เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่ 23 ความงาม

หลังจากวางสายแล้ว บิลกีสก็สาละวนอยู่กับการดูแลสามีที่กำลังนอนซมป่วยหนักอยู่บนเตียง
ไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม จนหญิงสาวเล่าเรื่องราวที่ตนได้คุยสายกับฆินทร์ นั่นจึงส่งผลให้
ท่าทีของขุนพลเปลี่ยนไปแบบพลิกผันทันที

"เขาพูดแบบนั้นหรือกีส" หญิงสาวป้อนข้าวให้เขาที่ตอนนี้ยอมอ้าปากกินแล้วก่อนจะพยักหน้า
"ใช่ค่ะ ฉันไม่โกหกเพื่อให้คุณสบายใจก่อนแล้วค่อยไปทุกข์ใจทีหลังหรอกค่ะ"
"แล้วคุณก็เชื่อเขาหรือ"
"เชื่อค่ะ"
"ทำไมถึงเชื่อคนง่ายๆ แบบนี้" เสียงแหบแห้งนั้นดูมีพยายามให้เข้มดุ บิลกีสจึงหยิบแก้วน้ำ

ยกขึ้นป้อนให้เขา

"เค้าน่าเชื่อถือไงคะ"
"อะไรที่ยืนยันว่าเขาน่าเชื่อถือ"
"การกระทำค่ะ"
"แต่ผมยังปักใจเชื่อไม่ได้หรอก จะรอดูว่าจะทำอย่างที่พูดได้แค่ไหน" บิลกีสลอบถอนใจ

ก่อนจะเก็บจานและแก้วน้ำ นำไปวางไว้ตรงที่วางในห้อง แล้วกลับมานั่งข้างๆเขาอีกครั้ง


"ฉันไม่ได้ต้องการมีศัตรูค่ะ และคุณฆินทร์เขาก็ดูเป็นมิตรกับเราได้ แค่เราต้องไม่มองเขา
เป็นศัตรูค่ะ เราต้องมองเขาแบบมิตรสหายคนนึงเหมือนที่ฉันเองก็ไม่เคยมองคุณเป็นตัวร้าย
ฉันเห็นคุณเป็นมนุษย์คนนึง ไม่ใช่ทั้งมารร้าย และไม่ใช่เทวทูต คุณคือมนุษย์เหมือนฉัน"
ขุนพลเปลี่ยนจากนอนบนหมอนเอาศีรษะวางลงบนตักของบิลกีส
จะได้ใกล้ชิดลูกน้อยในท้องไปด้วย เพราะประโยคล่าสุดนั้น ทำให้เขาเริ่มรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

"คุณน่ะเป็นคนหล่อนะคะ ความหล่อของคุณคือ ความอดทน อดกลั้น สู้งาน สู้ปัญหา
สู้ชีวิต และเสน่ห์ของคุณก็คือ ความรักความหวงแหนที่คุณมีต่อคนในครอบครัว
ฉันไม่ได้รักคุณตรงใบหน้านี้ค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ใบหน้าคุณจะไม่หล่อนะคะ
แต่เพราะความหล่อและเสน่ห์เหล่านั้นของคุณส่งผลให้เวลาฉันมองหน้าคุณทีไรแล้วรู้สึกสงบ
มองเพลิน จนอยากมองหน้าคุณแบบนี้ไปตลอดเลยรู้มั้ยคะ" บิลกีสก้มหน้ามองคนบนตักขณะพูด
พร้อมรอยยิ้มละมุน มือก็จับใบหน้าเขา ลูบไล้ไปมาเบาๆ

"เวลาคุณไม่อยู่ด้วย ใบหน้าคุณยังลอยไปมาอยู่ในโลกภายในของฉัน ฉันเห็นคุณเสมอ
ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงหน้าฉันหรือว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม เพราะว่า คุณสำคัญกับหัวใจฉันไงคะ"

แล้วบิลกีสก็เงียบไป

"พูดอีกสิ ผมชอบฟังคุณพูดน่ะ เพราะผมพูดไม่เก่ง ไม่ถนัดพูดเลย แต่ผมชอบที่จะฟังคุณพูด
มันเป็นสิ่งที่ผมถนัดที่สุดแล้วล่ะ" บิลกีสยิ้มกว้างอย่างเอ็นดูสามีที่ตอนนี้ตะแคงหน้าหันมาลูบไล้
หน้าท้องที่นูนแหลมของเธอ ที่เธอรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าลูกของเธอคือเพศชาย มันเป็นความรู้สึกในส่วนลึก
แม้ว่าเธอปรารถนาอยากจะได้ลูกสาวมากกว่าลูกชายก็ตาม อาจเพราะเธอต้องการคนที่มีความน่ารัก
ความสดใสแบบดุจมณีมาอยู่ข้างๆ กายสักคน อยากจับแต่งตัวสวยๆ ถักผมเปียให้ และคอยทาครีม
ทาโลชั่นให้ เธอแค่จินตนาการแล้วก็อยากจะมีลูกสาวขึ้นมาแค่นั้น แต่ส่วนลึกกลับส่งเสียงบอกว่า
เด็กน้อยในท้องเธอคือ ลูกชาย ที่คงจะไม่ได้แตกต่างไม่จากชายที่นอนบนตักของเธอนัก
ซึ่งก็น่าเอ็นดูใช่หยอกอยู่หรอก น่าเอ็นดูแบบผู้ชายที่ขี้อ้อน พยายามจะอ้อนแต่ก็อ้อนไม่ค่อยเป็น

"ผมน่ะ ไม่มีโอกาสได้อ้อนแม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ หรอกกีส ไม่ได้มีแม่คอยอยู่ข้างกาย
ไม่มีโอกาสได้นอนตักแม่ ไม่มีผู้หญิงที่รักผมอย่างบริสุทธิ์ใจที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น
อยู่ในชีวิตมาก่อน ถึงคุณจะไม่ใช่แม่ แต่คุณคือเพศแม่ และคุณก็มีสิ่งที่ผมโหยหาและต้องการมาตลอด
อยู่กับคุณแล้วผมอบอุ่น ปลอดภัย สบายใจมากเลยนะ ผมหลับพักผ่อนอย่างเป็นสุขเสมอเมื่อมีคุณคอยใส่ใจ"

"ใครบอกว่าคุณไม่ถนัดพูดนะ ดูพูดเข้าสิ ทำฉันเขินนะรู้มั้ย" บิลกีสหน้าแดงด้วยความเขินจริงอย่างว่า

ทำเอาคนป่วยถึงกับหัวเราะออกมา เขาหัวเราะและยิ้มได้มากขึ้นนับตั้งแต่มีเธอก้าวเข้ามาอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอน

"ไม่รู้สึกว่ามันเชยๆ เลยหรือไง" บิลกีสส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มละมุนขณะสบตาเขา

"ฉันอยากได้ยินคำเชยๆ แบบนี้บ่อยๆ ค่ะ ไม่หวานก็ได้ แต่ขอแบบนี้บ่อยๆ
ฉันก็น่าจะมีแรงลุกไปทำกับข้าวให้คุณกิน ซักผ้า ขัดห้องน้ำ ทำทุกอย่างได้แล้วล่ะ"

"หืม แค่พูดแบบนี้ คุณก็พร้อมจะทำสิ่งต่างๆ ให้ผมเลยหรือ" บิลกีสพยักหน้า

"ช่าย เพราะคำเชยๆ ที่ว่านั้นมันมาจากคุณไง ถ้ามาจากคนอื่นก็คงไม่มีผลอะไรกับฉันหรอก"
ขุนพลยิ้มหวานส่งไปให้เจ้าของตัก ทำเอาบิลกีสยิ้มเขิน

"เราจะตั้งชื่อลูกว่าไงดีล่ะกีส" แม้จะพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ก็ไม่ทำให้ดีกรีความเขินของอีกฝ่ายลดลง

"ฉันยกให้คุณเป็นคนตั้งชื่อเลยดีมั้ยคะ"

"ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะเรียกลูกว่าไงดี คุณล่ะอยากจะเรียกลูกว่ายังไง"
บิลกีสนิ่งไป ทว่าแววตาเป็นประกายทีเดียว

"คุณมีชื่อที่จะเรียกลูกในใจไว้แล้วแน่ๆ ใช่มั้ย"

"ค่ะ ฉันน่ะเรียกเขาออกบ่อยๆ คุณไม่เคยได้ยินหรือไง"

"ไม่นะ ผมไม่เห็นจะได้ยิน คุณเรียกเบาๆ ไปรึเปล่า"

"ก็เขินๆ นี่คะ ไม่เคยมีลูกมาก่อนสักคนนี่นา" ขุนพลคว้ามือสากๆ ของภรรยามากุมไว้แล้วจุมพิต
อย่างรักใคร่

"ไหนล่ะ ลองเรียกลูกให้ผมได้ยินหน่อยสิ" บิลกีสเลยใช้มืออีกข้างที่ว่างลูบไล้ลูกน้อย
และเรียกชื่อลูกเบาๆ อย่างอ่อนหวานละมุนหูยิ่งนัก จนขุนพลเองก็เพิ่งได้ยินเสียงโทนนี้
จากบิลกีส เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูน่ารัก น่าเอ็นดู มีเมตตา มีความอบอุ่น ระคนกัน

"อายันครับ ได้ยินเสียงแม่กำลังจีบพ่อมั้ยครับ" แล้วร่างน้อยๆ ในท้องของเธอก็ขยับตัว
จนขุนพลถึงกับดีใจ ยกหัวขึ้นมองแล้วใช้มือลูบไปตามการขยับไปมาของลูกน้อย

"ลูกได้ยินเราพูดกันนะกีส ดูสิ เขาตอบรับใหญ่เลย"

"แสดงว่าเมื่อกี้ที่ไม่ได้ดิ้นเลย คงกำลังตั้งหน้าตั้งตาเงี่ยหูฟังเราจีบกันแหละ ฮ่าๆๆ" บิลกีสหัวเราะ
อย่างสบายใจเมื่อนึกเอ็นดูลูกน้อยในท้องไปด้วย

"น่าจะจริง เงียบเชียว พอคุณเรียกเท่านั้น ขยับดิ้นใหญ่เลย ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้"

"ลูกใครก็ไม่รู้เนี่ย เตะท้องแม่แรงมากๆ" คนเป็นพ่อยิ้มกว้าง วางศีรษะลงไปนอนบนตักบิลกีส
เมื่อลูกเริ่มหยุดพักจากการแกล้งพ่อแม่ แล้วจับมือหญิงสาวคลี่ฝ่ามือแล้วลูบเบาๆ

"อายัน แปลว่าไงหรือกีส"

"แปลว่า ของขวัญจากพระเจ้าค่ะ เป็นชื่อที่โน้มเอียงไปทางศาสนาค่ะ
ฉันอยากให้เขาเป็นผู้ที่ได้ทำงานศาสนาค่ะ"

"เอาสิ ผมชอบ และเห็นด้วย จะเก็บออมเพื่อส่งเสียเขาให้ถึงที่สุดเท่าที่จะไหวเลยล่ะ"

"ขอบคุณนะคะที่มอบสิ่งล้ำค่าให้กับฉัน" ขุนพลลูบฝ่ามือสากมากๆ นั้นของภรรยา
เพิ่งได้สังเกตจริงๆ จังๆ ก็ตอนนี้นี่เองว่า มือเธอไม่ได้นิ่มเลย ข้อนิ้วก็ใหญ่ทุกข้อ

"มือฉันมีอะไรรึเปล่าคะ รู้สึกว่าคุณจะสนใจมือสากๆ นี่จัง" ขุนพลนำมันมาวางแนบแก้ม
ของเขาหลังจากจุมพิตหนักๆ ไปหนึ่งที

"มือนี้สินะที่ทำให้คุณทำกับข้าวเก่ง ทำขนมอร่อย ทำงานบ้านได้สารพัดอย่าง
และก็มือนี้สินะที่คุณใช้จับดินสอ จับพู่กันวาดภาพสวยๆ มือนี้สินะที่คุณใช้มันดูแลเอาใจใส่ผม
และใครต่อใคร มือนี้ใช่มั้ยที่คอยหยิบยื่นความช่วยเหลือผู้คนมากมาย มือสากๆ นี่ใช่มั้ยกีส
ที่เป็นพยานหลักฐานว่า คุณผ่านอะไรมาหนักหนาแค่ไหน" บิลกีสเบือนหน้าหันไปอีกทาง
ก่อนจะชักมือกลับ ทว่าเขากลับรั้งมือนั้นเอาไว้ กุมมันเอาไว้แน่น

"แล้วมันก็จะเป็นสองมือที่คอยดูแลลูกของผมต่อจากนี้ไปตลอดชีวิตด้วยใช่มั้ย" บิลกีสน้ำตาคลอ
เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า

"เวลาฉันมองฝ่ามือสากๆ แลดูไม่สวยงามของฉัน ฉันก็จะนึกถึงบิดันดารี ซึ่งเป็นนางสวรรค์
ที่อัลลอฮ์สร้างพวกนางไว้สำหรับบุรุษแนวหน้าในโลกหน้า ครูเคยบอกว่า เพียงแค่มือของ
บิดันดารียื่นออกมา ผู้ชายทั้งหมดก็พลันหลงใหลแล้ว แค่มือยังสวยงามขนาดทำให้ผู้ชาย
หลงใหล ไม่ต้องพูดเรื่องที่จะได้เห็นทั้งหมดของพวกนางเลย ฉันผู้มีมือสากๆ และไม่เคย
เรียวสวย ดูไม่งดงามมาแต่เด็กๆ ก็เลยแอบร้องไห้อยู่บ่อยๆ มองกระจกก็พบใบหน้าที่กร้านแดด
ไม่สดใส ไม่สดสวย ไม่สดชื่น ยิ่งมองมือยิ่งร้องไห้ ทุกครั้งที่ฉันร้องไห้
ฉันก็จะนึกขอต่ออัลลอฮ์ว่า ให้ฉันนั้นได้เป็นหัวหน้าของบรรดาบิดันดารีด้วยเถิดเมื่อได้ฟื้นคืนชีพ
เกิดใหม่อีกครั้งในโลกหน้า" น้ำตาหนึ่งหยดของบิลกีสร่วงลงตกลงบนแก้มของขุนพลที่นอน
รองรับน้ำตาเธออยู่บนตักของเธอ มือใหญ่กุมมือเธอแน่นแล้วนำมาแนบใบหน้าอีกครั้ง

"ผมจะช่วยคุณนะกิส จะพยายามช่วยให้คุณได้เป็นหัวหน้าบิดันดารี" คำพูดนั้นยิ่งทำให้
น้ำตาของหญิงสาวหลั่งใหลลงมาด้วยความตื้นตันอย่างมิอาจอธิบายได้

"เราจะพยายามประคับประคองกันเดินไปสู่สวนสวรรค์ของอัลลอฮ์ด้วยกันนะ" หญิงสาวพยักหน้า
ด้วยความซาบซึ้งใจ

"อินชาอัลลอฮ์ค่ะ"

"อย่าไปคิดเสียใจว่าตัวเองไม่สวยอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคนดีของผม
คุณน่ะ อยู่ที่ใดก็งดงามเสมอ โดยเฉพาะน้ำเสียงของคุณน่ะทั้งสวย น่าฟัง ฟังแล้วนุ่มหู
และยังใช้คำพูดได้สวยงามจับใจผม รอยยิ้มของคุณก็จริงใจสุดๆ ใจคุณก็งดงามมากๆ
มากจนผมเองก็ไม่รู้ว่าตกหลุมรักคุณได้ยังไง ทำไมถึงได้รักคุณได้อย่างง่ายดายจัง"
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นหอมแก้มนุ่มๆ ของภรรยาฟอดใหญ่

"เห็นมั้ย เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ผมหมดสภาพ เหมือนนกปีกหัก

นกที่โดนนายพรานยิงร่วงหล่นร่อนลงสู่พื้นดิน บินไม่ไหว ต้องซมซานไร้เรี่ยวแรงจะไปไหนต่อ

ไม่หิวไม่ปรารถนาจะทำอะไรเลย มันเหมือนโลกทั้งใบพังลงตรงหน้าผม เหมือนหัวใจผมถูกควักเอาไปย่ำยี

แล้วดูตอนนี้สิ ถ้าไม่ใช่เพราะมีคุณคอยดูแลใส่ใจผม ผมจะเป็นยังไงก็ไม่รู้" ว่าแล้วก็สบตาคู่นั้นของบิลกีส

"ผมน่ะ พูดได้หวานสุดๆ ได้แค่นี้แหละ แต่ผมจะทำให้คุณเห็นนะกีสว่าผมจริงจังตั้งใจจะดูแลคุณ
และครอบครัวของเรา เราจะใช้ชีวิตที่นี่อย่างดีแล้วย้ายจากโลกนี้ไปสู่สวรรค์โลกหน้า
ด้วยกันทั้งหมดเลยนะ จะไม่ทิ้งใครไว้ให้ไปเผชิญกับขุมนรก" บิลกีสพยักหน้าหนักๆพร้อมรอยยิ้ม

"อินชาอัลลอฮ์ค่ะ" แล้วก็สวมกอดเขาเอาไว้แน่น หอมแก้มซ้ายขวาของเขา ยกมือของเขา
ขึ้นมาจุมพิตทั้งสองข้าง

"ถ้าฉันทำผิดต่อคุณ ทำให้คุณไม่พอใจอะไรไป คุณจะให้อภัยฉันใช่มั้ยคะ"

"ต่อให้คุณขออภัยผมเจ็ดสิบครั้งต่อวัน ผมก็จะยกโทษให้คุณทั้งเจ็ดสิบครั้งนั้น"

"คุณไนค์" บิลกีสเรียกชื่อเขาอย่างอ่อนหวานละมุน แล้วสวมกอดเขาไว้อีกครั้งด้วยหัวใจรัก

...............................................................................................


ยามเช้า แดดสาดแสงผ่านม่านหน้าต่าง ทำให้ร่างบางที่กำลังนอนหลับสบายถึงกับสะดุ้งตกใจ
ดีดตัวเองมายืนอยู่ข้างเตียง ปากก็ร้องเรียกบิลกีส

"พี่กีสคะ ไอซ์ลืมตื่นละหมาดค่ะ หลับจนลืมเลย" หากกลับไม่มีเสียงตอบกลับมา
จากคนที่คอยปลุกเธอขึ้นมาละหมาดซุบฮิในทุกๆ วัน หญิงสาวหันไปมองรอบๆ ตัว
ก็พบว่า ไม่ได้อยู่ในห้องของตน ไม่ใช่บ้านของตน และที่นี่ก็ไม่ได้มีพี่กีสของเธอ

"พี่เห็นเธอกำลังหลับสบาย และเธอก็มีเมน ละหมาดไม่ได้
ก็เลยไม่ได้ปลุกให้ลุกมาละหมาด" เสียงนั้นทำให้หญิงสาวหมุนตัวไปหาทันที
ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นเขาในชุดโตป

"ใจหายหมดเลยค่ะ นึกว่าขาดละหมาดไปแล้ว ปกติพี่กีสจะปลุกไอซ์ค่ะ
ก่อนหน้านั้นก็พี่ไนค์ค่ะ" คนฟังถึงกับยิ้มบางกับถ้อยคำนั้นของภรรยาหมาดๆ

"ไม่เป็นไร ต่อจากนี้ไปพี่จะเป็นคนปลุกเธอตื่นขึ้นมาละหมาดเองนะ"

"จริงนะคะ"

"จริงสิ เพราะพี่ก็ต้องตื่นมาละหมาดทุกวัน พี่ไม่ได้มีเมนเหมือนผู้หญิงนี่"

"โล่งใจหน่อย" ท่าทางผ่อนลมหายใจนั่นของหญิงสาวทำเอาคนที่กำลังมองอยู่ถึงกับ
รู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

"มันก็เป็นหน้าที่พี่ไม่ใช่หรือไงที่ต้องดูแลเธอทั้งเรื่องทั่วไปและเรื่องศาสนา"

"ไอซ์ไม่คิดนี่คะว่าจะมีใครมาทำหน้าที่ของพี่ไนค์กับพี่กีส คิดมาตลอดว่า
จะอยู่กับพี่ไนค์และพี่กีสไปตลอด เพราะทุกอย่างลงตัวไปหมดเลย"

"พี่จะทำให้เธอรู้ว่า การอยู่กับพี่นั้น จะทำให้เธอได้รับสิ่งที่ดียิ่งกว่าเดิม"

"ไอซ์ก็จะทำให้พี่ฆินทร์เป็นผู้ชายที่โชคดีที่มีไอซ์ด้วยค่ะ" ว่าแล้วก็ยิ้มหวาน
ก่อนจะเดินแก้เขินเข้าห้องน้ำไป หากยังไม่วายหันมาบอกเขาว่า

"ไอซ์ชอบพี่ฆินทร์ในลุคนี้สุดๆ เลยค่ะ ไม่เคยเห็นพี่ฆินทร์ในลุคนี้มาก่อนเลย เท่อ่ะ"

พูดไปก็แก้มแดงไป แล้วก็รีบปิดประตูห้องน้ำทันที ก่อนจะพิงประตูยกมือขึ้นปิดหน้าแก้เขิน
ส่วนชายหนุ่มก็ก้มลงสำรวจตัวเองในชุดโตปกับหมวกกุปิยะห์ที่เขาจะใส่ในยามละหมาด
เป็นประจำปกติวิสัย แค่ไม่ได้สวมใส่ไปทำงาน เพราะงานของเขาต้องสวมใส่สูทสากล
แต่ในงานพิธีต่างๆ เขาจะสวมชุดโตปโพกสารบั่น ซึ่งก็ไม่แปลกที่ดุจมณีจะไม่เคยเห็นเขา
ในลุคนี้ เพราะเธอไม่เคยคิดจะชายตามองเขามาตลอด แล้วจะเห็นเขาได้ยังไง


บนโต๊ะอาหารมีเพียงดุจมณีที่นั่งกินเพียงคนเดียว ส่วนเขาบอกเธอว่าเขาถือศีลอดสุนัตวันจันทร์
จึงงดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดไปจนกว่าดวงตะวันจะตกดิน
นั่นยิ่งทำให้ดุจมณีมองเขาในมุมมองใหม่ กินไปก็หันไปมองเขาที่กำลังนั่งอยู่หน้าจอมือถือ
พูดเรื่องงานกับลูกน้อง กินเสร็จก็จัดแจงทุกอย่าง แล้วเดินไปนั่งข้างๆ เขา แบบเว้นระยะห่างไว้
เมื่อเห็นว่าเขาว่างจากงานแล้วจึงถามขึ้นว่า

"พี่ฆินทร์พอจะเล่าเรื่องของเราในอดีตให้ไอซ์ฟังบ้างได้มั้ยคะ ไอซ์อยากรู้ว่าเราเคยผ่าน
เรื่องราวแบบไหนกันมาบ้าง อยากฟังจากพี่ฆินทร์ ไม่ใช่จากปากคนอื่นค่ะ
เพราะไอซ์เหมือนจะคุ้นๆ กับพี่ฆินทร์ เห็นพี่ฆินทร์แล้วไม่ได้รู้สึกแบบเห็นคนแปลกหน้า
หรือคนไม่เคยรู้จักกัน ไอซ์คุ้นจริงๆ นะคะ คุ้นจนรู้สึกเหมือนสนิทเลยแหละ"

"จะไม่คุ้นได้ไง เราเจอกันตั้งแต่เธอเรียนอยู่มัธยมต้นจนถึงตอนนี้ ไม่เคยมีสักช่วงในชีวิตเธอที่พี่จะไม่ได้อยู่ด้วย
เพียงแค่สถานะที่เรามีต่อกัน ก็แค่คนรู้จักกัน ไม่เคยคบหากันในแง่ใดๆ ทั้งนั้น
ระหว่างเราต่างก็มีระยะห่างต่อกันมาตลอด" ก่อนจะฉวยโอกาสเอาหัวพิงบ่าหญิงสาวขณะเล่าสืบไปว่า

"พี่รุกจีบเธอสารพัดวิธี งัดทุกๆ วิชามาใช้ แต่เธอก็เหมือนดอกทานตะวันที่หันมองแต่ดวงตะวัน
ดวงนั้น ไม่เคยหันมองใครเลยสักคนเดียว พี่ต้องคอยต่อสู้กับความว่างเปล่าที่ได้รับจากเธอ

และเฝ้าคอยทำดีกับความเฉยชาของเธอ ทำดีสักแค่ไหน เธอก็ไม่เคยรู้สึกอะไร แต่ก็ปล่อยวางไม่ได้

และเคยปะทะต่อยตีกับพี่ชายเธอที่หวงเธออย่างกะจงอางหวงไข่ นิสัยก็อันธพาล"

"พี่ไลค์ใช่มั้ยคะ"

"ใช่ นายไลค์นั่นแหละ เค้าเป็นนักเลงใหญ่ เป็นลูกคนใหญ่คนโต ในขณะที่พี่ในตอนนั้น
เป็นเพียงลูกนักการเมืองที่ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรทางสังคมมากนัก
ส่วนพ่อแม่เธอเป็นผู้ทรงอิทธิพล ยิ่งลุงของเธอหรือพ่อแท้ๆ ของเธอยิ่งมีทั้งอำนาจและบารมี
เธอมีแม่คอยคุมแจ ไปกลับโรงเรียนก็มีแม่ไปคอยทำหน้าที่รับส่งจนจบมัธยม
วันไหนแม่เธอไม่ว่างนายไลค์ก็จะทำหน้าที่รับส่งเธอแทน พี่แทบหาช่องให้จีบเธอยากมาก
แต่พี่ก็ทำ ทำมาตลอด ฝากของไปให้เธอผ่านเพื่อนเธอ เขียนจดหมายรักฝากเพื่อนเธอไป
แอบถ่ายรูปเธอ เคยถูกพี่ชายเธอส่งสมุนมารุมกระทืบ แล้วลากตัวพี่ไปให้เขากระทืบต่อ
บอกให้พี่เลิกยุ่งกับเธอ" ดุจมณีถึงกับอึ้ง

"พี่ไลค์ร้ายกาจขนาดนั้นเลยหรือคะ ทำไมถึงต้องทำร้ายกันด้วย ทำไมต้องทำรุนแรง"

"เคยมีครั้งนึง พี่เดินไปขวางหน้าเธอ ยื่นดอกกุหลาบสีขาวให้ แต่เธอไม่ยอมรับมัน
พี่ชายเธอพุ่งเข้ามาหาพี่ แล้วซัดหมัดใส่พี่ สมุนก็กรูเข้ามาหาพี่ จับพี่ไว้ให้พี่ชายเธอ
ชกพี่ เตะต่อยพี่ตามอำเภอใจ โดยที่เธอไม่ได้ห้ามปราม และยังยืนดูพร้อมบอกกับพี่ว่า
อย่ามาให้เห็นอีก ไม่งั้นก็จะเจ็บตัวแบบนี้อีก" ดุจมณีถึงกับอึ้งยิ่งกว่าเดิมก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ
ที่แห้งผาก เอียงคอมองเขาที่กำลังพิงบ่าของเธออยู่ ยกมือขึ้นกุมมือเขา

"ไอซ์ร้ายกาจและเย็นชากับพี่ฆินทร์มากขนาดนั้นเลยหรือคะ"

"ใช่ เธอไม่เคยมีแววตาสงสารหรือเห็นใจพี่เลย ไม่เคย"

"แล้วทำไมต้องจีบผู้หญิงแบบนั้นด้วยละคะ ทำไมไม่ปล่อยให้ขึ้นคานไปเลย"
ชายหนุ่มถึงกับลอบยิ้มขันกับท้ายประโยคนั่นของเธอ

"ก็ตอนนั้นเธอเป็นสาวฮอต ที่ชายหนุ่มมากมายหมายปอง และเธอก็เป็นสเปคของพี่
พี่เลยต้องพยายามทำคะแนน ฝันมาตลอดว่าอยากได้ยินเธอเรียกพี่ว่าพี่ สักครั้งก็ยังดี
แต่เธอก็ไม่แม้แต่จะเรียกพี่ว่าพี่ แม้แต่ชื่อพี่เธอก็ไม่เรียกเลยสักครั้งด้วยซ้ำ"

"ทำไมไอซ์เป็นผู้หญิงนิสัยไม่ดี ทำตัวไม่น่ารัก ใจร้าย ไม่เอาไหนขนาดนั้นนะ

คนหล่อขนาดนี้มาจีบ แต่ก็เล่นตัวเหลือเกิน ว่าแต่แล้วคนอื่นๆ เค้าไม่โดนพี่ไลค์เล่นงานเอาหรือคะ"

ฆินทร์แทบอยากจะหลุดขันออกมากับต้นประโยคนั้นที่เธอออกตัวถล่มตัวเองเสียยับ

"ก็โดนกันถ้วนหน้า และต่างก็ถอยกันไป คนใหม่เข้ามาจีบก็เผ่นหนีกันเป็นแถบๆ"

"แต่พี่ฆินทร์ไม่ยอมเผ่นหรือคะ"

"ก็พี่ไม่ได้กลัวพี่ชายเธอหรือพ่อแม่เธอนี่"

"เป็นนักสู้นี่เอง" ดุจมณียกนิ้วหัวแม่มือให้ชายหนุ่ม

"ถ้าพี่เผ่น พี่ถอดใจ ยอมถอยห่างไป จะได้เธอมานั่งอยู่ข้างๆตรงนี้ในตอนนี้หรือไง"

ว่าแล้วก็โอบรัดดุจมณีซะแน่นก่อนจะหอมแก้มนั่นฟอดใหญ่

"ถือศีลอดอยู่นะคะ ระวังจะเสียศีลอดหนา" ดุจมณีเตือน ทำเอาชายหนุ่มถึงกับยิ้มกว้าง

"ตอนนี้พี่ไลค์คงกระทืบพี่ฆินทร์ไม่ได้แล้ว แต่พี่ฆินทร์อย่ากระทืบพี่ไลค์เลยนะคะ"

"ตอนพี่ลงสมัคร ส.ส. เค้าก็ลงชิงในเขตเดียวกันกับพี่ ตอนนั้นเขาชนะพี่ขาดลอย
คะแนนนำโด่ง จนได้เป็น ส.ส. ตามที่พ่อของเธอวาดฝันไว้สำเร็จ"

"ทำไมพี่ฆินทร์เลือกจะเป็นนักการเมืองละคะ"

"คงเพราะตระกูลพี่เป็นตระกูลนักการเมืองมั้ง ก็เลยถนัดเดินเส้นทางสายนี้
เพราะมีทุกอย่างที่ปูทางมาให้เรียบร้อยหมดแล้ว แค่เดินไปตามทางนั้นแค่นั้น"

"ไม่ได้อยากทำงานตรงนั้นจริงๆ หรือคะ"

"อยากสิ ทำไมจะไม่อยากทำงานทำหน้าที่ตรงนั้น พี่อาสาทำหน้าที่นี้ด้วยซ้ำ"

"งั้นไม่ใช่แค่ถนัดแต่มีใจรักด้วยใช่มั้ยคะ"

"แน่นอน ว่าแต่ทำไมถึงถามพี่เรื่องนี้"

"ก็ไอซ์จะได้รู้ว่าไอซ์ต้องยืนยังไง ยืนตรงไหนไงคะ"

"เธอก็แค่ยืนข้างๆ พี่ และเดินไปด้วยกัน หรือเวลามีภัยก็หลบหลังพี่ไว้"

"อันตรายมั้ยคะเส้นทางที่พี่ฆินทร์เดินอยู่"

"อันตรายครับ แต่พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรเธอได้หรอกนะ" ว่าพลางก็กุมมือหญิงสาวไว้
จ้องเข้าไปในดวงตาสุกใสคู่นั้น

"กลัวหรือ" ดุจมณีพยักหน้า ฆินทร์จึงรั้งร่างนั้นเข้าซุกอกกว้าง

"อย่ากลัวเลย พี่จะคอยบังกระสุนให้เธอทุกเม็ดเลยนะ จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรเธอได้"

"อย่าพูดแบบนี้สิคะ ไอซ์ใจคอไม่ดีเลย" ฆินทร์ยิ้มกว้าง ลูบหัวทุยๆ นั่นที่เหมือนจะขยันซุกเขา
หนักเหลือเกิน

"พี่ถามอะไรหน่อยสิ"

"ถามมาได้เลยค่ะ ไอซ์ยอมเป็นฝ่ายถูกสัมภาษณ์ค่ะวันนี้" ชายหนุ่มยิ้มขัน

"ตอนที่พี่ยื่นข้อเสนอไป ทำไมเธอถึงตกลงแต่งงานกับพี่อย่างง่ายดายขนาดนั้น"

"จะให้ไอซ์ตอบจริงๆ แบบตรงๆ เลยรึเปล่าคะ"

"ก็ต้องอย่างนั้นสิ พี่อยากรู้ความจริงจากปากเธอ"

"แน่นะ แน่ใจนะคะว่าจะรับได้"

"แน่สิ เคยถูกปฏิเสธมาตลอด โดนเธอด่าเธอต่อว่ามาสารพัด"

"งั้นฟังไว้เลยนะคะ ไอซ์จะพูดฉายแค่รอบเดียวพอ...แค่รอบเดียวเท่านั้น" ฆินทร์ถึงกับลุ้นหนักทีเดียว

"ถ้าเอาคำตอบแบบสั้นๆ ก็ไอซ์อยากแต่งงานกับพี่ฆินทร์ แล้วจะไม่ให้ไอซ์ตกลงได้ยังไงล่ะคะ ฮ่าๆๆๆ"

เสียงหัวเราะสดใสนั่นของดุจมณีหลังจบประโยคสำคัญ ทำเอาฆินทร์ถึงกับมองหน้าหญิงสาว
อย่างคาดไม่ถึง เขาไม่คาดฝันว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จากปากเธอด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดฝันเลย

"เธอว่าไงนะ"

"ไม่ฉายซ้ำแล้วแน่นอนค่ะ รอบเดียวเท่านั้น ถ้าฟังไม่ทันฟังไม่ชัด จับใจความสำคัญไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้นะคะ ฮ่าๆๆๆ"

ฆินทร์ถึงกับรวบร่างบางเข้าสู่อ้อมกอดของเขาแล้วกอดร่างนุ่มนิ่มนั้นแน่น รอยยิ้มประดับทั้งใบหน้า
และดวงตาด้วยความดีใจอย่างที่สุด ดีใจที่ได้รู้ว่าเธอนั้นเต็มใจจะแต่งงานกับเขา เต็มใจเดินเข้าสู่กับดักของเขา

"แล้วเธอไม่โกรธพี่หรือที่ใช้วิธีสกปรกๆโดยการใช้พี่ชายเธอเป็นตัวประกันแบบนั้น"

"โกรธค่ะ โกรธมากๆ ด้วย โกรธที่ทำไมไม่ยอมบอกกันตรงๆว่า รักไอซ์มากๆจนอยากแต่งงานด้วย"

คนฟังอึ้งไปเมื่อโดนเข้าไปอีกดอก พยายามหาเสียงตัวเองจนเอ่ยออกมาได้แค่ว่า

"แล้ว?" เขาดันร่างดุจมณีออกห่าง ปล่อยเธอเป็นอิสระ

"แต่ไอซ์มองว่า พี่ฆินทร์แค่ต้องการให้ไอซ์กับพี่ไนค์ตกลง เพราะยังไงๆ เราสองพี่น้อง
ก็ต้องยอมตกลงอยู่ดี" หญิงสาวเว้นวรรคก่อนจะพูดประโยคที่ไม่ต่างจากหมัดที่มีไว้ใช้
น็อคเอาท์คู่ต่อสู้

"แต่เพราะไอซ์มีความพยายามจะแก้ต่างให้พี่ฆินทร์ เลยพยายามมองหาข้อดีที่พอจะคิดออก
พยายามมากที่จะมองพี่ฆินทร์ในแง่ดีๆ มันอาจจะดูโลกสวยอย่างที่หมอปองบอกกับไอซ์
ว่าไอซ์คิดอะไรที่สวยงามเกินจริง แต่ไอซ์ก็ไม่อยากให้หัวใจตัวเองเจ็บปวดกับความคิดไม่ดีๆ เลยค่ะ
ไอซ์เลยคิดว่า พี่ฆินทร์คงต้องการรับไอซ์ไปดูแลด้วยตัวเอง เลยหาข้ออ้างต่างๆ มาเสนอกับพี่ไนค์
เพื่อที่จะได้เอาไอซ์ไปดูแลอย่างดีแทนพี่ไนค์ที่มีภาระมากมาย อยากแบ่งเบาภาระพี่ไนค์กับพี่กีส
ด้วยการช่วยเลี้ยงดูไอซ์ ก็พี่ฆินทร์มีพร้อมทุกอย่าง สามารถดูแลไอซ์ให้ดีขนาดไหนก็ได้
แล้วไอซ์ก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไรให้พี่ฆินทร์หลอกเอาไปได้เลย ไอซ์มีแต่ตัวกับหัวใจ
ต้องเป็นพี่ฆินทร์สิที่จะต้องกลัวไอซ์จะหลอกลวง แต่พี่ฆินทร์ก็ไม่ได้กลัวโดนสาวคนนี้หลอก"

ฆินทร์ตาค้าง มองหญิงสาวในแบบที่ไม่เคยคาดฝันว่าเธอจะพรั่งพรูสิ่งเหล่านี้ออกมาได้

"ขนาดเงินสิบล้านนั่น พี่ฆินทร์ก็แทบไม่ถามถึงว่ามันไปอยู่ไหนแล้ว ถึงตอนนี้ไอซ์เลยมั่นใจ
ว่าที่ไอซ์คิดมานั้นไม่ผิด พี่ฆินทร์เห็นไอซ์ตกระกำลำบากไม่ได้ เหมือนที่พี่กีสรีบตอบรับ
คำขอแต่งงานกับพี่ไนค์ทันที เพราะต้องการดูแลพี่ไนค์ ต้องการช่วยพี่ไนค์
ไอซ์กับพี่ไนค์เกิดมาโชคดีไงคะ โชคดีที่มีคนที่ยังรักอย่างจริงใจ แม้จะมีจำนวนน้อยขนาดไหน
แต่ก็จริงจังและจริงใจมั่นคงไม่ยอมทิ้งเราสองพี่น้องให้ลำบาก ถ้าไอซ์เบี้ยวงานแต่ง
หนีงานแต่งไปพร้อมเงินสิบล้านนั้น พี่ฆินทร์ก็คงไม่ตามทวงเงินนั้นคืน เพราะถ้าอยากได้เงินคืน
พี่ก็คงให้คนตามหากระเป๋าเงินนั้นแล้วว่ามั้ยคะ" มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวหญิงสาวแล้วรั้งศีรษะนั้น
เข้าพิงบ่ากว้างของตน

"ที่พี่ฆินทร์แอบปล่อยลมรถมอเตอร์ไซค์ที่ไอซ์กำลังนั่งซ้อนท้ายพี่ไนค์อยู่

ไม่ใช่เพราะเกลียดหรือคิดจะรังแก แต่เป็นเพราะรัก เพราะพี่ฆินทร์อยากให้ไอซ์มานั่งรถเบนซ์ของพี่ที่มาจอดรออยู่ข้างๆ

ให้ไอซ์มานั่งข้างๆพี่ ให้พี่ได้เป็นคนพาไอซ์ไปยังฝั่งฝัน ถ้าพี่ฆินทร์หมายจะขยี้ไอซ์ พี่ฆินทร์ไม่จำเป็นต้องแต่งงานให้เกียรติไอซ์

แบบนี้หรอกค่ะ พี่ฆินทร์ทำให้ไอซ์อับอายขายหน้าคนในสังคมด้วยวิธีการอื่นๆได้อีกมากมาย การแต่งงานคือ พันธะสัญญา

ที่เราได้ตกลงร่วมกันโดยมีอัลลอฮ์เป็นคู่ร่วมสัญญานี้ด้วย ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาทำเล่นๆ ที่ถึงแม้ว่าจะทำเล่นๆมันก็เป็นจริงอยู่ดี"

คนฟังยิ้มทั้งปากทั้งตาเลยทีเดียว ใครว่าดุจมณีรู้ไม่เท่าทันคน เธอมองขาดเลยด้วยซ้ำ ก็เพราะนี่มันยัยตัวแสบน่ะสิ

ถึงจะความจำเสื่อม และเคยสติฟั่นเฟือน แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้สติสัมปชัญญะของเธอดูจะครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

เหลือแค่ความทรงจำในอดีตที่ยังไม่ยอมกลับมา

"เธอคิดแบบนี้หรือไอซ์"

"ค่ะ พี่ฆินทร์เป็นแบบนี้ในความคิดไอซ์"

"ขอบคุณนะครับที่มองพี่แบบนี้"

"ไอซ์ยอมตกลงแต่งงานด้วย ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกค่ะ
ไอซ์แค่มั่นใจว่าพี่ฆินทร์เป็นคนแบบที่ไอซ์คิด และไอซ์ก็เต็มใจจะมีภาระด้วยค่ะ"

"อะไรนะ" ชายหนุ่มไม่เข้าใจตรงท้ายประโยค

"ก็ไอซ์บอกว่าไอซ์ยินดีจะมีภาระ ซึ่งก็หมายถึงพี่ฆินทร์ไงละคะ ฮ่าๆๆ"

"พี่หรือใครกันแน่ตัวภาระน่ะ"

"พี่ฆินทร์เป็นภาระของไอซ์แน่นอนค่ะ เพราะต่อไปไอซ์ต้องหุงข้าวหาอะไรให้พี่ฆินทร์กิน
ทั้งที่ปกติน่ะพี่กีสจะทำหน้าที่นี้ให้ไอซ์ และไอซ์ก็ต้องคอยดูแลเรื่องต่างๆ ให้พี่ฆินทร์อีก
นี่แหละ ที่เค้าเรียกว่า ภาระ ฮ่าๆๆๆ" หญิงสาวหัวเราะเสียงใส

"ส่วนไอซ์พี่ฆินทร์ไม่ต้องดูแลก็ได้ค่ะ เพราะไอซ์จะดูแลพี่ฆินทร์เอง"

"ทำได้แน่หรือ" ชายหนุ่มยักคิ้วยั่วแกมอ่อย

"ทำได้ไม่ได้เดี๋ยวก็รู้ไปเองค่ะ ต้องใช้ชีวิตด้วยกันดูก่อนค่ะ อย่างตอนนี้ ใครกำลังเป็นภาระใคร
กันแน่คะ พี่ฆินทร์รึเปล่า" แล้วก็ชี้ไปที่เขาที่ตอนนี้ลงไปนอนบนตักของเธอเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มหัวเราะขำออกมาอย่างอารมณ์ดีอย่างที่ไม่เคยอารมณ์ดีแบบนี้มาก่อน

"ก็เธอบอกพี่เองว่าเต็มใจ พี่เลยจัดให้ซะเลย เป็นไงล่ะ"

"ได้แล้วเอาใหญ่เลยนะคะ"

"ว่าแต่เธอเอาเงินนั่นไปซ่อนไว้ที่ไหน"

"ในกระเป๋าเดินทางของไอซ์ค่ะ อิอิ"

"ห้ะ"

"ไม่หายหรอกค่ะ ไอซ์ล็อคไว้อย่างดี ไว้จะเอาไปลงทุนทำร้านเค้กดีมั้ยคะ"

"อืม เอาสิ พี่ว่าดีเหมือนกันนะ"

"แล้วทำไมวันนั้นพี่ฆินทร์ถึงไม่สนใจเค้กของไอซ์เลย" หญิงสาวเริ่มทำหน้างอ

"พี่ชกอยู่กับพี่ชายเธอซะขนาดนั้น เธอยังให้พี่คิดถึงเค้กหรือไอซ์"

"ก็จริงค่ะ ปากพี่แตกยับเลย หน้าก็ช้ำ ก็แล้วทำไมพี่ต้องยอมให้พี่ไนค์ชกไปหลายครั้งแบบนั้นด้วย

ทำไมไม่รู้จักหลบหลีกบ้าง ยืนให้พี่ไนค์ชกทำไม ดีนะที่ช่างแต่งหน้าเก่ง กลบรอยซะมิดเลย"

ว่าแล้วก็แตะเบาๆ ตรงรอยช้ำบนใบหน้าเขาที่ตอนนี้เธอเห็นมันชัดมากๆ
มากกว่าเมื่อวานที่มันถูกกลบด้วยเครื่องแต่งหน้า

"เจ็บมากมั้ยคะ"

"เจ็บสิ"

"ไอซ์ขอโทษนะคะที่เป็นสาเหตุ แล้วไอซ์จะรับผิดชอบดูแลแผลนี้จนกว่ามันจะหายเลย"

ความน้อยอกน้อยใจที่เก็บซ่อนอำพรางไว้ก่อนหน้านี้
ถึงกับมลายหายสิ้นไปเมื่อได้ยินประโยคนี้จากน้องนาง

"น่ารักขนาดนี้ พี่ยกโทษให้ครับ" ว่าแล้วก็ลุกขึ้นสวมกอดดุจมณี อยากทำมากกว่านี้
แต่เธอมีประจำเดือน และเขาก็ถือศีลอดอยู่

"หอมจัง" นั่นไง มาอีกแล้วประโยคนี้

"ทำไมกลิ่นตัวพี่ฆินทร์ถึงไปอยู่ที่ผ้าคลุมฮิญาบที่พี่ฆินทร์ส่งไปให้ไอซ์ได้ละคะ
เนี่ย ไอซ์จำได้ กลิ่นนี้เลย" ไม่พูดเปล่า ยังทำจมูกฟุตฟิตขณะดมตัวเขาอีก

"ก็มันเป็นกลิ่นน้ำหอมประจำตัวพี่ และพี่ก็ตั้งใจพรมน้ำหอมของพี่ลงบนตัวผ้านั่น"

"อ๋อ กะจะอ่อยไอซ์นี่เอง ร้ายนะคะเนี่ย" ฆินทร์หัวเราะขำทีเดียว อยากจะจุ๊บเธอด้วยซ้ำ
แต่ต้องอดใจไว้ก่อน

"แล้วชอบมั้ยล่ะ" หญิงสาวพยักหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะมุดหน้าแดงๆ ลงตรงอกเขาทันที

"มันมีกลิ่นหอมของสตรอว์เบอร์รีที่ไอซ์ชอบ มีกลิ่นของไม้หอมๆ ด้วยและอะไรอีกก็ไม่รู้ค่ะ
แต่ให้กลิ่นแนว Oriental Spicy ทำให้รู้สึกถึงความดูสุขุม มีอำนาจ น่าเกรงขาม
แต่ก็แฝงไว้ด้วยเสน่ห์ของความเซ็กซี่ อบอุ่น อ่อนโยน โรแมนติกด้วย และก็หวาน
น่าหลงใหล น่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก"

"ที่พูดมาทั้งหมด หมายถึงน้ำหอม หรือว่าหมายถึงพี่ครับ" เท่านั้นแหละคนที่มุดหน้าอยู่
ยิ่งมุดจมหายไปเลย ไม่กล้าโผล่หัวโผล่หน้าขึ้นมาแล้วทำเสียงอู้อี้ว่า

"น้ำหอมค่ะ"

"งั้นเดี๋ยวพี่เอาขวดน้ำหอมไปให้ดมทั้งวันทั้งคืนเลยดีมั้ยครับ" ไม่วายเย้าแหย่

"มีพี่ฆินทร์แล้วจะเอาขวดน้ำหอมไปทำไมละคะ" ยัง ยังไม่ยอมลดราวาศอก ทั้งๆ ที่ก็ใช่ว่า
จะกล้าเงยหน้าขึ้นมาพูด เอาแต่มุดหัวพูดไม่ยอมหยุด

"ดมมาทั้งคืนแล้วยังไม่เบื่ออีกหรือไง" เท่านั้นแหละ คนที่มุดหัวอยู่ถึงกับสะดุ้ง ดีดตัวออกมา
จากการซุกอกเขาทันที มองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
ทำเอาเขาอดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา

"หมายความว่าไงคะ ไอซ์ทำไรพี่ฆินทร์ให้เสียหายตรงไหนรึเปล่า" หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง
หลังจากพูดจบ

"ก็ลวนลามพี่ กอดพี่ ไม่ยอมให้พี่พลิกตัวไปทางอื่น และก็ซุกอกพี่ ดมพี่แล้วบอกว่าหอมจัง"
หญิงสาวเอามือทาบอก ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

"แล้ว แล้ว ทำไรมากกว่านั้นอีกมั้ยคะ"

"ก็...ทำนะครับ"

"ทำ ทำไรอ่ะคะ"

"ก็หอมแก้มพี่ไปตั้งหลายครั้ง"

"ไม่จริงอ่ะ ไอซ์จะทำแบบนั้นทำไม พี่ฆินทร์แกล้ง"

"จริง พี่โดนเธอขโมยหอมแก้มไปหลายครั้งมาก พี่จดเอาไว้หมดแล้ว รอวันเอาคืน"

"จะ จะเอาคืนด้วยหรือคะ"

"แน่นอน จะเอาคืนต่อหน้านายไลค์ด้วย"

"ไม่กลัวจะโดนชกปากแตกหรือคะ"

"ไม่กลัวเลย เพราะถ้าเค้าชกพี่ พี่ก็จะจูบเธอให้เขาดู"

"ไปคิดมุกนี้มาจากหนังเรื่องไหนคะเนี่ย ไม่น่าจะจีบสาวติดนะคะ"

"แต่น่าจะยั่วพี่ชายเธอได้"

"พี่ไลค์คงไม่ทำอะไรแบบขาดสติหรอกค่ะ เขาคงไม่ทำแบบที่เคยทำอีกแล้ว
อีกอย่างตอนนี้เค้าก็คงชกหน้าพี่ฆินทร์ไม่ได้แล้ว ตอนนี้เขาเป็นนักโทษทางการเมือง
ที่คงจะกลับไทยไม่ได้ไปตลอดชีวิต พ่อกับเขาก็คงยากที่จะพบเจอกันได้
เพราะพ่อก็มีความผิด ยังอยู่ในการควบคุมของทางการ แถมยังนอนติดเตียง"

"อยากไปเจอเค้ามั้ยล่ะ" ดุจมณีตาโตทีเดียวเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะรีบพยักหน้า

"อยากเจอมากๆ เลยค่ะ"

"งั้นพรุ่งนี้พี่จะพาไปเจอ"


.................โปรดติดตามตอนต่อไป..............................


ฮึบๆๆๆ เหลืออีกประมาณสองตอนก็จบแล้วนะคะ
นักอ่านอยากได้ตอนพิเศษแบบไหน บอกกันมาได้น้าาาาา


เสร็จจากเรื่องนี้ ป้ายถัดไป คือ เรื่องหะบีบี้ค่ะ อิอิ



yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ส.ค. 2566, 00:18:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ส.ค. 2566, 00:18:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 200





<< บทที่ 22 ช่วยจีบหน่อยสิ   บทที่ 24 ดุจเจ้าหญิง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account