Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้

วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้

ตอน: บทที่ 6 บ้านร้างญี่ปุ่น (จบ)

รุ่งเช้า...

ลาเวนเดอร์รีบขึ้นไปยังชั้นบนโดยไม่คิดจะโทรปรึกษาพี่มะลิของเธอแต่อย่างใด
คราวนี้เธอต่อรองว่าถ้าพี่แกไม่ยอมเล่าอะไรเธอละก็นะ...เธอจะกลับโตเกียวทันที!

เพราะอยากพิสูจน์ให้ชัดเจนไปเลย...จะได้ไม่ต้องคาใจ...เธอจึงต้องทำเช่นนี้
ก่อนจะย่างเท้าลงบนขั้นบันไดแต่ละขั้นเธอจะมองหาร่องรอย
แต่ไม่พบร่องรอยใดๆ บนฝุ่นที่หนานั่นเลย...

จนกระทั่งถึงเชิงบันไดซึ่งเป็นจุดที่เสียงเดินเมื่อคืนขาดหายไป
เธอสำรวจดูก็พบเพียงฝุ่นหนาที่ปราศจากรอยเท้าหรือรอยอื่นๆ ปรากฏให้เห็น
จนอยากรู้นักว่าพวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจะอธิบายเหตุการณ์นี้ว่าอย่างไร
ในเมื่อมีเสียงเหยียบพื้นดังขึ้นให้ได้ยิน แต่กลับไม่พบรอยเหยียบ รอยกระทบพื้น...
ไร้ร่องรอยทิ้งไว้ มีเพียงฝุ่นหนาเรียบ...

ขนาดเท้าเธอย่างลงเบาๆ รอยเท้าเธอยังปรากฏให้เห็น
แล้วเท้าเมื่อคืนล่ะ มันไม่มีรอยทิ้งไว้เหรอ

เสียงเดินมันเกิดขึ้นได้ยังไง ในเมื่อไร้การชนหรือการกระทบกัน
ขนาดการกระทบกันของสสารบนฟ้ายังเกิดเป็นเสียงฟ้าร้อง
ฟ้าผ่าเลย...

ประเด็นรอยเท้ายังคงเป็นปริศนา...
เธอจึงมองหาคำตอบของอีกเสียงปริศนาของนก...
จึงขึ้นไปจนถึงชั้นบน บนชั้นบนมีกลิ่นเหม็นอับชื้น ข้าวของระเกะระกะ
ดูไม่เป็นระเบียบราวกับบ้านร้างมาหลายสิบปี...

หญิงสาวพ่นลมหายใจแล้วหันไปทางจุดที่คิดว่านกนั้นนั่งกระพือปีกค่อนคืน
ส่งเสียงรบกวนเธอมาสองคืนแล้ว

อยู่ๆ เจ้านกพิราบตัวนึงก็ติดปีกบินหนีเธอออกไปทางช่องลมขนาดเล็กพอตัวมัน
ซึ่งช่องนั้นทำให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทำให้เกิดความสว่าง
และตรงนั้นที่นกพิราบอยู่ก็ดูจะเป็นจุดที่สว่างที่สุดแล้วบนชั้นนี้...

ขนที่เห็นคือ ขนนกพิราบ

หญิงสาวกลับไม่รู้สึกโล่งใจเลยสักนิด ถ้าเจอขนนกเหยี่ยว
หรือขนนกอินทรีเธออาจจะรู้สึกดีกว่านี้...แล้วขนที่เห็นร่วงอยู่
ตามพื้นห้องก็มีแต่ขนนกพิราบทั้งนั้น นกตัวโตๆ
คงยากจะแทรกกายผ่านช่องลมนั่นมาได้เช่นกัน...

ซึ่งมันกลับทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจ มากขึ้นไปอีก...
ยิ่งไม่พบรอยเท้าใดๆ บนพื้นห้อง เธอยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง...
จึงลองกวาดสายตามองไปยังจุดอับแสงบนนั้น มันก็ยากจะคาดเดาว่ามีอะไร
ซ่อนเร้นอำพราง...ครั้นจะลงไปเอาไฟฉายเพื่อเดินเข้าไปสำรวจ
เธอคงไม่เอาแน่...มันอับชื้น และฝุ่นเยอะ เก็บปอดเอาไว้ฟอกอากาศ
แย่ๆ ในเมืองใหญ่ไม่ดีกว่าหรือ....

เธอจะไม่เข้าไปเสี่ยงในสถานการณ์ที่เรามีแต่เสียเปรียบเห็นๆ เท่านั้นแน่

เธอว่า อยู่บ้านหลังนี้ คิดน้อยๆ ไม่ดีเลย ต้องคิดให้มากๆ
แต่เธอก็จำเป็นต้องอยู่นี่นา อย่างน้อยก็สองเดือน

นี่เธอกำลังพาตัวเองมาพบเจอกับอะไรอีก ที่ผ่านมาก็ยังหนักหน่วงไม่พออีกหรือ
จึงโทรไปเล่าให้พี่มะลิฟัง ก่อนจะถามไปว่า

"กุญแจบ้านหลังนี้มีกี่ชุดคะ...แล้วอยู่กับใครบ้าง"

"มีสองชุด อยู่ที่เจ้าของชุดนึง ที่เธอชุดนึง"

"ไม่เคยให้ใครอีกเลยใช่มั้ยคะ"

"จะบ้าเหรอ กุญแจสำคัญมากเลยนะ จะให้ใครมั่วๆ ได้ยังไงกัน
และไม่มีหรอกที่จะวางเพ่นพ่าน ให้ใครแอบหยิบฉวยไปปั๊มน่ะ"

พี่แกรู้ทันความคิดเธอเสมอแหละ ก็เธอไม่ใช่คนลึกลับซับซ้อนนี่นา

"เธอน่ะขี้ระแวง...คิดมาก"

"ก็บ้านมันใหญ่ มีชั้นบนด้วย แล้วยังสำรวจได้ไม่ทั่วด้วย"

"ก็ถ้าอยากสำรวจให้ทั่วถึงเพื่อความสบายใจก็เชิญเลย
พี่อนุญาต"

"ไม่อ่ะ...ลาว่านะ...จะพักในที่กว้างๆ แบบนี้ไปทำไมให้วังเวงเล่น"

"กว้างสิดี จะได้ไม่อึดอัดคับแคบ...จะทำอะไรก็สะดวก
มีพื้นที่ให้ทำโน่นทำนี่"

"แต่ลาว่าที่แคบๆ แบบพอตัวน่ะ มันดูพอดีกับชีวิตเดี่ยว
อย่างลาดีนะคะ...ลาสามารถสอดส่องได้ทั่วถึงแบบทุกซอก
ทุกมุม...ไม่มีอะไรจะมาหลบเร้นสายตาเราได้...แต่ที่นี่มันกว้าง
เกินไปสำหรับการอยู่คนเดียวลำพังนะคะ"

"ที่นี่ก็พักฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายเงิน แถมอยู่ไกลผู้คน ไม่ถูกจับจ้อง เจ้าของเขาให้อยู่ฟรีแบบนี้ก็ดีแล้วนะลา"

"แล้วทำไม...เขาไม่อยู่ที่นี่ละคะ ทำไมถึงปล่อยให้มันร้าง"

"ร้างอะไร...เธอนี่พูดไม่เพราะเลย ไปวิจารณ์ว่าบ้านเขาร้าง"

"ก็นิยามคำว่าร้างของลาเป็นแบบนี้นี่..."

"แล้วที่เขาไม่อยู่เพราะเขาแก่แล้ว เลยไปอยู่กับลูกหลานในเมือง..."

"ไม่อยู่แล้วตั้งนานก็น่าจะขายนะคะ...ทำไมเขาไม่ขายล่ะ"

นี่แหละคือ วิธีโยนหินถามทางของเธอละ

"พี่ไม่รู้...เขาคงอยากเก็บไว้ ใครเขาอยากขายบ้านเก่าบ้านเกิดตัวเองกัน"

"นั่นคือเหตุผลที่พี่คิดเอาเอง บางทีอาจไม่ตรงกับความจริงก็ได้
บ้านหลังนี้เอาเข้าจริงๆ ถ้าขายให้ลา และลามีกำลังซื้อ
ลายังคิดหนักเลยว่าจะซื้อไปทำไม"

"เค้าก็คงมีเหตุผลของเค้า"

"แต่มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...เชื่อลาสิ...ที่นี่กว้างเกินไปที่จะอยู่คนเดียว
ฤดูหนาวที่นี่ หนาวโหดร้ายจะตาย...แล้วบ้านหลังนี้มันคงหนาวเย็น...ทุกข์ทน...
ยิ่งไร้คนชิดใกล้...คงวังเวงน่าดู"

"อยากให้พี่เล่าประวัติบ้านหลังนี้ให้ฟังล่ะสิ ถึงไม่หยุดพูดยาวๆ แบบนี้สักที"

"ก็ควรจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอคะ"

"โอเคลา พี่เล่าก็ได้"

"พี่ก็รู้ว่าถ้าลาไม่รู้ประวัติ พรุ่งนี้ลาไปจากที่นี่แน่"

"ไม่ได้ เธอจะยังไปจากบ้านหลังนั้นไม่ได้นะลา"

"ทำไมจะไปไม่ได้คะ"

"เพราะเจ้าของบ้านหลังนั้น เขาคือ สายของพี่ที่อยู่เมืองไทย"

"พี่มะลิคงไม่ได้ขุดบ่อล่อปลาอยู่ใช่มั้ยคะ"

"เธอไม่ไว้ใจพี่แล้วหรือไง"

"ก็พี่ไม่ยอมเล่าอะไรเลยแบบนี้ จะไม่ให้ลาระแวงได้ยังไง
พี่ก็รู้ว่าลาเป็นโรคขี้ระแวง ขี้กลัว และอีกหลายโรคที่รุมเร้าจิตใจลามาตลอด"

"พี่รู้ พี่รู้ ว่าจิตใจเธอไม่เคยมั่นคงเลย"

"ลาจึงขอความแน่ใจจากพี่มะลิไงคะ"

"โอเค พี่จะบอกเธอก็ได้ว่าบ้านหลังนี้ เจ้าของในตอนนี้เขาเกิดและเติบโตที่ฝรั่งเศส
เป็นลูกครึ่งฝรั่งเศสญี่ปุ่น เดิมทีแล้วเขามีบรรพบุรุษเป็นขุนนางใหญ่ของญี่ปุ่น
บ้านหลังนี้ถูกสืบทอดมาเรื่อยๆ จนถึงรุ่นพ่อของเขา พ่อของเขาแต่งงานกับสาวฝรั่งเศส
และเพราะบ้านหลังนี้เคยเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้น ซึ่งพี่ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่
แต่ที่แน่ๆ คือ พ่อของเขาที่เพิ่งแต่งงานได้ไม่นานก็รีบอพยพไปอยู่กับภรรยาชาวฝรั่งเศสทันที
โดยไม่เคยกลับมาพักที่บ้านนี้อีกเลย แม้แต่ลูกชายคนเดียวของเขาที่คลอดและเติบโตที่โน่น
ก็ไม่เคยมาพักอาศัยในบ้านหลังนี้อีกเลย"

"ดังนั้น บ้านหลังนี้เลยร้างไร้คนพักอาศัยมานานพอๆ กับเจ้าของคนปัจจุบันใช่มั้ยคะ"

"ใช่ ก็น่าจะราวๆ 30 ปี"

"30 ปี!" ลาเวนเดอร์อุทานออกมาด้วยความตกใจ พยายามมองไปรอบๆ บ้านหลังนี้
แล้วได้แต่ขนลุก ถึงว่าสิ ถึงได้มีพลังอันรุนแรงพุ่งออกมาขนาดนี้

"จริง ๆ แล้ว มันเป็นเพียงบ้านพักของตระกูลเขา ไม่ใช่บ้านที่อยู่อาศัยจริง ๆ หรอก"

"แล้วบ้านของตระกูลเขาอาศัยจริงๆ อยู่ที่ไหนเหรอคะ"

"อยู่ที่เกียวโต เธอเองก็เคยพักที่นั่นมาแล้ว บ้านหลังใหญ่ๆ เก่าๆ โบราณนั่นไง พอจะจำได้มั้ย"

"จำได้ค่ะ หลังที่ลาเคยบอกว่าชอบที่สุด แต่กลับได้อยู่พักไม่นานก็ต้องรีบเผ่น เพราะพวกนั้น
ตามตัวเจอ"

"ใช่ และถ้าเธออยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่ได้ ก็ต้องกลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง ซึ่งมันเสี่ยงที่พวกนั้น
จะหาตัวเธอเจอนะลา พี่เองก็ไม่มีบ้านหลังไหนที่พอจะแนะนำให้เธอไปพักอาศัยอยู่ได้แล้ว"

"ระหว่างผีกับคน ลาต้องเลือกใช่มั้ยคะ"

"ใช่ บ้านที่เธออยู่ตอนนี้มันอาจจะมีอะไรแปลกๆ อยู่บ้าง แต่เพราะมันมีประวัติแบบนั้น
เลยไม่มีใครอยากจะเฉียดใกล้ เธอก็จะปลอดภัยจากคนที่จะเข้ามาก่อกวน"

"แต่ก็ไม่สามารถปลอดภัยจากการถูกผีก่อกวนใช่มั้ยคะ"

"แล้วจะให้ทำยังไงได้ล่ะ"

"ก็ร้างมาตั้ง 30 ปีแล้วแบบนี้ ญินคงยึดเป็นบ้านของพวกมันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แบบนี้หนูมาอยู่ก็จะกลายเป็นส่วนเกิน เป็นผู้บุกรุกที่พวกเขาไม่ต้อนรับ"

"อดทนหน่อยนะลา เดี๋ยวก็จะได้เจอแม่ที่ตามหาแล้วนะ"

"เขาจะใช่แม่ของลาเหรอคะ"

"ก็ต้องไปเจอกันดูก่อน สายของพี่ค่อนข้างมั่นใจว่าใช่แน่ๆ"

"ทำไมเขาถึงมั่นใจ เขาเป็นใคร และเกี่ยวข้องยังไงกับเรื่องนี้เหรอคะ"

"เอ่อ พี่ยังบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้ แต่ลาไปไทยก็จะเข้าใจทุกอย่างเอง"

"บอกลาได้มั้ยคะว่า เขาชื่ออะไร"

"เอ่อ พี่ว่าลาค่อยไปเจอเขาเองดีกว่ามั้ย"

"ถ้าพี่มะลิไม่บอกลา ลาก็จะไม่เดินทางไปไทย จะหลบซ่อนตัวไปตามซากปรักหักพัง
ในญี่ปุ่นต่อไปเรื่อยๆ เราเองก็จะไม่ติดต่ออะไรกันต่อไปอีก"

"ลา!"

"ลาพูดจริงค่ะพี่มะลิ" ลาเวนเดอร์ยื่นคำขาด

"วาลองโซล คือ ชื่อของเขา"

"ชื่อเมืองที่มีทุ่งลาเวนเดอร์ที่อลังการที่สุดในโลกน่ะเหรอคะ"

"ใช่ เขามีชื่อเดียวกับเมืองที่เขาถือกำเนิด และมีชื่อญี่ปุ่นว่า เซริว ที่แปลว่า มังกรฟ้า
ซึ่งปู่ของเขาเป็นคนตั้งให้ก่อนเขาจะคลอดด้วยซ้ำ"

"แล้วใครตั้งชื่อให้ลากันแน่คะพี่มะลิ ลารู้สึกว่า ไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญเลยค่ะ"

"ใช่แล้วลาจัง ไม่มีอะไรบังเอิญบนโลกใบนี้"

"พี่มะลิหมายความว่าไงคะ"

"ไม่ใช่แค่เธอที่ตามหาแม่เธอ แต่มีคนสำคัญมากๆ ในชีวิตเธอที่ก็กำลังตามหาแม่เธอมาตลอด"

"พี่มะลิจะบอกอะไรลากันแน่คะ"

"พ่อของคุณเซริว คือ คนที่ตั้งชื่อนี้ให้กับเธอเอง และก็เป็นเขาที่ฝากให้พี่ตามหาเธอให้เจอ
หลังจากเธอหายตัวไป ไม่คิดว่าพี่จะเจอเธอในวันที่พี่ใกล้จะตาย และเป็นเธอที่เข้ามา
ช่วยชีวิตพี่ไว้ได้ทัน"

"เขาเกี่ยวข้องยังไงกับลาเหรอคะ" เสียงท้ายๆ ของหญิงสาวขาดเป็นห้วงๆ หัวใจสั่นระริก
มือก็พาลสั่นตาม

"เกี่ยวข้องยังไงกันแน่พี่ไม่รู้นะลา เขาไม่เคยบอกพี่เรื่องนี้เลย ลาต้องไปถามเขา
พี่รู้มาแค่ว่า คนที่ตายในบ้านหลังนั้น คือ อดีตคนรักของแม่ลา ซึ่งเป็นเพื่อนรักของเขา"

ลาเวนเดอร์ถึงกับรู้สึกเย็นวาบๆ พร้อมกับสายตากวาดเห็นเงาดำที่เดินหายขึ้นไปข้างบนชั้นสองของบ้าน

"พี่มะลิ ลาเห็นเงาดำนั่นอีกแล้ว เดินขึ้นไปบนชั้นสองค่ะ"

"ลาอย่าขึ้นตามไปนะ ปล่อยเงานั่นไป อย่าไปสนใจ"

"พ่อลาคือใครคะพี่มะลิ พี่มะลิรู้มั้ยว่าใครคือ พ่อของลา" เสียงสั่นๆ นั้นทำให้คนฟังถึงกับ
หัวใจอ่อนยวบ รู้ดีถึงแผลในใจของเด็กกำพร้าคนนี้

"พี่คิดว่า เขาที่ตายที่บ้านหลังนั้นคือ พ่อของลา" คำตอบนั้นทำเอาลาเวนเดอร์ถึงกับทรุดฮวบ
เข่าปักกับพื้นบ้าน น้ำตาร่วงพรูหลั่งลงอย่างไร้การควบคุม หากพยายามเอ่ยคำถามต่อมา
ด้วยความใคร่รู้อย่างที่สุด

"พ่อของลา ตายยังไงคะ"

"ผูกคอตายตรงบันได"

"ไม่จริง ไม่จริง" ลาเวนเดอร์กรีดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง
เธอหวังมาตลอดว่าสักวันจะได้เจอหน้าพ่อกับแม่ จะได้กอดทั้งสอง
ก่อนจะหันไปเห็นภาพสยดสยองตรงเชิงบันไดผ่านม่านน้ำตา

"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"

แล้วเสียงกรี๊ดของหญิงสาวก็ดังเข้าหูของปลายสายอีกระลอก แล้วสายก็ถูกตัดไป

หญิงกลางคนถึงกับอยู่ไม่ติด รีบต่อสายหาสายของเธอทันที
ให้เขารีบรุดไปยังสถานที่ดังกล่าวเป็นการด่วนที่สุด เธอไม่ไว้ใจสถานการณ์นี้อีกต่อไปแล้ว
ลาเวนเดอร์อาจจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น จึงกรีดร้องออกมาเช่นนั้น
เธอมั่นใจว่าเสียงกรีดร้องแบบนั้นไม่ใช่เพราะได้ยินในสิ่งที่เธอพูด แต่อาจจะเพราะเห็นอะไร
บางอย่างก็เป็นได้

"คุณเซริวคะ แย่แล้วค่ะ ลาจังกำลังอยู่ในอันตราย คุณไปที่นั่นด่วนเลยได้มั้ยคะ"

"เกิดไรขึ้น ไม่น่าจะมีใครไปก่อกวนเขาที่นั่นได้ ไม่เคยมีใครไปเฉียดใกล้ที่นั่น"

"ลาจังเขามีดวงตาพิเศษค่ะ เขาไม่ได้แค่มีดวงตาสองสี แต่เขาเห็นสิ่งเร้นลับด้วย"

"ทำไมคุณถึงไม่บอกเรื่องนี้กับผมให้เร็วกว่านี้"

"ขอโทษค่ะ แล้วเอ่อ คุณจะไปที่นั่นใช่มั้ยคะ"

"ถ้าไม่ใช่ผม คุณคิดว่าจะมีใครไปที่นั่นได้อีกเหรอ ไม่งั้นคุณจะโทรมาหาผมทำไมในตอนนี้

เพราะคุณก็ต้องการให้ผมไปที่นั่น ผมรู้นะคุณจัสเมอร์ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่"

จากนั้น สายก็ถูกตัดไป ทำเอาเจ้าของชื่อ 'จัสเมอร์' ถึงกับนั่งไม่ติดทีเดียว





.................................โปรดติดตามตอนต่อไป...........................................



เอาพระเอกมาให้กันแล้วนะคะ ตอนหน้าจัดเต็มเลยค่ะ อิอิ



yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ม.ค. 2567, 20:00:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ม.ค. 2567, 20:00:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 42





<< บทที่ 5 บ้านร้างญี่ปุ่น (2)   บทที่ 7 เขาคือใคร >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account