สาวสุดเซอร์ฯ: Special Chapter
ความรักไม่ได้สวยงามเสมอไป บนเส้นทางของความรักของหนุ่มสาวสองคนที่แตกต่าง วันหนึ่งเมื่อรอยร้าวมันเกิดขึ้น ในที่สุดก็ถึงจุดที่ต้องเลือก
Tags: สิรินดา, สาวสุดเซอร์, นรี, คีตา
ตอน: เรื่องจำใจ
- - Naree part - -
ความรู้สึกของฉันหลังจากรู้ความลับของคุณคีตาโดยบังเอิญเรียกได้คำเดียวว่า - พัง –
น่าแปลกที่บ่ายวันวาเลนไทน์นั้นฉันสามารถขับรถกลับบ้านได้ อุ่นอาหารและนั่งกินอาหารเย็นที่เหลือจากมื้อเช้าได้ ทั้งๆ ที่สมองยังวนเวียนอยู่กับภาพที่ได้เห็นตอนบ่าย
ในที่สุด หลังจากทำทุกอย่างที่เคยทำตามปกติที่เคยทำไม่ว่าจะเป็นกินข้าวเย็น อาบน้ำ ดูข่าว ฉันก็เตรียมตัวเข้านอนทั้งๆ ที่รู้ว่า ไม่มีทางนอนหลับได้แน่
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามียังเงียบ ไม่มีสายโทรเข้าว่าจะกลับบ้านผิดเวลาเหมือนทุกครั้ง
ภาพในหัวจินตนาการไปว่า คืนนี้เป็นคืนวันวาเลนไทน์ แล้ว…ความน่าจะเป็นไปได้ที่ทั้งคู่จะไปไหน ทำอะไรกัน มันก็มีไม่กี่เรื่อง
ภาพสะท้อนในหัว และภาพที่จินตนาการขึ้นมาเอง วกวนไปมา ท้ายที่สุดฉันทำได้เพียงทรุดนั่งลงบนเตียงนอน ปล่อยให้น้ำตาค่อย ๆ ไหล
ฉันไม่ชอบสภาวะแบบนี้เลยให้ตายเถอะ ไวเท่าความคิด อยากทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ความรู้สึกดีขึ้น แม้เพียงนิดก็ยังดี
‘ว่าไงยะคุณเพื่อน ได้ดีมีสามีรวยสามีรักไม่โทรมาหาเป็นปีเลยนะ’ เสียงปลายสายของดวงเดือนเจือเสียงหัวเราะหลังจากกดรับสาย
‘...’ ฉันไม่สามารถตอบอะไรได้เพราะมัวแต่เช็ดน้ำตาที่มันไหลออกมา สมองคิดทบทวนพยายามหาคำพูดที่ปกติที่สุดตอบกลับไป
‘แกเป็นอะไร’ เพื่อนรักคงสัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ ‘นรีฟังอยู่หรือเปล่า’ คนพูดเอ่ยเสียงสูงขึ้นอีกนิด
‘พังว่ะ’
‘หา...อะไรนะ’
‘คือว่า ยังเล่าไม่ได้ แต่เราไปหาได้ไหม’ ระหว่างพูดน้ำตายังไหลไม่หยุด
‘ได้สิแก มาเลย แล้วผัวแกมาด้วยหรือเปล่า’
‘อะ...คงไม่’ ฉันตอบได้แค่นั้นเพราะมัวแต่กลั้นสะอื้น
‘นรี...เป็นอะไร’
ฉันไม่ตอบ ปล่อยเสียงสะอื้นออกไปอีกพักใหญ่ ก่อนจะวางสายและบอกว่าจะขอเล่าเมื่อถึงเชียงราย
ใกล้เที่ยงคืนแล้ว...คนที่ฉันรอตั้งแต่เย็นยังไม่กลับบ้าน...
เสื้อผ้าสองสามชุดถูกพับใส่กระเป๋าเดินทางอย่างลวกๆ ของใช้อีกสองสามอย่างที่พอจะคิดได้ถูกวางตามลงไป จากนั้นฉันก็แต่งตัว เรียกแท็กซี่และไปสนามบิน ระหว่างนั้นก็จองตั๋วผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ นั่งรอจนเช้าจึงเดินทางไปเชียงราย
โดยทิ้งกระดาษโน้ตสั้น ๆ ไว้บนเตียงนอนว่า
‘ขอหย่าทันทีที่คุณสะดวก’
‘ผมขอเวลาหกเดือนแล้วค่อยคุยกันได้ไหม’
ข้อความตอบกลับเมื่อตอนสาย ๆ หลังจากฉันถึงเชียงรายแล้ว
‘ทำไมแกไม่คุยกับผัวแกให้รู้เรื่องวะ ว่ามันยังไง ทำไม’ ดวงเดือนเคยเอ่ยถาม
‘ถ้าเขาไม่โทรมาอธิบาย มันก็คงไม่ต้องถามอะไรแล้ว’ ฉันตอบได้แค่นั้น
ตั้งแต่นั้น ก็ไม่มีการติดต่อระหว่างกันอีก ฉันก็พักอยู่เชียงรายระยะหนึ่ง จากนั้นก็หนีไปต่างประเทศ
.....
หลังจากคุณคีตาผ่าตัดผ่านไปราวหนึ่งอาทิตย์ ฉันได้รับโทรศัพท์จากสริสาพี่สะใภ้
“นรีอยู่ไหน”
“อยู่คอนโดเพื่อนค่ะ มีอะไรด่วนไหมคะพี่เก๋”
นับแต่กลับมาไทย ฉันสิงอยู่บ้านเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันและพอรู้เรื่อง จนท้ายที่สุดก็มาจบอยู่ที่ห้องว่างของยัยแจงเพราะมันอยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก แถมวุ่นวายมากพอที่จะทำให้ฉันไม่รู้สึกเงียบเหงาจนเกินไป
“คีกำลังจะออกจากโรงพยาบาล แต่ยังเดินไม่สะดวก แถมเจตน์ต้องดูแลบริษัท พี่ก็จะพาเด็ก ๆ ไปพบครอบครัวของไรอันที่อเมริกา อยากให้นรีไปช่วยดูแลเขาให้หน่อย ยังหาคนมาดูแลเขาไม่ได้จริง ๆ”
“ให้แฟนเขาไปดูแลสิคะ เกี่ยวอะไรกับนรี” ฉันตอบตามใจคิด “พี่เก๋พูดเหมือนเรายัง...เราไม่ได้เป็นอะไรกันแม้แต่เพื่อนค่ะ”
“พี่คิดว่าคีเลิกกับเด็กคนนั้นแล้ว” พี่เก๋บอก “เจตน์บอกพี่ว่าไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง...หกเจ็ดเดือนแล้วนะ”
“เขาจะเลิกกันหรือยังอยู่ด้วยกัน มันไม่ใช่ปัญหาหรือเรื่องที่นรีอยากรู้นะคะ”
อีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่ “นรีเป็นน้องสาวของคุณนุเพื่อนสนิทของคีตานะ ถือว่าพี่ขอร้อง ไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ”
“ขอกันอย่างนี้ พี่เก๋เอามีดมาแทงอกนรีเลยดีกว่าไหมคะ” ฉันเม้มปาก นิ่งไปอึดใจก่อนตอบตามใจคิด “พี่ก็รู้นี่คะว่านรียังทำใจกับเรื่องนั้นไม่ได้...”
“พี่รู้...แต่ถ้าไม่นับเรื่องที่คีทำผิด เขาก็ทำดีให้บ้านเราหลายเรื่องอยู่ จะปล่อยไว้ให้อยู่คนเดียวแบบนั้นก็ไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากส่งเขาไปบ้านพักที่ดูแลผู้ป่วย” พี่เก๋ยังพยายามพูดต่อ
“ช่วยไม่ได้ค่ะ มันไม่ใช่ปัญหาของนรี” ฉันย้ำอีกรอบ
“นรี...”
“แค่นี้นะคะพี่เก๋” ฉันตัดบท วางสาย ทุกวันฉันยังเจ็บปวด ทุกวันยังมีเรื่องเก่าๆ ย้อนกลับมาในความทรงจำเสมอ ...แล้วทำไมฉันจะต้องเห็นใจ ทำไมต้องเป็นห่วงผู้ชายคนนั้นด้วย
เพราะยังไม่ได้เริ่มงานใหม่เป็นชิ้นเป็นอัน บ่ายวันนั้นฉันก็ตัดสินใจกลับไปเอาของบ้านเก่า เพราะมั่นใจว่าเจ้าของบ้านอีกคนยังอยู่โรงพยาบาล จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะไปเก็บของจริง ๆ จัง ๆ เสียที
หกเดือนแล้ว…ตามที่เราตกลงกัน
บ้านทั้งหลังเงียบสนิท แต่ยังคงความสะอาดสะอ้าน เขาคงยังจ้างแม่บ้านมาดูและทำความสะอาดให้อาทิตย์ละสองครั้งเหมือนเดิม
ฉันตั้งใจไปเลือกเฉพาะของที่จำเป็น พวกเอกสารต่าง ๆ ห้องแรกคือห้องนอน เปิดประตูเข้าไป ห้องโล่งขึ้นนิดหน่อย เฟอร์นิเจอร์บางตัวถูกเอาออก ที่นอนยังไม่ได้เก็บ ไม่มีร่องรอยว่าบ้านนี้มีคนอื่นมาอาศัยอยู่ ทุกอย่างรอบเตียงยังอยู่เหมือนเดิม แม้กระทั่งรูปคู่ของฉันกับเขา
...วางไว้แบบนี้ผู้หญิงคนใหม่ไม่ว่าอะไรหรือไง
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ที่ข้างเตียงคว่ำอยู่ก็ดังขึ้น...ตอนมาพาคนป่วยไปโรงพยาบาลเจตน์คงไม่สังเกตเห็นและหยิบไปด้วย
ฉันคิดอยู่นาน...แล้วก็ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา
หน้าจอสว่างวาบ ขึ้นชื่อของคนที่โทรเข้า
-บี-
ฉันทิ้งโทรศัพท์ลงบนเตียงราวกับว่ามันเป็นของร้อน
...เสียงโทรศัพท์หยุดไปพักหนึ่ง และเริ่มดังอีกรอบ....
ฉันมองโทรศัพท์เครื่องนั้นนิ่งนาน...ตอนนี้หน้าจอมันดับสนิทไปแล้ว
.....
อีกสองวันต่อมาฉันตัดสินใจโทรหาพี่สะใภ้
“พี่เก๋ นรีมาคิด ๆ ดูแล้ว ว่าง ๆ อยู่ นรีไปเฝ้าคุณคีให้ได้ค่ะ”
“หะ...นี่พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหม” เสียงอีกฝ่ายเหมือนกับได้ยินเรื่องเหลือเชื่อ
“ไม่ได้ล้อเล่นค่ะ มีเวลาหนึ่งเดือนถ้วนก่อนนรีไปทำงานต่างประเทศ” ฉันพยายามตอบเสียงเรียบ เหมือนไม่รู้สึกดีใจหรือเสียใจกับสิ่งที่กำลังพูดออกไป
“อะไรนะ!”
“นรีตัดสินใจไปทำงานต่างประเทศค่ะ ไปเที่ยวที่โน่นมาเดือนหนึ่ง พอเห็นลู่ทางทำงานกับบริษัทของเพื่อน เขาต้องการนักออกแบบตกแต่งภายในพอดี”
ปลายสายนิ่งไปพักใหญ่ เหมือนไม่กล้าถามอะไรอีก จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย
……….
ในที่สุดหมอก็อนุญาตให้คนป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้าน เจตน์บอกว่าการผ่าตัดครั้งแรกได้ผลไม่ดีนัก ทำให้ระบบการทรงตัวของคนป่วยยังไม่ปกติ ยังไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง วันกลับจากโรงพยาบาลเขาและพี่เก๋ช่วยกันจัดการเรื่องรถพยาบาลและค่ารักษา ส่วนฉันมาเตรียมสถานที่ที่บ้านให้พร้อม
ทั้งคู่มองการกระทำของฉันอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
“หวังว่าอยู่ใกล้กันแล้วจะได้ปรับความเข้าใจกันนะครับ” ฉันได้ยินเจตน์แอบบอกพี่สะใภ้ของฉัน ตอนที่ฉันขึ้นไปหยิบของใช้เพิ่มเติมบนห้องนอน พวกเขาทั้งคู่ไม่เห็นว่าฉันเดินลงมาจากชั้นบนแล้ว
“แต่...พี่ว่ายาก พี่รู้จักนรีดี เด็กคนนี้ใจแข็งเป็นบ้า แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยอมมาดูแลคีให้”
“นั่นสิครับ พี่คีก็แปลก ท่าทางเหมือนไม่อยากให้นรีไปดูแลเอาเลย”
“แต่อย่างน้อย พี่คิดว่านรีรับปากอะไรแล้ว เธอจะไม่ทำมันแบบขอไปทีแน่ ๆ”
ใช่ค่ะ…นรีตั้งใจจะดูแลเขาให้ดีที่สุด ก่อนจะจากกันไปตลอดกาล
ฉันก้าวออกมาจากมุมบันได พี่เก๋และเจตน์หันมา คนป่วยเม้มปากนิดหนึ่งเมื่อหันมาเห็นฉัน
“มากันแล้วเหรอคะ เพิ่งเก็บของเสร็จพอดี” ฉันทักทาย “นรีต้องทำยังไงบ้างเจตน์”
“ดูแลทั่วไปครับ โรงพยาบาลจะส่งนักกายภาพบำบัดมาฝึกพี่คีวันเว้นวันครับ มีนัดไปหาหมอทุกอาทิตย์ พอจะไหวไหม”
ฉันพยักหน้า มองเลยไปยังอีกคนที่นอนหน้าเรียบฟังทั้งคู่คุยกันอยู่บนเตียงที่จัดไว้ให้ใหม่ อยู่ในห้องรับแขกแทนห้องนอนข้างบน
“ส่วนเรื่องอาหาร ผมคิดว่า…”
“ไม่ต้องห่วงเจตน์ แถวนี้มีร้านอาหารเพื่อสุขภาพ เดี๋ยวสั่งให้มาส่งทุกวัน”
“ดีครับ คุณจะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป อ้อ ถ้าวันไหนผมว่าง จะมาช่วยดูแลพี่คีนะครับ แต่ถ้ามีอะไรด่วนก็โทรหาได้ตลอด”
ฉันยิ้มรับ เจตน์เป็นผู้ชายนิ่งๆ ขรึมเฉย พูดน้อย แต่ดูน่าจะเป็นคนพึ่งพาได้ในหลาย ๆ เรื่อง “ขอบคุณนะ นรีจะพยายามด้วยตัวเองก่อน คิดว่าไม่น่าจะลำบากอะไร”
…..
“ทำไม” ประโยคนิ่ง ๆ ของคนที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยขึ้นหลังจากทุกคนกลับไปแล้ว
ตอนนั้นฉันกำลังถือแจกันใส่ดอกไม้ ซึ่งตัดมาจากรอบ ๆ บ้าน แกล้งวางอย่างไม่สนใจ หันกลับมาเลิกคิ้ว
“ทำไมยังมายุ่งกับพี่อีก” น้ำเสียงของคนป่วยราบเรียบ หน้าตาเรียบกว่า
“ตอบยังไงดีล่ะ” ฉันยิ้มลึกที่มุมปาก “เป็นห่วง สงสาร เห็นใจ ตัดใจไม่ได้ อยากกลับมาคืนดี ... คำไหนดี”
“นรี!”
ฉันมองกลับไปยังคนตรงหน้าแบบไปตรงมาไม่หลบสายตาแม้แต่นิดเดียว “หลงตัวเองไปหรือเปล่าคะคุณคีตา หลังจากคุณทำอย่างนั้นกับฉันแล้ว จะให้ฉันมีความรู้สึกอะไรได้อีก”
ภาพเหตุการณ์ที่คอนโดย้อนกลับมา…อีกแล้ว
“เพราะคุณเป็นน้องชายสุดที่รักของพี่นุและพี่เก๋ค่ะ” ฉันขยายความ “นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะทำให้พี่ได้...เข้าใจตรงกันนะคะ ฉันจะดูแลคุณให้ดีที่สุด...ในฐานะน้องสาวพี่นุ แต่อย่ามาคิดว่าสิ่งทั้งหมดที่ทำนี่เพราะ...ยังแคร์เรื่องของเรา ถ้าพี่เก๋ไม่ขอร้อง คิดหรือคะว่าฉันจะมา”
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าผู้ชายที่มั่นใจในตัวเองมากๆ อย่างคุณคีเม้มปากจนแทบจะเป็นเส้นตรง ก่อนจะเบือนหน้าออก
“อ้อ...อีกอย่าง ระหว่างที่เราอยู่ด้วยกัน ฉันจะดูแลคุณจนกว่าพี่เก๋จะหาคนดูแลแทนได้ ซึ่งมันน่าจะไม่นานจนถึงกับทำให้คุณขาดใจตายไปก่อน”
คนฟังนิ่งไปหลายวินาที ภาพอย่างนี้ บรรยากาศตึงเครียดแบบนี้มันเหมือนกับหลายปีก่อน ตอนที่ทั้งคู่ต้องจำใจมาอยู่บ้านเดียวกันเหลือเกิน
“ได้”
“ดี...ถ้าเป็นไปได้ ก็รีบ ๆ หาย ฉันอาจจะได้พ้นภาระนี้เร็วกว่าเดิม”
คนฟังหรี่ตา
“ฉันจะไปรดน้ำต้นไม้ อยากได้อะไรโทรไปเรียกได้ เย็นนี้สั่งอาหารมาแล้ว แต่พรุ่งนี้อยากกินอะไรคิดไว้แล้วกัน จะสั่งให้”
“ไม่” คนป่วยตอบ
“ก็ดี”
พูดจบฉันก็ยักไหล่ เดินผ่านหน้าเตียงไปที่ประตู โดยที่มั่นใจว่าคนที่ป่วยอยู่ไม่มีโอกาสได้เห็นว่าตัวเองมีน้ำตารื้นที่ขอบตา
เขาผอมไปมาก อย่างน้อยน้ำหนักน่าจะลดไปเกือบสิบกิโล…ภาพพี่นุในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตซ้อนทับภาพของคนที่นอนอยู่บนเตียง
อย่าให้มันเป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้จะเกลียดเขาเข้าไส้ แต่ฉันก็ไม่ใจร้ายถึงขนาดอยากเห็นเขาตายไปต่อหน้า เรื่องที่ผ่านมาก็ทำร้ายใจฉันมากพอแล้ว...คิดไม่ออกเลยว่าถ้ามีอีกเรื่อง ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
.
.
.
.
หน่วง ๆ อีกพักนึงนะทุกคน ปล. ยังไม่ได้ตรวจคำผิดจ้า
ความรู้สึกของฉันหลังจากรู้ความลับของคุณคีตาโดยบังเอิญเรียกได้คำเดียวว่า - พัง –
น่าแปลกที่บ่ายวันวาเลนไทน์นั้นฉันสามารถขับรถกลับบ้านได้ อุ่นอาหารและนั่งกินอาหารเย็นที่เหลือจากมื้อเช้าได้ ทั้งๆ ที่สมองยังวนเวียนอยู่กับภาพที่ได้เห็นตอนบ่าย
ในที่สุด หลังจากทำทุกอย่างที่เคยทำตามปกติที่เคยทำไม่ว่าจะเป็นกินข้าวเย็น อาบน้ำ ดูข่าว ฉันก็เตรียมตัวเข้านอนทั้งๆ ที่รู้ว่า ไม่มีทางนอนหลับได้แน่
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามียังเงียบ ไม่มีสายโทรเข้าว่าจะกลับบ้านผิดเวลาเหมือนทุกครั้ง
ภาพในหัวจินตนาการไปว่า คืนนี้เป็นคืนวันวาเลนไทน์ แล้ว…ความน่าจะเป็นไปได้ที่ทั้งคู่จะไปไหน ทำอะไรกัน มันก็มีไม่กี่เรื่อง
ภาพสะท้อนในหัว และภาพที่จินตนาการขึ้นมาเอง วกวนไปมา ท้ายที่สุดฉันทำได้เพียงทรุดนั่งลงบนเตียงนอน ปล่อยให้น้ำตาค่อย ๆ ไหล
ฉันไม่ชอบสภาวะแบบนี้เลยให้ตายเถอะ ไวเท่าความคิด อยากทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ความรู้สึกดีขึ้น แม้เพียงนิดก็ยังดี
‘ว่าไงยะคุณเพื่อน ได้ดีมีสามีรวยสามีรักไม่โทรมาหาเป็นปีเลยนะ’ เสียงปลายสายของดวงเดือนเจือเสียงหัวเราะหลังจากกดรับสาย
‘...’ ฉันไม่สามารถตอบอะไรได้เพราะมัวแต่เช็ดน้ำตาที่มันไหลออกมา สมองคิดทบทวนพยายามหาคำพูดที่ปกติที่สุดตอบกลับไป
‘แกเป็นอะไร’ เพื่อนรักคงสัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ ‘นรีฟังอยู่หรือเปล่า’ คนพูดเอ่ยเสียงสูงขึ้นอีกนิด
‘พังว่ะ’
‘หา...อะไรนะ’
‘คือว่า ยังเล่าไม่ได้ แต่เราไปหาได้ไหม’ ระหว่างพูดน้ำตายังไหลไม่หยุด
‘ได้สิแก มาเลย แล้วผัวแกมาด้วยหรือเปล่า’
‘อะ...คงไม่’ ฉันตอบได้แค่นั้นเพราะมัวแต่กลั้นสะอื้น
‘นรี...เป็นอะไร’
ฉันไม่ตอบ ปล่อยเสียงสะอื้นออกไปอีกพักใหญ่ ก่อนจะวางสายและบอกว่าจะขอเล่าเมื่อถึงเชียงราย
ใกล้เที่ยงคืนแล้ว...คนที่ฉันรอตั้งแต่เย็นยังไม่กลับบ้าน...
เสื้อผ้าสองสามชุดถูกพับใส่กระเป๋าเดินทางอย่างลวกๆ ของใช้อีกสองสามอย่างที่พอจะคิดได้ถูกวางตามลงไป จากนั้นฉันก็แต่งตัว เรียกแท็กซี่และไปสนามบิน ระหว่างนั้นก็จองตั๋วผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ นั่งรอจนเช้าจึงเดินทางไปเชียงราย
โดยทิ้งกระดาษโน้ตสั้น ๆ ไว้บนเตียงนอนว่า
‘ขอหย่าทันทีที่คุณสะดวก’
‘ผมขอเวลาหกเดือนแล้วค่อยคุยกันได้ไหม’
ข้อความตอบกลับเมื่อตอนสาย ๆ หลังจากฉันถึงเชียงรายแล้ว
‘ทำไมแกไม่คุยกับผัวแกให้รู้เรื่องวะ ว่ามันยังไง ทำไม’ ดวงเดือนเคยเอ่ยถาม
‘ถ้าเขาไม่โทรมาอธิบาย มันก็คงไม่ต้องถามอะไรแล้ว’ ฉันตอบได้แค่นั้น
ตั้งแต่นั้น ก็ไม่มีการติดต่อระหว่างกันอีก ฉันก็พักอยู่เชียงรายระยะหนึ่ง จากนั้นก็หนีไปต่างประเทศ
.....
หลังจากคุณคีตาผ่าตัดผ่านไปราวหนึ่งอาทิตย์ ฉันได้รับโทรศัพท์จากสริสาพี่สะใภ้
“นรีอยู่ไหน”
“อยู่คอนโดเพื่อนค่ะ มีอะไรด่วนไหมคะพี่เก๋”
นับแต่กลับมาไทย ฉันสิงอยู่บ้านเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันและพอรู้เรื่อง จนท้ายที่สุดก็มาจบอยู่ที่ห้องว่างของยัยแจงเพราะมันอยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก แถมวุ่นวายมากพอที่จะทำให้ฉันไม่รู้สึกเงียบเหงาจนเกินไป
“คีกำลังจะออกจากโรงพยาบาล แต่ยังเดินไม่สะดวก แถมเจตน์ต้องดูแลบริษัท พี่ก็จะพาเด็ก ๆ ไปพบครอบครัวของไรอันที่อเมริกา อยากให้นรีไปช่วยดูแลเขาให้หน่อย ยังหาคนมาดูแลเขาไม่ได้จริง ๆ”
“ให้แฟนเขาไปดูแลสิคะ เกี่ยวอะไรกับนรี” ฉันตอบตามใจคิด “พี่เก๋พูดเหมือนเรายัง...เราไม่ได้เป็นอะไรกันแม้แต่เพื่อนค่ะ”
“พี่คิดว่าคีเลิกกับเด็กคนนั้นแล้ว” พี่เก๋บอก “เจตน์บอกพี่ว่าไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง...หกเจ็ดเดือนแล้วนะ”
“เขาจะเลิกกันหรือยังอยู่ด้วยกัน มันไม่ใช่ปัญหาหรือเรื่องที่นรีอยากรู้นะคะ”
อีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่ “นรีเป็นน้องสาวของคุณนุเพื่อนสนิทของคีตานะ ถือว่าพี่ขอร้อง ไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ”
“ขอกันอย่างนี้ พี่เก๋เอามีดมาแทงอกนรีเลยดีกว่าไหมคะ” ฉันเม้มปาก นิ่งไปอึดใจก่อนตอบตามใจคิด “พี่ก็รู้นี่คะว่านรียังทำใจกับเรื่องนั้นไม่ได้...”
“พี่รู้...แต่ถ้าไม่นับเรื่องที่คีทำผิด เขาก็ทำดีให้บ้านเราหลายเรื่องอยู่ จะปล่อยไว้ให้อยู่คนเดียวแบบนั้นก็ไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากส่งเขาไปบ้านพักที่ดูแลผู้ป่วย” พี่เก๋ยังพยายามพูดต่อ
“ช่วยไม่ได้ค่ะ มันไม่ใช่ปัญหาของนรี” ฉันย้ำอีกรอบ
“นรี...”
“แค่นี้นะคะพี่เก๋” ฉันตัดบท วางสาย ทุกวันฉันยังเจ็บปวด ทุกวันยังมีเรื่องเก่าๆ ย้อนกลับมาในความทรงจำเสมอ ...แล้วทำไมฉันจะต้องเห็นใจ ทำไมต้องเป็นห่วงผู้ชายคนนั้นด้วย
เพราะยังไม่ได้เริ่มงานใหม่เป็นชิ้นเป็นอัน บ่ายวันนั้นฉันก็ตัดสินใจกลับไปเอาของบ้านเก่า เพราะมั่นใจว่าเจ้าของบ้านอีกคนยังอยู่โรงพยาบาล จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะไปเก็บของจริง ๆ จัง ๆ เสียที
หกเดือนแล้ว…ตามที่เราตกลงกัน
บ้านทั้งหลังเงียบสนิท แต่ยังคงความสะอาดสะอ้าน เขาคงยังจ้างแม่บ้านมาดูและทำความสะอาดให้อาทิตย์ละสองครั้งเหมือนเดิม
ฉันตั้งใจไปเลือกเฉพาะของที่จำเป็น พวกเอกสารต่าง ๆ ห้องแรกคือห้องนอน เปิดประตูเข้าไป ห้องโล่งขึ้นนิดหน่อย เฟอร์นิเจอร์บางตัวถูกเอาออก ที่นอนยังไม่ได้เก็บ ไม่มีร่องรอยว่าบ้านนี้มีคนอื่นมาอาศัยอยู่ ทุกอย่างรอบเตียงยังอยู่เหมือนเดิม แม้กระทั่งรูปคู่ของฉันกับเขา
...วางไว้แบบนี้ผู้หญิงคนใหม่ไม่ว่าอะไรหรือไง
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ที่ข้างเตียงคว่ำอยู่ก็ดังขึ้น...ตอนมาพาคนป่วยไปโรงพยาบาลเจตน์คงไม่สังเกตเห็นและหยิบไปด้วย
ฉันคิดอยู่นาน...แล้วก็ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา
หน้าจอสว่างวาบ ขึ้นชื่อของคนที่โทรเข้า
-บี-
ฉันทิ้งโทรศัพท์ลงบนเตียงราวกับว่ามันเป็นของร้อน
...เสียงโทรศัพท์หยุดไปพักหนึ่ง และเริ่มดังอีกรอบ....
ฉันมองโทรศัพท์เครื่องนั้นนิ่งนาน...ตอนนี้หน้าจอมันดับสนิทไปแล้ว
.....
อีกสองวันต่อมาฉันตัดสินใจโทรหาพี่สะใภ้
“พี่เก๋ นรีมาคิด ๆ ดูแล้ว ว่าง ๆ อยู่ นรีไปเฝ้าคุณคีให้ได้ค่ะ”
“หะ...นี่พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหม” เสียงอีกฝ่ายเหมือนกับได้ยินเรื่องเหลือเชื่อ
“ไม่ได้ล้อเล่นค่ะ มีเวลาหนึ่งเดือนถ้วนก่อนนรีไปทำงานต่างประเทศ” ฉันพยายามตอบเสียงเรียบ เหมือนไม่รู้สึกดีใจหรือเสียใจกับสิ่งที่กำลังพูดออกไป
“อะไรนะ!”
“นรีตัดสินใจไปทำงานต่างประเทศค่ะ ไปเที่ยวที่โน่นมาเดือนหนึ่ง พอเห็นลู่ทางทำงานกับบริษัทของเพื่อน เขาต้องการนักออกแบบตกแต่งภายในพอดี”
ปลายสายนิ่งไปพักใหญ่ เหมือนไม่กล้าถามอะไรอีก จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย
……….
ในที่สุดหมอก็อนุญาตให้คนป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้าน เจตน์บอกว่าการผ่าตัดครั้งแรกได้ผลไม่ดีนัก ทำให้ระบบการทรงตัวของคนป่วยยังไม่ปกติ ยังไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง วันกลับจากโรงพยาบาลเขาและพี่เก๋ช่วยกันจัดการเรื่องรถพยาบาลและค่ารักษา ส่วนฉันมาเตรียมสถานที่ที่บ้านให้พร้อม
ทั้งคู่มองการกระทำของฉันอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
“หวังว่าอยู่ใกล้กันแล้วจะได้ปรับความเข้าใจกันนะครับ” ฉันได้ยินเจตน์แอบบอกพี่สะใภ้ของฉัน ตอนที่ฉันขึ้นไปหยิบของใช้เพิ่มเติมบนห้องนอน พวกเขาทั้งคู่ไม่เห็นว่าฉันเดินลงมาจากชั้นบนแล้ว
“แต่...พี่ว่ายาก พี่รู้จักนรีดี เด็กคนนี้ใจแข็งเป็นบ้า แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยอมมาดูแลคีให้”
“นั่นสิครับ พี่คีก็แปลก ท่าทางเหมือนไม่อยากให้นรีไปดูแลเอาเลย”
“แต่อย่างน้อย พี่คิดว่านรีรับปากอะไรแล้ว เธอจะไม่ทำมันแบบขอไปทีแน่ ๆ”
ใช่ค่ะ…นรีตั้งใจจะดูแลเขาให้ดีที่สุด ก่อนจะจากกันไปตลอดกาล
ฉันก้าวออกมาจากมุมบันได พี่เก๋และเจตน์หันมา คนป่วยเม้มปากนิดหนึ่งเมื่อหันมาเห็นฉัน
“มากันแล้วเหรอคะ เพิ่งเก็บของเสร็จพอดี” ฉันทักทาย “นรีต้องทำยังไงบ้างเจตน์”
“ดูแลทั่วไปครับ โรงพยาบาลจะส่งนักกายภาพบำบัดมาฝึกพี่คีวันเว้นวันครับ มีนัดไปหาหมอทุกอาทิตย์ พอจะไหวไหม”
ฉันพยักหน้า มองเลยไปยังอีกคนที่นอนหน้าเรียบฟังทั้งคู่คุยกันอยู่บนเตียงที่จัดไว้ให้ใหม่ อยู่ในห้องรับแขกแทนห้องนอนข้างบน
“ส่วนเรื่องอาหาร ผมคิดว่า…”
“ไม่ต้องห่วงเจตน์ แถวนี้มีร้านอาหารเพื่อสุขภาพ เดี๋ยวสั่งให้มาส่งทุกวัน”
“ดีครับ คุณจะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป อ้อ ถ้าวันไหนผมว่าง จะมาช่วยดูแลพี่คีนะครับ แต่ถ้ามีอะไรด่วนก็โทรหาได้ตลอด”
ฉันยิ้มรับ เจตน์เป็นผู้ชายนิ่งๆ ขรึมเฉย พูดน้อย แต่ดูน่าจะเป็นคนพึ่งพาได้ในหลาย ๆ เรื่อง “ขอบคุณนะ นรีจะพยายามด้วยตัวเองก่อน คิดว่าไม่น่าจะลำบากอะไร”
…..
“ทำไม” ประโยคนิ่ง ๆ ของคนที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยขึ้นหลังจากทุกคนกลับไปแล้ว
ตอนนั้นฉันกำลังถือแจกันใส่ดอกไม้ ซึ่งตัดมาจากรอบ ๆ บ้าน แกล้งวางอย่างไม่สนใจ หันกลับมาเลิกคิ้ว
“ทำไมยังมายุ่งกับพี่อีก” น้ำเสียงของคนป่วยราบเรียบ หน้าตาเรียบกว่า
“ตอบยังไงดีล่ะ” ฉันยิ้มลึกที่มุมปาก “เป็นห่วง สงสาร เห็นใจ ตัดใจไม่ได้ อยากกลับมาคืนดี ... คำไหนดี”
“นรี!”
ฉันมองกลับไปยังคนตรงหน้าแบบไปตรงมาไม่หลบสายตาแม้แต่นิดเดียว “หลงตัวเองไปหรือเปล่าคะคุณคีตา หลังจากคุณทำอย่างนั้นกับฉันแล้ว จะให้ฉันมีความรู้สึกอะไรได้อีก”
ภาพเหตุการณ์ที่คอนโดย้อนกลับมา…อีกแล้ว
“เพราะคุณเป็นน้องชายสุดที่รักของพี่นุและพี่เก๋ค่ะ” ฉันขยายความ “นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะทำให้พี่ได้...เข้าใจตรงกันนะคะ ฉันจะดูแลคุณให้ดีที่สุด...ในฐานะน้องสาวพี่นุ แต่อย่ามาคิดว่าสิ่งทั้งหมดที่ทำนี่เพราะ...ยังแคร์เรื่องของเรา ถ้าพี่เก๋ไม่ขอร้อง คิดหรือคะว่าฉันจะมา”
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าผู้ชายที่มั่นใจในตัวเองมากๆ อย่างคุณคีเม้มปากจนแทบจะเป็นเส้นตรง ก่อนจะเบือนหน้าออก
“อ้อ...อีกอย่าง ระหว่างที่เราอยู่ด้วยกัน ฉันจะดูแลคุณจนกว่าพี่เก๋จะหาคนดูแลแทนได้ ซึ่งมันน่าจะไม่นานจนถึงกับทำให้คุณขาดใจตายไปก่อน”
คนฟังนิ่งไปหลายวินาที ภาพอย่างนี้ บรรยากาศตึงเครียดแบบนี้มันเหมือนกับหลายปีก่อน ตอนที่ทั้งคู่ต้องจำใจมาอยู่บ้านเดียวกันเหลือเกิน
“ได้”
“ดี...ถ้าเป็นไปได้ ก็รีบ ๆ หาย ฉันอาจจะได้พ้นภาระนี้เร็วกว่าเดิม”
คนฟังหรี่ตา
“ฉันจะไปรดน้ำต้นไม้ อยากได้อะไรโทรไปเรียกได้ เย็นนี้สั่งอาหารมาแล้ว แต่พรุ่งนี้อยากกินอะไรคิดไว้แล้วกัน จะสั่งให้”
“ไม่” คนป่วยตอบ
“ก็ดี”
พูดจบฉันก็ยักไหล่ เดินผ่านหน้าเตียงไปที่ประตู โดยที่มั่นใจว่าคนที่ป่วยอยู่ไม่มีโอกาสได้เห็นว่าตัวเองมีน้ำตารื้นที่ขอบตา
เขาผอมไปมาก อย่างน้อยน้ำหนักน่าจะลดไปเกือบสิบกิโล…ภาพพี่นุในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตซ้อนทับภาพของคนที่นอนอยู่บนเตียง
อย่าให้มันเป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้จะเกลียดเขาเข้าไส้ แต่ฉันก็ไม่ใจร้ายถึงขนาดอยากเห็นเขาตายไปต่อหน้า เรื่องที่ผ่านมาก็ทำร้ายใจฉันมากพอแล้ว...คิดไม่ออกเลยว่าถ้ามีอีกเรื่อง ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
.
.
.
.
หน่วง ๆ อีกพักนึงนะทุกคน ปล. ยังไม่ได้ตรวจคำผิดจ้า
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.พ. 2565, 22:40:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.พ. 2565, 22:40:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 399
<< เรื่องเซอร์ไพรส์...กว่า | ไม่ใช่...ไม่รัก >> |