หะบีบี้...สุดที่รักของผม
หะบีบี้ น้องนุจสุดท้องแห่งตระกูลโสพณพสุธ
จะทำเช่นไร...
เมื่อการกลับสู่บ้านเกิดกลายกลับตาลปัตร
เป็นบ้านหลังอื่นที่ไม่เคยมีใครรู้ว่ามีอยู่จริงบนโลกนี้
"ดินแดนที่ไม่มีปรากฏบนแผนที่โลก"
ปรากฏแก่สายตา...
"คนแปลกหน้า" เธอคือคนแปลกหน้าสำหรับคนบนดินแดนนี้
และคนบนดินแดนนี้ก็คือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอเช่นกัน
คนแปลกหน้าอย่างเธอจะต้องทำเช่นไรในดินแดนใหม่...
เมื่อการกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้องกลายกลับเป็นความว่างเปล่า
และเขา...คือ 'ภัยคุกคาม!'
ที่กำลังก่อกวนหัวใจเธอนับแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ...
เขา...ผู้เป็น...อัศวินขี่ม้าขาวในฝันของเธอมาตลอด...
คนที่เธอเฝ้ารอคอยว่าจะได้เจอในความจริงสักครั้ง...
หากความจริงที่เจอ...กลับพลิกผันชีวิตเธอไปตลอดกาล...
Tags: รักโรแมนติก เพ้อฝัน ความลี้ลับ วิทยาศาสตร์ มุสตอฟา หะบีบี้ โสภณพสุธ
ตอน: บทที่ 15 การศึก
ช่วงที่มีประจำเดือนนั้นทำให้หะบีบี้ถูกงดการขี่ม้า งดลงเล่นน้ำในลำธารและในน้ำตก
และอดท่องไปในดินแดนนี้ อีกทั้งเธอถูกส่งไปยังบ้านของมารดาของท่านผู้นำ
เพื่อเรียนรู้เรื่องงานบ้านงานเรือนต่างๆ
ส่วนผู้นำสูงสุดของดินแดนนี้ติดภารกิจออกศึกซึ่งข้าึกที่หมายจะยึดฐานทัพของดินแดนนี้
มาอยู่ในความดูแลของตน ซึ่งประกอบไปด้วยกองกำลังทั้งคนและญินจำนวนมหาศาลจากท้องทะเล
ทำให้ในทุกๆวัน หะบีบี้จะออกมารอคอยผู้เป็นสวามีตรงหน้าชานเรือน
ซึ่งวันนี้ครบเดือนแล้วที่เขายังไม่กลับมา และยังไม่มีการส่งข่าวอะไรกลับมาด้วยเช่นกัน
รอยยิ้มขาดไปจากใบหน้าของหญิงสาวตั้งแต่วันที่เขาบอกลาเธอ
จนอดคิดถึงรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าในวันนั้นที่เธอเห็นมิได้
'เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข้าจะกลับมาหาเจ้า มานอนกอดเจ้าให้ชื่นใจ อย่างแน่นอน
ถึงตอนนั้นเจ้าคงพร้อมสำหรับข้าแล้วทั้งกายและใจ' เธอที่ได้ยินประโยคนั้นถึงกับขวยเขิน
เพราะเข้าใจความนัยนั้นดียิ่งนัก และอดคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆนั่นของเขามิได้
ช่างหนาวเหน็บยิ่งนักกับคืนวันที่ผ่านไปโดยไม่มีเขานอนข้างกาย
หะบีบี้มองไปยังม้าสีขาวที่เขาหามาให้เธอได้ใช้เป็นพาหนะที่ตอนนี้คุ้นเคยสนิทสนมกันแล้ว
ก่อนจะเดินไปลูบขนสีขาวของมันเอาใบหน้าซบกับม้าสีขาว
พึมพำเบาๆกับม้าที่เธอตั้งชื่อให้ว่า 'มีม' คล้องจองกับชื่อม้าของเขา
"คิดถึงเขาเนอะมีม" เสียงม้าตอบกลับมาทำให้หญิงสาวน้ำตาคลอ
"พาข้าไปสนามยิงธนูหน่อยสิ เผื่อข้าจะได้ไม่ต้องเฝ้าแต่คอยคิดถึงแต่เขาอยู่เยี่ยงนี้"
ว่าแล้วก็พาตัวเองขึ้นไปนั่งบนม้าสีขาวแล้วคุมบังเหียนควบม้าไปยังสนามยิงธนู
โดยมีเสียงเรียกของมารดาผู้นำสูงสุดดังตามหลังไป หากก็ช้าเกินกว่าจะห้ามได้
เมื่อร่างบางบนหลังม้าได้ควบม้าจากไปไกลเกินจะได้ยินเสียงของนางแล้ว
และนางก็ไม่ควบม้ามานานหลายสิบปีแล้ว
แต่หะบีบี้มีเนนกับเนมาคอยติดตามอย่างเงียบๆ นางจึงเดินกลับเข้าบ้านไปด้วยใบหน้าที่
บ่งบอกถึงความกังวลและคนึงถึงลูกชายอย่างปกปิดมิได้อีกต่อไป
ต่อให้จะดูสงบนิ่งแค่ไหน หากลึกลงไปภายในใจนั้น ราวกับมีคลื่นคอยก่อกวน
ภาพที่ผู้คนในดินแดนนี้มองอยู่ในยามนี้ คือ ภาพที่ชายาของผู้นำสูงสุดกำลังควบม้า
ไปรอบๆสนามยิงธนู โดยในมือถือธนูที่ค่อยๆปล่อยลูกธนูออกไปยังเป้าที่วางอยู่กลางสนาม
ซึ่งหามีหญิงใดในดินแดนนี้ไม่ที่จะทำสิ่งนี้เยี่ยงหะบีบี้ ม้าเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วสูง
หากสาวงามบนหลังม้ากลับปล่อยลูกธนูพุ่งไปยังเป้าได้ตรงจุดสำคัญทุกเป้า
นี่คือ อีกวิชานึงที่เธอได้รับการฝึกฝนตั้งแต่อายุห้าขวบ โดยติดตามพี่ชายทั้งสามไปฝึกด้วยตลอด
จนชำนาญ ซึ่งเธอใช้วิชานี้ฝึกสมาธิและเป็นกีฬาไปในตัว ไม่คิดว่า วันนี้ เธอจะได้ทำสิ่งนี้
ในดินแดนนี้ ที่กำลังเกิดสงคราม และสวามีของเธอและบุรุษในดินแดนนี้ที่ไปออกศึก
ก็ยังไร้วี่แววไร้ข่าวคราวใดๆส่งกลับมา รอบสนามยิงธนูจึงมีชาวเมืองที่เป็นสตรีและเด็กๆ
กับคนชราเท่านั้น
เมื่อลูกธนูสุดท้ายในมือถูกปล่อยออกไป ม้าที่กำลังควบก็ค่อยๆหยุดวิ่ง
หะบีบี้ก็หันไปมองรอบๆกาย พบว่า มีกองทัพม้ากำลังจัดกองทัพอยู่รอบๆสนามยิงธนูแห่งนั้น
โดยมีม้าสีขาวตัวนึงในกองทัพม้านั้นกำลังควบมาหาเธอ หญิงสาวหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นว่าใคร
ที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวนั้น เจ้านีมควบมาใกล้เธอเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดอยู่ข้างๆม้าของเธอ
"เจ้าทำให้การกลับจากการศึกของข้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ"
"ท่านพี่" หะบีบี้ยิ้มทั้งน้ำตาแห่งความดีใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้า
พลางมองสำรวจเขาไปด้วย
"อย่ากังวลใจไปเลย การศึกครั้งนี้ พวกเราได้รับชัยชนะ"
"อัลฮัมดุลิลลาห์" หะบีบี้เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจกับชัยชนะที่ได้รับ
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปยังชายา หญิงสาววางมือลงบนฝ่ามือของเขาแล้วกระชับแน่น
หัวใจกระตุกไปกับแววตาของเขาที่จับจ้องมองมายังเธอราวกับส่งสารบางอย่างมาให้เธอ
รู้สึกร้อนผะผ่าวขึ้นมา ซึ่งไอร้อนนั้นมันโลมเลียใบหน้าเธอจนต้องหลบเลี่ยงจากสายตาคู่นั้นไปอีกทาง
มุสตอฟาหันไปทางคนสนิท ทำสัญญาณให้นำลูกธนูมาให้กับหะบีบี้ แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า
"จะเป็นเกียรติอย่างยิ่งหากว่าเจ้าจะยอมร่วมประลองฝีมือกับข้า" หะบีบี้ถึงกับเลิกคิ้วสูง
ก่อนจะยิ้มและพยักหน้ารับคำท้า
และม้าทั้งสองตัวก็ควบไปในสนามยิงธนูโดยทั้งสองสามีภรรยา
ต่างก็ปล่อยลูกธนูไปยังเป้าหมายกลางสนาม ชาวเมืองถึงกับกรูกันมาดูการประลองฝึมือ
กันอย่างล้นหลาม เหล่าขุนพลในกองทัพม้าที่เพิ่งกลับจากการศึก
ถึงกับทึ่งไปกับฝีมือการยิงธนูของอิสตรีในสนามที่ควบม้าเคียงกันไปกับผู้นำสูงสุดของพวกเขา
ซึ่งลูกธนูของทั้งสองก็พุ่งปักอยู่ในตำแหน่งที่ติดกันอีก
ในดินแดนนี้ยังไม่มีใครจะมีฝีมือยิงธนูบนหลังม้าได้เก่งกาจเท่าผู้นำสูงสุดอย่างท่านมุสตอฟา
ยังไม่มีใครจะต่อกรกับท่านมุสตอฟาได้เลย
และยังไม่มีอิสตรีใดจะทำเยี่ยงนี้ได้ เพราะเป็นวิชาที่ไม่ได้ถูกส่งเสริมให้กระทำ
"เจ้าช่างทำให้ข้ามีเรื่องให้ต้องประหลาดใจได้ทุกครา"
มุสตอฟาเปรยขึ้นด้วยแววตาที่ปกปิดความชื่นชมเอาไว้ไม่มิดหลังจากที่การประลองสิ้นสุดลง
ทำเอาคนที่ปกติจะชินกับคำชมจากผู้คนที่ได้ยินอยู่เป็นนิจนั้นถึงกับออกอาการขวยเขิน
คงเพราะสายตาคู่นั้นอีกนั่นแหละ ที่ส่งผลต่อหัวใจเธอขนาดนี้
"ข้าจะถือว่านี่คือคำชมจากท่านพี่" ว่าแล้วหญิงสาวก็ควบม้าออกไปจากสถานที่แห่งนั้นแก้อาการเขินอาย
โดยมุ่งสู่บ้านของมารดาของเขาที่เธอจากมาโดยที่ยังไม่ได้แจ้งให้ท่านได้ทราบเรื่อง
มุสตอฟามองตามร่างโปร่งบางในชุดสีขาวที่กำลังสะบัดพริ้วไปตามสายลมขณะควบม้า
ด้วยท่วงท่าสง่างามเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้แล้วควบม้าตามร่างบางไปติดๆ
นักรบขุนพลจึงยากย้ายกันกลับเรือนแห่งตนที่ครอบครัวรอคอยการกลับคืนสู่เรือนมาร่วมเดือน
เมื่อถึงเรือนชาน มุสตอฟาก็โดนผู้เป็นมารดาโผเข้ากอดเสียแน่นและเนิ่นนาน ยึดเขาเอาไว้จนเจ้าตัว
หันไปยิ้มให้สตรีที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังมารดาของเขาอย่างเอ็นดูในความเก้อเขินปนเง้างอดนั่น
"ท่านแม่ไม่เห็นใจชายาลูกบ้างฤๅ นางคงอยากกอดลูกเสียเต็มทีแล้ว" หะบีบี้ถึงกับถลึงตาใส่เขา
ที่แววตาเป็นประกายวาววับแปลกประหลาดตั้งแต่อยู่ในสนามยิงธนูแล้ว
"นั่นสิ แม่ก็ลืมไปเลยว่าเจ้ามีชายาเคียงกายแล้ว แม่นี่น่าตีเสียจริง" ผู้เป็นมารดาหันมายิ้มให้ลูกสะใภ้
แล้วลูบบ่านั่นอย่างเอ็นดู พลางกล่าวว่า
"พาสวามีเจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์สิหะบีบี้ เดี๋ยวแม่จะจัดเตรียมอาหารไว้รอ"
หญิงสาวพยักหน้าแล้วก้มหน้างุดทันทีเพราะไม่กล้าสบสายตาคู่นั้นของเขาที่จับจ้องแต่เธอเลย
ชวนให้รู้สึกร้อนๆหนาวๆแปลกๆ ทั้งๆที่เธออยากโผเข้ากอดเขาแบบเดียวกับที่มารดาของเขาทำให้ดูเมื่อครู่
สักแค่ไหน ทว่า เมื่อสบตาคู่นั้นเข้า ใจก็สั่น ขาก็สั่น กระดากและสะเทิ้นอายอย่างรุนแรงขึ้นมา
ชีวิตนี้ไม่เคยมีใครทำให้เธอเสียทรงจนควบคุมตัวเองยากลำบากเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ
และอาการทั้งหมดที่ทั้งสองตอบสนองต่อกันก่อเกิดเป็นรอยยิ้มตรงมุมปากของหญิงวัยกลางคน
ก่อนจะเปรยออกมาด้วยแววตาคาดหวังระคนหยอกล้อว่า
"แม่รอคอยจะอุ้มเจ้าตัวเล็กตัวน้อยมาแสนนานเหลือเกิน อยากให้เรือนนี้มีแต่เด็กตัวเล็กตัวน้อย"
และประโยคนั่น ทำเอาหะบีบี้มิอาจยืนก้มหน้าหนีสายตาสวามีได้อีกต่อไป รีบสาวเท้าเข้าห้องส่วนตัวไป
ร่างสูงใหญ่จึงก้าวตามไปติดๆ
........................โปรดติดตามตอนต่อไป.............................
และอดท่องไปในดินแดนนี้ อีกทั้งเธอถูกส่งไปยังบ้านของมารดาของท่านผู้นำ
เพื่อเรียนรู้เรื่องงานบ้านงานเรือนต่างๆ
ส่วนผู้นำสูงสุดของดินแดนนี้ติดภารกิจออกศึกซึ่งข้าึกที่หมายจะยึดฐานทัพของดินแดนนี้
มาอยู่ในความดูแลของตน ซึ่งประกอบไปด้วยกองกำลังทั้งคนและญินจำนวนมหาศาลจากท้องทะเล
ทำให้ในทุกๆวัน หะบีบี้จะออกมารอคอยผู้เป็นสวามีตรงหน้าชานเรือน
ซึ่งวันนี้ครบเดือนแล้วที่เขายังไม่กลับมา และยังไม่มีการส่งข่าวอะไรกลับมาด้วยเช่นกัน
รอยยิ้มขาดไปจากใบหน้าของหญิงสาวตั้งแต่วันที่เขาบอกลาเธอ
จนอดคิดถึงรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าในวันนั้นที่เธอเห็นมิได้
'เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข้าจะกลับมาหาเจ้า มานอนกอดเจ้าให้ชื่นใจ อย่างแน่นอน
ถึงตอนนั้นเจ้าคงพร้อมสำหรับข้าแล้วทั้งกายและใจ' เธอที่ได้ยินประโยคนั้นถึงกับขวยเขิน
เพราะเข้าใจความนัยนั้นดียิ่งนัก และอดคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆนั่นของเขามิได้
ช่างหนาวเหน็บยิ่งนักกับคืนวันที่ผ่านไปโดยไม่มีเขานอนข้างกาย
หะบีบี้มองไปยังม้าสีขาวที่เขาหามาให้เธอได้ใช้เป็นพาหนะที่ตอนนี้คุ้นเคยสนิทสนมกันแล้ว
ก่อนจะเดินไปลูบขนสีขาวของมันเอาใบหน้าซบกับม้าสีขาว
พึมพำเบาๆกับม้าที่เธอตั้งชื่อให้ว่า 'มีม' คล้องจองกับชื่อม้าของเขา
"คิดถึงเขาเนอะมีม" เสียงม้าตอบกลับมาทำให้หญิงสาวน้ำตาคลอ
"พาข้าไปสนามยิงธนูหน่อยสิ เผื่อข้าจะได้ไม่ต้องเฝ้าแต่คอยคิดถึงแต่เขาอยู่เยี่ยงนี้"
ว่าแล้วก็พาตัวเองขึ้นไปนั่งบนม้าสีขาวแล้วคุมบังเหียนควบม้าไปยังสนามยิงธนู
โดยมีเสียงเรียกของมารดาผู้นำสูงสุดดังตามหลังไป หากก็ช้าเกินกว่าจะห้ามได้
เมื่อร่างบางบนหลังม้าได้ควบม้าจากไปไกลเกินจะได้ยินเสียงของนางแล้ว
และนางก็ไม่ควบม้ามานานหลายสิบปีแล้ว
แต่หะบีบี้มีเนนกับเนมาคอยติดตามอย่างเงียบๆ นางจึงเดินกลับเข้าบ้านไปด้วยใบหน้าที่
บ่งบอกถึงความกังวลและคนึงถึงลูกชายอย่างปกปิดมิได้อีกต่อไป
ต่อให้จะดูสงบนิ่งแค่ไหน หากลึกลงไปภายในใจนั้น ราวกับมีคลื่นคอยก่อกวน
ภาพที่ผู้คนในดินแดนนี้มองอยู่ในยามนี้ คือ ภาพที่ชายาของผู้นำสูงสุดกำลังควบม้า
ไปรอบๆสนามยิงธนู โดยในมือถือธนูที่ค่อยๆปล่อยลูกธนูออกไปยังเป้าที่วางอยู่กลางสนาม
ซึ่งหามีหญิงใดในดินแดนนี้ไม่ที่จะทำสิ่งนี้เยี่ยงหะบีบี้ ม้าเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วสูง
หากสาวงามบนหลังม้ากลับปล่อยลูกธนูพุ่งไปยังเป้าได้ตรงจุดสำคัญทุกเป้า
นี่คือ อีกวิชานึงที่เธอได้รับการฝึกฝนตั้งแต่อายุห้าขวบ โดยติดตามพี่ชายทั้งสามไปฝึกด้วยตลอด
จนชำนาญ ซึ่งเธอใช้วิชานี้ฝึกสมาธิและเป็นกีฬาไปในตัว ไม่คิดว่า วันนี้ เธอจะได้ทำสิ่งนี้
ในดินแดนนี้ ที่กำลังเกิดสงคราม และสวามีของเธอและบุรุษในดินแดนนี้ที่ไปออกศึก
ก็ยังไร้วี่แววไร้ข่าวคราวใดๆส่งกลับมา รอบสนามยิงธนูจึงมีชาวเมืองที่เป็นสตรีและเด็กๆ
กับคนชราเท่านั้น
เมื่อลูกธนูสุดท้ายในมือถูกปล่อยออกไป ม้าที่กำลังควบก็ค่อยๆหยุดวิ่ง
หะบีบี้ก็หันไปมองรอบๆกาย พบว่า มีกองทัพม้ากำลังจัดกองทัพอยู่รอบๆสนามยิงธนูแห่งนั้น
โดยมีม้าสีขาวตัวนึงในกองทัพม้านั้นกำลังควบมาหาเธอ หญิงสาวหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นว่าใคร
ที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวนั้น เจ้านีมควบมาใกล้เธอเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดอยู่ข้างๆม้าของเธอ
"เจ้าทำให้การกลับจากการศึกของข้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ"
"ท่านพี่" หะบีบี้ยิ้มทั้งน้ำตาแห่งความดีใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้า
พลางมองสำรวจเขาไปด้วย
"อย่ากังวลใจไปเลย การศึกครั้งนี้ พวกเราได้รับชัยชนะ"
"อัลฮัมดุลิลลาห์" หะบีบี้เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจกับชัยชนะที่ได้รับ
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปยังชายา หญิงสาววางมือลงบนฝ่ามือของเขาแล้วกระชับแน่น
หัวใจกระตุกไปกับแววตาของเขาที่จับจ้องมองมายังเธอราวกับส่งสารบางอย่างมาให้เธอ
รู้สึกร้อนผะผ่าวขึ้นมา ซึ่งไอร้อนนั้นมันโลมเลียใบหน้าเธอจนต้องหลบเลี่ยงจากสายตาคู่นั้นไปอีกทาง
มุสตอฟาหันไปทางคนสนิท ทำสัญญาณให้นำลูกธนูมาให้กับหะบีบี้ แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า
"จะเป็นเกียรติอย่างยิ่งหากว่าเจ้าจะยอมร่วมประลองฝีมือกับข้า" หะบีบี้ถึงกับเลิกคิ้วสูง
ก่อนจะยิ้มและพยักหน้ารับคำท้า
และม้าทั้งสองตัวก็ควบไปในสนามยิงธนูโดยทั้งสองสามีภรรยา
ต่างก็ปล่อยลูกธนูไปยังเป้าหมายกลางสนาม ชาวเมืองถึงกับกรูกันมาดูการประลองฝึมือ
กันอย่างล้นหลาม เหล่าขุนพลในกองทัพม้าที่เพิ่งกลับจากการศึก
ถึงกับทึ่งไปกับฝีมือการยิงธนูของอิสตรีในสนามที่ควบม้าเคียงกันไปกับผู้นำสูงสุดของพวกเขา
ซึ่งลูกธนูของทั้งสองก็พุ่งปักอยู่ในตำแหน่งที่ติดกันอีก
ในดินแดนนี้ยังไม่มีใครจะมีฝีมือยิงธนูบนหลังม้าได้เก่งกาจเท่าผู้นำสูงสุดอย่างท่านมุสตอฟา
ยังไม่มีใครจะต่อกรกับท่านมุสตอฟาได้เลย
และยังไม่มีอิสตรีใดจะทำเยี่ยงนี้ได้ เพราะเป็นวิชาที่ไม่ได้ถูกส่งเสริมให้กระทำ
"เจ้าช่างทำให้ข้ามีเรื่องให้ต้องประหลาดใจได้ทุกครา"
มุสตอฟาเปรยขึ้นด้วยแววตาที่ปกปิดความชื่นชมเอาไว้ไม่มิดหลังจากที่การประลองสิ้นสุดลง
ทำเอาคนที่ปกติจะชินกับคำชมจากผู้คนที่ได้ยินอยู่เป็นนิจนั้นถึงกับออกอาการขวยเขิน
คงเพราะสายตาคู่นั้นอีกนั่นแหละ ที่ส่งผลต่อหัวใจเธอขนาดนี้
"ข้าจะถือว่านี่คือคำชมจากท่านพี่" ว่าแล้วหญิงสาวก็ควบม้าออกไปจากสถานที่แห่งนั้นแก้อาการเขินอาย
โดยมุ่งสู่บ้านของมารดาของเขาที่เธอจากมาโดยที่ยังไม่ได้แจ้งให้ท่านได้ทราบเรื่อง
มุสตอฟามองตามร่างโปร่งบางในชุดสีขาวที่กำลังสะบัดพริ้วไปตามสายลมขณะควบม้า
ด้วยท่วงท่าสง่างามเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้แล้วควบม้าตามร่างบางไปติดๆ
นักรบขุนพลจึงยากย้ายกันกลับเรือนแห่งตนที่ครอบครัวรอคอยการกลับคืนสู่เรือนมาร่วมเดือน
เมื่อถึงเรือนชาน มุสตอฟาก็โดนผู้เป็นมารดาโผเข้ากอดเสียแน่นและเนิ่นนาน ยึดเขาเอาไว้จนเจ้าตัว
หันไปยิ้มให้สตรีที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังมารดาของเขาอย่างเอ็นดูในความเก้อเขินปนเง้างอดนั่น
"ท่านแม่ไม่เห็นใจชายาลูกบ้างฤๅ นางคงอยากกอดลูกเสียเต็มทีแล้ว" หะบีบี้ถึงกับถลึงตาใส่เขา
ที่แววตาเป็นประกายวาววับแปลกประหลาดตั้งแต่อยู่ในสนามยิงธนูแล้ว
"นั่นสิ แม่ก็ลืมไปเลยว่าเจ้ามีชายาเคียงกายแล้ว แม่นี่น่าตีเสียจริง" ผู้เป็นมารดาหันมายิ้มให้ลูกสะใภ้
แล้วลูบบ่านั่นอย่างเอ็นดู พลางกล่าวว่า
"พาสวามีเจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์สิหะบีบี้ เดี๋ยวแม่จะจัดเตรียมอาหารไว้รอ"
หญิงสาวพยักหน้าแล้วก้มหน้างุดทันทีเพราะไม่กล้าสบสายตาคู่นั้นของเขาที่จับจ้องแต่เธอเลย
ชวนให้รู้สึกร้อนๆหนาวๆแปลกๆ ทั้งๆที่เธออยากโผเข้ากอดเขาแบบเดียวกับที่มารดาของเขาทำให้ดูเมื่อครู่
สักแค่ไหน ทว่า เมื่อสบตาคู่นั้นเข้า ใจก็สั่น ขาก็สั่น กระดากและสะเทิ้นอายอย่างรุนแรงขึ้นมา
ชีวิตนี้ไม่เคยมีใครทำให้เธอเสียทรงจนควบคุมตัวเองยากลำบากเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ
และอาการทั้งหมดที่ทั้งสองตอบสนองต่อกันก่อเกิดเป็นรอยยิ้มตรงมุมปากของหญิงวัยกลางคน
ก่อนจะเปรยออกมาด้วยแววตาคาดหวังระคนหยอกล้อว่า
"แม่รอคอยจะอุ้มเจ้าตัวเล็กตัวน้อยมาแสนนานเหลือเกิน อยากให้เรือนนี้มีแต่เด็กตัวเล็กตัวน้อย"
และประโยคนั่น ทำเอาหะบีบี้มิอาจยืนก้มหน้าหนีสายตาสวามีได้อีกต่อไป รีบสาวเท้าเข้าห้องส่วนตัวไป
ร่างสูงใหญ่จึงก้าวตามไปติดๆ
........................โปรดติดตามตอนต่อไป.............................
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มิ.ย. 2566, 22:44:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มิ.ย. 2566, 22:44:25 น.
จำนวนการเข้าชม : 303
<< บทที่ 14 นาฬิกาตาย | ถนนสายหัวใจ >> |