กรงตะวัน: ดาริยา (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
ความรักแสนงดงามก่อเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศชวนฝัน ในดินแดนแห่งทิวลิป ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์
ใครจะคาดคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 'เอกตะวัน' อาจารย์หนุ่มลูกครึ่งไทย-ดัตช์ และ 'จันทร์กันยา' ลูกศิษย์สาวชาวไทยอันน่าประทับใจจะกลับกลายจากหวานเป็นขม เพราะปมแค้น ซึ่งทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตตามมามากมาย
‘กรง’ ที่ชายหนุ่มพยายามกักขังเธอไว้ในแดนทิวลิปนั้น แม้เขาจะมุ่งมั่นให้เธอทุกข์ทรมาน แต่ทำไมเขากลับทุกข์ทรมานมากกว่า
หรือ ‘กรงแค้น’ ที่เขาสร้างขึ้นแท้จริงแล้วมันคือ ‘กรงรัก’ กักขังผูกมัดหัวใจสองดวงเข้าด้วยกันจนดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ดาริยา" นักเขียนเจ้าของผลงานเรื่อง "ทะเลลวง" ที่เคยเป็นละครทางช่อง 7 มาแล้ว กลับมาครั้งนี้ ดาริยานำนิยายโรแมนติก ดราม่ามาให้อ่านกันค่ะ และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60% ของเรื่องนะคะ
ความรักแสนงดงามก่อเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศชวนฝัน ในดินแดนแห่งทิวลิป ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์
ใครจะคาดคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 'เอกตะวัน' อาจารย์หนุ่มลูกครึ่งไทย-ดัตช์ และ 'จันทร์กันยา' ลูกศิษย์สาวชาวไทยอันน่าประทับใจจะกลับกลายจากหวานเป็นขม เพราะปมแค้น ซึ่งทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตตามมามากมาย
‘กรง’ ที่ชายหนุ่มพยายามกักขังเธอไว้ในแดนทิวลิปนั้น แม้เขาจะมุ่งมั่นให้เธอทุกข์ทรมาน แต่ทำไมเขากลับทุกข์ทรมานมากกว่า
หรือ ‘กรงแค้น’ ที่เขาสร้างขึ้นแท้จริงแล้วมันคือ ‘กรงรัก’ กักขังผูกมัดหัวใจสองดวงเข้าด้วยกันจนดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ดาริยา" นักเขียนเจ้าของผลงานเรื่อง "ทะเลลวง" ที่เคยเป็นละครทางช่อง 7 มาแล้ว กลับมาครั้งนี้ ดาริยานำนิยายโรแมนติก ดราม่ามาให้อ่านกันค่ะ และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60% ของเรื่องนะคะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 1 (100%)
พวกนักศึกษาขี้สงสัยยังคงยืนคุยกับอาจารย์ธวัน ทั้งที่เลยเวลาเลิกคลาสเข้าไปตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แถมอาจารย์หนุ่มยังไม่มีทีท่ารำคาญหรือเร่งรีบจะกลับไปทำธุรกิจตัวเองอย่างที่จันทร์กันยาคิดไว้อีกด้วย ตรงข้าม เขาตั้งใจอธิบายทุกประเด็นอย่างแจ่มชัด ซึ่งจันทร์กันยากับลินาที่ต้องยืนรออยู่จึงถือโอกาสเงี่ยหูฟังเพื่อตักตวงความรู้ไปด้วย
“เมื่อไหร่จะเสร็จสักทีเนี่ย คิดว่าคนอื่นไม่มีธุระหรือไง ฉันหิวข้าวจะตายอยู่แล้ว เมื่อเช้ารีบจนไม่ได้กินอะไรเลย” สาวผมยาวเริ่มบ่น ในขณะที่สาวผมสั้นผิวสีน้ำผึ้งพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิ ฉันก็เริ่มหิว อาจารย์มีอะไรจะคุยกับเรานักหนาก็ไม่รู้ แกนั่นแหละนังจันทร์ อยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปนินทาอาจารย์ ฉันว่าต้องเรื่องนี้แหงเลย”
“ฉันพูดเรื่องจริงทั้งนั้น ไม่กลัวหรอก” จันทร์กันยาเอ่ยประโยคที่หวังปลอบใจตัวเองให้หายกังวล
เมื่อนักศึกษาสาวที่รุมล้อมอาจารย์หนุ่มเริ่มสลายตัวไป เขาจึงเดินมาหาสองสาวไทยที่ยืนคอยอยู่ และแน่นอน เขายังพูดกับพวกหล่อนเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงไทยแท้ ทั้งที่รูปลักษณ์ของคนพูดแทบหาความเป็นไทยในตัวไม่เจอ
“ขอโทษที่ให้รอนาน เมื่อกี้ผมได้ยินว่าพวกคุณบ่นหิว เราไปคุยกันที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยดีไหม”
เอิ่ม...นี่อาจารย์ธวันมีกี่หูนะ ทำไมตอนคุยกับนักศึกษาพวกนั้นเขาก็ยังได้ยิน แถมยังจับใจความที่เราสองคนคุยกันได้อีก เทพจริงๆ...จันทร์กันยาแค่ค่อนขอดในใจ ไม่ได้พูดออกไปหรอก
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะอาจารย์ มีอะไรเราคุยกันตรงนี้เลยดีไหมคะ อาจารย์จะได้ไม่เสียเวลา” ลินาเสนอด้วยท่าทีนอบน้อมเกินเหตุ
“ผมมีเวลาทั้งวัน วันไหนมาสอนที่นี่ ผมจะไม่ทำงานอื่น”
โห! ดูทุ่มเทดีจัง...อันนี้จันทร์กันยาก็แค่กระแนะกระแหนในใจ แต่ที่แสดงออกไปนั้นคือการยิ้มหวานไว้ก่อน หล่อนมีชนักติดหลังอันเบ้อเริ่ม เชื่อว่าหูดีขนาดนี้ เขาคงได้ยินคำนินทาทั้งหมดทั้งมวลที่ออกจากปากหล่อนตั้งแต่ตรงทางเดิน จนกระทั่งตอนนั่งรอเรียนด้วย ก็ใครจะไปนึกเล่าว่าหน้าฝรั่งจ๋าปานนั้นจะพูดและฟังภาษาไทยได้ มันเกินคาดไปเยอะจริงๆ
“ถ้างั้นก็แล้วแต่อาจารย์เลยค่ะ” ลินาโอนอ่อน ท่าทางนบนอบจนจันทร์กันยาสงสัยว่าทำไมต้องทำขนาดนั้น
“เรียกผมว่าตะวันก็ได้ ผมชื่อ เอกตะวัน เป็นลูกครึ่งไทย-ดัตช์ เราก็ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันนะ”
ลูกครึ่ง!? ลูกครึ่งบ้าอะไร ทำไมไม่รู้สึกว่าหน้าตาปนไทยมาบ้างเลย คนนินทาเขาไว้เต็มปากเต็มคำอย่างไม่เฉลียวใจใดๆ โวยวายในใจอีกเช่นกัน
“ลินขอเรียกชื่อเต็มแบบไทยดีกว่านะคะ” ชายหนุ่มยักไหล่เป็นนัยว่า ‘แล้วแต่เธอ’ ลินาจึงคุยจ้อต่อ “อาจารย์เป็นลูกครึ่งที่พูดไทยชัดมากเลยค่ะ ทั้งที่มาอยู่ต่างประเทศแท้ๆ” ลินาเหมาโควตาในการพูดคุยไปทั้งหมด ซึ่งก็ดี เพราะจันทร์กันยายังไม่มีอารมณ์จะเสวนาด้วยหรอก หล่อนมัวแต่หวั่นว่าจะโดนอะไรบ้างเพราะนินทาระยะเผาขนไว้เยอะ
“คงเพราะคุณแม่ผมเป็นคนไทยน่ะ พูดไทยใส่ผมตลอด ผมเคยอยู่เมืองไทยตอนเด็กๆ หลายปีทีเดียว”
เอกตะวันเป็นฝ่ายชวนคุยบ้าง ขณะเดินนำสองสาวไปยังโรงอาหาร ร่างสูงของเขาดูสง่าอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ความสูงระดับเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรนั่นน่าจะทำให้ชายหนุ่มดูตัวยาวตะเหลนเป๋น แต่น่าประหลาดนักที่พอมารวมกับความกำยำของกล้ามเนื้อทุกมัดทุกสัดส่วน กลับทำให้เอกตะวันงดงามราวกับรูปปั้นเทพบุตรกรีกที่เดินได้เลยทีเดียว
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง อาจารย์เคยอยู่เมืองไทยอีกต่างหาก ถึงได้ไม่ลืมภาษาไทยง่ายๆ” เสียงลินายังดังเจื้อยแจ้ว
“พวกคุณไปซื้ออาหารมานั่งกิน แล้วเราค่อยคุยกันต่อตอนนั้นก็ได้”
ว่าแล้วสองนักศึกษาสาวก็แยกจากอาจารย์หนุ่ม เพื่อไปซื้ออาหารมื้อแรกของวัน
“ลีลามากเลย” จันทร์กันยาบ่นทันทีที่อยู่ตามลำพังกับลินาหน้าร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ “เมื่อไหร่อีตาอาจารย์นั่นจะบอกสักที ว่าจะคุยอะไรกับพวกเรา”
“ใจเย็นสิจันทร์ ถ้าเขาไม่เร่งรีบ ไม่มีทีท่าโมโห ก็แปลว่าคงไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่พอใจแกหรอก อาจารย์เอกตะวันอาจจะไม่ได้ยินที่แกถากถางเขาเลยก็ได้”
“สาธุ ขอให้เป็นแบบแกว่าเถอะ เฮ้อ! จะยังไงก็ไม่ยังไง ฉันอึดอัดมากเลยลิน”
“เดี๋ยวก็รู้เอง ได้เบอร์เกอร์แล้ว เรากลับไปที่โต๊ะกันเถอะ อ้าว!”
คำอุทานสุดท้ายเกิดเพราะลินาเหลือบไปเห็นว่าที่โต๊ะอาหารซึ่งเอกตะวันนั่งรออยู่นั้น มีสาวสวยในชุดเดรสผ้ายืดสีแดงเพลิงสั้นจุ๊ดจู๋โชว์เรียวขาขาวนั่งอยู่เคียงข้างเขา พร้อมกอดต้นแขนอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่มไว้แน่น ใครเห็นเป็นต้องรู้ว่าเจ้าหล่อนกำลังประกาศกร้าวให้โลกรู้ว่า...ผู้ชายคนนี้เป็นของฉัน!
“เอาไงดีลิน ฉันว่าเราคงไม่ได้คุยกับอาจารย์แล้วล่ะ ยัยผมบลอนด์นั่นนั่งเบียดซะ แทบจะสิงร่างอาจารย์อยู่แล้ว เราเข้าไปลาเขาดีกว่า โอกาสหน้าค่อยคุยกันเหอะ”
ยังไม่ทันจะเดินถึงโต๊ะดี เสียงแหลมของสาวที่ทำตัวเป็นปลิงตัวซีดเกาะอาจารย์หนุ่มอยู่ก็ดังลั่นขึ้นมา
“เธอสองคนสำคัญยังไง ทำไมธวันต้องมานั่งคุยนอกเวลาด้วย”
สำเนียงอังกฤษแปร่งๆ ของหญิงสาวบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงเป็นชาวดัตช์ที่ไม่สันทัดภาษาอังกฤษสักเท่าไร ดังนั้นสองสาวชาวไทยที่พูดอังกฤษคล่องปร๋อจึงพร้อมต่อกรด้วยภาษาและสำเนียงที่แทบจะสมบูรณ์แบบไม่แพ้เจ้าของภาษา
“อ๋อ สำคัญมากสิ เราสองคนเป็นสาวไทย เป็นคนบ้านเดียวกัน อาจารย์ก็เลยเอ็นดูเป็นพิเศษ”
จันทร์กันยาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการ ‘ผีผลัก’ นี่เกิดขึ้นได้อย่างไร จู่ๆ หล่อนก็หมั่นไส้ยายชุดแดงนี่ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลจนหลุดคำเหล่านั้นออกไป มาคิดดูดีๆ นอกจากเป็นเพราะวันแดงเดือดที่หล่อนมักจะถูกฮอร์โมนครอบงำแล้ว สาเหตุใหญ่คือแววตาเหยียดๆ ที่ยัยนั่นส่งมาให้สาวเอเชียหัวดำอย่างพวกหล่อนนั่นแหละ ทำให้ต้องแสดงตนเสียหน่อยว่ามีความสำคัญยิ่งยวดต่อเอกตะวัน ทั้งที่ความจริงมันตรงกันข้าม
“รู้จักกันไว้สิชาร์รอน นี่คือนักศึกษาที่ผมสอนอยู่ เธอชื่ออะไรกันบ้าง บอกคุณชาร์รอนไปสิ” เอกตะวันแทรกขึ้นมา
“ฉันชื่อจันทร์กันยา”
“ฉันชื่อลินา”
จันทร์กันยาอดขำในใจไม่ได้ อาจารย์เอกตะวันนี่ก็ใช่ย่อย หลอกถามชื่อกันเห็นๆ เขาเองก็ใช่จะรู้จักพวกหล่อนเสียหน่อย แต่จำต้องตามน้ำ เหมือนว่าพอจะสนิทกันบ้างจึงได้ตามสองสาวมาถึงโรงอาหาร
“เราสองคนว่าจะขอตัวก่อนค่ะอาจารย์ ไม่อยากรบกวนเวลา”
เพื่อเป็นการให้เกียรติสาวผมบลอนด์ที่ไม่รู้ภาษาไทย จันทร์กันยาจึงคุยกับชายหนุ่มด้วยภาษาอังกฤษ
“จริงค่ะ ลินขอตัวก่อนนะคะ มีอะไรค่อยว่ากันวันหลัง” ลินารีบสนับสนุน
“แสดงว่าจะไล่ให้ผมไปจากโต๊ะนี้ แล้วคุณก็นั่งกินกันสองคนเหรอ”
“ใช่ค่ะ วันหลังค่อยคุยกันดีกว่า วันนี้อาจารย์คงมีธุระสำคัญกับคุณชาร์รอน ไม่งั้นเธอคงไม่มาหาถึงมหาวิทยาลัยขนาดนี้” จันทร์กันยาไม่ยอมหลบสายตาปนดูถูกของสาวชาวตะวันตก ยิ่งกว่านั้น หล่อนยังพยายามชูคอระหงอย่างคนที่ไม่ยอมใครง่ายๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้รู้ว่าสาวเอเชียอย่างหล่อนไม่ใช่ ‘ขี้ๆ’
“ไปกันเถอะค่ะธวัน ฉันคิดถึงคุณจะแย่ นี่ฉันเพิ่งกลับจากสเปน เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องบินไปเดินแบบที่อิตาลีต่อ เวลาเรามีน้อยนะคะ ไปค่ะที่รัก”
ทันทีที่คำพูดโอ้อวดตัวเองจบลง ชาร์รอนก็รั้งร่างใหญ่ให้ลุกขึ้น ตามด้วยการมอบจุมพิตอันดูดดื่มบนเรียวปากของเอกตะวันเพื่อยืนยันความคิดถึง คนในโรงอาหารเริ่มมองมา เพราะความสวยโดดเด่นของสาวผมบลอนด์เจ้าของหุ่นราวกับนางแบบ...ซึ่งหล่อนก็คงจะเป็นนางแบบจริงอย่างที่ป่าวประกาศนั่นแหละ การแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของซึ่งดูล้นๆ ยิ่งเรียกความสนใจได้ดีนัก เอกตะวันจึงจำต้องเดินตามสาวเซ็กซี่ออกนอกโรงอาหารไป
จันทร์กันยาไม่ได้มองผิดแน่ๆ หล่อนเห็นอาจารย์หนุ่มหันกลับมาส่งสายตาคล้ายจะบอกว่า...
ผมยังมีเรื่องคาใจกับคุณอยู่นะ อย่าลืม!
ลงให้อ่านทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์นะคะ
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
“เมื่อไหร่จะเสร็จสักทีเนี่ย คิดว่าคนอื่นไม่มีธุระหรือไง ฉันหิวข้าวจะตายอยู่แล้ว เมื่อเช้ารีบจนไม่ได้กินอะไรเลย” สาวผมยาวเริ่มบ่น ในขณะที่สาวผมสั้นผิวสีน้ำผึ้งพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิ ฉันก็เริ่มหิว อาจารย์มีอะไรจะคุยกับเรานักหนาก็ไม่รู้ แกนั่นแหละนังจันทร์ อยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปนินทาอาจารย์ ฉันว่าต้องเรื่องนี้แหงเลย”
“ฉันพูดเรื่องจริงทั้งนั้น ไม่กลัวหรอก” จันทร์กันยาเอ่ยประโยคที่หวังปลอบใจตัวเองให้หายกังวล
เมื่อนักศึกษาสาวที่รุมล้อมอาจารย์หนุ่มเริ่มสลายตัวไป เขาจึงเดินมาหาสองสาวไทยที่ยืนคอยอยู่ และแน่นอน เขายังพูดกับพวกหล่อนเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงไทยแท้ ทั้งที่รูปลักษณ์ของคนพูดแทบหาความเป็นไทยในตัวไม่เจอ
“ขอโทษที่ให้รอนาน เมื่อกี้ผมได้ยินว่าพวกคุณบ่นหิว เราไปคุยกันที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยดีไหม”
เอิ่ม...นี่อาจารย์ธวันมีกี่หูนะ ทำไมตอนคุยกับนักศึกษาพวกนั้นเขาก็ยังได้ยิน แถมยังจับใจความที่เราสองคนคุยกันได้อีก เทพจริงๆ...จันทร์กันยาแค่ค่อนขอดในใจ ไม่ได้พูดออกไปหรอก
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะอาจารย์ มีอะไรเราคุยกันตรงนี้เลยดีไหมคะ อาจารย์จะได้ไม่เสียเวลา” ลินาเสนอด้วยท่าทีนอบน้อมเกินเหตุ
“ผมมีเวลาทั้งวัน วันไหนมาสอนที่นี่ ผมจะไม่ทำงานอื่น”
โห! ดูทุ่มเทดีจัง...อันนี้จันทร์กันยาก็แค่กระแนะกระแหนในใจ แต่ที่แสดงออกไปนั้นคือการยิ้มหวานไว้ก่อน หล่อนมีชนักติดหลังอันเบ้อเริ่ม เชื่อว่าหูดีขนาดนี้ เขาคงได้ยินคำนินทาทั้งหมดทั้งมวลที่ออกจากปากหล่อนตั้งแต่ตรงทางเดิน จนกระทั่งตอนนั่งรอเรียนด้วย ก็ใครจะไปนึกเล่าว่าหน้าฝรั่งจ๋าปานนั้นจะพูดและฟังภาษาไทยได้ มันเกินคาดไปเยอะจริงๆ
“ถ้างั้นก็แล้วแต่อาจารย์เลยค่ะ” ลินาโอนอ่อน ท่าทางนบนอบจนจันทร์กันยาสงสัยว่าทำไมต้องทำขนาดนั้น
“เรียกผมว่าตะวันก็ได้ ผมชื่อ เอกตะวัน เป็นลูกครึ่งไทย-ดัตช์ เราก็ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันนะ”
ลูกครึ่ง!? ลูกครึ่งบ้าอะไร ทำไมไม่รู้สึกว่าหน้าตาปนไทยมาบ้างเลย คนนินทาเขาไว้เต็มปากเต็มคำอย่างไม่เฉลียวใจใดๆ โวยวายในใจอีกเช่นกัน
“ลินขอเรียกชื่อเต็มแบบไทยดีกว่านะคะ” ชายหนุ่มยักไหล่เป็นนัยว่า ‘แล้วแต่เธอ’ ลินาจึงคุยจ้อต่อ “อาจารย์เป็นลูกครึ่งที่พูดไทยชัดมากเลยค่ะ ทั้งที่มาอยู่ต่างประเทศแท้ๆ” ลินาเหมาโควตาในการพูดคุยไปทั้งหมด ซึ่งก็ดี เพราะจันทร์กันยายังไม่มีอารมณ์จะเสวนาด้วยหรอก หล่อนมัวแต่หวั่นว่าจะโดนอะไรบ้างเพราะนินทาระยะเผาขนไว้เยอะ
“คงเพราะคุณแม่ผมเป็นคนไทยน่ะ พูดไทยใส่ผมตลอด ผมเคยอยู่เมืองไทยตอนเด็กๆ หลายปีทีเดียว”
เอกตะวันเป็นฝ่ายชวนคุยบ้าง ขณะเดินนำสองสาวไปยังโรงอาหาร ร่างสูงของเขาดูสง่าอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ความสูงระดับเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรนั่นน่าจะทำให้ชายหนุ่มดูตัวยาวตะเหลนเป๋น แต่น่าประหลาดนักที่พอมารวมกับความกำยำของกล้ามเนื้อทุกมัดทุกสัดส่วน กลับทำให้เอกตะวันงดงามราวกับรูปปั้นเทพบุตรกรีกที่เดินได้เลยทีเดียว
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง อาจารย์เคยอยู่เมืองไทยอีกต่างหาก ถึงได้ไม่ลืมภาษาไทยง่ายๆ” เสียงลินายังดังเจื้อยแจ้ว
“พวกคุณไปซื้ออาหารมานั่งกิน แล้วเราค่อยคุยกันต่อตอนนั้นก็ได้”
ว่าแล้วสองนักศึกษาสาวก็แยกจากอาจารย์หนุ่ม เพื่อไปซื้ออาหารมื้อแรกของวัน
“ลีลามากเลย” จันทร์กันยาบ่นทันทีที่อยู่ตามลำพังกับลินาหน้าร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ “เมื่อไหร่อีตาอาจารย์นั่นจะบอกสักที ว่าจะคุยอะไรกับพวกเรา”
“ใจเย็นสิจันทร์ ถ้าเขาไม่เร่งรีบ ไม่มีทีท่าโมโห ก็แปลว่าคงไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่พอใจแกหรอก อาจารย์เอกตะวันอาจจะไม่ได้ยินที่แกถากถางเขาเลยก็ได้”
“สาธุ ขอให้เป็นแบบแกว่าเถอะ เฮ้อ! จะยังไงก็ไม่ยังไง ฉันอึดอัดมากเลยลิน”
“เดี๋ยวก็รู้เอง ได้เบอร์เกอร์แล้ว เรากลับไปที่โต๊ะกันเถอะ อ้าว!”
คำอุทานสุดท้ายเกิดเพราะลินาเหลือบไปเห็นว่าที่โต๊ะอาหารซึ่งเอกตะวันนั่งรออยู่นั้น มีสาวสวยในชุดเดรสผ้ายืดสีแดงเพลิงสั้นจุ๊ดจู๋โชว์เรียวขาขาวนั่งอยู่เคียงข้างเขา พร้อมกอดต้นแขนอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่มไว้แน่น ใครเห็นเป็นต้องรู้ว่าเจ้าหล่อนกำลังประกาศกร้าวให้โลกรู้ว่า...ผู้ชายคนนี้เป็นของฉัน!
“เอาไงดีลิน ฉันว่าเราคงไม่ได้คุยกับอาจารย์แล้วล่ะ ยัยผมบลอนด์นั่นนั่งเบียดซะ แทบจะสิงร่างอาจารย์อยู่แล้ว เราเข้าไปลาเขาดีกว่า โอกาสหน้าค่อยคุยกันเหอะ”
ยังไม่ทันจะเดินถึงโต๊ะดี เสียงแหลมของสาวที่ทำตัวเป็นปลิงตัวซีดเกาะอาจารย์หนุ่มอยู่ก็ดังลั่นขึ้นมา
“เธอสองคนสำคัญยังไง ทำไมธวันต้องมานั่งคุยนอกเวลาด้วย”
สำเนียงอังกฤษแปร่งๆ ของหญิงสาวบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงเป็นชาวดัตช์ที่ไม่สันทัดภาษาอังกฤษสักเท่าไร ดังนั้นสองสาวชาวไทยที่พูดอังกฤษคล่องปร๋อจึงพร้อมต่อกรด้วยภาษาและสำเนียงที่แทบจะสมบูรณ์แบบไม่แพ้เจ้าของภาษา
“อ๋อ สำคัญมากสิ เราสองคนเป็นสาวไทย เป็นคนบ้านเดียวกัน อาจารย์ก็เลยเอ็นดูเป็นพิเศษ”
จันทร์กันยาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการ ‘ผีผลัก’ นี่เกิดขึ้นได้อย่างไร จู่ๆ หล่อนก็หมั่นไส้ยายชุดแดงนี่ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลจนหลุดคำเหล่านั้นออกไป มาคิดดูดีๆ นอกจากเป็นเพราะวันแดงเดือดที่หล่อนมักจะถูกฮอร์โมนครอบงำแล้ว สาเหตุใหญ่คือแววตาเหยียดๆ ที่ยัยนั่นส่งมาให้สาวเอเชียหัวดำอย่างพวกหล่อนนั่นแหละ ทำให้ต้องแสดงตนเสียหน่อยว่ามีความสำคัญยิ่งยวดต่อเอกตะวัน ทั้งที่ความจริงมันตรงกันข้าม
“รู้จักกันไว้สิชาร์รอน นี่คือนักศึกษาที่ผมสอนอยู่ เธอชื่ออะไรกันบ้าง บอกคุณชาร์รอนไปสิ” เอกตะวันแทรกขึ้นมา
“ฉันชื่อจันทร์กันยา”
“ฉันชื่อลินา”
จันทร์กันยาอดขำในใจไม่ได้ อาจารย์เอกตะวันนี่ก็ใช่ย่อย หลอกถามชื่อกันเห็นๆ เขาเองก็ใช่จะรู้จักพวกหล่อนเสียหน่อย แต่จำต้องตามน้ำ เหมือนว่าพอจะสนิทกันบ้างจึงได้ตามสองสาวมาถึงโรงอาหาร
“เราสองคนว่าจะขอตัวก่อนค่ะอาจารย์ ไม่อยากรบกวนเวลา”
เพื่อเป็นการให้เกียรติสาวผมบลอนด์ที่ไม่รู้ภาษาไทย จันทร์กันยาจึงคุยกับชายหนุ่มด้วยภาษาอังกฤษ
“จริงค่ะ ลินขอตัวก่อนนะคะ มีอะไรค่อยว่ากันวันหลัง” ลินารีบสนับสนุน
“แสดงว่าจะไล่ให้ผมไปจากโต๊ะนี้ แล้วคุณก็นั่งกินกันสองคนเหรอ”
“ใช่ค่ะ วันหลังค่อยคุยกันดีกว่า วันนี้อาจารย์คงมีธุระสำคัญกับคุณชาร์รอน ไม่งั้นเธอคงไม่มาหาถึงมหาวิทยาลัยขนาดนี้” จันทร์กันยาไม่ยอมหลบสายตาปนดูถูกของสาวชาวตะวันตก ยิ่งกว่านั้น หล่อนยังพยายามชูคอระหงอย่างคนที่ไม่ยอมใครง่ายๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้รู้ว่าสาวเอเชียอย่างหล่อนไม่ใช่ ‘ขี้ๆ’
“ไปกันเถอะค่ะธวัน ฉันคิดถึงคุณจะแย่ นี่ฉันเพิ่งกลับจากสเปน เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องบินไปเดินแบบที่อิตาลีต่อ เวลาเรามีน้อยนะคะ ไปค่ะที่รัก”
ทันทีที่คำพูดโอ้อวดตัวเองจบลง ชาร์รอนก็รั้งร่างใหญ่ให้ลุกขึ้น ตามด้วยการมอบจุมพิตอันดูดดื่มบนเรียวปากของเอกตะวันเพื่อยืนยันความคิดถึง คนในโรงอาหารเริ่มมองมา เพราะความสวยโดดเด่นของสาวผมบลอนด์เจ้าของหุ่นราวกับนางแบบ...ซึ่งหล่อนก็คงจะเป็นนางแบบจริงอย่างที่ป่าวประกาศนั่นแหละ การแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของซึ่งดูล้นๆ ยิ่งเรียกความสนใจได้ดีนัก เอกตะวันจึงจำต้องเดินตามสาวเซ็กซี่ออกนอกโรงอาหารไป
จันทร์กันยาไม่ได้มองผิดแน่ๆ หล่อนเห็นอาจารย์หนุ่มหันกลับมาส่งสายตาคล้ายจะบอกว่า...
ผมยังมีเรื่องคาใจกับคุณอยู่นะ อย่าลืม!
ลงให้อ่านทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์นะคะ
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ค. 2565, 11:41:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ค. 2565, 11:41:47 น.
จำนวนการเข้าชม : 269
<< บทที่ 1 (50%) | บทที่ 2 (50%) >> |