หะบีบี้...สุดที่รักของผม
หะบีบี้ น้องนุจสุดท้องแห่งตระกูลโสพณพสุธ
จะทำเช่นไร...
เมื่อการกลับสู่บ้านเกิดกลายกลับตาลปัตร
เป็นบ้านหลังอื่นที่ไม่เคยมีใครรู้ว่ามีอยู่จริงบนโลกนี้
"ดินแดนที่ไม่มีปรากฏบนแผนที่โลก"
ปรากฏแก่สายตา...
"คนแปลกหน้า" เธอคือคนแปลกหน้าสำหรับคนบนดินแดนนี้
และคนบนดินแดนนี้ก็คือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอเช่นกัน
คนแปลกหน้าอย่างเธอจะต้องทำเช่นไรในดินแดนใหม่...
เมื่อการกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้องกลายกลับเป็นความว่างเปล่า
และเขา...คือ 'ภัยคุกคาม!'
ที่กำลังก่อกวนหัวใจเธอนับแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ...
เขา...ผู้เป็น...อัศวินขี่ม้าขาวในฝันของเธอมาตลอด...
คนที่เธอเฝ้ารอคอยว่าจะได้เจอในความจริงสักครั้ง...
หากความจริงที่เจอ...กลับพลิกผันชีวิตเธอไปตลอดกาล...
Tags: รักโรแมนติก เพ้อฝัน ความลี้ลับ วิทยาศาสตร์ มุสตอฟา หะบีบี้ โสภณพสุธ
ตอน: ถนนสายหัวใจ
ภายในห้องนอน มุสตอฟาที่เดินตามร่างบางของชายาเข้ามาก็ยิ้มบางๆที่มุมปากราวกับหยั่งรู้ความนึกคิด
ของอีกฝ่ายได้ เขาจึงคว้ามือบางมากุมไว้หลวมๆ ลูบคลึงหลังมือเบาๆด้วยหัวแม่มือ
ก่อนจะระบายยิ้มออกมายามมองใบหน้าที่กำลังก้มมองพื้น
"หัวใจเจ้าคงคลายลงแล้วใช่ฤๅไม่" หะบีบี้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของน้ำเสียงทุ้มและนุ่มนั้น
ก็พบแววตาใจดีเอื้อเอ็นดูไม่เคยเปลี่ยนไปนั้นของเขา ทำให้เธออบอุ่นใจได้เสมอ
"ค่ะ ท่านพี่ทำให้หัวใจข้าคลายลง เบาลง และสบายหายกังวลเป็นปลิดทิ้ง"
"แค่ได้พิศมองรอยยิ้มเปื้อนหน้าของเจ้าในทุกครา ข้าก็พึงพอใจแล้ว
เช่นนั้น ข้าขอไปชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนหนา"
"ท่านพี่ เอ่อ ไม่ ไม่" มุสตอฟายิ้มกว้างก่อนจะกล่าววาจาไพเราะน่าฟังว่า
"ข้ามีสถานที่แห่งนึง อยากพาเจ้าไป เจ้าอยากไปฤๅไม่" แววตาหะบีบี้ส่องประกายจ้าจนคนที่กำลังจ้องมองอยู่ถึงกับยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
"สวยฤๅไม่คะ"
"มหัศจรรย์จนเจ้าอาจข่มตาหลับมิลง" คนฟังถึงกับตื่นเต้นจนลืมตัว ลืมรักษาภาพลักษณ์อันดีงามที่ท่านย่า
คอยอบรมสั่งสอน เคี่ยวกรำมาตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย ซึ่งปกติแล้วก็ไม่เคยรักษามันได้เลยต่อหน้าบุรุษผู้นี้
"เช่นนั้นแล้ว ท่านจงรีบอาบน้ำเลยนะคะ ข้าแทบไม่อยากจะรอเลยแม้สักวินาทีเดียว
อยากควบม้าออกไปยังสถานที่แห่งนั้นอย่างเร็วรี่เชียว" มุสตอฟาอมยิ้มจนแก้มป่องกับอากัปกริยา
ที่เปิดเผยความปรารถนาออกมาจนหมดสิ้นนั้นของหญิงสาว
"เจ้ามักใช้ภาษาประหลาดปะปนมาเช่นนี้เสมอ แต่ข้ากลับชื่นชอบยิ่งนัก" หะบีบี้ยิ้มกว้าง แววตาเป็นประกาย
งดงามจนคนมองไม่อาจละวางจากความงดงามนั้นไปได้ง่ายดายนัก
"ก็ข้าเมื่อยปากมากเลยค่ะที่ต้องพูดภาษาโบร่ำโบราณเช่นนี้ มันยืดๆอย่างไรก็ไม่รู้ กว่าจะพูดจบ
ข้าแทบง่วงผล็อยหลับเลยเชียวหนาท่านพี่หนา" ไม่วายยิ้มยียวนกวนประสาทอีกฝ่ายตามพื้นนิสัยเดิม
ที่มักทำให้ผู้เป็นย่าต้องปวดเศียรเวียนเกล้า
"ภาษาโบราณฤๅ"
"ใช่แล้วค่ะท่านพี่มุสตอฟาเจ้าขา ภาษาที่ท่านใช้นั้นแสนจะโบราณจนข้าไม่แน่ใจว่าข้าจะพูดกับท่าน
แล้วท่านจะเข้าใจข้าได้หรือไม่"
"ข้าเข้าใจเจ้า แจ้งแก่ใจอยู่ดอกหนา เจ้าเป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา มิได้เจือสิ่งซึ่งเสแสร้ง
เปิดจนเห็นซึ่งหัวใจเลยทีเดียวหนา ใยข้าจักมิรู้ความในใจของเจ้าเล่า"
หะบีบี้ยิ้มกว้างทีเดียวเมื่อได้ยินเช่นนั้น
"เช่นนั้นแล้ว ท่านก็อย่าได้ถือสาข้าเลยหนาท่านพี่มุสตอฟา ข้าเป็นสตรีที่มิได้สำรวมเฉกเช่นสตรี
ในดินแดนนี้ และข้าก็มิได้เย็บปักถักร้อยหรือทอผ้าได้เฉกเช่นสตรีในดินแดนนี้ ข้าเป็นสตรีที่มิได้สมควรค่า
ที่เกิดมาเป็นสตรีเลยด้วยซ้ำ ข้า ข้ารู้ตัวว่าข้าไม่ได้คู่ควรกับท่านเลยสักนิด"
มือใหญ่ลูบหลังมือหะบีบี้ก่อนจะยกขึ้นจุมพิตเบาๆ
"ข้ารักเจ้าหนา นั่นเพียงพอแล้วสำหรับข้า" สั้นๆ ทว่าทำให้หัวใจหญิงสาวถึงกับสั่นสะเทือน
"ข้าขอมอบความรักแด่เจ้าผู้เป็นหนึ่งเดียวที่ข้าต้องการ ขอเพียงเจ้าเท่านั้น สตรีอื่นมิได้สำคัญดอกหนา"
ก่อนจะย้ำด้วยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังถึงกับยืนแทบไม่ไหว ทำไมนะคำพูดโบร่ำโบราณเชยๆเช่นนี้
เมื่อได้ฟังจากปากของท่านมุสตอฟาจะๆจังๆตรงเบื้องหน้าเช่นนี้แล้วพาลให้หัวใจของเธอโลดแล่นเยี่ยงนี้
"หาไม่ ข้ามิได้มุสาวาจาที่ลั่นวาจาเช่นนั้นออกไป คำสัญญาที่เอ่ยออกไปนั่นแล่นออกมาจากใจข้าโดยแท้
และจะมิใช่แค่วาจา ข้าจักทำให้เจ้าเห็นและสัมผัส" หะบีบี้รวบร่างใหญ่เข้าสู่อ้อมกอดเอาไว้แน่น
ไร้วาจาใดๆเปล่งออกมา มีเพียงน้ำตาที่ใหลออกมาจนเจ้าของอกแกร่งสัมผัสได้ถึงความเปียกอันแสนอุ่นนั้น
"ข้ามีดาวดวงนึงที่อยากจะแนะนำให้เจ้าได้ทำความรู้จักไว้ ต่อไปไม่ว่าเจ้าจักอยู่แห่งหนใดก็ตาม
เจ้าก็จะมีดาวดวงนั้นคอยนำทางเจ้า ยามมีน้ำตา ดาวดวงนั้นก็จะคอยซับน้ำตาให้กับเจ้าได้"
หะบีบี้ผละจากอกกว้างขวางและแข็งแกร่งนั้น แล้วเอียงคอน้อยๆมองเขาพลางเอ่ยขึ้นว่า
"ข้าก็มีดาวดวงนึงที่อยากให้ท่านพี่ได้รู้จักไว้เช่นกันค่ะ เป็นดวงดาวประจำใจข้าเอง"
"เจ้ามีดวงดาวประจำได้ด้วยฤๅ"
"ใช่แล้วค่ะ เป็นดาวลึกลับ" แววตาคนพูดมีแววซ่อนลับลมคมใน
"ข้าจำต้องรีบไปสะสางร่างกายตนเองให้สะอาดเพื่อที่จะพาเจ้าไปยังสถานที่ดังกล่าวเสียที
มิเช่นนั้นอาจจะช้าจนพลาดสิ่งสวยงามยิ่งไป"
"งั้น ข้าจะช่วยท่านพี่นะเจ้าคะ" หะบีบี้ขันอาสา ก่อนจะหน้าแดงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนได้เอ่ยวาจาเช่นใดออกไป
"เอ่อ เอ่อ" มุสตอฟาเห็นท่าทางอ้ำๆอึ้งๆนั้นของหญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มบาง ยกมือขึ้นลูบหัวทุยๆนั้น
"เจ้าจัดการตัวเองเถิด ข้ามิเป็นไร ไม่รบกวนให้เจ้าต้องหน้าแดงแล้วหน้าแดงอีกเช่นนี้หรอกหนา
น่าเอ็นดูเสียเหลือคณาเช่นนี้ ข้าหวั่นว่าจะอดใจไม่ไหวจับเจ้ากินเป็นอาหารค่ำแทนอาหารฝีมือท่านแม่ ฮึ ฮึ"
พูดจบชายหนุ่มก็เดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้หะบีบี้ยืนเขินอายม้วนไปม้วนมา
มีเสียง ฮึ ฮึ ตบท้ายหรือนี่ ใช่เขาจริงๆหรือนี่ ยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งทำให้เธอหวั่นไหวแล้วหวั่นไหวอีก
ต้องทำไงดีกับหัวใจของตนเองหนอหะบีบี้เอ๋ย
"ท่านนะท่าน ทำไมถึงได้พูดจาไพเราะกับข้าตลอด ท่านพูดจาหยาบคายไม่เป็นเลยหรืออย่างไรหนา
แล้วทำไมถึงใจดีกับข้าตลอด ทำไมถึงต้องมองข้าแบบเอ็นดูทุกทีด้วย
ตั้งแต่เจอกัน ท่านเคยพูดจาไม่เพราะรึก็ไม่
ทำไมนะท่านมุสตอฟา ท่านถึงได้กระชากหัวใจบีบี้เช่นนี้" หญิงสาวได้แต่พึมพำไปก็หน้าแดงไป
ก็ไม่ใช่เพราะเขาหรือ ที่ทำให้เธอมีสถานะหัวใจเป็นแบบนี้
.......................................................
ม้าสองตัวควบเคียงคู่กันไปตามเส้นทางที่ต้นไม้ทั้งสองข้างริมทางโค้งเข้าหากัน
ใบไม้ทั้งหมดเป็นสีเหลืองทองอร่ามตา หะบีบี้อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆกาย
พลันนึกไปถึงใบไม้สีเหลืองในฤดูใบไม้ร่วงที่ญี่ปุ่น จึงถามผู้นำทางเมื่อม้าทั้งสองเดินเหยาะๆ
"ใบไม้มีสีนี้เพราะมันเป็นช่วงเปลี่ยนสีก่อนจะร่วง หรือเป็นเพราะว่า มันมีสีนี้มาแต่เดิมหรือคะ"
"พวกมันเป็นสีนี้มาแต่เดิม และไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเป็นสีอื่นเลย เราเรียกถนนสายนี้ว่า
ถนนสายหัวใจ" หะบีบี้กระตุกหัวคิ้วด้วยความฉงนใจ
"เจ้าจงพินิจลักษณะใบของมันดูเอาเถิด มันมีลักษณะคล้ายกับหัวใจของพวกเราเพียงใด"
ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปรับใบไม้สีเหลืองทองที่กำลังร่วงลงมาแล้วยื่นมันส่งต่อให้หะบีบี้ที่นั่งม้าอีกตัว
หญิงสาวรับใบไม้ดังกล่าวมาแล้วพินิจมองก็คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะเงยหน้ามองเขาที่ตอนนี้
กำลังยิ้มให้เธออยู่
"บีบี้ขอนะคะท่านพี่"
"หืมมมม เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอย่างไรหนา"
"ก็...บีบี้ขอนะคะท่านพี่" มุสตอฟายิ้มบาง
"บีบี้ฤๅ" หะบีบี้พยักหน้าอย่างเก้อเขินที่เผลอแทนตัวไปแบบนั้นกับเขา
"เจ้าค่ะท่านพี่ บีบี้ก็คือ บีบี้คนนี้อย่างไรละเจ้าคะ" หญิงสาวเล่นสำนวนการพูดไปเรื่อยให้เขางงงัน
จะได้ไม่น่าเบื่อ โดยชี้นิ้วมายังตัวเองด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
"ข้าชอบ" เขาตอบสั้นๆ
"ชอบให้เจ้าพูดแทนตัวเองเช่นนี้แค่เพียงข้า"
"ได้เจ้าค่ะ โอเคไม่ขัดข้องเลยเจ้าค่ะ"
"เจ้าพูดจาฟังยากขึ้นเรื่อยๆหนา"
"ท่านพี่จะได้สมองแล่นตลอดเวลาที่อยู่กับบีบี้ไงเจ้าคะ และจะได้ฝึกฟังสำนวนภาษา
ในดินแดนของพี่บีบี้ไปพลางๆด้วยไงเจ้าคะ" ว่าแล้วก็ยัดใบไม้สีเหลืองทอง
เข้าไปซ่อนไว้ใต้อาภรณ์ที่อยู่ใต้ผ้าคลุมฮิญาบ
"เอาไว้ใกล้ๆหัวใจดีมั้ยเจ้าคะ" มุสตอฟาพยักหน้าให้อย่างเอื้อเอ็นดูกับอากัปกริยานั่น
"เหมือนสวรรค์เลยเจ้าค่ะ ไม่อยากจากไปเลย หยุดตรงนี้นานๆได้มั้ยเจ้าคะ" มุสตอฟาส่ายหัวไปมา
ให้กับท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่กำลังงอแง
"ที่ที่ข้าจะพาเจ้าไปนั้น งดงามเกินจะพรรณนาเชียวหนา และเราควรไปให้ถึงที่นั่นก่อนค่ำลง"
"งั้นก็ได้เจ้าค่ะ ยอมก็ได้เจ้าค่ะ"
แล้วม้าทั้งสองก็ควบผ่านถนนสายหัวใจสีทองไปอย่างว่องไวราวกับสายฟ้า
ผ่านทิวทัศน์อันสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจตลอดเส้นทาง จนกระทั่งม้าขาวที่คุมบังเหียนโดยบุรุษ
หยุดวิ่งแล้วค่อยๆเดินเหยาะๆ ม้าอีกตัวก็ทำตาม บรรยากาศต่างๆรอบกายเปลี่ยนผันไป
ราวกับทั้งสองกำลังก้าวข้ามประตูมิติผ่านจากมิติหนึ่งไปสู่อีกมิติหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"เจ้าเห็นปราสาทหลังน้อยนั่นฤๅไม่" หะบีบี้มองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังเคหะสถานแห่งหนึ่ง
ในดินแดนมหัศจรรย์ยิ่งกว่าที่เธอเคยพบพานมาก่อนในชีวิต
"ดวงตะวันลับขอบฟ้าแล้ว เราเข้าไปละหมาดในนั้นกันเถอะ" เขาเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
น่าฟังเหลือเกิน
เมื่อถึงยังเคหะสถานดังกล่าว มุสตอฟาก็ลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินไปยังม้าของชายา
แล้วรับตัวของนางมาไว้ในอ้อมกอด แล้วจึงปล่อยนางลงสู่พื้นหญ้าที่อ่อนนุ่มละมุนราวกับพื้นพรม
จากนั้นก็นำม้าทั้งสองไปผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่ชีวิตต่างๆโดยรอบ
ม้าทั้งสองก็ลงมือเล็มหญ้าตรงนั้นอย่างเอร็ดอร่อย
"หญ้าที่นี่เป็นหญ้าที่ม้าของข้าชื่นชอบเป็นพิเศษ ส่งให้กำลังวังชาของมันมีมากยิ่งกว่าม้าอื่นๆ"
เขาอธิบายในขณะที่หะบีบี้กลับเงียบ เนื่องจากพูดอะไรไม่ออกกับภาพและบรรยากาศรอบตัวในขณะนี้
"นี่บีบี้ฝันไปใช่มั้ยคะ เพียงฝันไปใช่มั้ย" หญิงสาวเอ่ยออกมาราวกับกำลังละเมอ
มุสตอฟาจึงเดินเข้ามาใกล้ โอบบ่านั่นไว้และเอ่ยเบาๆทว่าหนักแน่นว่า
"ถ้านี่เป็นเพียงความฝัน ข้าก็มิอยากให้เจ้าตื่นอีกเลยชั่วนิรันดร์ เจ้าจะได้อยู่กับข้าตลอดไป"
หะบีบี้หันหน้าเข้าสู่อ้อมอกแกร่งนั้น ก่อนจะซุกหน้าลงตรงนั้นพร้อมกับความกลัวจับขั้วหัวใจ
"บีบี้อยากจะอยู่ตรงนี้เรื่อยไป ไม่อยากเจอเรื่องจริงเรื่องใดที่จะทำให้เราต้องห่างไกลกันเลยค่ะ"
อ้อมแขนอันกว้างขวางของเขาโอบรัดร่างบางเอาไว้แน่นพร้อมกับเอ่ยวาจาราวกับสัญญาว่า
"ไม่ว่าเจ้าจะอยู่แห่งหนใด จะไกลลับฟ้าหรืออยู่แห่งไหน ข้าจะตามหามิว่าอย่างไร"
หะบีบี้แหงนใบหน้าขึ้นมองเจ้าของแผ่นอกที่ให้ที่พักพิงแก่ตนแล้วคลี่ยิ้มออกมาด้วยดวงตา
เป็นประกายแห่งความไว้วางใจและเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจ
"ฟังดูโบร่ำโบราณแบบที่เจ้าเคยบอกไปคราก่อนฤๅไม่"
"อาจฟังไม่ชินหู และแลดูเชยๆ แต่บีบี้ชอบฟังมากมายเลยเจ้าค่ะท่านพี่มุสตอฟาคนดีของบีบี้"
แล้วทั้งสองก็เดินจูงมือกันไปยังปราสาทหลังน้อยที่น่ารักน่าอยู่อาศัยตรงเบื้องหน้า
ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปยิ่งใกล้เท่าไหร่ สายตาของหญิงสาวก็ยิ่งเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆด้วยความตื่นตะลึง
ระคนตื่นเต้น
"ข้าสร้างปราสาทหลังนี้เอาไว้รอการมาถึงของเจ้า" นั่นคือถ้อยคำที่ทำให้หัวใจของคนฟัง
ถึงกับสั่นสะเทือนไปทั้งหัวใจ จนขาที่กำลังย่างก้าวไปข้างหน้าถึงกับต้องหยุดชะงักลง
"ท่านพี่รู้หรือเจ้าคะว่าบีบี้จะมายังดินแดนแห่งนี้"
"ใช่ ข้ารู้ รู้มานานแล้วว่า สักวันนึง เจ้าจะเดินทางมายังที่นี่ มาเพื่อพบกับข้า
มาเป็นชายาของข้า และมีลูกด้วยกันกับข้า" ประโยคท้ายสุดทำเอาหัวใจน้อยที่กำลังสั่นไหว
แทบจะหยุดเต้น จนต้องยกมือขึ้นทาบหัวใจตน ก้มหน้างุดด้วยความเก้อเขิน
"และเจ้าก็มาพร้อมกับกลิ่นดอกไม้หอมเย้ายวนใจ กลิ่นที่ตราตรึงหัวใจของข้ายิ่งนัก
มิอาจลืมเลือนวันนั้น วันแรกที่ข้าได้พบเจอกับเจ้า กลิ่นจากกายของเจ้าทำให้ข้าเฝ้าละเมอ
ข้าขออภัยที่วันนั้นข้าเสียมารยาทสูดดมกลิ่นหอมของเจ้าที่ล่องลอยมากระทบจมูกของข้าโดยมิอาจ
หักห้ามหัวใจตนไว้ได้ มิอาจควบคุมหัวใจตนได้" หะบีบี้ไม่เข้าใจเลยว่าตนมีกลิ่นหอมดอกไม้ได้อย่างไรกัน
ในเมื่อเธอไม่ใช้น้ำหอม ไม่ใช้ครีมหรือโลชั่นใดๆ เธอมั่นใจว่าตนมิได้ใช้เครื่องหอม
"กลิ่นดอกไม้จากกายเจ้า เป็นกลิ่นหอมของตัวเจ้า มิใช่จากดอกไม้อื่นใดบนโลกใบนี้
และจักไม่มีกลิ่นใดเสมอเหมือน เราต่างก็ถูกขีดเขียนให้มาเจอกัน รักกัน อยู่ด้วยกัน และ"
คำพูดของเขาคล้ายกับอ่านคำถามในใจเธอได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เขาเป็นใครกันนะ เหตุใดที่อ่านใจและหยั่งรู้ใจของเธอได้อย่างชัดเจนเช่นนี้
อีกทั้งยังหยั่งรู้เรื่องราวที่ยังมาไม่ถึงล่วงหน้า
"และข้ายังรู้ด้วยว่า..."
..............................โปรดติดตามตอนต่อไป.........................................................
เขียนตกหล่นตรงไหนผิดพลาดยังไง ทักท้วงกันมาได้นะคะ ช่วงนี้เต่าโยเบลอๆค่ะ
รักษาสุขภาพนะคะ
"เต่าโย"
ถ้าเราได้เจอกันอีกสักวันอยากถาม เธอจำฉันได้อยู่รึเปล่า เธอจะยิ้มให้ฉันรึเปล่า ^^
ของอีกฝ่ายได้ เขาจึงคว้ามือบางมากุมไว้หลวมๆ ลูบคลึงหลังมือเบาๆด้วยหัวแม่มือ
ก่อนจะระบายยิ้มออกมายามมองใบหน้าที่กำลังก้มมองพื้น
"หัวใจเจ้าคงคลายลงแล้วใช่ฤๅไม่" หะบีบี้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของน้ำเสียงทุ้มและนุ่มนั้น
ก็พบแววตาใจดีเอื้อเอ็นดูไม่เคยเปลี่ยนไปนั้นของเขา ทำให้เธออบอุ่นใจได้เสมอ
"ค่ะ ท่านพี่ทำให้หัวใจข้าคลายลง เบาลง และสบายหายกังวลเป็นปลิดทิ้ง"
"แค่ได้พิศมองรอยยิ้มเปื้อนหน้าของเจ้าในทุกครา ข้าก็พึงพอใจแล้ว
เช่นนั้น ข้าขอไปชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนหนา"
"ท่านพี่ เอ่อ ไม่ ไม่" มุสตอฟายิ้มกว้างก่อนจะกล่าววาจาไพเราะน่าฟังว่า
"ข้ามีสถานที่แห่งนึง อยากพาเจ้าไป เจ้าอยากไปฤๅไม่" แววตาหะบีบี้ส่องประกายจ้าจนคนที่กำลังจ้องมองอยู่ถึงกับยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
"สวยฤๅไม่คะ"
"มหัศจรรย์จนเจ้าอาจข่มตาหลับมิลง" คนฟังถึงกับตื่นเต้นจนลืมตัว ลืมรักษาภาพลักษณ์อันดีงามที่ท่านย่า
คอยอบรมสั่งสอน เคี่ยวกรำมาตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย ซึ่งปกติแล้วก็ไม่เคยรักษามันได้เลยต่อหน้าบุรุษผู้นี้
"เช่นนั้นแล้ว ท่านจงรีบอาบน้ำเลยนะคะ ข้าแทบไม่อยากจะรอเลยแม้สักวินาทีเดียว
อยากควบม้าออกไปยังสถานที่แห่งนั้นอย่างเร็วรี่เชียว" มุสตอฟาอมยิ้มจนแก้มป่องกับอากัปกริยา
ที่เปิดเผยความปรารถนาออกมาจนหมดสิ้นนั้นของหญิงสาว
"เจ้ามักใช้ภาษาประหลาดปะปนมาเช่นนี้เสมอ แต่ข้ากลับชื่นชอบยิ่งนัก" หะบีบี้ยิ้มกว้าง แววตาเป็นประกาย
งดงามจนคนมองไม่อาจละวางจากความงดงามนั้นไปได้ง่ายดายนัก
"ก็ข้าเมื่อยปากมากเลยค่ะที่ต้องพูดภาษาโบร่ำโบราณเช่นนี้ มันยืดๆอย่างไรก็ไม่รู้ กว่าจะพูดจบ
ข้าแทบง่วงผล็อยหลับเลยเชียวหนาท่านพี่หนา" ไม่วายยิ้มยียวนกวนประสาทอีกฝ่ายตามพื้นนิสัยเดิม
ที่มักทำให้ผู้เป็นย่าต้องปวดเศียรเวียนเกล้า
"ภาษาโบราณฤๅ"
"ใช่แล้วค่ะท่านพี่มุสตอฟาเจ้าขา ภาษาที่ท่านใช้นั้นแสนจะโบราณจนข้าไม่แน่ใจว่าข้าจะพูดกับท่าน
แล้วท่านจะเข้าใจข้าได้หรือไม่"
"ข้าเข้าใจเจ้า แจ้งแก่ใจอยู่ดอกหนา เจ้าเป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา มิได้เจือสิ่งซึ่งเสแสร้ง
เปิดจนเห็นซึ่งหัวใจเลยทีเดียวหนา ใยข้าจักมิรู้ความในใจของเจ้าเล่า"
หะบีบี้ยิ้มกว้างทีเดียวเมื่อได้ยินเช่นนั้น
"เช่นนั้นแล้ว ท่านก็อย่าได้ถือสาข้าเลยหนาท่านพี่มุสตอฟา ข้าเป็นสตรีที่มิได้สำรวมเฉกเช่นสตรี
ในดินแดนนี้ และข้าก็มิได้เย็บปักถักร้อยหรือทอผ้าได้เฉกเช่นสตรีในดินแดนนี้ ข้าเป็นสตรีที่มิได้สมควรค่า
ที่เกิดมาเป็นสตรีเลยด้วยซ้ำ ข้า ข้ารู้ตัวว่าข้าไม่ได้คู่ควรกับท่านเลยสักนิด"
มือใหญ่ลูบหลังมือหะบีบี้ก่อนจะยกขึ้นจุมพิตเบาๆ
"ข้ารักเจ้าหนา นั่นเพียงพอแล้วสำหรับข้า" สั้นๆ ทว่าทำให้หัวใจหญิงสาวถึงกับสั่นสะเทือน
"ข้าขอมอบความรักแด่เจ้าผู้เป็นหนึ่งเดียวที่ข้าต้องการ ขอเพียงเจ้าเท่านั้น สตรีอื่นมิได้สำคัญดอกหนา"
ก่อนจะย้ำด้วยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังถึงกับยืนแทบไม่ไหว ทำไมนะคำพูดโบร่ำโบราณเชยๆเช่นนี้
เมื่อได้ฟังจากปากของท่านมุสตอฟาจะๆจังๆตรงเบื้องหน้าเช่นนี้แล้วพาลให้หัวใจของเธอโลดแล่นเยี่ยงนี้
"หาไม่ ข้ามิได้มุสาวาจาที่ลั่นวาจาเช่นนั้นออกไป คำสัญญาที่เอ่ยออกไปนั่นแล่นออกมาจากใจข้าโดยแท้
และจะมิใช่แค่วาจา ข้าจักทำให้เจ้าเห็นและสัมผัส" หะบีบี้รวบร่างใหญ่เข้าสู่อ้อมกอดเอาไว้แน่น
ไร้วาจาใดๆเปล่งออกมา มีเพียงน้ำตาที่ใหลออกมาจนเจ้าของอกแกร่งสัมผัสได้ถึงความเปียกอันแสนอุ่นนั้น
"ข้ามีดาวดวงนึงที่อยากจะแนะนำให้เจ้าได้ทำความรู้จักไว้ ต่อไปไม่ว่าเจ้าจักอยู่แห่งหนใดก็ตาม
เจ้าก็จะมีดาวดวงนั้นคอยนำทางเจ้า ยามมีน้ำตา ดาวดวงนั้นก็จะคอยซับน้ำตาให้กับเจ้าได้"
หะบีบี้ผละจากอกกว้างขวางและแข็งแกร่งนั้น แล้วเอียงคอน้อยๆมองเขาพลางเอ่ยขึ้นว่า
"ข้าก็มีดาวดวงนึงที่อยากให้ท่านพี่ได้รู้จักไว้เช่นกันค่ะ เป็นดวงดาวประจำใจข้าเอง"
"เจ้ามีดวงดาวประจำได้ด้วยฤๅ"
"ใช่แล้วค่ะ เป็นดาวลึกลับ" แววตาคนพูดมีแววซ่อนลับลมคมใน
"ข้าจำต้องรีบไปสะสางร่างกายตนเองให้สะอาดเพื่อที่จะพาเจ้าไปยังสถานที่ดังกล่าวเสียที
มิเช่นนั้นอาจจะช้าจนพลาดสิ่งสวยงามยิ่งไป"
"งั้น ข้าจะช่วยท่านพี่นะเจ้าคะ" หะบีบี้ขันอาสา ก่อนจะหน้าแดงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนได้เอ่ยวาจาเช่นใดออกไป
"เอ่อ เอ่อ" มุสตอฟาเห็นท่าทางอ้ำๆอึ้งๆนั้นของหญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มบาง ยกมือขึ้นลูบหัวทุยๆนั้น
"เจ้าจัดการตัวเองเถิด ข้ามิเป็นไร ไม่รบกวนให้เจ้าต้องหน้าแดงแล้วหน้าแดงอีกเช่นนี้หรอกหนา
น่าเอ็นดูเสียเหลือคณาเช่นนี้ ข้าหวั่นว่าจะอดใจไม่ไหวจับเจ้ากินเป็นอาหารค่ำแทนอาหารฝีมือท่านแม่ ฮึ ฮึ"
พูดจบชายหนุ่มก็เดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้หะบีบี้ยืนเขินอายม้วนไปม้วนมา
มีเสียง ฮึ ฮึ ตบท้ายหรือนี่ ใช่เขาจริงๆหรือนี่ ยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งทำให้เธอหวั่นไหวแล้วหวั่นไหวอีก
ต้องทำไงดีกับหัวใจของตนเองหนอหะบีบี้เอ๋ย
"ท่านนะท่าน ทำไมถึงได้พูดจาไพเราะกับข้าตลอด ท่านพูดจาหยาบคายไม่เป็นเลยหรืออย่างไรหนา
แล้วทำไมถึงใจดีกับข้าตลอด ทำไมถึงต้องมองข้าแบบเอ็นดูทุกทีด้วย
ตั้งแต่เจอกัน ท่านเคยพูดจาไม่เพราะรึก็ไม่
ทำไมนะท่านมุสตอฟา ท่านถึงได้กระชากหัวใจบีบี้เช่นนี้" หญิงสาวได้แต่พึมพำไปก็หน้าแดงไป
ก็ไม่ใช่เพราะเขาหรือ ที่ทำให้เธอมีสถานะหัวใจเป็นแบบนี้
.......................................................
ม้าสองตัวควบเคียงคู่กันไปตามเส้นทางที่ต้นไม้ทั้งสองข้างริมทางโค้งเข้าหากัน
ใบไม้ทั้งหมดเป็นสีเหลืองทองอร่ามตา หะบีบี้อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆกาย
พลันนึกไปถึงใบไม้สีเหลืองในฤดูใบไม้ร่วงที่ญี่ปุ่น จึงถามผู้นำทางเมื่อม้าทั้งสองเดินเหยาะๆ
"ใบไม้มีสีนี้เพราะมันเป็นช่วงเปลี่ยนสีก่อนจะร่วง หรือเป็นเพราะว่า มันมีสีนี้มาแต่เดิมหรือคะ"
"พวกมันเป็นสีนี้มาแต่เดิม และไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเป็นสีอื่นเลย เราเรียกถนนสายนี้ว่า
ถนนสายหัวใจ" หะบีบี้กระตุกหัวคิ้วด้วยความฉงนใจ
"เจ้าจงพินิจลักษณะใบของมันดูเอาเถิด มันมีลักษณะคล้ายกับหัวใจของพวกเราเพียงใด"
ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปรับใบไม้สีเหลืองทองที่กำลังร่วงลงมาแล้วยื่นมันส่งต่อให้หะบีบี้ที่นั่งม้าอีกตัว
หญิงสาวรับใบไม้ดังกล่าวมาแล้วพินิจมองก็คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะเงยหน้ามองเขาที่ตอนนี้
กำลังยิ้มให้เธออยู่
"บีบี้ขอนะคะท่านพี่"
"หืมมมม เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอย่างไรหนา"
"ก็...บีบี้ขอนะคะท่านพี่" มุสตอฟายิ้มบาง
"บีบี้ฤๅ" หะบีบี้พยักหน้าอย่างเก้อเขินที่เผลอแทนตัวไปแบบนั้นกับเขา
"เจ้าค่ะท่านพี่ บีบี้ก็คือ บีบี้คนนี้อย่างไรละเจ้าคะ" หญิงสาวเล่นสำนวนการพูดไปเรื่อยให้เขางงงัน
จะได้ไม่น่าเบื่อ โดยชี้นิ้วมายังตัวเองด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
"ข้าชอบ" เขาตอบสั้นๆ
"ชอบให้เจ้าพูดแทนตัวเองเช่นนี้แค่เพียงข้า"
"ได้เจ้าค่ะ โอเคไม่ขัดข้องเลยเจ้าค่ะ"
"เจ้าพูดจาฟังยากขึ้นเรื่อยๆหนา"
"ท่านพี่จะได้สมองแล่นตลอดเวลาที่อยู่กับบีบี้ไงเจ้าคะ และจะได้ฝึกฟังสำนวนภาษา
ในดินแดนของพี่บีบี้ไปพลางๆด้วยไงเจ้าคะ" ว่าแล้วก็ยัดใบไม้สีเหลืองทอง
เข้าไปซ่อนไว้ใต้อาภรณ์ที่อยู่ใต้ผ้าคลุมฮิญาบ
"เอาไว้ใกล้ๆหัวใจดีมั้ยเจ้าคะ" มุสตอฟาพยักหน้าให้อย่างเอื้อเอ็นดูกับอากัปกริยานั่น
"เหมือนสวรรค์เลยเจ้าค่ะ ไม่อยากจากไปเลย หยุดตรงนี้นานๆได้มั้ยเจ้าคะ" มุสตอฟาส่ายหัวไปมา
ให้กับท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่กำลังงอแง
"ที่ที่ข้าจะพาเจ้าไปนั้น งดงามเกินจะพรรณนาเชียวหนา และเราควรไปให้ถึงที่นั่นก่อนค่ำลง"
"งั้นก็ได้เจ้าค่ะ ยอมก็ได้เจ้าค่ะ"
แล้วม้าทั้งสองก็ควบผ่านถนนสายหัวใจสีทองไปอย่างว่องไวราวกับสายฟ้า
ผ่านทิวทัศน์อันสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจตลอดเส้นทาง จนกระทั่งม้าขาวที่คุมบังเหียนโดยบุรุษ
หยุดวิ่งแล้วค่อยๆเดินเหยาะๆ ม้าอีกตัวก็ทำตาม บรรยากาศต่างๆรอบกายเปลี่ยนผันไป
ราวกับทั้งสองกำลังก้าวข้ามประตูมิติผ่านจากมิติหนึ่งไปสู่อีกมิติหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"เจ้าเห็นปราสาทหลังน้อยนั่นฤๅไม่" หะบีบี้มองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังเคหะสถานแห่งหนึ่ง
ในดินแดนมหัศจรรย์ยิ่งกว่าที่เธอเคยพบพานมาก่อนในชีวิต
"ดวงตะวันลับขอบฟ้าแล้ว เราเข้าไปละหมาดในนั้นกันเถอะ" เขาเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
น่าฟังเหลือเกิน
เมื่อถึงยังเคหะสถานดังกล่าว มุสตอฟาก็ลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินไปยังม้าของชายา
แล้วรับตัวของนางมาไว้ในอ้อมกอด แล้วจึงปล่อยนางลงสู่พื้นหญ้าที่อ่อนนุ่มละมุนราวกับพื้นพรม
จากนั้นก็นำม้าทั้งสองไปผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่ชีวิตต่างๆโดยรอบ
ม้าทั้งสองก็ลงมือเล็มหญ้าตรงนั้นอย่างเอร็ดอร่อย
"หญ้าที่นี่เป็นหญ้าที่ม้าของข้าชื่นชอบเป็นพิเศษ ส่งให้กำลังวังชาของมันมีมากยิ่งกว่าม้าอื่นๆ"
เขาอธิบายในขณะที่หะบีบี้กลับเงียบ เนื่องจากพูดอะไรไม่ออกกับภาพและบรรยากาศรอบตัวในขณะนี้
"นี่บีบี้ฝันไปใช่มั้ยคะ เพียงฝันไปใช่มั้ย" หญิงสาวเอ่ยออกมาราวกับกำลังละเมอ
มุสตอฟาจึงเดินเข้ามาใกล้ โอบบ่านั่นไว้และเอ่ยเบาๆทว่าหนักแน่นว่า
"ถ้านี่เป็นเพียงความฝัน ข้าก็มิอยากให้เจ้าตื่นอีกเลยชั่วนิรันดร์ เจ้าจะได้อยู่กับข้าตลอดไป"
หะบีบี้หันหน้าเข้าสู่อ้อมอกแกร่งนั้น ก่อนจะซุกหน้าลงตรงนั้นพร้อมกับความกลัวจับขั้วหัวใจ
"บีบี้อยากจะอยู่ตรงนี้เรื่อยไป ไม่อยากเจอเรื่องจริงเรื่องใดที่จะทำให้เราต้องห่างไกลกันเลยค่ะ"
อ้อมแขนอันกว้างขวางของเขาโอบรัดร่างบางเอาไว้แน่นพร้อมกับเอ่ยวาจาราวกับสัญญาว่า
"ไม่ว่าเจ้าจะอยู่แห่งหนใด จะไกลลับฟ้าหรืออยู่แห่งไหน ข้าจะตามหามิว่าอย่างไร"
หะบีบี้แหงนใบหน้าขึ้นมองเจ้าของแผ่นอกที่ให้ที่พักพิงแก่ตนแล้วคลี่ยิ้มออกมาด้วยดวงตา
เป็นประกายแห่งความไว้วางใจและเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจ
"ฟังดูโบร่ำโบราณแบบที่เจ้าเคยบอกไปคราก่อนฤๅไม่"
"อาจฟังไม่ชินหู และแลดูเชยๆ แต่บีบี้ชอบฟังมากมายเลยเจ้าค่ะท่านพี่มุสตอฟาคนดีของบีบี้"
แล้วทั้งสองก็เดินจูงมือกันไปยังปราสาทหลังน้อยที่น่ารักน่าอยู่อาศัยตรงเบื้องหน้า
ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปยิ่งใกล้เท่าไหร่ สายตาของหญิงสาวก็ยิ่งเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆด้วยความตื่นตะลึง
ระคนตื่นเต้น
"ข้าสร้างปราสาทหลังนี้เอาไว้รอการมาถึงของเจ้า" นั่นคือถ้อยคำที่ทำให้หัวใจของคนฟัง
ถึงกับสั่นสะเทือนไปทั้งหัวใจ จนขาที่กำลังย่างก้าวไปข้างหน้าถึงกับต้องหยุดชะงักลง
"ท่านพี่รู้หรือเจ้าคะว่าบีบี้จะมายังดินแดนแห่งนี้"
"ใช่ ข้ารู้ รู้มานานแล้วว่า สักวันนึง เจ้าจะเดินทางมายังที่นี่ มาเพื่อพบกับข้า
มาเป็นชายาของข้า และมีลูกด้วยกันกับข้า" ประโยคท้ายสุดทำเอาหัวใจน้อยที่กำลังสั่นไหว
แทบจะหยุดเต้น จนต้องยกมือขึ้นทาบหัวใจตน ก้มหน้างุดด้วยความเก้อเขิน
"และเจ้าก็มาพร้อมกับกลิ่นดอกไม้หอมเย้ายวนใจ กลิ่นที่ตราตรึงหัวใจของข้ายิ่งนัก
มิอาจลืมเลือนวันนั้น วันแรกที่ข้าได้พบเจอกับเจ้า กลิ่นจากกายของเจ้าทำให้ข้าเฝ้าละเมอ
ข้าขออภัยที่วันนั้นข้าเสียมารยาทสูดดมกลิ่นหอมของเจ้าที่ล่องลอยมากระทบจมูกของข้าโดยมิอาจ
หักห้ามหัวใจตนไว้ได้ มิอาจควบคุมหัวใจตนได้" หะบีบี้ไม่เข้าใจเลยว่าตนมีกลิ่นหอมดอกไม้ได้อย่างไรกัน
ในเมื่อเธอไม่ใช้น้ำหอม ไม่ใช้ครีมหรือโลชั่นใดๆ เธอมั่นใจว่าตนมิได้ใช้เครื่องหอม
"กลิ่นดอกไม้จากกายเจ้า เป็นกลิ่นหอมของตัวเจ้า มิใช่จากดอกไม้อื่นใดบนโลกใบนี้
และจักไม่มีกลิ่นใดเสมอเหมือน เราต่างก็ถูกขีดเขียนให้มาเจอกัน รักกัน อยู่ด้วยกัน และ"
คำพูดของเขาคล้ายกับอ่านคำถามในใจเธอได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เขาเป็นใครกันนะ เหตุใดที่อ่านใจและหยั่งรู้ใจของเธอได้อย่างชัดเจนเช่นนี้
อีกทั้งยังหยั่งรู้เรื่องราวที่ยังมาไม่ถึงล่วงหน้า
"และข้ายังรู้ด้วยว่า..."
..............................โปรดติดตามตอนต่อไป.........................................................
เขียนตกหล่นตรงไหนผิดพลาดยังไง ทักท้วงกันมาได้นะคะ ช่วงนี้เต่าโยเบลอๆค่ะ
รักษาสุขภาพนะคะ
"เต่าโย"
ถ้าเราได้เจอกันอีกสักวันอยากถาม เธอจำฉันได้อยู่รึเปล่า เธอจะยิ้มให้ฉันรึเปล่า ^^
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2566, 22:08:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2566, 22:24:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 307
<< บทที่ 15 การศึก | บทที่ 17 ดาวลึกลับ >> |