เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่ 15 รางวัล

บิลกีสสวมชุดเดรสสีดำทั้งชุด เป็นชุดที่มีลูกไม้สีดำประดับตรงริม พร้อมด้วยผ้าคลุมฮิญาบสีดำผืนใหญ่
ทิ้งตัวลู่ไปตามสายลม และไม่ลืมปลอกแขนที่มีระบายตรงขอบเป็นลูกไม้น่ารักๆ ทว่า สมวัย
รองเท้าเธอเลือกสีเดียวเข้ากันกับชุดแบบไม่มีส้น เพื่อสะดวกในการเดินและสบายเท้า ทำให้ส่วนสูงของเธอ
ที่เมื่อเดินควงแขนไปร่วมงานรับรางวัลกับสามีที่ส่วนสูง 185 เซนติเมตรและร่างหนาดูเล็กและบางลงไปมาก

"พี่กีสน่าจะใส่ส้นสูงแบบไอซ์นะคะจะได้ดูสูงขึ้นสง่าขึ้นเวลาเดินควงกับพี่ไนค์
เพราะรายนี้อ่ะสูงไม่รู้จะสูงไปไหน"

ดุจมณีกระซิบกับพี่สะใภ้เมื่อเดินเข้างานมา โดยเดินควงแขนอีกข้างที่เหลือของพี่ชายไว้
ซึ่งเธอในวันนี้สวมชุดสีขาวยกเซต ดีไซน์เดียวกันกับบิลกีสทุกอย่าง ต่างกันเฉพาะสี
กับรองเท้าที่เธอเลือกจะสวมใส่ส้นสูง เพราะส่วนสูงของเธอแค่ 165 เซนติเมตร
ซึ่งเตี้ยกว่าพี่ชายตั้ง 20 เซนติเมตร ในขณะที่พี่สะใภ้ของเธอ
สูงแค่ 160 เซนติเมตรเองแถมยังร่างบางแน่งน้อยอีก

"ไม่ไหวค่ะ พี่กลัวจะลื่นหกล้ม ไม่อยากให้ลูกในท้องต้องมาเสี่ยงด้วย" ขุนพลถึงกับยิ้มตรงมุมปาก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น

"ไม่เป็นไรหรอกไอซ์ นี่พี่ก็นับว่าเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในงานนี้แล้ว
ที่แขนข้างนึงมีหญิงสาวที่กำลังจะขึ้นไปรับรางวัลยึดไว้เป็นเจ้าของ
ส่วนแขนอีกข้างนึงก็ถูกเจ้าหญิงแสนสวยยึดเกาะไว้ไม่ยอมปล่อยเลย"

ดุจมณียิ้มกว้างก่อนจะตีแขนพี่ชายเบาๆแก้เขิน ยิ่งเมื่อเดินเข้าไปในงานก็ยิ่งเห็นสายตามากมายหันมามอง

หวังว่าพวกเขาจะจำเธอและพี่ชายไม่ได้ ไม่งั้นคงอึดอัดแย่ แต่ก็พบว่ามีเสียงซุบซิบตามหลังมาตลอดทางที่เธอและพี่ชายย่างเดินไป

"พี่ไนค์ ไอซ์ว่าไอซ์ไม่น่ามางานนี้เลยค่ะ ไอซ์ไม่ชอบสายตาที่พวกเขามองมาเลย"

"อย่าไปสนใจเลย เรามาร่วมแสดงความยินดีกับพี่กีสเค้า อย่าไปให้ความสำคัญกับอะไรที่ไม่สำคัญ
เราไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อให้ทุกคนประทับใจ จำไว้"

"ใช่ค่ะ ใครจะมองเรายังไงปล่อยเค้าไปค่ะ เราอย่าไปโฟกัสตรงนั้น เพราะเราควรมีความสุข
เรามีสิทธิ์ที่จะได้รับความสุขความสบายใจค่ะ อะไรที่ทำให้เราไม่สบายใจ เราก็พยายามมองข้ามมันไป"

"โห ทั้งพี่ไนค์ทั้งพี่กีสเนี่ย คิดไปในทิศทางเดียวกันเลยนะเนี่ย น่าประทับใจจัง"

แล้วบทสนทนาก็ถูกขัดขึ้นเมื่อมีบุรุษในชุดสูทสากลสีน้ำเงินเข้มเดินมาทางทั้งสามพร้อมรอยยิ้มละมุน

"สวัสดีครับ ผมคีตานะครับ ดีใจที่คุณทั้งสามมาร่วมงานนี้ เชิญด้านหน้าเวทีเลยครับ
งานใกล้จะเริ่มแล้ว" ไม่วายหันสายตาไปยังสาวโสดที่ยึดแขนขุนพลเอาไว้พร้อมรอยยิ้มละมุน
ที่ทำเอาหัวใจน้อยๆของดุจมณีกระตุกขึ้นมาหลังจากที่มันสงบมาเนิ่นนานแล้ว

"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับคุณไอซ์ คุณคงจำผมไม่ได้"

"ไอซ์จำใครยังไม่ค่อยได้หรอกค่ะ จำได้บ้างบางคนเท่านั้น" ดุจมณีตอบเสียงเบา แล้วก้มหน้างุด
ไม่เหมือนดุจมณีที่ชายหนุ่มเคยพบเห็นตามสื่อต่างๆ ที่จะพกพาความมั่นใจไปทุกหนทุกแห่ง
ไม่มีหวาดหวั่นหรือเกรงกลัวผู้ใด ผิดกับดุจมณีตรงหน้าเขาในตอนนี้ ที่ดูจะขี้อายและหวาดระแวง

"ฮึฮื่ม" ขุนพลกระแอมขัดขึ้น ทำให้คีตาหันมาทางเขาแล้วยิ้มพร้อมผายมือเชิญทั้งสามไปยังด้านหน้าเวที
ในทันที

และเมื่อไปยังด้านหน้าเวที บิลกีสก็ได้เจอกับหนุ่มรูปงามนามเพราะที่เป็นผู้ประมูลภาพทั้งหมดของเธอไป
ซึ่งเขาอยู่ในชุดสูทสากลสีดำเข้ม ใบหน้าสว่างมีรัศมีเปล่งออกมาจนโดดเด่นกว่าใครในงานนี้ก็ว่าได้
ด้วยรูปร่างที่ดูดี สง่างาม ท่วงท่าบุคลิกที่ดูเป็นผู้นำ ทำให้หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่า คนแบบนี้
สมบูรณ์แบบขนาดนี้ ทำไมถึงยังครองโสดอยู่จนถึงตอนนี้ เพราะอายุของบุรุษผู้นี้เท่ากับสามีเธอ
ที่ยืนประกบเธอไม่ยอมห่างเลยก็ว่าได้ แถมสีหน้าก็ดูขึงขังดุดันขึ้นมา ผิดกับอีกฝ่ายที่ดูยิ้มแย้ม
มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลา และดูมีอัธยาศัยดี สบายตาสบายใจยามอยู่ใกล้

"ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณบิลกีส เจ้าคีตาน้องชายผมเค้าพูดชื่นชมคุณไว้เยอะจนผมอยากเจอตัวจริง
ดีใจมากๆที่คุณมาร่วมงานในวันนี้ครับ" ชายหนุ่มเปิดยิ้มและบทสนทนาได้น่าฟังยิ่งนัก
น้ำเสียงของเขากังวานและทรงพลัง

"เช่นกันค่ะ" บิลกีสพูดได้แค่นั้นจริงๆ เพราะเธอก็ไม่ได้ถนัดพูดกับคนที่เพิ่งจะเคยรู้จัก
ไม่มีพรสวรรค์ในการพูดจาหรือมีวาทศิลป์เลย ก็เลยเลือกจะพูดให้น้อยๆ เงียบให้มากๆเข้าไว้
แต่รอยยิ้มนั้นไม่เคยขาดจากใบหน้าของหญิงสาว จึงทำให้การพูดน้อยคำของเธอไม่ทำให้อีกฝ่ายอึดอัด

"คุณขุนพล ทวีวรวรรณ คงจำผมได้" หนุ่มใหญ่หันไปคุยกับอีกคนที่ยืนหน้าตึงไม่รับแขกด้วยรอยยิ้ม
ทั้งยังเอ่ยชื่ออีกฝ่ายเสียเต็มยศ

"คนทั้งประเทศต่างก็รู้จักคุณ"

"แต่เราไม่ได้รู้จักกันแบบที่คนทั้งประเทศรู้จักนี่ครับ" ก่อนจะหันไปทางดุจมณี

"โดยเฉพาะน้องสาวคุณ ที่คนทั้งประเทศก็ต่างรู้จัก"

ดุจมณีได้ยินเช่นนั้นก็เบี่ยงตัวหลบไปทางด้านหลังพี่ชายเพียงนิด
ไม่ให้ดูน่ารังเกียจมากนัก แต่เธอไม่ชอบสายตาคู่นั้นที่มองมาที่เธอเลยจริงๆ

"อย่ายุ่งกับเธอ ถ้าคุณยังอยากมีชีวิตต่อไป" ขุนพลคำรามออกมาด้วยแววตาดุดัน บิลกีสกระตุกแขนเขาเบาๆ

"ผมว่าไปนั่งกันดีกว่านะครับ ยืนคุยกันมันเมื่อย อ้อ พี่ฆินทร์ครับ เห็นคุณแม่เรียกหาพี่อยู่"

คีตารีบขัดตาทัพ เพื่อไม่ให้ทั้งสองต้องประจันบานกันในงานนี้ เพราะเค้าก็พอรู้มาบ้างว่าพี่ชายของเขา
กับขุนพลไม่ได้กินเส้นกันเท่าไหร่ แล้วไหนจะดุจมณีอีกที่เคยสร้างวีรกรรมไว้ในอดีตอีกเพียบ

"งั้นผมต้องขอตัวไปทำธุระก่อนนะครับ แล้วยังไงเราค่อยคุยกันนะครับคุณกีส"

หนุ่มใหญ่ผู้คร่ำหวอดในวงการการเมืองไทยกระตุกยิ้มตรงมุมปากเมื่อเอ่ยชื่อบิลกีสอย่างสนิทสนม
ทำเอาขุนพลถึงกับกำหมัดแน่นทีเดียว ก่อนไปก็ยังไม่วายกระตุกหนวดเสือเบาๆอีกว่า

"ถ้าฉันจะยุ่ง นายจะทำอะไรฉันได้หรอไนค์ นายก็รู้ว่าตอนนี้กับในอดีตมันไม่เหมือนกันแล้ว
อย่าสำคัญตนเองผิดสิ นายน่าจะรู้ตัวดีว่าฉันทำอะไรได้มากกว่าคำว่า ยุ่ง"
คีตาคว้าแขนพี่ชายแล้วรีบพาเขาออกไปทันทีเมื่อเริ่มเห็นเค้าลางไม่ดี

"ฉันขอโทษนะคะที่พาคุณกับน้องสาวมาลำบากแบบนี้"

บิลกีสที่พอจะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างเอ่ยขึ้นด้วยแววตารู้สึกผิด

"ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อหนีไม่ได้ ก็ต้องสู้ให้สุด เรายังต้องอยู่ในสังคมนี้ มันคงเลี่ยงไม่พ้น"

ขุนพลพยายามข่มอารมณ์คุกรุ่นภายใน มันไม่ง่ายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่แค้น
ที่ตอนนี้เป็นต่อเขาอยู่หลายขุม ถ้าเป็นแต่ก่อนนั้นเขาเหนือกว่าอีกฝ่าย
แต่ตอนนี้ เขายอมรับว่าเขาไม่ได้มีอำนาจบารมีอะไรจะไปต่อกรกับคู่แค้น
แต่เขาก็จะไม่ยอมให้อีกฝ่ายมาทำร้ายหรือเข้ามายุ่งวุ่นวายกับคนในปกครองเขาเด็ดขาด

หลังจากขึ้นรับรางวัลบนเวทีแล้ว บิลกีสก็ได้รับเงินก้อนใหญ่จากฆินทร์ อัครเมฆินทร์
ที่เป็นผู้ชนะการประมูลภาพวาดของเธอทั้งหมดด้วย โดยหนุ่มใหญ่ได้กล่าวกับเธอก่อนจะร่ำลากันว่า

"เอาไว้ผมจะติดต่อกลับไปนะครับ เพราะผมมีงานใหญ่ที่ต้องการคนที่มีฝีมือแบบคุณมาช่วย
หวังว่าคุณจะไม่ปฏิเสธงานของผมเพียงเพราะสามีคุณกับผมไม่กินเส้นกันหรอกนะครับ
เพราะสำหรับผม ผมแยกได้ระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว ซึ่งงานนี้ผมอยากได้คุณมาร่วมงานจริงๆ
แม่ผมก็ต้องการคนที่มีฝีมือแบบคุณไปช่วยงานท่าน ท่านชอบผลงานม่านลีลาวดีของคุณมากๆ
ผมเองก็ชอบ พวกเราทุกคนชอบและประทับใจจริงๆ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันอีกหลายๆครั้งนะครับ
ผมหวังเช่นนั้น" เขาปิดบทสนทนาทุกครั้งด้วยรอยยิ้มละมุน จนเธอเองอดคิดไม่ได้ว่า ภายใต้ใบหน้านี้
มีอะไรซ่อนเร้นภายในใจบ้างนะ แต่ก็รู้ว่า ยากจะค้นเจอได้ง่ายๆ

"ถึงยังไงฉันก็คงต้องปรึกษาสามีดูก่อนค่ะ ถ้าเขาไม่ติดขัดอะไรฉันก็ยินดีจะร่วมงานค่ะ
แต่ถ้าคุณไนค์ไม่อนุญาต ฉันก็คงต้องปฏิเสธค่ะ คุณฆินทร์คงเข้าใจว่าฉันไม่ต้องการมี
ปัญหาใดๆกับสามีตนเอง ฉันรักเขาค่ะ ฉันไม่อยากทำอะไรที่จะลดทอนความสุขความสบายใจของเขา
ถึงฉันจะรักงาน แต่ฉันก็รักเขามากกว่า คุณอาจจะมองว่าฉันงี่เง่าก็ได้นะคะ
แต่สำหรับฉันแล้ว การตกลงแต่งงานกับเขา รับเขาเข้ามาในชีวิตฉัน และเลือกจะเดิน
เข้าไปในชีวิตเขา ฉันคิดและใคร่ครวญว่าฉันพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้ตามโดยมีเขาเป็นผู้นำค่ะ
และฉันมั่นใจว่า เขาจะเป็นผู้นำที่ดีให้กับฉันและครอบครัวของเราค่ะ"

หนุ่มใหญ่เปิดยิ้มกว้างหลังจากได้ฟังประโยคยาวๆครั้งแรกจากหญิงสาวตรงหน้าเขา
เธอไม่ใช่คนที่มีใบหน้าสวย โดดเด่น ไม่ได้มีท่าทางที่สง่างามหรืออะไรที่ชวนมอง
แต่ เธอมีเสน่ห์บางอย่างที่ผู้ชายไม่อาจปฏิเสธเธอได้หากได้เห็นสิ่งนี้ในตัวเธอ

เขาดูออกว่าเธอทั้งรักและเคารพในตัวสามีทั้งต่อหน้าและลับหลัง
และเธอดูมีแววตาที่เปี่ยมสุขตลอดเวลาที่อยู่ข้างๆสามี ความสุขที่เขาเองก็อดคิดไม่ได้ว่า
ขุนพลมีอะไรดี ทำไมจึงทำให้หญิงสาวผู้นี้มีแววตาที่เปี่ยมสุขขนาดนั้นได้
มีดีอะไร ทำไมจึงทำให้หญิงสาวผู้นี้มีความรักที่ดูมั่นคงให้กับเขาจนมันเปล่งประกายออกมา
จนเขาสัมผัสได้ชัดเจนขนาดนี้ ถึงเธอไม่บอกว่ารักขุนพล แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงพลังรักนั่น
ขุนพลทำอย่างไรจึงทำให้หญิงสาวผู้นี้รักและเคารพและมีความสุขที่พบได้ในดวงตาคู่นั้น
ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าสถานะการงานและการเงินของขุนพล และความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบากมากๆ
แต่ขุนพลเป็นผู้ชายที่โชคดีมากๆคนนึงจริงๆ เมื่อเขาได้เห็นขุนพลอีกครั้งในค่ำคืนนี้

เขาไปได้ผู้หญิงคนนี้มาจากแห่งหนใด

ใช่ ผู้หญิงสวย บุคลิกดี การศึกษาดี การงานดี ชาติตระกูลดี ฐานะดี
มีพร้อมทุกๆอย่างนั้น คนอย่างเขาหาได้ไม่ยากเย็นนัก

แต่เขาจะหาผู้หญิงที่ไหน ที่รักและซื่อสัตย์ต่อเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ผู้หญิงที่จงรักภักดีต่อเขา เชื่อฟังเขา และมั่นใจในตัวเขา เขาจะหาจากที่ใด
ผู้หญิงในแบบที่ขุนพลได้เป็นคู่ชีวิตแบบนี้ เขาจะหาจากแห่งหนใด

รถมือสองกางเก่ากลางใหม่ของขุนพลเคลื่อนตัวออกจากงาน ทุกคนเลือกจะเงียบ
เพราะต่างฝ่ายต่างครุ่นคิดในสิ่งที่ตัวเองเจอมา จนกระทั่งรถจอดตรงที่จอดของคอนโด
ขุนพลก็ผายมือให้สองสาวเดินนำหน้าเขา ส่วนเขาเดินตามหลังทั้งสองไปติดๆ
และเมื่อมองภรรยาและน้องสาวของตนจากด้านหลัง เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความสบายใจ

ดุจมณี และ บิลกีส เป็นผู้หญิงที่ทำให้เขาสบายใจได้อยู่อย่างนึงคือ ทั้งสองเชื่อฟังเขา
แค่สองสาวมีความสุข เขาก็มีความสุขแล้ว สุขที่ได้มีส่วนทำให้ทั้งสองมีความสุข

เมื่ออยู่ลำพังสองคนในห้องนอน ขุนพลที่กำลังสวมชุดนอนก็เดินมาหาบิลกีสที่กำลังหวีผมอยู่
แล้วนั่งลงตรงเตียงใกล้ๆหญิงสาว ถามหญิงสาวขึ้นว่า

"เธอรักฉันเพราะอะไรหรอกีส" หวีในมือหญิงสาวหยุดทำงานเมื่อได้ยินคำถามนั้น
ก่อนจะหันมาทางคนถาม สบตาเขาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า

"เพราะคุณคือ ของขวัญจากพระเจ้าที่ถูกส่งมาให้ฉันหลังจากที่พระเจ้าได้นำพ่อกับแม่
ไปจากชีวิตของฉัน หลังจากนั้นฉันก็ไม่พบว่า ใครจะทำให้หัวใจฉันสงบมั่นคงยามที่ได้หันไปมองดู
ได้เท่าคุณเลยค่ะ"

ขุนพลถึงกับยิ้มกว้างกับคำตอบที่คนตอบตอบด้วยกับแววตาที่ยืนยันความจริงในถ้อยคำนั้น

"ตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกันแค่ครั้งเดียว จากวันนั้นชีวิตฉันก็เปลี่ยนไป จากที่รู้สึกโดดเดี่ยว
ก็มีความหมาย มีเป้าหมายที่ชัดเจน อยากมีชีวิตไปอีกนานๆจะได้ดูชีวิตของคุณว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ฉันบอกตัวเองว่าจะอยู่เฝ้าดูคุณ อยากดูแลเวลาคุณล้ม เวลาคุณพลาด ฉันอยากอยู่ตรงนั้นคอยประคองคุณ
อยากเป็นคนที่ได้ช่วยเหลือคุณ ฉันไม่ได้สนหรอกว่าคุณจะต้องการให้ฉันอยู่ในชีวิตคุณรึเปล่า
เพราะชีวิตเราต่างกันมากๆ คุณมีพร้อมทุกอย่าง ส่วนฉันแทบไม่มีอะไรเลย ฉันเลยเฝ้ามองคุณอยู่ห่างๆ
ไม่เข้าไปทำให้คุณรู้สึกอึดอัด ก็อาจเป็นไปได้ว่า ฉันรู้สึกอยู่ลึกๆว่าเราสองคนมีบางอย่างที่เหมือนกันมากๆ
ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่ฉันรู้สึกสงสารและเห็นใจคุณทั้งๆที่คุณก็มีทุกอย่าง แต่ฉันก็
มีความรู้สึกแบบนั้นต่อคุณมาตลอด" หญิงสาวยิ้มบางขณะมองสบตาเขา ขุนพลเดินเข้าไปหาบิลกีส
แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ กุมมือเธอเอาไว้

"ฉันเองก็ไม่เคยรู้สึกสงบมั่นคงเลย จนกระทั่งได้เธอมาอยู่ข้างๆ ฉันขาดแม่ มีพ่อก็เหมือนไม่มี
มันเคว้งคว้าง มันเหมือนชีวิตไร้หลักให้ยึดเกาะ ฉันดีใจนะกีสที่วันนั้นเธอยอมตกลงมาอยู่ด้วย
มีเธอแล้วฉันรู้สึกสงบ ร่มเย็น เป็นสุขอย่างที่อธิบายไม่ถูก" บิลกีสโน้มหน้าลงจูบหน้าผากของขุนพล
อย่างนุ่มนวล ละมุน อ่อนโยน แล้วโอบกอดเขาเอาไว้แน่นแทนทุกๆคำพูด ให้เสียงหัวใจของเธอ
มันบอกเขาว่าหัวใจดวงนี้กำลังเต้นอย่างมีความสุขขนาดไหน


......................โปรดติดตามตอนต่อไป........................................

เป็นการนำเฮียไนค์กับหนูกีสกลับมาอีกครั้ง หลังจากดองในไหไว้เป็นสิบปี แหะๆ
ตอนนี้เต่าโยได้อัพเดตนิยายไว้หลายเรื่องใน Readawrite นักอ่านสามารถเข้าไปทักทาย
ส่งกำลังใจให้กันที่นั่นได้ และแน่นอนค่ะว่า ยังคงมาอัพเดตตอนต่อๆไปในเว็บเลิฟด้วย

รักษาสุขภาพนะคะทุกคน

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 พ.ค. 2566, 17:06:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 พ.ค. 2566, 17:06:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 319





<< บทที่ 14 แมวดำแมวลาย   บทที่ 16 คือเธอ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account