กรงตะวัน: ดาริยา (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
ความรักแสนงดงามก่อเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศชวนฝัน ในดินแดนแห่งทิวลิป ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์
ใครจะคาดคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 'เอกตะวัน' อาจารย์หนุ่มลูกครึ่งไทย-ดัตช์ และ 'จันทร์กันยา' ลูกศิษย์สาวชาวไทยอันน่าประทับใจจะกลับกลายจากหวานเป็นขม เพราะปมแค้น ซึ่งทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตตามมามากมาย
‘กรง’ ที่ชายหนุ่มพยายามกักขังเธอไว้ในแดนทิวลิปนั้น แม้เขาจะมุ่งมั่นให้เธอทุกข์ทรมาน แต่ทำไมเขากลับทุกข์ทรมานมากกว่า
หรือ ‘กรงแค้น’ ที่เขาสร้างขึ้นแท้จริงแล้วมันคือ ‘กรงรัก’ กักขังผูกมัดหัวใจสองดวงเข้าด้วยกันจนดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ดาริยา" นักเขียนเจ้าของผลงานเรื่อง "ทะเลลวง" ที่เคยเป็นละครทางช่อง 7 มาแล้ว กลับมาครั้งนี้ ดาริยานำนิยายโรแมนติก ดราม่ามาให้อ่านกันค่ะ และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60% ของเรื่องนะคะ
ความรักแสนงดงามก่อเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศชวนฝัน ในดินแดนแห่งทิวลิป ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์
ใครจะคาดคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 'เอกตะวัน' อาจารย์หนุ่มลูกครึ่งไทย-ดัตช์ และ 'จันทร์กันยา' ลูกศิษย์สาวชาวไทยอันน่าประทับใจจะกลับกลายจากหวานเป็นขม เพราะปมแค้น ซึ่งทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตตามมามากมาย
‘กรง’ ที่ชายหนุ่มพยายามกักขังเธอไว้ในแดนทิวลิปนั้น แม้เขาจะมุ่งมั่นให้เธอทุกข์ทรมาน แต่ทำไมเขากลับทุกข์ทรมานมากกว่า
หรือ ‘กรงแค้น’ ที่เขาสร้างขึ้นแท้จริงแล้วมันคือ ‘กรงรัก’ กักขังผูกมัดหัวใจสองดวงเข้าด้วยกันจนดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ดาริยา" นักเขียนเจ้าของผลงานเรื่อง "ทะเลลวง" ที่เคยเป็นละครทางช่อง 7 มาแล้ว กลับมาครั้งนี้ ดาริยานำนิยายโรแมนติก ดราม่ามาให้อ่านกันค่ะ และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60% ของเรื่องนะคะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 3 (50%)
แทนที่เอกตะวันจะรีบขับตรงไปยังหอพัก เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะออกรถเสียที จันทร์กันยาเริ่มใจไม่ดี หล่อนขยับตัวออกห่างจนร่างเล็กอยู่ชิดประตูรถ แก้มนวลแทบจะแนบกับกระจกอยู่แล้ว
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ”
“...”
ไม่มีคำตอบจากหญิงสาวที่มีความผิดติดตัว เอกตะวันไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนดื้อขนาดนี้มาก่อน เพราะเอ็นดูเห็นว่าเป็นลูกศิษย์หรอกนะเขาถึงต้องจัดการ
“คุณรู้ไหมว่าการนินทาคนอื่น โดยเฉพาะครูบาอาจารย์นั้นไม่เหมาะสม คุณต้องระมัดระวังกิริยาและคำพูดมากกว่านี้” คนอยู่หลังพวงมาลัยหันมาบอกกับจันทร์กันยาด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ หวังว่าหล่อนจะเข้าใจในความหวังดี
“ใครจะไปรู้ว่าคุณฟังภาษาไทยออก” เธอยังอ้อมแอ้มเถียงเขาทั้งไม่ยอมสบตา ท่าทางเหมือนเด็กแสนดื้อรั้นจอมเฉไฉ ทำเอาเอกตะวันคันไม้คันมือ อยากจับไหล่บอบบางให้หันมาคุยกันดีๆ เสียที
“จะฟังออกหรือไม่ออก คุณก็ไม่ควรทำ ถ้าเป็นอาจารย์คนอื่นมาได้ยินคุณกระแนะกระแหนแบบนี้ เขาจะไม่ชอบใจเอาได้ ถึงที่นี่จะพิธีรีตองน้อยกว่าเมืองไทย แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ ก็ไม่มีใครอยากฟังคนอื่นนินทา ทั้งที่คนนินทายังไม่รู้เลยว่าเรื่องที่พูดนั้น จริงหรือไม่จริง”
อันที่จริงจันทร์กันยาเข้าใจที่เขาพูด และออกจะเห็นด้วยว่าถ้าเป็นอาจารย์คนอื่น อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ หล่อนควรระวังตัว แต่สิ่งที่พูดออกไปกลับเป็น...
“คุณไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันหรอก”
“มันไม่ใช่เรื่องของคุณ แต่เป็นเรื่องของผม ผมนะที่ถูกคุณนินทาดูถูกสารพัด ทั้งที่วันนั้นผมตั้งใจมาสอนเต็มร้อย ผมทุ่มเทกับงานอาจารย์พิเศษนี้มากอย่างที่คุณนึกไม่ถึงเลยล่ะ ผมชอบสอน คุณรู้ไว้ด้วย”
หญิงสาวยังคงชูคออย่างไม่ยอมแพ้และไม่มีทีท่าจะอ่อนข้อให้ เอกตะวันเห็นแล้วอดหงุดหงิดไม่ได้ นี่ถ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก เขาคงจับตีก้นเสียให้เข็ด และให้ตายเถอะ! อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าอาการ ‘ชอบสอน’ ในแง่มุมอื่นเกิดกำเริบขึ้นมา จันทร์กันยาทำให้เขาลืมตัวไปชั่วขณะว่าตนเองคืออาจารย์ ส่วนผู้หญิงตรงหน้ามีสถานะเป็นลูกศิษย์ ถึงเขาจะเป็นแค่อาจารย์พิเศษก็เถอะ หล่อนทำให้เขานึกอยากสอนอะไรบางอย่างให้สาวไทยร่างเล็กคนนี้ได้รู้ซึ้งเสียบ้าง ว่าริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนที่เอาแต่เถียงฉอดๆ นั้นยั่วยวนใจชายขนาดไหน ที่สำคัญเอกตะวันอยากสอนให้จันทร์กันยาตระหนักว่ามีบางคนที่หล่อนต้องสยบยอม ต้องเชื่อฟัง ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขาคือสัญชาตญาณของชายชาตรีล้วนๆ มันเกิดเมื่อถูกท้าทายจากหญิงสาวที่ทำให้เขารู้สึก ‘มันเขี้ยว’ ทุกคราวที่เจอกัน
แต่ก็นั่นแหละ...เป็นเพียงความคิดในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อกลับมามีสติ เอกตะวันก็ตระหนักได้ว่าไม่สมควร
“ฉัน...ขอโทษ”
อาจารย์หนุ่มแทบไม่เชื่อหูว่า ลูกศิษย์สาวชาวเอเชียร่างบอบบางที่นั่งก้มหน้าอยู่จะเอ่ยคำนี้ออกมาอย่างง่ายดาย และมันทำให้เขาผ่อนคลายลงทันที เอกตะวันปรับอารมณ์แล้วส่งยิ้มให้หล่อน
“ดีมาก คุณน่ารักกว่าที่คิดนะเนี่ย”
ชายหนุ่มเผลอยกมือขึ้นจะลูบศีรษะจันทร์กันยาด้วยความเอ็นดู แต่นึกขึ้นได้ว่าการแสดงออกระหว่างคนต่างเพศของคนไทยน้อยกว่าชาวดัตช์มาก เขาจึงหดมือกลับ
“คุณเข้าใจก็ดีแล้ว ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก งั้นเรากลับหอกันดีกว่า คุณจะได้ไปพักผ่อน”
สาวผมยาวดวงตาดำขลับไม่ตอบ เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างรถ ท่าทางจะไม่สบอารมณ์ที่โดนตำหนิ เถียงไม่ขึ้น แล้วยังต้องยอมเอ่ยปาก ขอโทษทั้งที่ไม่เต็มใจอีกต่างหาก
“เจ็บแผลมากไหม” เอกตะวันตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง
“เรื่องของฉัน”
“คุณว่าอะไรนะ!”
คำตอบของจันทร์กันยาทำเอาอาจารย์หนุ่มถึงกับอึ้ง สาวน้อยคนนี้ท่าทางจะแสบน่าดู เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่มียอมใครง่ายๆ อีกด้วย ลึกๆ แล้วหล่อนไม่ได้ยอมจำนนต่อเขาสักนิด
“คุณไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ถ้าจะรับผิดชอบแทนแฟนคุณ แค่พาฉันไปห้องพยาบาลเมื่อเช้าก็ถือว่าหายกันแล้ว มันเป็นอุบัติเหตุ และฉันก็มีส่วนผิดที่มัวแต่มอง...”
“มองอะไร”
เอกตะวันแกล้งถามทั้งที่ก็รู้คำตอบดี ซึ่งได้ผล...แก้มนวลเจือสีแดงระเรื่อทันที ในเมื่อหล่อนพูดไม่ออก เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยต่อ
“ที่คุณเห็นน่ะ เป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ คุณคงไม่รู้ว่าเนเธอร์แลนด์จัดเป็นดินแดนแห่งอิสรเสรี แม้แต่กัญชาเขายังยอมให้สูบ กะอีแค่จูบลากัน มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก”
จริงด้วย... แม้จะคิดอย่างนั้น แต่จันทร์กันยาก็ยังไม่ยอมรับความจริง จึงเอ่ยออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา
“แต่สำหรับคนไทยอย่างฉันมันไม่ธรรมดานี่นา ฉันก็แค่...ตกใจนิดหน่อย อายแทนน่ะ”
“อายทำไม คนเราสามารถแสดงความรักได้เต็มที่ ความรักเป็นสิ่งสวยงาม”
“ใช่ แต่ต้องไม่ประเจิดประเจ้อไง”
“คุณว่าอะไรนะ”
“บางคำคุณก็ไม่ต้องรู้หรอก แหม! แปลกนะเนี่ย เห็นพูดไทยคล่อง ไม่นึกว่าจะยังมีศัพท์ที่คุณไม่รู้อยู่เหมือนกัน” หญิงสาวปรามาสแล้วต่อด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ฟังดูก็รู้ว่าลอบสะใจอยู่ลึกๆ
“ผมอยู่เมืองไทยถึงแค่หกขวบเอง คำศัพท์บางคำยอมรับว่าไม่รู้”
“งั้นแย่หน่อยนะคะ ฉันน่ะคล่องภาษาไทยมากเลย ขอบอก ถึงจะเรียนสายวิทย์ แต่ฉันเคยได้คะแนนเต็มภาษาไทยนะ อย่างคำว่า ‘ประเจิดประเจ้อ’ เนี่ย ตามพจนานุกรมเป๊ะๆ แปลว่า การกระทำที่ถือกันว่าน่าละอายหรือไม่บังควรให้คนอื่นเห็น”
แสบจริงๆ แม่สาวน้อย! หลอกด่าเขาได้อย่างหน้าระรื่น เอกตะวันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากหมายมาดอยู่ในใจ
จันทร์กันยา...คุณต้องได้โดนผมเอาคืนเร็วๆ นี้...แน่นอน!
***************************
ที่จอดรถของหอพักนักศึกษาแม้จะมีไม่มาก แต่ก็ไม่เต็ม เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ใช้จักรยานกัน เอกตะวันลงจากรถแล้วตั้งใจจะเดินไปเปิดประตูให้หญิงสาว หากยังไม่ทันง้างมือจับ สาวในรถก็เปิดประตูผลัวะออกมาจนชนต้นขาเขาอย่างแรง
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ ฉันไม่นึกว่าคุณจะมาเปิดประตูให้ มันไม่ชินน่ะ” แม้ปากจะเอ่ยขอโทษ แต่เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อย
“งั้นวันหลังก็รู้ไว้ว่าคุณควรจะรอนิดหนึ่ง เพราะสุภาพบุรุษจะต้องมาเปิดให้ตามหน้าที่ ยิ่งถ้าคุณขาเจ็บอย่างนี้ กรุณารอสักครู่”
“เทศน์อีกละ” เสียงบ่นพึมพำนั้นเอกตะวันคร้านจะทำความเข้าใจ การอยู่กับสาวปากไวและยียวนกวนอารมณ์ บางทีอาจจะต้องปล่อยผ่านในประโยคที่ฟังไม่ออกบ้าง เพื่อความสบายใจของเขาเอง!
“ลงมาได้แล้ว” เขาไม่รอให้หล่อนปฏิเสธ มือใหญ่จับที่ต้นแขนบางข้างหนึ่งไว้ อีกข้างประคองบ่า ค่อยๆ พาร่างเล็กออกมาจากรถ
“ฉันเดินเองได้” ริมฝีปากเล็กยังคงเอื้อนเอ่ยบอกปัดการช่วยเหลือจากเขาตลอดเวลา
“คุณคงไม่อยากล้มซ้ำแผลเดิมใช่ไหม จะเดินไปกับผมดีๆ หรือจะให้ผมอุ้มไป ตัวจิ๋วขนาดนี้ ผมอุ้มได้สบายเลยนะ” เอกตะวันปล่อยหมัดเด็ด
“ไม่เอา!”
เสียงปฏิเสธสูงปรี๊ดทำให้ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ นึกอยากแกล้งช้อนร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนเสียจริงๆ
อาจารย์หนุ่มจงใจส่งสายตาดุจนทำให้นักศึกษาปริญญาโทสาวยอมเดินตามการประคองของเขาไปจนถึงหน้าลิฟต์
“ส่งแค่นี้ก็พอค่ะ ขอบคุณมากนะคะ...อาจารย์”
เอกตะวันรู้เจตนาของหล่อนดี ว่าเหตุใดจึงย้ำคำว่า ‘อาจารย์’ กับเขาเสียชัดถ้อยชัดคำขนาดนั้น นี่คงกลัวเขาตามขึ้นไปบนห้องแล้วล่วงเกินเอาละสิ จินตนาการล้ำเลิศเหลือเกิน แค่เห็นจูบลาชาร์รอนเท่านั้น สาวเอเชียผู้ไม่คุ้นเคยถึงกับคิดว่าเขาเป็นไอ้หนุ่มบ้ากามไปแล้วหรือไร
“แน่ใจนะ ว่าไปเองได้”
“แน่นอนค่ะ ขอบคุณนะคะ ลิฟต์มาพอดี”
แล้วจันทร์กันยาก็ผลุบเข้าไปในลิฟต์แคบๆ นั้นพร้อมกดปิดอย่างรวดเร็ว ราวกับเห็นเขาเป็นโจรหื่นอย่างไรอย่างนั้น เอกตะวันหันหลัง กำลังจะออกจากอาคารไปก็พบนักศึกษาหนุ่มผมยาวระต้นคอเดินตรงมาหา เขาจึงบอก
“ฝากดูแลจันทร์กันยาด้วยนะ เธอมีแผลหลายที่ มีอะไรก็โทร.หาผมได้ตลอด นี่นามบัตรผม”
“ครับอาจารย์ ขอบคุณครับ”
ปราชญ์รับกระดาษแผ่นเล็กไปใส่ในกระเป๋าเสื้อแล้วขึ้นลิฟต์ตามไปอีกคน
เมื่อมาถึงรถ เอกตะวันก็ถอนใจยาว รำพึงเบาๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เพื่อนชายเธอคงดูแลประคบประหงมอย่างดีเยี่ยม เลิกสนใจผู้หญิงคนนั้นเสียทีเถอะ นายตะวัน”
ลงให้อ่านทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์นะคะ
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ”
“...”
ไม่มีคำตอบจากหญิงสาวที่มีความผิดติดตัว เอกตะวันไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนดื้อขนาดนี้มาก่อน เพราะเอ็นดูเห็นว่าเป็นลูกศิษย์หรอกนะเขาถึงต้องจัดการ
“คุณรู้ไหมว่าการนินทาคนอื่น โดยเฉพาะครูบาอาจารย์นั้นไม่เหมาะสม คุณต้องระมัดระวังกิริยาและคำพูดมากกว่านี้” คนอยู่หลังพวงมาลัยหันมาบอกกับจันทร์กันยาด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ หวังว่าหล่อนจะเข้าใจในความหวังดี
“ใครจะไปรู้ว่าคุณฟังภาษาไทยออก” เธอยังอ้อมแอ้มเถียงเขาทั้งไม่ยอมสบตา ท่าทางเหมือนเด็กแสนดื้อรั้นจอมเฉไฉ ทำเอาเอกตะวันคันไม้คันมือ อยากจับไหล่บอบบางให้หันมาคุยกันดีๆ เสียที
“จะฟังออกหรือไม่ออก คุณก็ไม่ควรทำ ถ้าเป็นอาจารย์คนอื่นมาได้ยินคุณกระแนะกระแหนแบบนี้ เขาจะไม่ชอบใจเอาได้ ถึงที่นี่จะพิธีรีตองน้อยกว่าเมืองไทย แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ ก็ไม่มีใครอยากฟังคนอื่นนินทา ทั้งที่คนนินทายังไม่รู้เลยว่าเรื่องที่พูดนั้น จริงหรือไม่จริง”
อันที่จริงจันทร์กันยาเข้าใจที่เขาพูด และออกจะเห็นด้วยว่าถ้าเป็นอาจารย์คนอื่น อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ หล่อนควรระวังตัว แต่สิ่งที่พูดออกไปกลับเป็น...
“คุณไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันหรอก”
“มันไม่ใช่เรื่องของคุณ แต่เป็นเรื่องของผม ผมนะที่ถูกคุณนินทาดูถูกสารพัด ทั้งที่วันนั้นผมตั้งใจมาสอนเต็มร้อย ผมทุ่มเทกับงานอาจารย์พิเศษนี้มากอย่างที่คุณนึกไม่ถึงเลยล่ะ ผมชอบสอน คุณรู้ไว้ด้วย”
หญิงสาวยังคงชูคออย่างไม่ยอมแพ้และไม่มีทีท่าจะอ่อนข้อให้ เอกตะวันเห็นแล้วอดหงุดหงิดไม่ได้ นี่ถ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก เขาคงจับตีก้นเสียให้เข็ด และให้ตายเถอะ! อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าอาการ ‘ชอบสอน’ ในแง่มุมอื่นเกิดกำเริบขึ้นมา จันทร์กันยาทำให้เขาลืมตัวไปชั่วขณะว่าตนเองคืออาจารย์ ส่วนผู้หญิงตรงหน้ามีสถานะเป็นลูกศิษย์ ถึงเขาจะเป็นแค่อาจารย์พิเศษก็เถอะ หล่อนทำให้เขานึกอยากสอนอะไรบางอย่างให้สาวไทยร่างเล็กคนนี้ได้รู้ซึ้งเสียบ้าง ว่าริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนที่เอาแต่เถียงฉอดๆ นั้นยั่วยวนใจชายขนาดไหน ที่สำคัญเอกตะวันอยากสอนให้จันทร์กันยาตระหนักว่ามีบางคนที่หล่อนต้องสยบยอม ต้องเชื่อฟัง ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขาคือสัญชาตญาณของชายชาตรีล้วนๆ มันเกิดเมื่อถูกท้าทายจากหญิงสาวที่ทำให้เขารู้สึก ‘มันเขี้ยว’ ทุกคราวที่เจอกัน
แต่ก็นั่นแหละ...เป็นเพียงความคิดในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อกลับมามีสติ เอกตะวันก็ตระหนักได้ว่าไม่สมควร
“ฉัน...ขอโทษ”
อาจารย์หนุ่มแทบไม่เชื่อหูว่า ลูกศิษย์สาวชาวเอเชียร่างบอบบางที่นั่งก้มหน้าอยู่จะเอ่ยคำนี้ออกมาอย่างง่ายดาย และมันทำให้เขาผ่อนคลายลงทันที เอกตะวันปรับอารมณ์แล้วส่งยิ้มให้หล่อน
“ดีมาก คุณน่ารักกว่าที่คิดนะเนี่ย”
ชายหนุ่มเผลอยกมือขึ้นจะลูบศีรษะจันทร์กันยาด้วยความเอ็นดู แต่นึกขึ้นได้ว่าการแสดงออกระหว่างคนต่างเพศของคนไทยน้อยกว่าชาวดัตช์มาก เขาจึงหดมือกลับ
“คุณเข้าใจก็ดีแล้ว ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก งั้นเรากลับหอกันดีกว่า คุณจะได้ไปพักผ่อน”
สาวผมยาวดวงตาดำขลับไม่ตอบ เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างรถ ท่าทางจะไม่สบอารมณ์ที่โดนตำหนิ เถียงไม่ขึ้น แล้วยังต้องยอมเอ่ยปาก ขอโทษทั้งที่ไม่เต็มใจอีกต่างหาก
“เจ็บแผลมากไหม” เอกตะวันตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง
“เรื่องของฉัน”
“คุณว่าอะไรนะ!”
คำตอบของจันทร์กันยาทำเอาอาจารย์หนุ่มถึงกับอึ้ง สาวน้อยคนนี้ท่าทางจะแสบน่าดู เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่มียอมใครง่ายๆ อีกด้วย ลึกๆ แล้วหล่อนไม่ได้ยอมจำนนต่อเขาสักนิด
“คุณไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ถ้าจะรับผิดชอบแทนแฟนคุณ แค่พาฉันไปห้องพยาบาลเมื่อเช้าก็ถือว่าหายกันแล้ว มันเป็นอุบัติเหตุ และฉันก็มีส่วนผิดที่มัวแต่มอง...”
“มองอะไร”
เอกตะวันแกล้งถามทั้งที่ก็รู้คำตอบดี ซึ่งได้ผล...แก้มนวลเจือสีแดงระเรื่อทันที ในเมื่อหล่อนพูดไม่ออก เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยต่อ
“ที่คุณเห็นน่ะ เป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ คุณคงไม่รู้ว่าเนเธอร์แลนด์จัดเป็นดินแดนแห่งอิสรเสรี แม้แต่กัญชาเขายังยอมให้สูบ กะอีแค่จูบลากัน มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก”
จริงด้วย... แม้จะคิดอย่างนั้น แต่จันทร์กันยาก็ยังไม่ยอมรับความจริง จึงเอ่ยออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา
“แต่สำหรับคนไทยอย่างฉันมันไม่ธรรมดานี่นา ฉันก็แค่...ตกใจนิดหน่อย อายแทนน่ะ”
“อายทำไม คนเราสามารถแสดงความรักได้เต็มที่ ความรักเป็นสิ่งสวยงาม”
“ใช่ แต่ต้องไม่ประเจิดประเจ้อไง”
“คุณว่าอะไรนะ”
“บางคำคุณก็ไม่ต้องรู้หรอก แหม! แปลกนะเนี่ย เห็นพูดไทยคล่อง ไม่นึกว่าจะยังมีศัพท์ที่คุณไม่รู้อยู่เหมือนกัน” หญิงสาวปรามาสแล้วต่อด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ฟังดูก็รู้ว่าลอบสะใจอยู่ลึกๆ
“ผมอยู่เมืองไทยถึงแค่หกขวบเอง คำศัพท์บางคำยอมรับว่าไม่รู้”
“งั้นแย่หน่อยนะคะ ฉันน่ะคล่องภาษาไทยมากเลย ขอบอก ถึงจะเรียนสายวิทย์ แต่ฉันเคยได้คะแนนเต็มภาษาไทยนะ อย่างคำว่า ‘ประเจิดประเจ้อ’ เนี่ย ตามพจนานุกรมเป๊ะๆ แปลว่า การกระทำที่ถือกันว่าน่าละอายหรือไม่บังควรให้คนอื่นเห็น”
แสบจริงๆ แม่สาวน้อย! หลอกด่าเขาได้อย่างหน้าระรื่น เอกตะวันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากหมายมาดอยู่ในใจ
จันทร์กันยา...คุณต้องได้โดนผมเอาคืนเร็วๆ นี้...แน่นอน!
***************************
ที่จอดรถของหอพักนักศึกษาแม้จะมีไม่มาก แต่ก็ไม่เต็ม เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ใช้จักรยานกัน เอกตะวันลงจากรถแล้วตั้งใจจะเดินไปเปิดประตูให้หญิงสาว หากยังไม่ทันง้างมือจับ สาวในรถก็เปิดประตูผลัวะออกมาจนชนต้นขาเขาอย่างแรง
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ ฉันไม่นึกว่าคุณจะมาเปิดประตูให้ มันไม่ชินน่ะ” แม้ปากจะเอ่ยขอโทษ แต่เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อย
“งั้นวันหลังก็รู้ไว้ว่าคุณควรจะรอนิดหนึ่ง เพราะสุภาพบุรุษจะต้องมาเปิดให้ตามหน้าที่ ยิ่งถ้าคุณขาเจ็บอย่างนี้ กรุณารอสักครู่”
“เทศน์อีกละ” เสียงบ่นพึมพำนั้นเอกตะวันคร้านจะทำความเข้าใจ การอยู่กับสาวปากไวและยียวนกวนอารมณ์ บางทีอาจจะต้องปล่อยผ่านในประโยคที่ฟังไม่ออกบ้าง เพื่อความสบายใจของเขาเอง!
“ลงมาได้แล้ว” เขาไม่รอให้หล่อนปฏิเสธ มือใหญ่จับที่ต้นแขนบางข้างหนึ่งไว้ อีกข้างประคองบ่า ค่อยๆ พาร่างเล็กออกมาจากรถ
“ฉันเดินเองได้” ริมฝีปากเล็กยังคงเอื้อนเอ่ยบอกปัดการช่วยเหลือจากเขาตลอดเวลา
“คุณคงไม่อยากล้มซ้ำแผลเดิมใช่ไหม จะเดินไปกับผมดีๆ หรือจะให้ผมอุ้มไป ตัวจิ๋วขนาดนี้ ผมอุ้มได้สบายเลยนะ” เอกตะวันปล่อยหมัดเด็ด
“ไม่เอา!”
เสียงปฏิเสธสูงปรี๊ดทำให้ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ นึกอยากแกล้งช้อนร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนเสียจริงๆ
อาจารย์หนุ่มจงใจส่งสายตาดุจนทำให้นักศึกษาปริญญาโทสาวยอมเดินตามการประคองของเขาไปจนถึงหน้าลิฟต์
“ส่งแค่นี้ก็พอค่ะ ขอบคุณมากนะคะ...อาจารย์”
เอกตะวันรู้เจตนาของหล่อนดี ว่าเหตุใดจึงย้ำคำว่า ‘อาจารย์’ กับเขาเสียชัดถ้อยชัดคำขนาดนั้น นี่คงกลัวเขาตามขึ้นไปบนห้องแล้วล่วงเกินเอาละสิ จินตนาการล้ำเลิศเหลือเกิน แค่เห็นจูบลาชาร์รอนเท่านั้น สาวเอเชียผู้ไม่คุ้นเคยถึงกับคิดว่าเขาเป็นไอ้หนุ่มบ้ากามไปแล้วหรือไร
“แน่ใจนะ ว่าไปเองได้”
“แน่นอนค่ะ ขอบคุณนะคะ ลิฟต์มาพอดี”
แล้วจันทร์กันยาก็ผลุบเข้าไปในลิฟต์แคบๆ นั้นพร้อมกดปิดอย่างรวดเร็ว ราวกับเห็นเขาเป็นโจรหื่นอย่างไรอย่างนั้น เอกตะวันหันหลัง กำลังจะออกจากอาคารไปก็พบนักศึกษาหนุ่มผมยาวระต้นคอเดินตรงมาหา เขาจึงบอก
“ฝากดูแลจันทร์กันยาด้วยนะ เธอมีแผลหลายที่ มีอะไรก็โทร.หาผมได้ตลอด นี่นามบัตรผม”
“ครับอาจารย์ ขอบคุณครับ”
ปราชญ์รับกระดาษแผ่นเล็กไปใส่ในกระเป๋าเสื้อแล้วขึ้นลิฟต์ตามไปอีกคน
เมื่อมาถึงรถ เอกตะวันก็ถอนใจยาว รำพึงเบาๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เพื่อนชายเธอคงดูแลประคบประหงมอย่างดีเยี่ยม เลิกสนใจผู้หญิงคนนั้นเสียทีเถอะ นายตะวัน”
ลงให้อ่านทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์นะคะ
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2565, 19:17:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2565, 19:17:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 219
<< บทที่ 2 (100%) | บทที่ 3 (100%) >> |