Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้
ตอน: บทที่ 4 บ้านร้างญี่ปุ่น
ลาเวนเดอร์ยังคงเดินทางรอนแรมไปเรื่อยในแดนปลาดิบ ผ่านร้อนจนไปพบกับฤดูหนาวอีกครา
ตอนนี้เธอกำลังย่างเข้าสู่วัยเลขสองแล้ว แต่ชีวิตก็ยังคงเปล่าเปลี่ยวและโดดเดี่ยวไม่แปรเปลี่ยนไป
ยังคงหนีการต่ามล่าทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐและพวกยากุซ่าที่ต้องการตัวเธอ มิใช่สิ ดวงตาของเธอต่างหาก
ที่พวกนั้นต้องการอยากจะได้ ไหนจะอวัยวะต่างๆในร่างกายเธอที่เป็นสิ่งล่อตาล่อใจให้คนพวกนั้นเฝ้า
ติดตามเสาะหาเธอ โชคดีที่แม้จะโดดเดี่ยวแต่ก็มิได้เดียวดายมากเกินไปนัก อย่างน้อยเธอก็ยังพอจะมี
มิตรสหายที่ดีที่คอยส่งสัญญาณเตือนมายังเธอให้หลบหลีก หลบหนี และคอยหาที่พักพิงให้แก่เธอ
ชีวิตที่ต้องหนี ชีวิตที่ยังไร้เป้าหมายเช่นนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอได้รับการแนะนำให้มายังที่พักพิงแห่งใหม่ในเมืองโทยามะ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ
ของประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองที่หิมะทับถมกันสูงจนมีกำแพงหิมะที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
แต่เธอหาได้ตื่นเต้นกับอะไรเช่นนี้หรอก เธอไม่ค่อยถูกกับหิมะสักเท่าไหร่ เพราะมันทั้งหนาว
ทั้งกัดเท้าเธอจนบวมและเป็นแผลแสบไปหมด ซึ่งที่นี่ ที่ที่ผู้คนมิได้อาศัยอยู่กันแน่นหนา
อย่างกรุงโตเกียวและเมืองเกียวโต ทำให้ในฤดูหนาวเช่นนี้ยิ่งเงียบเหงาและวังเวงยิ่งนัก
คนที่เธอรู้จักได้มอบบ้านร้างหลังนึงให้เธอใช้พักพิงชั่วคราว ซึ่งมันเป็นบ้านหลังใหญ่สองชั้น
ใหญ่ราวกับคฤหาสน์โบราณ เป็นไม้ทั้งหลัง ในอดีตมันคงเป็นบ้านของพวกขุนนางหรืออะไรทำนองนั้นเป็นแน่
เพราะดูจากความเก่าแล้วเธอว่า มันน่าจะอายุเกือบๆร้อยปีได้ล่ะมัง แต่เพราะผ่านการซ่อมแซมมาอย่างดี
เลยยังพอจะอาศัยอยู่ได้ แต่ก็ดูร้าง และวังเวง เย็นยะเยือกเหลือเกิน อีกทั้งยังมีกลิ่นอับชื้น
กับกลิ่นอะไรบางอย่างที่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคือกลิ่นของอะไรกันแน่ ที่แน่ๆ ที่นี่ดูจะแย่กว่าทุกที่
ที่เธอเคยพักพิงมาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
'บ้านร้าง' ภาษาญี่ปุ่นเรียก 'อาคิยะ' (Akiya) หรือบ้านที่ถูกปล่อยทิ้งว่างเปล่าไม่มีผู้คนอาศัย
ซึ่งสาเหตุที่บ้านร้างในญี่ปุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเจ้าของบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุล้มหายตายจาก
และไม่มีผู้สืบทอดมรดกต่อ หรือไม่ก็ลูกหลานละทิ้งบ้าน ไปสร้างครอบครัวใหม่ในสังคมเมือง
หรือมัวแต่ทำมาหากินสร้างฐานะ พักบ้านเช่าในตัวเมืองกันจนไม่มีเวลากลับมาดูแลบูรณะบ้านเก่าของพ่อแม่
การปล่อยทิ้งบ้านร้าง ส่งผลให้สภาพแวดล้อมบริเวณที่ตั้งของบ้านเหล่านั้นดูไม่น่ามอง
ก่อให้เกิดการทรุดโทรมผุพัง วัชพืชขึ้นปกคลุม นั่นยิ่งทำให้สภาพบ้านร้างดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
ไหนจะเจ้าของบ้านหรือทายาทผู้รับมรดกที่จำเป็นต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเรื่องภาษีบำรุงท้องถิ่น
ซึ่งภาษีประเภทนี้ค่อนข้างสูงจึงยิ่งทำให้บ้านร้างถูกปล่อยปละละเลย
ส่วนมากมักจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ผู้คนเบาบาง ทำให้มูลค่าที่ควรจะเพิ่มขึ้น
กลับยิ่งทำให้เจ้าของต้องเผชิญภาวะหนี้สินเพิ่มแทน ทายาทเจ้าของบ้านจำนวนไม่น้อย
จึงต้องปล่อยทิ้งร้างให้ทางการท้องถิ่นยึดบ้านจัดการทำประโยชน์ต่อไป
จึงพบเห็นประกาศขาย 'บ้านร้าง' เหล่านั้นในราคาถูกๆหรือไม่ก็ปล่อยเช่าระยะยาวตามกำหนด
เพื่อซื้อเวลายาวนานนับสิบปี ก่อนทำเรื่องขอเป็นเจ้าของได้ตามกฎหมายในอนาคต
ส่งผลให้บ้านร้างในหลายพื้นที่ถูกประกาศให้ฟรี แก่ผู้ต้องการครอบครอง
โดยผู้ต้องการบ้านต้องผ่านการประเมินจากทางการท้องถิ่น
ต้องเสียค่าบำรุงท้องถิ่นและค่าธรรมเนียมไม่มากนักตามข้อกำหนด
แต่ปัญหาคือ ในสังคมญี่ปุ่นมีความคล้ายชาวซีกโลกตะวันออก ที่มักจะเชื่อเรื่องผีสางเทวดา
อสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านร้างที่มีจำนวนมากจึงไม่มีใครต้องการซื้อครอบครองไว้
เพราะอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นอาจผ่านประวัติโศกนาฏกรรมมาแล้วหลากหลายรูปแบบ
ตั้งแต่ เจ้าของบ้านป่วยตาย ตรอมใจตายไปอย่างเดียวดาย ฆ่าตัวตาย
หรืออาจเคยเกิดคดีฆาตกรรมจนต้องปล่อยทิ้งร้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บ้านร้าง
ถูกปล่อยให้ร้างต่อไป และดูจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
เธอเองก็คิดว่า บ้านร้างให้พักฟรีหลังนี้ก็คงมีประวัติบางอย่างที่ไม่น่าจะดีนัก
ไม่งั้นคนที่แนะนำเธอมาที่นี่คงไม่มีน้ำเสียงกระอักกระอ่วนใจอย่างมีกังวลที่ปกปิดไม่มิด
"ว่าไงลา บ้านพักหลังใหม่โอเคมั้ย" เสียงคนที่โทรมาหาเธอถามเมื่อรู้ว่าเธอได้มาถึงที่พักเรียบร้อยแล้ว
"พี่มะลิได้บ้านหลังนี้มายังไงหรอคะ แล้วมันมีประวัติอะไรบ้างมั้ย"
"อย่ารู้เลย มันก็แค่ที่พักชั่วคราว เดี๋ยวเธอก็ต้องย้ายอีก"
"ลาว่า มันแปลกๆนะพี่มะลิ มันดูยะเยือกยังไงก็ไม่รู้สิ นี่พอเข้ามาถึงก็ขนลุกเกรียวเลย"
"อย่างเธอยังต้องกลัวอะไรอีกหรอลา ไหนบอกว่าเธอน่ะไม่กลัวความมืด ยิ่งผีแล้วยิ่งไม่กลัว"
"ไม่กลัวก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะเกี่ยวข้องด้วยนี่คะ"
"เธอเลือกไม่ได้หรอกลา เธอก็รู้ว่า พวกเขาเป็นฝ่ายเลือกเธอ ไม่ใช่เธอเป็นฝ่ายเลือก"
"สักวันลาจะหาทางตัดขาดจากพวกเขาให้ได้ ลาจะต้องได้รับอิสรภาพ จะไม่ต้องมีชีวิตแบบนี้อีกต่อไป"
"อยู่ให้รอดวันต่อวันยังยากเลยลา พวกเราน่ะ เลือกอะไรได้มากซะที่ไหนกัน"
"ก็จริงของพี่มะลิ ลาเองก็คงฝันเกินตัว"
"อ้อ มีอีกเรื่องที่พี่จะบอก อีกสองเดือนเธอต้องออกเดินทางไปประเทศไทยแล้วนะ"
"ห้ะ ไปประเทศไทย! ไปทำไมคะพี่มะลิ"
"ไปพบใครคนหนึ่ง"
"ใครกันคะ"
"คนที่เธอตามหามาตลอดชีวิตไง ทางสายของพี่บอกว่าเจอผู้ที่น่าสงสัยแล้ว"
"แน่ใจหรอคะว่าอยู่ที่ไทย"
"แน่ซะยิ่งกว่าแน่ อยู่ไทยแน่นอน"
"แล้วทำไมต้องรออีกสองเดือนล่ะคะ"
"ก็พี่กำลังหาช่องทางให้เธออยู่น่ะสิ เธอลืมไปแล้วรึไงว่าเธอน่ะ ไร้ราก ไร้ตัวตน
เกิดถูกจับได้ เธอคงไม่เหลือชิ้นส่วนให้เอาไปฝังตามพิธีกรรมทางศาสนาแน่ๆ"
"ใช้เวลานานขนาดนั้นเลยหรือคะ"
"พี่เข้าใจเธอนะ ว่าเธอไม่อยากรอแม้แต่วินาทีเดียว แต่เธอก็รอมาทั้งชีวิตแล้ว ก็รอต่ออีกนิดก็แล้วกัน
คราวนี้ เมื่อเธอเดินทางออกจากญี่ปุ่นไปแล้ว ก็ไม่ง่ายที่จะหวนกลับมาที่นี่ได้อีก มีอะไรจะบอกลา
ดินแดนนี้ก็จงทำซะในช่วงสองเดือนนี้"
"ทำไมสายของพี่ถึงมั่นใจว่าเป็นเขาล่ะ"
"ก็เขามีบางอย่างเหมือนเธอมากเกินไปน่ะสิ หรือเธอคิดว่า คนแบบเธอมันหากันได้ง่ายๆทั่วไป"
"ที่เขาต้องไป ก็คงเพราะ เจออะไรแบบที่ลาเจอใช่มั้ยคะ"
"พี่ไม่รู้ มีแต่เธอที่ต้องไปถามเขาเอาเองว่าทำไม พี่เองก็คงช่วยเธอได้แค่นี้ เพราะหลังจากส่งเธอ
ขึ้นฝั่งประเทศไทยแล้ว เธอต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น เพราะพี่เองก็คงช่วยอะไรที่ตอนที่เธออยู่ที่นั่น
ไม่ได้อีกแล้ว"
"แค่พี่มะลิช่วยลามาตลอดก็เป็นบุญคุณที่ชีวิตนี้ลาคงตอบแทนได้ไม่หมดแล้วล่ะค่ะ"
"บุญคุณอะไรกัน คิดมาก เธอเองต่างหากที่ช่วยชีวิตพี่ไว้ ตอนนั้นถ้าไม่ได้เธอช่วยพี่ไว้
พี่ก็คงตายไปโดยไม่มีใครพบเศษซากไปแล้ว พี่เลยตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อช่วยเหลือเธอ
แต่ก็ไม่ได้จะมีความสามารถช่วยอะไรเธอได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว"
"อย่ากังวลไปเลยค่ะ สายของพี่ก็ยังมีที่ไทยไม่ใช่หรือคะ"
"สายของพี่ไว้ใจไม่ได้หรอกลา พอพวกเขาเห็นลา กิเลสตัณหาอาจจะยากเกินควบคุมก็ได้"
"ทั้งคนทั้งญินต่างก็มีกิเลสตัณหาด้วยกันทั้งสิ้น ลาล่ะเบื่อกับโลกใบนี้เหลือเกินค่ะพี่มะลิ"
"อย่าเพิ่งเบื่อสิ เธอเพิ่งจะยี่สิบปีเองนะลา อย่าพูดแบบนี้สิ"
"ก็มันน่าเบื่อจริงๆนี่คะพี่มะลิ เอ๊ะ!" เสียงลาเวนเดอร์ขาดหายไป พร้อมเสียงมือถือร่วงตก
"ลา ลา ลาเป็นอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น" มะลิ หญิงกลางคนเริ่มกังวลเมื่อไม่ได้รับเสียงตอบกลับ
จากปลายสาย มีเพียงเสียงกระพือปีกของนกที่ดังแทรกเข้ามา ก่อนจะได้ยินเสียงกระแทก
แล้วเสียงก็ดับไป สายถูกตัดขาด
"ลา ลา ลา" หญิงกลางคนกดสายหาลาเวนเดอร์ซ้ำๆ ทว่า กลับติดต่อไม่ได้
จึงโทรหาคนสนิทที่อยู่ใกล้ที่สุดไปยังบ้านพักที่ลาเวนเดอร์เพิ่งเข้าพัก
.................................โปรดติดตามตอนต่อไป..................................................
ตอนนี้เธอกำลังย่างเข้าสู่วัยเลขสองแล้ว แต่ชีวิตก็ยังคงเปล่าเปลี่ยวและโดดเดี่ยวไม่แปรเปลี่ยนไป
ยังคงหนีการต่ามล่าทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐและพวกยากุซ่าที่ต้องการตัวเธอ มิใช่สิ ดวงตาของเธอต่างหาก
ที่พวกนั้นต้องการอยากจะได้ ไหนจะอวัยวะต่างๆในร่างกายเธอที่เป็นสิ่งล่อตาล่อใจให้คนพวกนั้นเฝ้า
ติดตามเสาะหาเธอ โชคดีที่แม้จะโดดเดี่ยวแต่ก็มิได้เดียวดายมากเกินไปนัก อย่างน้อยเธอก็ยังพอจะมี
มิตรสหายที่ดีที่คอยส่งสัญญาณเตือนมายังเธอให้หลบหลีก หลบหนี และคอยหาที่พักพิงให้แก่เธอ
ชีวิตที่ต้องหนี ชีวิตที่ยังไร้เป้าหมายเช่นนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอได้รับการแนะนำให้มายังที่พักพิงแห่งใหม่ในเมืองโทยามะ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ
ของประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองที่หิมะทับถมกันสูงจนมีกำแพงหิมะที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
แต่เธอหาได้ตื่นเต้นกับอะไรเช่นนี้หรอก เธอไม่ค่อยถูกกับหิมะสักเท่าไหร่ เพราะมันทั้งหนาว
ทั้งกัดเท้าเธอจนบวมและเป็นแผลแสบไปหมด ซึ่งที่นี่ ที่ที่ผู้คนมิได้อาศัยอยู่กันแน่นหนา
อย่างกรุงโตเกียวและเมืองเกียวโต ทำให้ในฤดูหนาวเช่นนี้ยิ่งเงียบเหงาและวังเวงยิ่งนัก
คนที่เธอรู้จักได้มอบบ้านร้างหลังนึงให้เธอใช้พักพิงชั่วคราว ซึ่งมันเป็นบ้านหลังใหญ่สองชั้น
ใหญ่ราวกับคฤหาสน์โบราณ เป็นไม้ทั้งหลัง ในอดีตมันคงเป็นบ้านของพวกขุนนางหรืออะไรทำนองนั้นเป็นแน่
เพราะดูจากความเก่าแล้วเธอว่า มันน่าจะอายุเกือบๆร้อยปีได้ล่ะมัง แต่เพราะผ่านการซ่อมแซมมาอย่างดี
เลยยังพอจะอาศัยอยู่ได้ แต่ก็ดูร้าง และวังเวง เย็นยะเยือกเหลือเกิน อีกทั้งยังมีกลิ่นอับชื้น
กับกลิ่นอะไรบางอย่างที่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคือกลิ่นของอะไรกันแน่ ที่แน่ๆ ที่นี่ดูจะแย่กว่าทุกที่
ที่เธอเคยพักพิงมาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
'บ้านร้าง' ภาษาญี่ปุ่นเรียก 'อาคิยะ' (Akiya) หรือบ้านที่ถูกปล่อยทิ้งว่างเปล่าไม่มีผู้คนอาศัย
ซึ่งสาเหตุที่บ้านร้างในญี่ปุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเจ้าของบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุล้มหายตายจาก
และไม่มีผู้สืบทอดมรดกต่อ หรือไม่ก็ลูกหลานละทิ้งบ้าน ไปสร้างครอบครัวใหม่ในสังคมเมือง
หรือมัวแต่ทำมาหากินสร้างฐานะ พักบ้านเช่าในตัวเมืองกันจนไม่มีเวลากลับมาดูแลบูรณะบ้านเก่าของพ่อแม่
การปล่อยทิ้งบ้านร้าง ส่งผลให้สภาพแวดล้อมบริเวณที่ตั้งของบ้านเหล่านั้นดูไม่น่ามอง
ก่อให้เกิดการทรุดโทรมผุพัง วัชพืชขึ้นปกคลุม นั่นยิ่งทำให้สภาพบ้านร้างดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
ไหนจะเจ้าของบ้านหรือทายาทผู้รับมรดกที่จำเป็นต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเรื่องภาษีบำรุงท้องถิ่น
ซึ่งภาษีประเภทนี้ค่อนข้างสูงจึงยิ่งทำให้บ้านร้างถูกปล่อยปละละเลย
ส่วนมากมักจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ผู้คนเบาบาง ทำให้มูลค่าที่ควรจะเพิ่มขึ้น
กลับยิ่งทำให้เจ้าของต้องเผชิญภาวะหนี้สินเพิ่มแทน ทายาทเจ้าของบ้านจำนวนไม่น้อย
จึงต้องปล่อยทิ้งร้างให้ทางการท้องถิ่นยึดบ้านจัดการทำประโยชน์ต่อไป
จึงพบเห็นประกาศขาย 'บ้านร้าง' เหล่านั้นในราคาถูกๆหรือไม่ก็ปล่อยเช่าระยะยาวตามกำหนด
เพื่อซื้อเวลายาวนานนับสิบปี ก่อนทำเรื่องขอเป็นเจ้าของได้ตามกฎหมายในอนาคต
ส่งผลให้บ้านร้างในหลายพื้นที่ถูกประกาศให้ฟรี แก่ผู้ต้องการครอบครอง
โดยผู้ต้องการบ้านต้องผ่านการประเมินจากทางการท้องถิ่น
ต้องเสียค่าบำรุงท้องถิ่นและค่าธรรมเนียมไม่มากนักตามข้อกำหนด
แต่ปัญหาคือ ในสังคมญี่ปุ่นมีความคล้ายชาวซีกโลกตะวันออก ที่มักจะเชื่อเรื่องผีสางเทวดา
อสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านร้างที่มีจำนวนมากจึงไม่มีใครต้องการซื้อครอบครองไว้
เพราะอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นอาจผ่านประวัติโศกนาฏกรรมมาแล้วหลากหลายรูปแบบ
ตั้งแต่ เจ้าของบ้านป่วยตาย ตรอมใจตายไปอย่างเดียวดาย ฆ่าตัวตาย
หรืออาจเคยเกิดคดีฆาตกรรมจนต้องปล่อยทิ้งร้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บ้านร้าง
ถูกปล่อยให้ร้างต่อไป และดูจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
เธอเองก็คิดว่า บ้านร้างให้พักฟรีหลังนี้ก็คงมีประวัติบางอย่างที่ไม่น่าจะดีนัก
ไม่งั้นคนที่แนะนำเธอมาที่นี่คงไม่มีน้ำเสียงกระอักกระอ่วนใจอย่างมีกังวลที่ปกปิดไม่มิด
"ว่าไงลา บ้านพักหลังใหม่โอเคมั้ย" เสียงคนที่โทรมาหาเธอถามเมื่อรู้ว่าเธอได้มาถึงที่พักเรียบร้อยแล้ว
"พี่มะลิได้บ้านหลังนี้มายังไงหรอคะ แล้วมันมีประวัติอะไรบ้างมั้ย"
"อย่ารู้เลย มันก็แค่ที่พักชั่วคราว เดี๋ยวเธอก็ต้องย้ายอีก"
"ลาว่า มันแปลกๆนะพี่มะลิ มันดูยะเยือกยังไงก็ไม่รู้สิ นี่พอเข้ามาถึงก็ขนลุกเกรียวเลย"
"อย่างเธอยังต้องกลัวอะไรอีกหรอลา ไหนบอกว่าเธอน่ะไม่กลัวความมืด ยิ่งผีแล้วยิ่งไม่กลัว"
"ไม่กลัวก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะเกี่ยวข้องด้วยนี่คะ"
"เธอเลือกไม่ได้หรอกลา เธอก็รู้ว่า พวกเขาเป็นฝ่ายเลือกเธอ ไม่ใช่เธอเป็นฝ่ายเลือก"
"สักวันลาจะหาทางตัดขาดจากพวกเขาให้ได้ ลาจะต้องได้รับอิสรภาพ จะไม่ต้องมีชีวิตแบบนี้อีกต่อไป"
"อยู่ให้รอดวันต่อวันยังยากเลยลา พวกเราน่ะ เลือกอะไรได้มากซะที่ไหนกัน"
"ก็จริงของพี่มะลิ ลาเองก็คงฝันเกินตัว"
"อ้อ มีอีกเรื่องที่พี่จะบอก อีกสองเดือนเธอต้องออกเดินทางไปประเทศไทยแล้วนะ"
"ห้ะ ไปประเทศไทย! ไปทำไมคะพี่มะลิ"
"ไปพบใครคนหนึ่ง"
"ใครกันคะ"
"คนที่เธอตามหามาตลอดชีวิตไง ทางสายของพี่บอกว่าเจอผู้ที่น่าสงสัยแล้ว"
"แน่ใจหรอคะว่าอยู่ที่ไทย"
"แน่ซะยิ่งกว่าแน่ อยู่ไทยแน่นอน"
"แล้วทำไมต้องรออีกสองเดือนล่ะคะ"
"ก็พี่กำลังหาช่องทางให้เธออยู่น่ะสิ เธอลืมไปแล้วรึไงว่าเธอน่ะ ไร้ราก ไร้ตัวตน
เกิดถูกจับได้ เธอคงไม่เหลือชิ้นส่วนให้เอาไปฝังตามพิธีกรรมทางศาสนาแน่ๆ"
"ใช้เวลานานขนาดนั้นเลยหรือคะ"
"พี่เข้าใจเธอนะ ว่าเธอไม่อยากรอแม้แต่วินาทีเดียว แต่เธอก็รอมาทั้งชีวิตแล้ว ก็รอต่ออีกนิดก็แล้วกัน
คราวนี้ เมื่อเธอเดินทางออกจากญี่ปุ่นไปแล้ว ก็ไม่ง่ายที่จะหวนกลับมาที่นี่ได้อีก มีอะไรจะบอกลา
ดินแดนนี้ก็จงทำซะในช่วงสองเดือนนี้"
"ทำไมสายของพี่ถึงมั่นใจว่าเป็นเขาล่ะ"
"ก็เขามีบางอย่างเหมือนเธอมากเกินไปน่ะสิ หรือเธอคิดว่า คนแบบเธอมันหากันได้ง่ายๆทั่วไป"
"ที่เขาต้องไป ก็คงเพราะ เจออะไรแบบที่ลาเจอใช่มั้ยคะ"
"พี่ไม่รู้ มีแต่เธอที่ต้องไปถามเขาเอาเองว่าทำไม พี่เองก็คงช่วยเธอได้แค่นี้ เพราะหลังจากส่งเธอ
ขึ้นฝั่งประเทศไทยแล้ว เธอต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น เพราะพี่เองก็คงช่วยอะไรที่ตอนที่เธออยู่ที่นั่น
ไม่ได้อีกแล้ว"
"แค่พี่มะลิช่วยลามาตลอดก็เป็นบุญคุณที่ชีวิตนี้ลาคงตอบแทนได้ไม่หมดแล้วล่ะค่ะ"
"บุญคุณอะไรกัน คิดมาก เธอเองต่างหากที่ช่วยชีวิตพี่ไว้ ตอนนั้นถ้าไม่ได้เธอช่วยพี่ไว้
พี่ก็คงตายไปโดยไม่มีใครพบเศษซากไปแล้ว พี่เลยตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อช่วยเหลือเธอ
แต่ก็ไม่ได้จะมีความสามารถช่วยอะไรเธอได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว"
"อย่ากังวลไปเลยค่ะ สายของพี่ก็ยังมีที่ไทยไม่ใช่หรือคะ"
"สายของพี่ไว้ใจไม่ได้หรอกลา พอพวกเขาเห็นลา กิเลสตัณหาอาจจะยากเกินควบคุมก็ได้"
"ทั้งคนทั้งญินต่างก็มีกิเลสตัณหาด้วยกันทั้งสิ้น ลาล่ะเบื่อกับโลกใบนี้เหลือเกินค่ะพี่มะลิ"
"อย่าเพิ่งเบื่อสิ เธอเพิ่งจะยี่สิบปีเองนะลา อย่าพูดแบบนี้สิ"
"ก็มันน่าเบื่อจริงๆนี่คะพี่มะลิ เอ๊ะ!" เสียงลาเวนเดอร์ขาดหายไป พร้อมเสียงมือถือร่วงตก
"ลา ลา ลาเป็นอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น" มะลิ หญิงกลางคนเริ่มกังวลเมื่อไม่ได้รับเสียงตอบกลับ
จากปลายสาย มีเพียงเสียงกระพือปีกของนกที่ดังแทรกเข้ามา ก่อนจะได้ยินเสียงกระแทก
แล้วเสียงก็ดับไป สายถูกตัดขาด
"ลา ลา ลา" หญิงกลางคนกดสายหาลาเวนเดอร์ซ้ำๆ ทว่า กลับติดต่อไม่ได้
จึงโทรหาคนสนิทที่อยู่ใกล้ที่สุดไปยังบ้านพักที่ลาเวนเดอร์เพิ่งเข้าพัก
.................................โปรดติดตามตอนต่อไป..................................................
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ธ.ค. 2566, 21:42:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ธ.ค. 2566, 22:32:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 200
<< บทที่ 3 บอดีการ์ดไร้เงา | บทที่ 5 บ้านร้างญี่ปุ่น (2) >> |