กรงตะวัน: ดาริยา (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
ความรักแสนงดงามก่อเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศชวนฝัน ในดินแดนแห่งทิวลิป ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์
ใครจะคาดคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 'เอกตะวัน' อาจารย์หนุ่มลูกครึ่งไทย-ดัตช์ และ 'จันทร์กันยา' ลูกศิษย์สาวชาวไทยอันน่าประทับใจจะกลับกลายจากหวานเป็นขม เพราะปมแค้น ซึ่งทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตตามมามากมาย
‘กรง’ ที่ชายหนุ่มพยายามกักขังเธอไว้ในแดนทิวลิปนั้น แม้เขาจะมุ่งมั่นให้เธอทุกข์ทรมาน แต่ทำไมเขากลับทุกข์ทรมานมากกว่า
หรือ ‘กรงแค้น’ ที่เขาสร้างขึ้นแท้จริงแล้วมันคือ ‘กรงรัก’ กักขังผูกมัดหัวใจสองดวงเข้าด้วยกันจนดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ดาริยา" นักเขียนเจ้าของผลงานเรื่อง "ทะเลลวง" ที่เคยเป็นละครทางช่อง 7 มาแล้ว กลับมาครั้งนี้ ดาริยานำนิยายโรแมนติก ดราม่ามาให้อ่านกันค่ะ และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60% ของเรื่องนะคะ
ความรักแสนงดงามก่อเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศชวนฝัน ในดินแดนแห่งทิวลิป ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์
ใครจะคาดคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 'เอกตะวัน' อาจารย์หนุ่มลูกครึ่งไทย-ดัตช์ และ 'จันทร์กันยา' ลูกศิษย์สาวชาวไทยอันน่าประทับใจจะกลับกลายจากหวานเป็นขม เพราะปมแค้น ซึ่งทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตตามมามากมาย
‘กรง’ ที่ชายหนุ่มพยายามกักขังเธอไว้ในแดนทิวลิปนั้น แม้เขาจะมุ่งมั่นให้เธอทุกข์ทรมาน แต่ทำไมเขากลับทุกข์ทรมานมากกว่า
หรือ ‘กรงแค้น’ ที่เขาสร้างขึ้นแท้จริงแล้วมันคือ ‘กรงรัก’ กักขังผูกมัดหัวใจสองดวงเข้าด้วยกันจนดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ดาริยา" นักเขียนเจ้าของผลงานเรื่อง "ทะเลลวง" ที่เคยเป็นละครทางช่อง 7 มาแล้ว กลับมาครั้งนี้ ดาริยานำนิยายโรแมนติก ดราม่ามาให้อ่านกันค่ะ และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60% ของเรื่องนะคะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 6 (50%)
ทำไมถึงยากเย็นเช่นนี้ เอกตะวันเฝ้าแต่ถามตัวเองด้วยความว้าวุ่นใจ
เขากลายเป็นไอ้หนุ่มไร้ความสามารถไปตั้งแต่เมื่อไร เวลาผ่านไปอีกเป็นเดือน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจันทร์กันยาก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน หญิงสาวเอาแต่หลบหน้าหลบตา จะได้พบหล่อนก็เฉพาะวันที่เขาเข้าไปสอนในมหาวิทยาลัย พอจบคลาส จันทร์กันยาก็ผลุนผลันออกจากห้องไปพร้อมลินา นี่มันอะไรกัน เขาไม่สามารถเอาชนะใจสาวไทยคนนั้นได้จริงๆ หรือ เขามีอะไรน่ารังเกียจนักหนา หล่อนจึงพยายามเหลือเกินที่จะหนี
หรืออันที่จริง หล่อนชอบปราชญ์มากกว่า ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น คนอย่างนายเอกตะวันต้องมาพ่ายแพ้ต่อนักศึกษาหนุ่มผมยาวที่มองกี่ครั้งก็ยังเห็นความมอซออยู่ไม่น้อย
เมื่อครู่หลังสอนเสร็จ เอกตะวันถูกนักศึกษารุมล้อมเช่นเคย แม้เขาจะพยายามส่งสายตาไปยังจันทร์กันยา หรือแม้กระทั่งลินาก็ไม่มีใครยอมหันมามอง สองสาวเอาแต่รีบจ้ำออกไปจากห้อง ราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรคร้ายอย่างไรอย่างนั้น
เอกตะวันไม่ชอบความรู้สึกนี้ จะว่าไปจันทร์กันยาเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้ซึ้งว่าการถูกปฏิเสธกลายๆ เป็นเช่นไร และมันเจ็บปวดกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว
“โอ้ว! โชคดีจังที่คุณธวันเข้าบริษัท มีเอกสารต้องเซ็นด่วน ดิฉันวางไว้บนโต๊ะแล้วนะคะ”
โจลีน เลขานุการสาวใหญ่บอกเจ้านายทันที เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าห้องทำงาน
“เดี๋ยวผมจัดการให้ ตามตารางวันนี้ช่วงเย็นผมไม่มีนัดลูกค้าใช่ไหม”
เอกตะวันถามเพื่อความแน่ใจ วันไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย โจลีนจะพยายามเคลียร์ตารางเขาให้ว่างทั้งวัน ไม่จำเป็นต้องเข้ามาบริษัทยังได้ แต่วันนี้ เพราะเขาถึงขั้นรู้สึกเคว้งคว้างจนไม่รู้จะไปไหนต่อ จึงกลับมาที่ทำงานเพื่อตั้งหลักก่อน
“ไม่มีค่ะ”
“ถ้างั้นช่วยโทร.ไปจองโต๊ะที่ร้าน De Silveren Spiegel ให้ผมหน่อย”
“วันนี้บอสจะไปดินเนอร์กับสาวเหรอคะ! เป็นเพราะคุณเซบาสเตียนไม่อยู่บ้านหลายวันแน่เลย คงเหงามากสิคะเนี่ย” เลขาฯ สาวใหญ่หลิ่วตาล้อ สำหรับโจลีนแล้วเอกตะวันเป็นเจ้านายที่พูดเล่นด้วยได้ เขาไม่ถือสาหรือมีพิธีรีตองเท่าเซบาสเตียนผู้เป็นบิดา โจลีนจึงสนิทสนมกับเจ้านายหนุ่มมากพอสมควร
“ใครบอก ผมไปกินคนเดียว”
“หืม ไม่เชื่อเด็ดขาดค่ะ อย่างคุณธวันไม่มีทางขาดสาวข้างกาย”
“นี่ผมพูดจริง”
“จะให้ดิฉันช่วยประกาศหาคนไปดินเนอร์ด้วยไหมคะ รับรองสาวมาต่อคิวเป็นพรวน”
เอกตะวันไม่อยากบอกว่าสาวอื่นเป็นร้อยคนเขายังไม่ปรารถนาเท่าการได้ดินเนอร์กับจันทร์กันยาเพียงคนเดียว เกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าความหงอยเหงามาเยือนอย่างไม่เคยเป็น แต่ก็นั่นแหละนะ เขาหาเรื่องเอง ไม่ควรปักใจกับสาวไทยคนนั้นขนาดนี้ ไม่สมควรเลยสักนิด
“เอาเป็นว่าจองโต๊ะสำหรับสองคนไว้ก่อน แล้วผมค่อยไปหาคนกินด้วยเอาข้างหน้า”
“ได้ค่ะ ดิฉันจะจัดการให้ด่วนเลย” โจลีนยกหูโทรศัพท์ขึ้นทันทีด้วยความกระฉับกระเฉงตามนิสัย เอกตะวันผละจากมา จู่ๆ ขณะผลักบานประตูเข้าไปในห้องทำงาน เขาก็คิดถึงภาพตนเองนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับจันทร์กันยา รับประทานอาหารค่ำด้วยกันภายใต้แสงเทียนอันโรแมนติก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นจนถึงขั้นอาจเป็นไปไม่ได้เช่นนี้
ชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานที่ทำจากไม้ขัดเงาทำสีอย่างประณีต ให้ความรู้สึกโอ่อ่าน่าเกรงขาม เอกตะวันทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนังนุ่ม คว้าเอกสารที่โจลีนวางไว้มาอ่านและเซ็นชื่อลงไป เสร็จแล้วจึงเอนกายพิงพนัก หลับตาลงเพื่อพักสมอง
หากทันทีที่ภาพในห้องทำงานถูกปิดลง ภาพใบหน้ารูปไข่งดงามน่ารักพร้อมดวงตาสีนิลก็ปรากฏขึ้นแทน
“จันทร์กันยา ผมจะทำยังไงกับคุณดี คุณมีอิทธิพลต่อหัวใจผมมากเกินไปแล้วนะ”
เอกตะวันรำพึงขณะลืมตาขึ้น แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเสื้อ โทร.หาเบอร์ที่ได้มาไม่นาน และยังไม่เคยโทร.ไปเลยสักครั้ง เมื่ออีกฝ่ายรับสาย เขาก็กรอกเสียงทุ้มนุ่มแฝงด้วยการวอนขออย่างจริงจัง
“ผมมีเรื่องจะให้คุณช่วย”
**************************
หลังวางสายจากอาจารย์หนุ่ม ลินาเกิดอาการกระสับกระส่าย ว้าวุ่นใจจนบอกไม่ถูก หล่อนจะทำได้อย่างไร ไม่ง่ายเลยสักนิดกับสิ่งที่เอกตะวันขอ นาทีนั้นพอฟังแล้วหล่อนก็เกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดันตอบตกลงไปโดยไม่กล้าปฏิเสธสักคำอีกแล้ว น่าเจ็บใจตัวเองนัก
“เป็นอะไรของแกลิน เดินวนไปวนมาจนฉันเริ่มเวียนหัวแล้วนะ”
จันทร์กันยาทำเสียงดุ หล่อนกำลังคร่ำเคร่งกับตำราเล่มหนาตรง หน้า ในขณะที่เพื่อนกลับนั่งไม่ติด กระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
“จันทร์...คือว่า...แกรักฉันไหม” ลินายิงคำถามประหลาด
“ฮะ สติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ย ถามแปลกๆ”
เพื่อนสาวที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล หย่อนก้นลงบนโซฟาข้างกัน คว้ามือจันทร์กันยาไปกุม
“เอาตรงๆ เลยนะ ตะกี้อาจารย์เอกตะวันโทร.มาว่ะ”
“อีกแล้วเหรอ! ฉันนึกว่าเขาตัดฉันออกจากรายการสาวที่ต้องล่าแล้วซะอีก เราพยายามชิ่งหนีขนาดนี้ เขาน่าจะรู้ตัวได้แล้วนะ” คนพูดถอนใจยาว
“จันทร์...ฉันว่าอาจารย์คิดจะจริงจังกับแกนะ คนอย่างอาจารย์ ไม่ต้องมาใช้ความพยายามขนาดนี้หรอก ถ้าเขาไม่ได้ชอบจริงๆ น่ะ”
“ฉันกลับคิดต่างนะลิน ฉันว่าเขาแค่อยากเอาชนะ คนไม่เคยถูกใครปฏิเสธ มันก็จะเหมือนโดนท้าทายหน่อยๆ”
“แกเคยปฏิเสธอาจารย์แล้วเหรอ”
“ยังหรอก แต่ถึงไม่พูดตรงๆ เขาก็น่าจะรู้ปะวะแก ฉันตีตัวออกหากซะขนาดนั้น”
“ฉันนึกออกแล้ว ถ้าแกไม่ชอบอาจารย์จริงๆ แกไปปฏิเสธเขาตรงๆ เลยดีไหม เอาแบบซึ่งๆ หน้าไปเลย ฉันเองจะได้ไม่ต้องลำบากใจเวลาเขาขอให้ช่วย ฉันอึดอัดใจนะเนี่ย ไม่ชอบแบบนี้เลย”
“แล้วแกจะให้ฉันไปปฏิเสธเขาตอนไหนมิทราบ”
“ก็ถ้ามีทางได้คุยกับอาจารย์ แกจะไปใช่ไหม” ลินาจับมือเพื่อนพร้อมเขย่าอย่างลืมตัว
“อืม ก็ดีนะ ให้มันจบๆ ไปเลย”
“ถ้างั้นเป็นเย็นนี้เลยดีไหม”
“เย็นนี้!?” จันทร์กันยาถึงขั้นร้องเสียงหลง
“ใช่ ที่ร้านอาหารไง คือ...ตะกี้อาจารย์เอกตะวันเสนอว่าอยากกินข้าวเย็นกับแกสักมื้อ”
“แกนะแก ทำเป็นไม่ปริปากเล่าออกมาให้หมดเปลือกแต่แรกนะยะ อ้อมโลกซะไกลเชียว”
“ก็กลัวโดนแกด่าอะ ฉันอึดอัดใจจะตายอยู่แล้ว อาจารย์ขอร้องให้ช่วยชวนแกไปดินเนอร์กับเขาที่ร้าน De Silveren Spiegel ถ้าแกโอเค เขาจะมารับที่หอตอนหกโมง คือร้านเปิดหกโมงเย็นไงแก ไปถึงคงกำลังพอดี ฉันบอกอาจารย์ว่าปกติแกกินมื้อเย็นเร็ว อาจารย์เลยจะมารับไวหน่อย ไปไวก็ได้กลับไว ไม่มืดค่ำไง” ลินาเกลี้ยกล่อมสุดฤทธิ์
“สรุปแกตกลงนัดให้เสร็จสรรพแล้วเหรอลิน!” จันทร์กันยาถามเสียงสูง
“ก็ไม่เชิงหรอก ฉันบอกอาจารย์ว่าถ้าชวนสำเร็จ จะโทร.ไปคอนเฟิร์ม อีกที”
“อ้อ ดีเนอะ ช่วยซะยังกะเขาเป็นบุพการีของแกงั้นแหละ ถามฉันสักคำไหม”
“ฉันสงสารอาจารย์ แกไม่เห็นเหรอ หลังๆ นี้เขาดูเศร้า มาสอนแบบเนือยไปนิด แล้วก็ขยันสบตาแก แต่แกดันหลบเลี่ยงตลอด ฉันเลยคิดว่าถ้าแกจะปฏิเสธจริงจังก็ควรปฏิเสธตั้งแต่แรก ให้เขารู้ไปเลยว่าอย่ามาเสียเวลา ดีไหมแก อาจารย์จะได้ไปๆ ซะ”
ลินาทำเสียงขึงขัง นึกชมตัวเองอยู่ในใจว่าก็ใช่ย่อย ชักจะโกหกเก่งเหมือนกันนะ นึกถึงคำพูดของตนเองจริงๆ ตอนที่คุยโทรศัพท์กับอาจารย์หนุ่มเมื่อครู่...
‘ได้เลยค่ะอาจารย์ อาจารย์อย่าเพิ่งถอดใจนะคะ ต้องสู้ค่ะ ลินจะช่วยจนสุดความสามารถ ขอแค่อย่างเดียวว่าอาจารย์ต้องจริงใจกับจันทร์นะคะ จันทร์ยังไม่มีประสบการณ์เรื่องพวกนี้ ลินไม่อยากให้เพื่อนลินเสียใจ’
‘ผมรับรองว่าจะดูแลเพื่อนคุณอย่างดี ผมจริงจังมากนะลิน คุณต้องช่วยผม นึกว่าเห็นแก่มนุษยธรรม’
‘โห! ขนาดนั้นเลยเหรอคะ’
‘ใช่ เพราะผมรู้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้ แต่คุณก็ยังใจดีช่วยผม ผมซาบซึ้งในสิ่งที่คุณทำนะ และอยากย้ำว่านี่คือความจริงใจของผู้ชายคนหนึ่ง คือ...ผม-ชอบ-จันทร์กันยา’
คำย้ำหนักแน่นของอาจารย์เอกตะวันที่ว่า ‘ผม-ชอบ-จันทร์กันยา’ นั้นสะท้อนกลับไปกลับมาในหัว ทำเอาลินาใจอ่อน ยอมช่วยเขาอีกครั้ง ทั้งที่มันเสี่ยงมากกับการโดนเพื่อนรักหักคอจิ้มน้ำพริก
“ฉันไปก็ได้ แต่แกต้องไปด้วยนะ” จันทร์กันยาต่อรอง
“อ้าว! นังบ้า แกคงคุยสะดวกหรอกเนอะ ถ้ามีฉันนั่งเจ๋ออยู่ด้วยน่ะ แกไปคนเดียวเหอะ ร้านที่อาจารย์พูดถึงเนี่ย ฉันเคยเสิร์ชเจอตอนหาร้านกินกับกลุ่มเพื่อนคนอื่นๆ อยู่เหมือนกัน ดูแล้วไม่อันตรายเลย เป็นร้านหรูติดอันดับของอัมสเตอร์ดัม ที่จริงเราก็เคยขี่จักรยานผ่านกัน แกคงพอจำได้ ที่ร้านสวยๆ เป็นตึกโบราณสุดคลาสสิก ดูดีมีชาติตระกูลไง อาจารย์คงไม่ทำอะไรบ้าๆ ที่นั่นหรอก นอกจากว่าแกจะไปต่อกับเขาที่อื่นน่ะนะ” ลินาหัวเราะคิก
“ตลกแล้วลิน ฉันไม่เสียสติขนาดจะไปต่อกับเขาแน่ กินเสร็จ ปฏิเสธเสร็จก็กลับเลย”
“โอเค ตามนั้นนะ ฉันโทร.บอกอาจารย์เลยแล้วกัน” ลินารีบสรุป
“อืม” คนตอบมีสีหน้าเจื่อนๆ คล้ายลังเล ลินาจึงต้องรีบโทรศัพท์ไปหาเอกตะวันก่อนที่จันทร์กันยาจะเปลี่ยนใจ
“อาจารย์คะ จันทร์ตอบตกลงแล้วค่ะ มารับหกโมงใช่ไหมคะ”
จันทร์กันยายืนนิ่งฟังเพื่อนพูดต่อ
“ได้ค่ะ เดี๋ยวลินบอกจันทร์ให้ แค่นี้นะคะอาจารย์ ขอบคุณค่ะ”
“แกขอบคุณเขาทำไม เขาสิต้องขอบคุณแกที่ช่วยนัดฉันให้”
“ต้องขอบคุณสิยะ เพราะอาจารย์บอกว่าอีกสักพักจะให้คนของเขาเอาชุดราตรีมาให้แกใส่ไปดินเนอร์ จะได้ไม่อายใครไง”
“โอ๊ย! แล้วแกก็ตอบตกลงเนี่ยนะ เว่อร์แล้ว ใส่ชุดราตรีไปดินเนอร์เหรอ ฉันจะเป็นลม” จันทร์กันยายกมือขึ้นกุมขมับ เริ่มเห็นแล้วว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่
“หูย...ไม่ต้องกลุ้มหรอก เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะกรี๊ดให้สนั่นเลย นี่มันเทพนิยายชัดๆ มาคิดดู แกก็ต้องใส่จริงๆ อะแหละชุดราตรีน่ะ ร้านนั้นหรูติดอันดับ แกคงไม่อยากอายคนทันทีที่ก้าวเข้าไปในร้านหรอกเนอะ หรือจะลองใส่เสื้อยืดกางเกงยีนเข้าไปดูก็ได้นะ”
ลงให้อ่านทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์นะคะ
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
เขากลายเป็นไอ้หนุ่มไร้ความสามารถไปตั้งแต่เมื่อไร เวลาผ่านไปอีกเป็นเดือน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจันทร์กันยาก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน หญิงสาวเอาแต่หลบหน้าหลบตา จะได้พบหล่อนก็เฉพาะวันที่เขาเข้าไปสอนในมหาวิทยาลัย พอจบคลาส จันทร์กันยาก็ผลุนผลันออกจากห้องไปพร้อมลินา นี่มันอะไรกัน เขาไม่สามารถเอาชนะใจสาวไทยคนนั้นได้จริงๆ หรือ เขามีอะไรน่ารังเกียจนักหนา หล่อนจึงพยายามเหลือเกินที่จะหนี
หรืออันที่จริง หล่อนชอบปราชญ์มากกว่า ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น คนอย่างนายเอกตะวันต้องมาพ่ายแพ้ต่อนักศึกษาหนุ่มผมยาวที่มองกี่ครั้งก็ยังเห็นความมอซออยู่ไม่น้อย
เมื่อครู่หลังสอนเสร็จ เอกตะวันถูกนักศึกษารุมล้อมเช่นเคย แม้เขาจะพยายามส่งสายตาไปยังจันทร์กันยา หรือแม้กระทั่งลินาก็ไม่มีใครยอมหันมามอง สองสาวเอาแต่รีบจ้ำออกไปจากห้อง ราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรคร้ายอย่างไรอย่างนั้น
เอกตะวันไม่ชอบความรู้สึกนี้ จะว่าไปจันทร์กันยาเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้ซึ้งว่าการถูกปฏิเสธกลายๆ เป็นเช่นไร และมันเจ็บปวดกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว
“โอ้ว! โชคดีจังที่คุณธวันเข้าบริษัท มีเอกสารต้องเซ็นด่วน ดิฉันวางไว้บนโต๊ะแล้วนะคะ”
โจลีน เลขานุการสาวใหญ่บอกเจ้านายทันที เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าห้องทำงาน
“เดี๋ยวผมจัดการให้ ตามตารางวันนี้ช่วงเย็นผมไม่มีนัดลูกค้าใช่ไหม”
เอกตะวันถามเพื่อความแน่ใจ วันไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย โจลีนจะพยายามเคลียร์ตารางเขาให้ว่างทั้งวัน ไม่จำเป็นต้องเข้ามาบริษัทยังได้ แต่วันนี้ เพราะเขาถึงขั้นรู้สึกเคว้งคว้างจนไม่รู้จะไปไหนต่อ จึงกลับมาที่ทำงานเพื่อตั้งหลักก่อน
“ไม่มีค่ะ”
“ถ้างั้นช่วยโทร.ไปจองโต๊ะที่ร้าน De Silveren Spiegel ให้ผมหน่อย”
“วันนี้บอสจะไปดินเนอร์กับสาวเหรอคะ! เป็นเพราะคุณเซบาสเตียนไม่อยู่บ้านหลายวันแน่เลย คงเหงามากสิคะเนี่ย” เลขาฯ สาวใหญ่หลิ่วตาล้อ สำหรับโจลีนแล้วเอกตะวันเป็นเจ้านายที่พูดเล่นด้วยได้ เขาไม่ถือสาหรือมีพิธีรีตองเท่าเซบาสเตียนผู้เป็นบิดา โจลีนจึงสนิทสนมกับเจ้านายหนุ่มมากพอสมควร
“ใครบอก ผมไปกินคนเดียว”
“หืม ไม่เชื่อเด็ดขาดค่ะ อย่างคุณธวันไม่มีทางขาดสาวข้างกาย”
“นี่ผมพูดจริง”
“จะให้ดิฉันช่วยประกาศหาคนไปดินเนอร์ด้วยไหมคะ รับรองสาวมาต่อคิวเป็นพรวน”
เอกตะวันไม่อยากบอกว่าสาวอื่นเป็นร้อยคนเขายังไม่ปรารถนาเท่าการได้ดินเนอร์กับจันทร์กันยาเพียงคนเดียว เกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าความหงอยเหงามาเยือนอย่างไม่เคยเป็น แต่ก็นั่นแหละนะ เขาหาเรื่องเอง ไม่ควรปักใจกับสาวไทยคนนั้นขนาดนี้ ไม่สมควรเลยสักนิด
“เอาเป็นว่าจองโต๊ะสำหรับสองคนไว้ก่อน แล้วผมค่อยไปหาคนกินด้วยเอาข้างหน้า”
“ได้ค่ะ ดิฉันจะจัดการให้ด่วนเลย” โจลีนยกหูโทรศัพท์ขึ้นทันทีด้วยความกระฉับกระเฉงตามนิสัย เอกตะวันผละจากมา จู่ๆ ขณะผลักบานประตูเข้าไปในห้องทำงาน เขาก็คิดถึงภาพตนเองนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับจันทร์กันยา รับประทานอาหารค่ำด้วยกันภายใต้แสงเทียนอันโรแมนติก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นจนถึงขั้นอาจเป็นไปไม่ได้เช่นนี้
ชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานที่ทำจากไม้ขัดเงาทำสีอย่างประณีต ให้ความรู้สึกโอ่อ่าน่าเกรงขาม เอกตะวันทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนังนุ่ม คว้าเอกสารที่โจลีนวางไว้มาอ่านและเซ็นชื่อลงไป เสร็จแล้วจึงเอนกายพิงพนัก หลับตาลงเพื่อพักสมอง
หากทันทีที่ภาพในห้องทำงานถูกปิดลง ภาพใบหน้ารูปไข่งดงามน่ารักพร้อมดวงตาสีนิลก็ปรากฏขึ้นแทน
“จันทร์กันยา ผมจะทำยังไงกับคุณดี คุณมีอิทธิพลต่อหัวใจผมมากเกินไปแล้วนะ”
เอกตะวันรำพึงขณะลืมตาขึ้น แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเสื้อ โทร.หาเบอร์ที่ได้มาไม่นาน และยังไม่เคยโทร.ไปเลยสักครั้ง เมื่ออีกฝ่ายรับสาย เขาก็กรอกเสียงทุ้มนุ่มแฝงด้วยการวอนขออย่างจริงจัง
“ผมมีเรื่องจะให้คุณช่วย”
**************************
หลังวางสายจากอาจารย์หนุ่ม ลินาเกิดอาการกระสับกระส่าย ว้าวุ่นใจจนบอกไม่ถูก หล่อนจะทำได้อย่างไร ไม่ง่ายเลยสักนิดกับสิ่งที่เอกตะวันขอ นาทีนั้นพอฟังแล้วหล่อนก็เกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดันตอบตกลงไปโดยไม่กล้าปฏิเสธสักคำอีกแล้ว น่าเจ็บใจตัวเองนัก
“เป็นอะไรของแกลิน เดินวนไปวนมาจนฉันเริ่มเวียนหัวแล้วนะ”
จันทร์กันยาทำเสียงดุ หล่อนกำลังคร่ำเคร่งกับตำราเล่มหนาตรง หน้า ในขณะที่เพื่อนกลับนั่งไม่ติด กระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
“จันทร์...คือว่า...แกรักฉันไหม” ลินายิงคำถามประหลาด
“ฮะ สติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ย ถามแปลกๆ”
เพื่อนสาวที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล หย่อนก้นลงบนโซฟาข้างกัน คว้ามือจันทร์กันยาไปกุม
“เอาตรงๆ เลยนะ ตะกี้อาจารย์เอกตะวันโทร.มาว่ะ”
“อีกแล้วเหรอ! ฉันนึกว่าเขาตัดฉันออกจากรายการสาวที่ต้องล่าแล้วซะอีก เราพยายามชิ่งหนีขนาดนี้ เขาน่าจะรู้ตัวได้แล้วนะ” คนพูดถอนใจยาว
“จันทร์...ฉันว่าอาจารย์คิดจะจริงจังกับแกนะ คนอย่างอาจารย์ ไม่ต้องมาใช้ความพยายามขนาดนี้หรอก ถ้าเขาไม่ได้ชอบจริงๆ น่ะ”
“ฉันกลับคิดต่างนะลิน ฉันว่าเขาแค่อยากเอาชนะ คนไม่เคยถูกใครปฏิเสธ มันก็จะเหมือนโดนท้าทายหน่อยๆ”
“แกเคยปฏิเสธอาจารย์แล้วเหรอ”
“ยังหรอก แต่ถึงไม่พูดตรงๆ เขาก็น่าจะรู้ปะวะแก ฉันตีตัวออกหากซะขนาดนั้น”
“ฉันนึกออกแล้ว ถ้าแกไม่ชอบอาจารย์จริงๆ แกไปปฏิเสธเขาตรงๆ เลยดีไหม เอาแบบซึ่งๆ หน้าไปเลย ฉันเองจะได้ไม่ต้องลำบากใจเวลาเขาขอให้ช่วย ฉันอึดอัดใจนะเนี่ย ไม่ชอบแบบนี้เลย”
“แล้วแกจะให้ฉันไปปฏิเสธเขาตอนไหนมิทราบ”
“ก็ถ้ามีทางได้คุยกับอาจารย์ แกจะไปใช่ไหม” ลินาจับมือเพื่อนพร้อมเขย่าอย่างลืมตัว
“อืม ก็ดีนะ ให้มันจบๆ ไปเลย”
“ถ้างั้นเป็นเย็นนี้เลยดีไหม”
“เย็นนี้!?” จันทร์กันยาถึงขั้นร้องเสียงหลง
“ใช่ ที่ร้านอาหารไง คือ...ตะกี้อาจารย์เอกตะวันเสนอว่าอยากกินข้าวเย็นกับแกสักมื้อ”
“แกนะแก ทำเป็นไม่ปริปากเล่าออกมาให้หมดเปลือกแต่แรกนะยะ อ้อมโลกซะไกลเชียว”
“ก็กลัวโดนแกด่าอะ ฉันอึดอัดใจจะตายอยู่แล้ว อาจารย์ขอร้องให้ช่วยชวนแกไปดินเนอร์กับเขาที่ร้าน De Silveren Spiegel ถ้าแกโอเค เขาจะมารับที่หอตอนหกโมง คือร้านเปิดหกโมงเย็นไงแก ไปถึงคงกำลังพอดี ฉันบอกอาจารย์ว่าปกติแกกินมื้อเย็นเร็ว อาจารย์เลยจะมารับไวหน่อย ไปไวก็ได้กลับไว ไม่มืดค่ำไง” ลินาเกลี้ยกล่อมสุดฤทธิ์
“สรุปแกตกลงนัดให้เสร็จสรรพแล้วเหรอลิน!” จันทร์กันยาถามเสียงสูง
“ก็ไม่เชิงหรอก ฉันบอกอาจารย์ว่าถ้าชวนสำเร็จ จะโทร.ไปคอนเฟิร์ม อีกที”
“อ้อ ดีเนอะ ช่วยซะยังกะเขาเป็นบุพการีของแกงั้นแหละ ถามฉันสักคำไหม”
“ฉันสงสารอาจารย์ แกไม่เห็นเหรอ หลังๆ นี้เขาดูเศร้า มาสอนแบบเนือยไปนิด แล้วก็ขยันสบตาแก แต่แกดันหลบเลี่ยงตลอด ฉันเลยคิดว่าถ้าแกจะปฏิเสธจริงจังก็ควรปฏิเสธตั้งแต่แรก ให้เขารู้ไปเลยว่าอย่ามาเสียเวลา ดีไหมแก อาจารย์จะได้ไปๆ ซะ”
ลินาทำเสียงขึงขัง นึกชมตัวเองอยู่ในใจว่าก็ใช่ย่อย ชักจะโกหกเก่งเหมือนกันนะ นึกถึงคำพูดของตนเองจริงๆ ตอนที่คุยโทรศัพท์กับอาจารย์หนุ่มเมื่อครู่...
‘ได้เลยค่ะอาจารย์ อาจารย์อย่าเพิ่งถอดใจนะคะ ต้องสู้ค่ะ ลินจะช่วยจนสุดความสามารถ ขอแค่อย่างเดียวว่าอาจารย์ต้องจริงใจกับจันทร์นะคะ จันทร์ยังไม่มีประสบการณ์เรื่องพวกนี้ ลินไม่อยากให้เพื่อนลินเสียใจ’
‘ผมรับรองว่าจะดูแลเพื่อนคุณอย่างดี ผมจริงจังมากนะลิน คุณต้องช่วยผม นึกว่าเห็นแก่มนุษยธรรม’
‘โห! ขนาดนั้นเลยเหรอคะ’
‘ใช่ เพราะผมรู้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้ แต่คุณก็ยังใจดีช่วยผม ผมซาบซึ้งในสิ่งที่คุณทำนะ และอยากย้ำว่านี่คือความจริงใจของผู้ชายคนหนึ่ง คือ...ผม-ชอบ-จันทร์กันยา’
คำย้ำหนักแน่นของอาจารย์เอกตะวันที่ว่า ‘ผม-ชอบ-จันทร์กันยา’ นั้นสะท้อนกลับไปกลับมาในหัว ทำเอาลินาใจอ่อน ยอมช่วยเขาอีกครั้ง ทั้งที่มันเสี่ยงมากกับการโดนเพื่อนรักหักคอจิ้มน้ำพริก
“ฉันไปก็ได้ แต่แกต้องไปด้วยนะ” จันทร์กันยาต่อรอง
“อ้าว! นังบ้า แกคงคุยสะดวกหรอกเนอะ ถ้ามีฉันนั่งเจ๋ออยู่ด้วยน่ะ แกไปคนเดียวเหอะ ร้านที่อาจารย์พูดถึงเนี่ย ฉันเคยเสิร์ชเจอตอนหาร้านกินกับกลุ่มเพื่อนคนอื่นๆ อยู่เหมือนกัน ดูแล้วไม่อันตรายเลย เป็นร้านหรูติดอันดับของอัมสเตอร์ดัม ที่จริงเราก็เคยขี่จักรยานผ่านกัน แกคงพอจำได้ ที่ร้านสวยๆ เป็นตึกโบราณสุดคลาสสิก ดูดีมีชาติตระกูลไง อาจารย์คงไม่ทำอะไรบ้าๆ ที่นั่นหรอก นอกจากว่าแกจะไปต่อกับเขาที่อื่นน่ะนะ” ลินาหัวเราะคิก
“ตลกแล้วลิน ฉันไม่เสียสติขนาดจะไปต่อกับเขาแน่ กินเสร็จ ปฏิเสธเสร็จก็กลับเลย”
“โอเค ตามนั้นนะ ฉันโทร.บอกอาจารย์เลยแล้วกัน” ลินารีบสรุป
“อืม” คนตอบมีสีหน้าเจื่อนๆ คล้ายลังเล ลินาจึงต้องรีบโทรศัพท์ไปหาเอกตะวันก่อนที่จันทร์กันยาจะเปลี่ยนใจ
“อาจารย์คะ จันทร์ตอบตกลงแล้วค่ะ มารับหกโมงใช่ไหมคะ”
จันทร์กันยายืนนิ่งฟังเพื่อนพูดต่อ
“ได้ค่ะ เดี๋ยวลินบอกจันทร์ให้ แค่นี้นะคะอาจารย์ ขอบคุณค่ะ”
“แกขอบคุณเขาทำไม เขาสิต้องขอบคุณแกที่ช่วยนัดฉันให้”
“ต้องขอบคุณสิยะ เพราะอาจารย์บอกว่าอีกสักพักจะให้คนของเขาเอาชุดราตรีมาให้แกใส่ไปดินเนอร์ จะได้ไม่อายใครไง”
“โอ๊ย! แล้วแกก็ตอบตกลงเนี่ยนะ เว่อร์แล้ว ใส่ชุดราตรีไปดินเนอร์เหรอ ฉันจะเป็นลม” จันทร์กันยายกมือขึ้นกุมขมับ เริ่มเห็นแล้วว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่
“หูย...ไม่ต้องกลุ้มหรอก เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะกรี๊ดให้สนั่นเลย นี่มันเทพนิยายชัดๆ มาคิดดู แกก็ต้องใส่จริงๆ อะแหละชุดราตรีน่ะ ร้านนั้นหรูติดอันดับ แกคงไม่อยากอายคนทันทีที่ก้าวเข้าไปในร้านหรอกเนอะ หรือจะลองใส่เสื้อยืดกางเกงยีนเข้าไปดูก็ได้นะ”
ลงให้อ่านทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์นะคะ
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มิ.ย. 2565, 21:14:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 มิ.ย. 2565, 18:56:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 195
<< บทที่ 5 (100%) | บทที่ 6 (100%) >> |