Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้

วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้

ตอน: บทที่ 2 เจ้าของที่

เช้าขึ้นมา...หญิงสาวยังคงลุกขึ้นจากผ้าห่มอุ่นๆ ในเช้าอันแสนเหน็บหนาวของวันอาทิตย์
เพื่อไปทำงานที่ร้านอาหารเป็นวันที่สอง...
เพราะคิดว่ายังไม่ทันได้แข่งขันเลยด้วยซ้ำจะยอมยกธงขาวแพ้ได้ไง...
ไม่อยากมานั่งเสียดายที่ไม่ได้ต่อสู้ในภายหลัง...

อย่างไร 'เงิน' มันก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเอาตัวรอดในสังคมนี้
และแน่นอนมันไม่ล่องลอยหรือโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า...
ไม่อย่างนั้นนกมันจะออกจากรังบินข้ามหัวเราไปไหน
ถ้าไม่ใช่เพราะออกไปทำมาหากินตามวิถีของมัน...

ผีก็ยังกลัวอยู่นั่นแหละ แต่ 'เงิน' ที่จะได้มันก็ช่วยย้อมใจไปตลอดเส้นทาง
ที่เดินผ่านแล้วเจอเงาดำเมื่อคืนได้อยู่นะ...

ไม่ได้คิดจะต่อกรกับเจ้าเงาดำนั่นหรอกนะ...แต่เธอกำลังสู้ชีวิตต่างหาก

อิตาเงาดำนั่นก็แค่ตัวประกอบหนึ่งบนเส้นทางชีวิตเธอเท่านั้นเอง
และมันคงอยากจะมีบทบาทบ้างอ่ะนะ ก็ต้องยอมให้มันได้แสดงบทบาทของมัน...

เธอก็แค่ต้องมีใจมั่นคง!

รู้มั้ย...จากที่เธอเคยคิดว่าจะไม่เจอผีใจกลางเมืองเช่นนี้ มันผิดถนัด
ผีมีทุกที่จริง ๆ และไม่แปลกที่ที่พักบนเนินเขาหลังนี้จะไม่ค่อยมีคนมาเช่านัก
เพราะมันมีเขาสูงอีกอันซ้อนอยู่ข้างหลัง เป็นเขาสูงที่ใช้พื้นที่แทบจะทั้งหมด
เอาไว้เก็บกระดูกคนตาย...และเหมือนว่าจะมีคนตายมาไม่น้อยแล้ว
ใครตายที่ไหน เขาก็คงเอามารวบรวมเก็บไว้ที่เขาลูกนี้แหละ

แล้วบ้างข้างเคียงที่เธอเดินผ่านทุกวัน ครั้งหนึ่งเธอเคยเข้าไปเยี่ยมชม
ตอนพามาหาที่พักแล้วแหละ...ตอนนั้นดูที่พักหลายแห่งมาก...แต่ไม่ผ่านสักที่
เพราะที่ไปดูมันทำให้เธอขนลุกขนพองทุกที่เลย

เธอย้ำกับตัวเองก่อนออกเดินทางจากโตเกียวเพื่อมาดูที่พักใหม่ในเมืองเกียวโต
ที่เธอจะย้ายมาอยู่แล้วว่าจะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง เพราะเฝ้าขอดุอาอ์ขอพร
ต่ออัลลอฮ์ให้พระองค์ทรงเปิดหัวใจเธอให้มีสัมผัสพิเศษ
ที่สามารถรับรู้ได้ว่าสถานที่ใดที่เธอควรอยู่ สถานที่ใดควรหลีกห่าง

และเหมือนจะรับรู้ได้ เพราะถ้าไม่เห็นก็จะขนลุกขนพอง...

บางทีก็รู้สึกอึดอัดเวลาเข้าไปในสถานที่บางแห่งจนทนอยู่ต่อไม่ได้ต้องรีบออกมา...
ซึ่งมันจะบอกได้เองว่าที่ไหนควรอยู่หรือควรหลีกห่าง...

โดยเฉพาะบ้านข้างเคียงนั่น แค่เปิดประตูเข้าไปก็มีลมหอบนึงพุ่งเข้าใส่เต็มๆ ...
แค่ชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น...พอเข้าไปข้างในกลับรู้สึกขนลุกซู่
ทั้ง ๆ ที่คนอื่นเขาไม่เป็นแบบเธอ

ที่สำคัญ มันชวนให้อึดอัด จนเธอต้องรีบออกจากห้องนั้น
เจ้าของบ้านพักก็เข้าใจ เธอยืนยันว่าไม่เอาเด็ดขาด...ต่อให้ถูกแค่ไหนก็ไม่เอา

ตอนนั้นเห็นแววตาเจ้าของบ้านหลุบต่ำก่อนจะแค่นยิ้ม
บอกว่าหลังอื่นยังว่าง แต่แพงกว่าบ้านหลังนี้อยู่มาก
เธอเลยให้เขาเปิดบ้านให้เข้าไปดู...

ตอนประตูเปิดออก แล้วเธอยืนอยู่ตรงหน้าประตู
เธอเห็นลำแสงสีขาวนวลตาอบอวลอยู่ภายในห้อง...

วินาทีนั่นแหละที่เธอรู้สึกเบาสบายจนถึงกับยิ้มออกมา...
ราวกับนักเดินทางได้เจอที่พักแล้ว บอกเลยว่าจะหยุดตรงนี้ จะอยู่ที่นี่...ไม่ไปดูที่อื่นแล้ว...

เข้าไปเจอก๊อกที่ชำรุดก็ไม่เป็นไร มันซ่อมได้...เปลี่ยนได้
เจอเตาไฟฟ้าที่เก่ามากๆ ก็ไม่เป็นไรค่อยขัดให้มันวาวเอาก็ได้...
หน้าต่างมีเยอะกว่ากรุกระจกใส ดูไม่มิดชิด แต่ไม่เป็นไร
ค่อยหาม่านสองชั้นสวยๆ มาประดับเอา...

พอใจในบรรยากาศของบ้านหลังนี้มาก ๆ จนตกลง
จ่ายเงินค่าประกันทันทีจนนายหน้าที่พามาถึงกับอึ้ง
และคงโล่งใจไม่น้อยด้วยที่เธอได้ที่พักสักที

เจ้าของบ้านเป็นหญิงวัยกลางคนดูใจดียอมลดค่าเช่าให้
บอกว่าเอ็นดูเธอ..แล้วเข้ามากอดด้วย...
บอกเธอว่าชอบคนแบบนี้แหละ...ละเอียดแต่ไม่เรื่องมากเลย
ไม่ติห้องพักของเขาให้ได้ยินเลย...เอาคือเอา ไม่เอาคือไม่เอา

สรุปว่าเธอได้บ้านพักและอยู่ที่นี่โดยไม่ย้ายไปไหนอีกเลย
จนเจ้าของบ้านให้อยู่ฟรีในที่สุด

ส่วนคนที่เช่าบ้านหลังข้างเคียงเปลี่ยนหน้าจนเธอจำหน้าไม่ได้สักคน...
เพราะขนาดเธอเดินผ่านเพราะเป็นบ้านตรงทางเข้าออก
ยังขนลุกทุกที เหมือนมีดวงตาจับจ้องมองมาแปลกๆ ทุกที
แล้วคนที่เข้าไปอยู่ในนั้นเขาจะอยู่เข้าไปได้ยังไงไหว
กิตติศัพท์มันเยอะเกินจนคนไม่ค่อยมาพัก
แถมต้องเดินผ่านหน้า 'ฟุรุซาโต้ เซนเตอร์' ทุกครั้งที่จะไป
สถานีรถไฟฟ้าซะด้วยสิ...

'ฟุรุซาโต้' แปลว่า บ้านเกิด
'เซนเตอร์' แปลว่า ศูนย์รวม หรือศูนย์กลาง
แปลรวม ๆ ตามตัวคือ 'ศูนย์รวมบ้านเกิด'

แน่นอนว่าตอนเธอเห็นป้ายสถานที่ครั้งแรกย่อมไม่เข้าใจว่ามันมีไว้ทำไม
สงสัยจะเป็นที่ที่คนในหมู่บ้านมาประชุมกันล่ะมั้ง...
แต่พอได้เห็นคนสวมชุดดำเข้าๆ ออกๆ ที่เป็นกลุ่มก้อนใหญ่ๆ
แล้วถือถุงแบบเดียวกันกลับออกมาบ่อย ๆ เข้า
จึงพอจะรู้ได้ว่ามันคือ 'ที่ตั้งศพ'

เขาคงเอาศพมาตั้งบำเพ็ญแหละ...

ซึ่งได้รับการยืนยันว่าอาคารที่กรุกระจกและดูดีหลังใหญ่นั่นคือ
ที่เก็บศพคนตายรอฌาปนกิจ...

ซึ่งก็คือ ที่ที่เธอมักจะได้กลิ่นศพเวลากลับดึกๆ นั่นแหละ

ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาเก็บศพยังไง ทำไมกลิ่นมันถึงได้เล็ดลอดออกมาได้...
จะว่าจมูกเพี้ยนได้กลิ่นนั่นอยู่คนเดียว ก็ไม่ใช่ เพราะมีคนเคยพูดให้ได้ยินด้วย
ว่าก็เคยได้กลิ่นศพเหมือนกัน คือ กลิ่นมันเหม็นไปจนถึงหน้าประตูบ้านพักเธอเลยนะ...
ไม่มีเจือจาง เข้มข้นเท่าเดิม จนชวนสยอง

พอได้คำตอบว่าอาคารนั้นมีไว้ทำไมจึงตั้งกฎเหล็กให้กับตัวเองว่า
ต้องกลับให้ถึงที่พักก่อนเที่ยงคืน...
แต่จะพยายามกลับไม่ให้ตรงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น
จะคอยสลับสับเปลี่ยนเวลาออกและเวลากลับเสมอ
เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของมิจฉาชีพ...
แต่ต้องกลับก่อนเที่ยงคืนให้ทัน

ถึงที่นี่จะมีบางอย่างไม่น่าพิสมัยแต่ก็มีข้อดีมากมายซ่อนอยู่...

วันไหนกลับดึกหน่อยก็จะเจอแมวดำตัวโตนั่งรออยู่
ตรงกำแพงปากทางเลี้ยวเข้าสู่ที่พักบนเนินประจำ
พอเดินผ่านมันมาได้สามก้าวแล้วหันไปมองอีกทีจะไม่เจอมันแล้ว...
เคยดีดนิ้วใส่มัน แล้วร้องทัก แต่มันไม่ยอมทักกลับ ไม่เคยได้ยินเสียงร้องของมันเลย...
มันนิ่งมากจนบางครั้งเธออดคิดจินตนาการไปไกลไม่ได้
แต่จะไปกล่าวหามันว่าไม่ใช่แมวก็ไร้หลักฐาน

เธอเคยพูดกับมันด้วยนะ ว่าถ้าคนที่มันมานั่งรอคือเธอก็ให้ไปซะ...เธอไม่เลี้ยงแมว
เธอไม่เอาแมวเข้าบ้านหรอก ไม่อนุญาต ไม่ว่าจะแมวสีไหน ไปอยู่ที่อื่นเถอะ
หรือไม่ก็กลับไปหาเจ้าของที่แท้จริงเถอะ

แปลกแต่จริง หลังจากวันนั้นก็ไม่เห็นมันอีกเลย...
ใจหายเหมือนกัน...แต่ก็โล่งใจในส่วนลึก...

เชื่อว่า...บางอย่างเธอไม่ต้องไปค้นหาเหตุผลหรอก

เพราะเรื่องบางเรื่องเหตุผลอธิบายมันไม่ได้....

จบเรื่องเจ้าของที่พัก เหลือเจ้าของที่ร้านอาหาร
เป็นที่ที่เธอได้ทำงานที่นั่นเป็นเวลาเจ็ดเดือน...
เจ็ดเดือนที่ทุบสถิติพนักงานเสิร์ฟคนแรกที่อยู่ได้นานที่สุด...

แน่นอนว่าประวัติของที่นั่นที่เธอฟังมา...
มีพนักงานเสิร์ฟเคยผูกคอตายในช่วงรับน้องใหม่...
และเคยมีจะโดดตึกลงมา แต่มีคนช่วยเอาไว้ได้ทัน...

เพราะผีเฮี้ยนหรือเพราะอะไร?


.......................................................................................


เมื่อตะวันลับไป...ไกลจากขอบฟ้า...กลีบซากุระหลุดจากขั้ว
ปลิวว่อนไปอย่างไร้ทิศทาง สุดแต่สายลมจะหอบไปตกยังแห่งใด...

จากฤดูหนาวย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ...

ต้นไม้ที่เคยหลับใหลตื่นตัวเมื่อได้รับกระแสธารอันอบอุ่นต่างพากันแตกใบอ่อน...ให้ได้เห็น...
ในขณะที่ซากุระเลือกจะออกดอกก่อนผลิใบ...
จากซากต้นไม้ที่ยืนต้นตายในช่วงฤดูหนาวกลับมีดอกสีชมพูเป็นช่อน่ารักๆ เต็มต้น...
เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิหรือ 'ฮารุ'

บรรยากาศในร้านอาหารทั้งญี่ปุ่นและไทยครึกครื้นตลอด
เพราะมีบรรดานักท่องเที่ยวต่างเดินทางมาเยือนเมืองที่
ซากุระบานสะพรั่งอย่างงดงามไม่แพ้เมืองใด...อย่างเกียวโต

นักท่องเที่ยวทั้งหญิงชายมากมายสวมชุดประจำชาติของญี่ปุ่น
ออกชื่นชมเมืองที่เต็มไปด้วยสีชมพูของซากุระ...

นับว่าเป็นช่วงที่เงินทองไหลมาเทมาจนเจ้าของร้านค้าต่างๆ ถึงกับอิ่มอกอิ่มใจ
ต่างจากสาวเสิร์ฟที่ต้องทำงานหนักกว่าเดิมหลายเท่า
ในขณะที่ค่าตอบแทนยังคงเท่าเดิม

การต่อรองใช้ไม่ได้ผลกับนักธุรกิจที่เห็นแก่ตัว...

เธอเคยคิดว่า 'เงิน' คือตัวแปรที่ทำให้คนเสื่อม
แต่ตอนที่ได้ทำงานที่นั่น...ความคิดนั้นกลับเปลี่ยนไป

เธอและเด็กเสิร์ฟทุกคนต่างก็ต้องการเงิน เป้าหมายของเรา
ที่ออกมาทำงานคือ 'เงิน'

และพวกเราก็ซื่อตรงต่อเป้าหมายนี้...เหนื่อยคือเหนื่อย...
เรียกได้ว่าเอาเรี่ยวแรงที่มีไปขายเพื่อให้ได้เงินมา...

ต่างจากเจ้าของธุรกิจที่เอาศีลธรรมและมโนธรรมอันน้อยนิดที่มีไปขาย
เพื่อให้ได้เงินมหาศาลมาครอง...

พอมีสาวเสิร์ฟมาขอลาออกในช่วงนั้นเยอะๆ เขาก็บอกว่า มันทนผีหลอกไม่ไหว...
เมื่อคืนเจอจัดหนักเธอเห็นด้วยนะว่าผีที่สิงอยู่ที่นี่เฮี้ยนจริง ๆ
เพราะเคยเจอมากับตัว

แต่...เธอว่าผีไม่เคยทำร้ายเธอเลยแม้แต่ปลายขี้เล็บตั้งแต่วันแรก
ก็แค่มาหลอกให้วิ่งเร็วขึ้นเพื่อที่จะทันรถไฟขบวนสุดท้าย
แล้ววิ่งไม่คิดชีวิตจนเข้าสู่ที่พักภายในห้านาที

เสียงรองเท้าของเธอที่วิ่งบนท้องถนนมันดังไม่น้อยแน่ ๆ
ยิ่งเงียบสงัดจะยิ่งดังชัดเจน แต่เชื่อมั้ย ไม่มีใครใส่ใจชีวิตใดหรอก
ทุกคนนอนหลับสบายบนที่นอนนุ่มๆ ของตัวเองและไม่มีใครเขาอยากจะลุกขึ้นมาดูหรอกว่า
เสียงวิ่งนั้นของใคร ทำไมถึงต้องวิ่งขนาดนั้น...
หรือเจ้าของรองเท้าส้นสูงของผู้หญิงกำลังวิ่งหนีสิ่งใด อันตรายมากน้อยแค่ไหน

ไม่นะ ไม่มีใครสักคนจะใส่ใจรายละเอียดพวกนี้

เหมือนหลงอยู่กลางป่า ในเมืองร้างไร้ผู้คน...

เพียงแต่มันเป็น 'ป่าปูน' 'ป่าคอนกรีต' เท่านั้นเอง

เช่นเดียวกัน...เจ้าของร้านหวังผลกำไร
อันใดจะทำให้ตนได้กำไรเพิ่ม แม้จะเบียดเบียนใครมาก็ไม่สน...
ลูกน้องจะเป็นอย่างไรไม่แคร์

แทนที่จะให้เพิ่มกลับลดค่าตอบแทนก็เพื่อหวังให้เม็ดเงินถึงเป้า
เพราะหมดช่วงนี้ไปรายได้ก็จะกลับมานิ่งดุจเดิม น้ำขึ้นจึงรีบตัก
ตักเฉพาะในส่วนแบ่งของตนไม่เท่าไหร่ แต่นี่จงใจแอบตักส่วนแบ่ง
ที่คนอื่นควรจะได้ไปด้วย

ใครว่าเวลาโกงไม่ได้ มันไม่จริง มีการโกงเวลาเกิดขึ้นในช่วงวุ่นวาย...

เมื่อเวลาที่เป็นตัวคูณรายได้ลดลง รายได้รวมย่อมหายไป...

คือทำงานเพิ่มขึ้นแต่ค่าตอบแทนค่อยๆ ลดลง
มันไม่มีใครที่ไหนเขาอยากจะทนกับสภาพนั้นแน่นอน...

พอได้คนใหม่มาแทนที่คนเก่า เธอที่อยู่ก่อนเลยให้คนใหม่ดูแลลูกค้าชั้นบน
จะได้ไม่ต้องปะทะกับเจ้าของร้านโดยตรง
เธอกลัวเด็กใหม่ลาออกแล้วเราจะไม่มีคนช่วยงาน...
เลยพยายามอะลุ่มอล่วย ยอมแลกทำงานชั้นล่างที่มีตั้งแต่รับหน้าลูกค้า
พาไปนั่ง รอรับออร์เดอร์ เสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟอาหาร
และต้องเข้าไปช่วยกุ๊กในครัวเวลากุ๊กทำไม่ทันใจลูกค้า แล้วลูกค้าโมโหหิว
กำลังออกท่าอาละวาดราวกับเป็นพระราชานั่งบนบัลลังก์ทอง
ที่มีเงินซื้ออาหารแล้วจะทำตัว แสดงกิริยาอย่างไรกับใครก็ได้...

พอพระราชาพลาดสั่งอาหารผิดหรือไม่พอใจอาหารที่ตนเองสั่งกับปาก
ก็ใส่ความว่าสาวเสิร์ฟทำพลาด เขียนออร์เดอร์ผิด...
ยืนกรานว่าจะเอาผิดกับทางร้านถ้าไม่จัดการกับคนผิด...
และจะไม่ยอมจ่ายค่าอาหารด้วย...เจ้าของร้านยอม
แล้วให้เธอขอโทษพระราชาพร้อมกับตำหนิเธอจนพระราชา
พอใจเดินออกจากร้านไปโดยไม่เสียเงินแม้สักเยนเดียว

แต่มีหรือที่เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นจะไม่มีคนแบก...
แน่นอน จานทุกใบที่แตก อาหารทุกจานที่ลูกค้าไม่ได้จ่าย
จะต้องมีคนจ่ายมันแทน เพราะเจ้าของไม่ยอมเสียอะไรไปเปล่าๆ

และกรรมนั่นก็มาลงที่คนเสิร์ฟ...

อย่าว่าแต่คนมาใหม่เลย เธอคนเก่ายังอยากลาออกทุกวัน
แต่จะลาออกไปเริ่มต้นใหม่ในสภาพที่ยังไม่พร้อม
มันก็ต้องสู้ทนต่อไป...

ทางเลือกสำหรับคนอย่างเธอมันมีน้อย น้อยจนดูริบหรี่เหลือเกิน

หลายครั้งถูกมองด้วยสายตาว่า 'นังโง่' โง่ที่ให้เด็กใหม่
ทำงานสบายๆ แค่คอยรับแขกชั้นบน ไม่ต้องแบกส่งอาหาร
เพราะมีที่ส่งอาหารขึ้นไปทางลิฟต์สำหรับส่งอาหาร...

แต่ก็นั่นแหละ....เด็กใหม่กี่คนก็มาขอลาออกตอนรับเงินงวดแรกทุกที...

บางคนทำได้สองสามวันก็หายไปไม่มาทำงานเสียดื้อๆ ไม่แจ้งล่วงหน้า ไม่บอกอะไรเลย...

มีอยู่รายนึง มาสะกิดเราแล้วถามว่า

"ในห้องเปลี่ยนชุดพนักงานน่ะ หนาวเนอะ เธอว่ามันหนาวแปลกๆ มั้ย" เราเลยปลอบๆ ไปว่า

"ในนั้นไม่มีฮีตเตอร์...ก็เลยหนาว" แต่สาวญี่ปุ่นส่ายหน้า
คือหน้าซีดเผือดมากตอนนั้น แล้วพูดว่า

"ที่นี่น่ะ เฮี้ยนทั้งผีทั้งคน เธออยู่ไปเถอะ ฉันไปล่ะ
ได้เงินวันนี้แล้ว ฉันก็จะไปไม่กลับมาที่นี่อีก งานพาร์ทไทม์หาง่ายจะตาย
ได้ไม่ดีก็หาเอาใหม่"

ตอนนั้นรู้เลยว่าต้องเหนื่อยอีกหลายเท่าตัวกว่าจะหาคนใหม่มาแทนคนนี้ได้...
พอมาทรุดนั่งตรงบันใดทางลงไปในครัว กุ๊กก็เดินมาตบบ่า แล้วถามว่า

"เพิ่งมาขอออก...เขาบอกรึเปล่าว่าทำไม"

"บอกค่ะ..." กุ๊กเลี่ยงไม่ถามต่อ แต่เปลี่ยนประเด็น

"ถ้าหนูมาขอออก...อีกคนก็พอเข้าใจ...แต่อยู่กันก่อนนะ
ให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปก่อน คือพี่ยังไม่อยากทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารไปด้วย
อยู่หน้าเตาก็วุ่นพอตัวอยู่แล้ว...สู้อีกสักยกสองยกนะ...อย่าเพิ่งยอมแพ้..."

ตอนนั้นคือเหนื่อยเหลือเกินและอยากร้องออกมา...แต่ทำไม่ได้
เลยค่อนข้างอุ่นใจเวลากลับที่พักแล้วเจอแมวดำนั่งเหมือนรอเธออยู่ตรงที่เดิมทุกครั้ง
เวลากลับดึกหลังเลิกงานที่ร้าน...

เพราะนอกจากแบกงานแล้วมันยังมีเรื่องความปลอดภัยที่ต้องแบกด้วย
การมีแมวมานั่งรอตรงทางเข้าที่พักเป็นประจำมันก็รู้สึกดีไม่น้อย
ถ้าแมวดำตัวนั้นจะเหมือนแมวทั่วๆ ไปที่เคยเลี้ยงมา

"ยังมีป้าแม่บ้านนี่คะ..." กุ๊กมีสีหน้าบอกบุญไม่รับ
เพราะส่วนหนึ่งที่กดดันให้สาวๆ ลาออก

คือ ป้าแม่บ้านที่เพิ่งมารับตำแหน่งในร้านไม่นานมานี้...
แกค่อนข้างถือตัว และจู้จี้จุกจิก และบ่นทุกคน ยกเว้นกับลูกค้า
และมักจะชี้นิ้วสั่งสาวๆ ให้ทำตามแกทุกอย่าง แกบอกว่าแกเป็นญาติกับเจ้าของร้าน...

เธอกับแกเคยมีปากเสียงกันเพราะแกปัดหน้าที่ของแกมาให้เธอทำ
แล้วแย่งหน้าที่เธอไปทำแทน

แกว่าเด็กอย่างเธอขัดห้องน้ำไม่ได้เรื่อง ต้องหัดขัดบ่อยๆ จะได้เป็นกุลสตรีที่ดี
อย่ามัวแต่คิดว่ามันเป็นงานต่ำต้อยด้อยค่า เพราะถ้าห้องน้ำไม่สะอาดมันจะสะท้อนกลับ
มาประจานเจ้าของมัน...

ก็เลยต้องทำหน้าที่แม่บ้านแทนแก แต่พอถึงคราวรับออเดอร์และเสิร์ฟอาหาร
ป้าที่อายุมากแล้วนั้นคล่องตัวไม่สู้สาวๆ และขี้หลงขี้ลืม
เลยพลาดพลั้ง...แต่แกไม่เคยปัดความผิดให้คนอื่น...

ถ้าแกผิดก็ก้มหน้ายอมรับผิด...แต่ถ้าใครไม่ยอมลงให้แก
แกจะหาเรื่องบ่นๆๆ ใส่จนหูชา เธอเลยเลี่ยง ยอมลงให้แกในฐานะที่แกอายุมากแล้ว
และเพื่อจะได้ไม่ต้องฟังเสียงบ่นของแกด้วย

เพราะถ้าแกไม่อยู่ช่วย เธอก็ต้องทำทุกอย่างนี้อยู่ดี
มีแกอยู่ด้วยก็ดีกว่าไม่มี เพราะแกเป็นคนเนียบ ระเบียบจัด...
ช่วยซ่อมจุดอ่อนของเธอได้เยอะทีเดียว...

คนอื่นไม่ค่อยชอบแกอย่างเห็นได้ชัด เธอเองก็ใช่จะชอบแก
แต่มีครั้งนึงตอนแกโดนแกล้ง เพราะมีคนต้องการบีบแก

ตอนนั้นเริ่มเห็นใจแก เห็นความเป็นคนในตัวแกชัดขึ้น

เธอว่าแกไม่ใช่นางมารร้าย แกก็แค่มนุษย์เหมือนเธอที่ต้องการการยอมรับ
อยากให้คนอื่นๆ ให้เกียรติ...มีความกังวล มีความกลัว

แกถูกบีบให้รู้สึกไร้ค่า ไร้สมรรถภาพด้วยการให้แกทำงานในช่วงไม่ค่อยมีแขก
เวลาร้านญี่ปุ่นไม่ค่อยมีลูกค้าก็จะให้แกไปช่วยงานที่นั่น
แล้วให้เธอที่สาวกว่าคล่องกว่าแกช่วยงานในร้านอาหารไทย

แกเคยบอกเธอว่าแกชอบทำงานที่ร้านอาหารไทย
แต่วันไหนที่ร้านอาหารญี่ปุ่นคนเข้าเยอะ
แกก็จะถูกย้ายให้มาทำที่ร้านอาหารไทย สลับกับเธอ

แกก็จะยิ้มแย้มมีความสุขตามประสาของแก...

สุขของคนเราใช่จะเหมือนกัน!

ครั้งนึงที่เธอกลับมาร่วมงานกับแกที่ร้านอาหารไทย
วันนั้นแกเหมือนจะไม่สบาย หน้าแกซีดๆ เธอเลยทำหน้าที่แทนแก
ไปหลายอย่างเพราะแกดูเชื่องช้าและไม่คล่องตัว...

และก่อนจะปิดร้าน เหลือแขกคนสุดท้าย แกก็ไล่เธอกลับ
บอกว่าแกจะอยู่ส่งแขกเอง ให้เธอกลับไปก่อนเดี๋ยวจะไม่ทันรถไฟ
เธอเลยขึ้นไปเปลี่ยนชุด สะพายกระเป๋าลงบันไดมาได้สามขั้นก็แอบได้ยินเจ้าของร้าน
ที่โผล่เข้าร้านมาตอนไหนไม่รู้

เป็นไปได้สูงว่ามีคนขี่ม้าสามศอกไปฟ้องอะไรแน่ๆ
ไม่งั้นจะไม่ยอมโผล่มาเวลานี้หรอก....

และเหมือนจะคิดไว้ไม่ผิดเจ้าของร้านกำลังต่อว่าป้าแกสารพัด
แต่ละคำหวานบาดหู แต่กรีดใจคนฟัง..

ป้าแกยืนนิ่งไม่เถียงสักคำทั้งๆ ที่ปกติ แกจะวีนแตกใส่ให้แล้ว

อาจเพราะว่ามันคือ ความจริงที่ป้าแกเถียงไม่ได้ ในเมื่อสังขาร
และความเจ็บป่วยทำให้แกทำงานได้ไม่เต็มที่ พอแกถ่อสังขารมาทำทั้งๆ ที่ไม่ไหว
จึงโดนตำหนิว่ามาเอาเงิน แต่กินแรงคนอื่น...

เธอว่าคำนี้มันเจ็บปวดนะสำหรับคนที่อยากทำงานแต่สังขารไม่เอื้ออำนวยอย่างป้าแก

เพราะแกตั้งใจทำ เธอสัมผัสเธอเห็นความตั้งใจของแก
ที่แกเคยเกี่ยงงานให้เธอทำตอนแรกๆ เพราะต้องการกำราบเธอ
ไม่ให้เธอข่มหัวแก...มันก็เป็นสัญชาตญาณของคนไม่ใช่เหรอ
ที่อยากให้เด็กนบนอบต่อตน...

ตอนนั้นเธออยากจะแหกปากแทรกกลางระหว่างทั้งสองว่า
เธอยินดีให้ป้าแกกินแรงเธอ...แล้วเอาเงินค่าชั่วโมงนั่นไป
เพราะถึงป้าไม่มาช่วยงาน เธอก็ต้องทำงานนั่นทั้งหมดอยู่ดี
ไม่ว่ายังไงเธอก็แค่เสมอตัว ทำให้ตาย เงินก็ได้เท่านี้แหละ

และที่เจ้าของร้านออกมาปกป้องครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพื่อปกป้องเธอเลยสักนิด
แต่กำลังปกป้องเงินในกระเป๋าตัวเองโน่น เพราะต้องจ่ายให้ทั้งป้าและทั้งเธอ
ทั้งๆ ที่ถ้าป้าไม่มา ก็จะมีแค่เธอเท่านั้นที่จะได้เงิน...
ในขณะที่งานต้องผ่านมาได้แม้ไม่มีป้ามาช่วยไงล่ะ....

แต่พูดไปสองไพเบี้ย เลยนิ่งเสียแล้วลงบันไดขอตัวทั้งสองกลับ

สัปดาห์ต่อมา...ไม่พบป้า กุ๊กบอกว่าแกลาออกไปแล้ว....
พอถามว่าทำไม กุ๊กก็บอกว่า คืนนั้นป้าแกขอนอนที่ร้านเพราะไม่ค่อยสบาย...
เลยขี้เกียจกลับบ้าน...สงสัยคงเจอดี กุ๊กบอกว่าแกเตือนแล้วว่าอย่านอน
เพราะเคยนอนแล้วเจอดีโดนผีนอนทับหายใจแทบไม่ออก
มันนอนได้ซะที่ไหน เจ้าบ้านเขาไม่ยอมให้นอนหรอก เขาหวง ลูกหลานขาย
แต่เจ้าของไม่ยอมให้ขาย ตายไปแล้วก็ยังหวงอยู่
ขนาดเจ้าร้านสร้างศาลเจ้าให้อยู่ตรงพุ่มไม้ใหญ่หน้าร้านนั้นแล้วก็ยังหวงที่นี่

เธอก็เลยถามว่าเจ้าบ้านตายยังไง
แกบอกว่า ตายคาบ้านนี้แหละ ห้องเปลี่ยนชุดนั่นแหละที่ตายของแก...

และเคยมีสาวเสิร์ฟร้านนี้ผูกคอตายที่หอพักติดกันนี่แหละ
เห็นว่าสติฟั่นเฟือน สงสัยจะโดนผีเจ้าที่หลอกเอา

แต่แปลก...เธอกลับปักใจให้เชื่อไม่ค่อยลง แล้วแกยังบอกอีกว่า
อีกคนนั้นพยายามจะกระโดดตึก แต่คนช่วยไว้ได้ทัน...
อาจเป็นไปได้ว่าไม่ได้ขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางเสียก่อนเลยโดนดี
เขาคงไม่อยากให้อยู่ที่นี่....

เธอเลยถามกุ๊กกลับว่า แล้วกุ๊กคิดว่าเขายินดีให้เธออยู่ที่นี่รึเปล่า...
กุ๊กเลยบอกว่า ถ้าเขาไม่ยินดีจะอยู่ได้นานกว่าคนอื่นๆ รึ...
นี่ปาเข้าไปครึ่งปีแล้ว ยังไม่เคยมีใครทำลายสถิตินี้ได้เลย....เธอเลยพูดว่า...

ผู้จัดการคนสวยไง อยู่ก่อนเธอ ตอนนี้ก็ยังอยู่ กุ๊กเลยบอกว่า
มันไม่เหมือนกัน นั่นเขาไม่ค่อยมาที่นี่ เฝ้าร้านขนมโน้น
เพราะนั่นน่ะนักศึกษาฝึกงาน ไม่ใช่สาวเสิร์ฟ หน้าที่บทบาทมันต่างกัน
เขาต้องทำให้ครบปี ถ้าไม่ครบก็ไม่ผ่าน ฝึกงานไม่ผ่าน เรียนไม่จบ เข้าใจมั้ย....

เธอยิ้ม...ด้วยรู้ว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะขอใบผ่านงานจากเจ้าของร้านนี้...
แค่ต้องมาลงงาน สร้างผลงานให้ได้ คิดแล้วหันไปพูดหยอกกุ๊กทั้งสองว่า

"ก็กุ๊กไง อยู่มาได้ตั้งนานไม่ใช่เหรอ"

"ก็เขาอนุญาตให้อยู่แล้ว"

"แล้วเขายังหลอกยังหลอนอยู่รึเปล่า"

"ถ้าไม่นอนค้างที่นี่ก็ไม่ แต่ถ้านอนก็จะโดน ชั้นบนนั่นแหละที่เขาหวงนักหวงหนา...
แล้วถ้าอยากอยู่ที่นี่นานๆ อยู่สบาย ๆ ก็ไปไหว้นมัสการศาลเจ้าตรงพุ่มไม้นั้นซะ
ขออนุญาตเขา ฝากเนื้อฝากตัว จะได้ไม่มีปัญหา ไอ้พวกที่มีปัญหา
เพราะไปลบหลู่ท่าน...พวกญี่ปุ่นมันไม่มีศาสนา" พอได้ยินแบบนั้นจึงบอกกุ๊กไปว่า

"หนูทำไม่ได้หรอก หนูกราบไหว้พระเจ้าองค์เดียวในแบบของหนู
อื่นนอกจากพระองค์ไม่ใช่เจ้า" แกมองหน้าแล้วถามว่า

"นี่ไม่เคยขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางเลยเหรอ...ใช่สิ ลืมเล่าประวัติให้ฟังตั้งแต่แรก..."

แต่เธอเคยได้ยินประวัติร้านนี้จากปากเจ้าของร้านมาบ้างก่อนหน้านี้
เพียงแต่เจ้าร้านไม่พูดเรื่องผีให้ฟังเท่านั้น เลยไม่ได้ถามกุ๊ก
เพราะไม่ว่างพอจะมาพูดแบบนี้เท่าไหร่ เธอเลยพยักหน้า

"ค่ะ หนูไม่ได้ขอเขา แต่หนูขออนุญาตนายของพวกเขาค่ะ"

"ใคร.?"

"พระเจ้าของหนู ซึ่งก็คือพระเจ้าของพวกเขาด้วย" แล้วอธิบายเสริมว่า

"หนูไม่มีความเชื่อเลยสักนิดค่ะว่าที่หนูเจอน่ะคือ วิญญาณเจ้าของบ้านหลังนี้
ที่ตายไปแล้ว เพราะหนูเชื่อว่า วิญญาณคนตายมีที่อยู่เป็นการเฉพาะแล้ว
พวกเขาตายและอพยพโยกย้ายไปอยู่อีกโลกนึงแล้ว
แต่หนูไม่ปฏิเสธนะคะว่าที่หนูเจอน่ะคือ เจ้าของสถานที่แห่งนี้
เพราะกว่าบ้านหลังนี้จะถูกขายให้กับเจ้าของร้านก็กินระยะเวลานานอยู่
ดูจากอายุบ้านก็พอเดาได้ค่ะ ลูกหลานคงปล่อยร้างให้ว่าง

บ้านร้างสำหรับมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ร้างว่างเปล่าซะทีเดียว
มีผู้เข้ามาจับจองอยู่ที่นี่ในช่วงที่ไม่มีคนมาพักอาศัย
แล้วคนทั่วไปมองไม่เห็นพวกเขา เว้นแต่พวกเขาจะยอมให้เห็นเท่านั้น...

และสำหรับพวกเขา ที่นี่คือ บ้านของพวกเขา เพราะพวกเขามาอยู่ก่อนเรา
ก่อนเจ้าของร้าน ก่อนกุ๊ก ก่อนหนูและก่อนคนอื่นๆ ที่มาอยู่ที่นี่ภายหลังพวกเขา...

ถ้าพวกเขาไม่ชอบใจใครก็อาจจะหาเรื่องให้อยู่ไม่ได้
ใครที่ไปต่อว่าพวกเขาหรือทำให้พวกเขาเกลียดชัง
เขาก็อาจใช้อำนาจที่เขามีทำร้ายเอาได้

หนูไม่ได้มองว่าพวกเขาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หนูให้เกียรติพวกเขา
ในฐานะที่พวกเขาถูกสร้างมาจากพระเจ้าเหมือนหนู

ยังไงเราก็มีพระเจ้าองค์เดียวกัน นายของเขากับนายของหนูคือ พระเจ้าองค์เดียวกันค่ะ
ก็บอกพวกเขาไปแล้วว่าต่างคนต่างอยู่ ต่างทำหน้าที่ของตนไป ไม่ก้าวก่าย
ไม่ละเมิดต่อกันเท่านั้นก็พอ ถ้ามีอะไรพลั้งพลาดก็ให้บอกให้เตือนกันด้วยดี...

พวกเขาก็ไม่มาแสดงอภินิหารอะไรให้เห็นอีก...

หนูไม่ได้เก่งไปกว่าพวกเขา พวกเขาเองก็ไม่ได้มีอำนาจเหนือไปกว่าพระเจ้า
หนูขอการปกป้อง ขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า
มิได้อ้อนวอนขอจากพวกเขา ต่อให้พวกเขาเกิดนึกอยากจะทำร้ายหนูขึ้นมา
ถ้าพระเจ้าประสงค์จะปกป้องหนู พวกเขาก็ทำอะไรหนูไม่ได้อยู่ดี...
เพราะพระเจ้ามีอำนาจเหนือกว่าพวกเขา เหนือกว่าทุกสิ่ง....

นี่คือความศรัทธาของหนู"

.......................โปรดติดตามตอนต่อไป..........



yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2566, 22:56:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2566, 22:56:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 125





<< บทที่ 1 รับน้องสยองขวัญ   บทที่ 3 บอดีการ์ดไร้เงา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account