวมชุดสวยๆ เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย เพราะน้องเป็นคนอนุญาตเธอด้วยตัวเอง” เธอบ่ายหน้าไม่สบอารมณ์มองไปทางอื่น



************************



ภาณุมาศเดินถอนใจออกมาจากศาลาสีขาว พอรู้ตัวอีกทีหันหลังกลับไป ยอดไม้ก็บดบังศาลานั้นแทบมิดแล้ว ในหัวของเขาเวลานี้คิดวกวนอยู่แต่เรื่องของพิม พอนึกถึงท่าทางเปิ่นๆ เพราะกลัวถูกจับได้ จู่ๆ เขาก็กลับยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น เขาไม่ถือสาหล่อนหรอก เพราะรู้นิสัยผู้หญิงเป็นอย่างดี

ภาณุมาศกำลังจะก้าวเดินต่อ แต่ทว่าพอเงยหน้าขึ้นเขาก็บังเอิญเห็นคนในห้วงความคิดกำลังเดินผ่านมาทางนี้พอดี

พิมถึงกับชะงักฝีเท้า เมื่อเห็นว่าเขามองมา เธอก็เตรียมจะเดินหนี ภาณุมาศเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปคว้าแขนบอบบางเอาไว้

“นี่เธอจะไปไหน”

พิมหันกลับมา วางหน้าไม่สนิท เห็นสายตาเว้าวอนคู่นั้นพร้อมสัมผัสแสนอ่อนโยน ใจเธอก็อ่อนยวบลงไม่ต่างจากขี้ผึ้งลนไฟ

“เธอกลัวฉันรึ ทำไมต้องหลบหน้าหลบตากันด้วย”

“หม่อมฉันมิบังอาจหรอกเพคะ” พิมพูดทั้งไม่กล้าเงยหน้ามองเขา

ภาณุมาศลอบอมยิ้ม อยากแกล้งหญิงสาว เห็นพิมก้มหน้างุดเพราะเขินอาย ก็ถือวิสาสะเชยคางหล่อนขึ้นมามอง

“ถ้ามิบังอาจจริงแล้วจะเดินหนีฉันทำไม...หรือเธอกลัวขายหน้า”

“คือเรื่องคืนนั้นพิมอธิบายได้นะเพคะ คือ...” พิมละล่ำละลักจะอธิบาย แต่ดูเหมือนภาณุมาศจะไม่สนใจ เขารีบตัดบท เพราะที่เดินเข้ามาหาหล่อน ไม่ได้อยากจะมาฟังคำแก้ตัวเสียหน่อย

“ไม่ต้องอธิบายหรอก ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ...”

“อะไรนะเพคะ”

“ถ้าเธอไม่แต่งตัวสวยๆ ออกมาร่วมงานเลี้ยงในคืนนั้น ฉันก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักผู้หญิงน่ารักอย่างเธอ จริงไหม”

“ท่านชาย...” พิมมองท่านชายผู้สูงศักดิ์ดวงตาพราวระยับ รอยยิ้มอ่อนโยนที่เขามอบให้ประหนึ่งมีเจตนาแอบแฝง

ภาณุมาศล้วงกระเป๋ากางเกงนำสิ่งของบางอย่างออกมา ก่อนจะปล่อยสร้อยทองคำขาวเส้นงามลงมาตรงหน้าหญิงสาว

“นี่คือสร้อยทองคำขาว ฉันเลือกเองกับมือ เธอว่าสวยไหม”

“สวยมากเพคะ” พิมพยักหน้าตื่นเต้น มองสร้อยทองคำขาวประดับจี้รูปหัวใจตาเป็นประกาย

“แล้วเธอชอบหรือเปล่า” เขาถาม

“ชอบเพคะ”

“งั้นฉันจะให้เธอ เวลาที่เธอคิดถึงฉันก็เก็บไว้ดูต่างหน้าก็แล้วกัน” เขาพูดทื่อๆ โดยไม่สนอากัปกิริยาของแม่สาวน้อยว่าจะคิดเช่นไร

“พิมไปคิดถึงท่านชายตอนไหนเพคะ”

“ไม่รู้สิ แต่ฉันอยากให้เธอคิดถึงฉัน เหมือนอย่างที่ฉันคิดถึงเธอ...” ภาณุมาศยิ้มใส่ เมื่อรู้ว่าพิมเป็นต้นห้องของเพชราวสีก็ยิ่งดีต่อตัวเขา เพราะจะได้ไปมาหาสู่เธอได้ โดยไม่ต้องมีใครสงสัย

พิมยังอึ้งไม่หาย ภาณุมาศรีบสวมสร้อยให้เธออย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาสวมสร้อยให้ พิมก็เงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าเอียงอาย แอบคิดเข้าข้างตัวเอง...เธอเคยได้ยินคนพูดกันว่า สัญลักษณ์รูปหัวใจ คือสื่อกลางแทนความหมายว่า ‘รัก’ ทั้งคำพูดและการกระทำฟ้องชัดว่าเขาก็รู้สึกไม่ต่างกันกับเธอเลย

หม่อมเจ้าภาณุมาศ คือผู้ชายคนแรกที่เธอปักใจรักตั้งแต่แรกพบ เป็นผู้ชายที่เธออยากให้เป็นพ่อของลูก เป็นผู้ชายที่เธออยากใช้คำว่าสามี และอยากเป็นหม่อมของท่านแต่เพียงผู้เดียว แต่ก็ติดตรงที่ว่า ท่านชายเป็นคู่หมั้นคู่หมายของหม่อมเจ้าเพชราวสี เจ้านายของเธอ...จะมีทางไหนบ้างนะ ที่ทำให้เพชราวสีถอนหมั้นกับท่านชาย...

แววตามุ่งมั่นประดุจหินผา ฉายมาพร้อมความทะเยอทะยานที่มีอยู่เต็มทรวง แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน คนอย่างนังพิมก็จะขอสู้สุดใจ เพื่อให้ได้ท่านชายมาครอบครอง!




หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มี.ค. 2565, 12:15:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มี.ค. 2565, 12:15:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 280





<< บทที่ 8 คนสวนคนใหม่ (100%)   บทที่ 9 ความสัมพันธ์ที่ต้องซ่อน (100%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account