Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้

วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้

ตอน: บทที่ 8 Lunar Madness

วาลองโซลกลับมายังห้องนอนของตนที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของลาเวนเดอร์
แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ชิดระเบียงห้อง มองออกไปนอกหน้าต่างที่กรุกระจกหนา
ภาพภายนอกสว่างไสวด้วยแสงจันทร์วันเพ็ญ

ดวงจันทร์เต็มดวงสำหรับเขาแล้วมันคือ ความงดงาม และน่ามองยิ่งนัก

ทว่า เพียงดื่มด่ำกับความงดงามได้ครู่ใหญ่ก็มีเสียงเคาะประตูห้อง
ชายหนุ่มลอบถอนใจ เพราะคาดว่า ซันนีคงมาตามให้ไปดูอาการของลาเวนเดอร์ที่คงกำเริบอีกรอบ
จึงลุกขึ้น พาร่างสูงในชุดเสื้อคลุมนอนตัวหนาเดินไปเปิดประตูห้อง

แต่กลับผิดคาด ไม่ใช่ซันนี

เป็นลาเวนเดอร์ที่ยืนด้วยดวงตาแดงก่ำเบื้องหน้าเขา ตาสองสีของเธอเป็นประกายประหลาด
ริมฝีปากรูปกระจับสวยเหยียดยิ้มหวานหยาดเยิ้มชวนให้ขนลุก

และชั่ววินาที ร่างบางระหงในชุดที่หมิ่นเหม่ ก็โผเข้าหาร่างสูงใหญ่
กระโจนพุ่งเข้าใส่ราวกับนางเสือที่กำลังตะครุบเหยื่ออันโอชะ
ก่อนจะปิดประตูห้องของเขาอย่างว่องไว วาลองโซลที่ยังตกใจ สติหลุดไปชั่วขณะถึงกับทำอะไร
ไม่ถูก เมื่อร่างบางระหงตรงหน้าเขารีบเปลื้องผ้าของตนออกเหมือนมันเป็นของร้อน
จนเหลือแค่ชั้นในบนกับล่างเท่านั้น แล้วกระโจนเข้าใส่เขาอีกครั้ง
คราวนี้พยายามปลดอาภรณ์ออกจากร่างกายเขาด้วย
ทว่า ชายหนุ่มตั้งตัวได้ทัน มือเรียวจึงมิอาจกระชากชุดของเขาไปได้ ก่อนจะถอยร่นไปยังหน้าต่างห้อง
หากร่างที่เหมือนกำลังคลุ้มคลั่ง คุมสติตัวเองไม่ได้ยังตามติดเขามาติดๆ พยายามคว้าตัวเขาเอาไว้

"ซันนี" ชายหนุ่มเรียกหาลูกน้องให้รีบเข้ามาช่วยบรรเทาภัยตรงหน้าเขา
ทว่า กลับไร้เสียงขานรับใดๆ แววตาพยายามไม่มองไปยังร่างงามที่แทบจะเปลือยเปล่าแสนจะยั่วยวนนั่น
หากกลับโดนลาเวนเดอร์กระโดดกอดเขาไว้แน่น สองแขนของเธอคล้องคอเขาให้โน้มใบหน้าลงไปหา
ก่อนจะจู่โจมด้วยการจุมพิตเขาอย่างหื่นกระหาย พยายามเบียดกายเข้าหาเขากระชับพื้นที่ให้แนบแน่น
ทำเอาสติของชายหนุ่มกระเจิดกระเจิง ดวงตาขึงเบิกกว้าง
เมื่อหญิงสาวพยายามใช้ลิ้นดันริมฝีปากของเขาให้เปิดออก แล้วแทรกปลายลิ้นเข้าไปด้านใน

สองมือก็พยายามลูบไปตามตัวเขาหมายจะปลุกเขาให้ตื่นตัว ทว่า ชั่วขณะที่สติที่หลุดไปกลับมา
ชายหนุ่มก็ผลักร่างบางระหงสุดแรงจนกระเด็นล้มลงไปนอนกับพื้นห้องนิ่งงันไปชั่วครู่
ศีรษะของหญิงสาวขยับขึ้นหันเชิดมาทางเขา เห็นชัดว่าตรงหน้าผากมีเลือดใหลซึมลงมาเป็นทาง
ทว่า ใบหน้าแววตานั่นกลับดูจะไม่สะทกสะท้าน ราวกับไม่เจ็บปวดอันใด
กลับลุกขึ้นแล้วพุ่งกระโจนเข้าหาชายหนุ่มอีกครั้งจนร่างที่ทั้งใหญ่และแกร่งถึงกับผงะและล้มหงายหลังตึง
ลงนั่งกับพื้นห้อง

อดตกใจไม่ได้กับพละกำลังที่มากมายของหญิงสาวร่างบางที่ดูจะมีมาก
เกินกว่าพละกำลังของเขาหลายเท่า ไม่รู้ว่าเธอไปเอาเรี่ยวแรงมหาศาลเช่นนี้มาจากไหน

และเหมือนลาเวนเดอร์จะสติขาดจนวิปริตวิปลาสไปแล้ว ถึงกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนี้กับเขาได้
เธอขึ้นคร่อมร่างของเขาไว้ จับแขนทั้งสองของเขาขึงตรึงไว้กับพื้นห้อง แล้วแสยะยิ้มออกมา

"ฉันต้องการคุณค่ะ" เสียงหวานเอ่ยออกมาโดยปราศจากซึ่งความอายแม้เศษเสี้ยว

"คุณเป็นของฉันเท่านั้น" ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออันแห้งผาก พยายามรวบรวมแรงทั้งหมดที่มี
เพื่อจะทำลายแผนการอันน่ารังเกียจนี้ลง หากร่างงามก็โน้มตัวลงมาจุมพิตเขาอีกครั้ง
คราวนี้บดบี้ขยี้ลงมาอย่างกระหายยิ่งกว่าคราก่อนหน้านี้ เป็นความกระหายอยากที่เขาเอง

ไม่คาดคิดว่าเธอจะมีมันมากมายขนาดนี้ และมันทำให้เขาแทบหมดเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน
หากก็ไม่ปรารถนาจะให้ทุกอย่างจบลงอย่างอัปยศเช่นนี้ได้ เพราะมันจะพังทั้งตัวเขาและตัวเธอเอง

"ซันนี" เมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ ชายหนุ่มก็เรียกผู้ช่วยของตนอีกครั้ง และคราวนี้เหมือนจะได้ผล
ประตูเปิดผางออกพร้อมเสียงร้องลั่นห้องของซันนี ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาเบิกกว้าง

"คุณหมอ"

"อย่าเอาแต่นิ่ง มาช่วยผมก่อน เอาเขาออกไปที"

ซันนีที่ยังตกใจกับภาพตรงหน้าพยายามดึงสติกลับมา
แล้วรีบรุดเข้าไปดึงร่างอันไร้อาภรณ์ของลาเวนเดอร์ออกมาจากเจ้านายของตน
ทว่า ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย ร่างเธอถูกลาเวนเดอร์เหวี่ยงจนปลิวกลิ้งไปกองอยู่กับพื้นห้อง
กระแทกฝาผนังจนจุก

วาลองโซลรวบรวมแรงทั้งหมดอีกครั้งฮึดสู้กับหญิงสาว
ทำให้ลาเวนเดอร์ถูกเขาจับมัดมือไขว้หลังไว้ แล้วได้ซันนีหยิบผ้าห่มมาห่อตัวให้ พันจนมิดชิด
ก่อนจะช่วยกันนำร่างหญิงสาวไปวางบนเตียงนอนอย่างทุลักทุเล แล้วจับข้อมือทั้งสอง
และขาทั้งสองของหญิงสาวที่กำลังคลั่งผูกยึดไว้กับเตียงในห้องของชายหนุ่ม
ล่ามเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหนีไปไหนหรือทำอะไรใครได้อีก

เสียงกรีดร้องของหญิงสาวไม่ต่างจากเสียงของสัตว์ร้ายจนต้องหาผ้ามาปิดปากเธอเอาไว้
ไม่ให้มีเสียงดังออกไป เธอดิ้นทุรนทุรายอยู่นานจนกระทั่งรุ่งสางจึงหมดแรงสงบลง

แววตาหญิงสาวหม่นลง น้ำตาเอ่อคลอจนหลั่งออกมาเป็นสายแฝงแววเจ็บปวดสุดแสน
ซันนีเห็นว่าลาเวนเดอร์เริ่มสงบลงแล้วจึงเอาผ้าที่พันปิดปากไว้ออก แล้วทำแผลตรงบริเวณศีรษะ
ที่ถูกกระแทกพื้นจนแตกให้อย่างเบามือที่สุด

"แผลไม่ลึกมากค่ะคุณหมอ" นั่นทำให้คนที่เฝ้าสังเกตอาการอยู่ถึงกับพ่นลมหายใจออกมา

"แต่พวกรอยช้ำมีหลายจุด คงอีกหลายวันกว่าจะหาย" ซันนีหันไปสบตากับคนไข้ที่กำลัง
มองมาทางเธอนิ่ง ก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
จึงได้ยินน้ำเสียงด้วยโทนเสียงปกติของหญิงสาวที่เจือความแหบแห้งว่า

"ก่อนถึงคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงอีกครั้ง พวกคุณต้องฆ่าฉันนะคะ โปรดฆ่าฉันซะ"

ก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มที่ยืนห่างออกไปหลายเมตรด้วยแววตาเจ็บปวด
และละอายจนอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายเสียตรงนี้ เพียงแต่ เธอไม่อาจพรากชีวิตตัวเองได้

นี่มิใช่ชีวิตของเธอจริงๆ และเธอไม่สามารถเข่นฆ่ามันได้ แต่ก็แทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเช่นกัน

"ฉันไม่อยากทำร้ายใคร ไม่อยากทำลายชีวิตและเกียรติตัวเองแบบนั้นอีกแล้ว ฉันเสียใจ ฉันขอโทษ"

สิ้นเสียงแหบแห้งนั้น ลาเวนเดอร์ก็หมดสติสลบไป ซันนียกผ้าขึ้นซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
อดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมด้วยความสงสารจับขั้วหัวใจ

"เวรกรรมอะไรกัน ทำไมผู้หญิงคนนี้ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ด้วยคะคุณหมอ ซันนีไม่เคยเจอใคร
ที่อาภัพได้ขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ"

"Lunar Madness" ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเมื่อทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่าง
ยืนมองดวงจันทร์เต็มดวงตรงระเบียงของห้องนอน แล้วได้แต่นึกว่า

นี่หรือไม่ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ลาเวนเดอร์มีอาการแบบนั้น
เพราะจากผลการวิจัยขอดอกเตอร์ เลเบอร์ทำให้ทราบว่า การโคจรของดวงจันทร์
มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะสภาพอารมณ์ที่แสดงออกถึงความหุนหันพลันแล่น
ซึ่งเป็นภาวะที่ถูกเรียกว่า Lunar Madness หรือ ความวิกลจริตที่เกิดขึ้นจากดวงจันทร์
โดยจะมีพฤติกรรมที่เกิดจากความปั่นป่วนถึงระดับมากที่สุดในช่วงที่ดวงจันทร์เต็มดวง

ซึ่งผลงานวิจัยจำนวนมากได้เผยว่า แท้จริงดวงจันทร์ในขณะที่มันเต็มดวง
คือในช่วงวันที่ 13, 14, 15 ของทุกเดือนตามจันทรคติ) นั้น
จะเพิ่มการตื่นตัวทางประสาทและความวิตกทางจิตถึงระดับที่สูง

"อะไรหรือคะ"

"เธอได้รับผลกระทบจากดวงจันทร์เมื่อมันเต็มดวง"

"ยังไงหรือคะ"

"ร่างกายคนเราก็เหมือนกับพื้นผิวโลก ที่ประกอบไปด้วยของเหลวถึงแปดสิบเปอร์เซ็น
และส่วนที่เหลือเป็นธาตุแข็ง จึงยึดถือได้ว่า แท้จริงแรงดึงดูดของดวงจันทร์ซึ่งเป็นสาเหตุ
ของน้ำขึ้นน้ำลงของน้ำทะเล จึงถือเป็นสาเหตุของการขึ้นและลงของน้ำในร่างกายคนเรา
ด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในช่วงที่ดวงจันทร์เต็มดวงด้วยในวันที่สิบสาม สิบสี่ และสิบห้า
ของทุกเดือนจันทรคติ"

"ซันนีก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีค่ะ"

"ดอกเตอร์ เลเบอร์ แห่งไมอามี ที่เมกาได้กล่าวไว้ในหนังสือ ผลกระทบจากดวงจันทร์
ว่า เขาได้เรียกร้องให้ทำสถิติวิเคราะห์ด้านจิตใจแก่โรงพยาบาลแจ็คสัน มีมัวเราว
ในสภาวะฉุกเฉิน เพื่อคำนวนเหตุการณ์ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านพฤติกรรมของมนุษย์
และสิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบนั้นก็คือ การเพิ่มแรงดึงดูดของดวงจันทร์ โดยพฤติกรรมของมนุษย์
จะเกิดความปั่นป่วนถึงระดับมากที่สุดในช่วงที่ดวงจันทร์เต็มดวง"

"แล้วมีทางแก้มั้ยคะ"

"มีสิ มีแน่นอน เพราะข้อเท็จจริงนี้ได้ถูกกล่าวไว้มานานกว่าพันสี่ร้อยกว่าปีในวจนะของท่านศาสนทูต
มุฮัมหมัด จากการรายงานของท่านหญิงอาอิชะห์ ภรรยาของท่านว่า ศาสนทูตมุฮัมหมัด
ได้จับมือของฉัน แล้วชี้ไปยังดวงจันทร์ พร้อมกับกล่าวว่า อาอิชะห์เอ๋ย เธอจงขอความคุ้มครอง
ต่ออัลลอฮ์ให้พ้นจากความเลวร้ายของสิ่งนี้ (ดวงจันทร์) เพราะแท้จริงสิ่งนี้คือ ความมืดมิด
เมื่อมันหนาขึ้น (เต็มดวง) เป็นรายงานที่บันทึกโดยติรมีซีย์และอะห์หมัด" เขาหยุดเพียงนิด
เมื่อมองดวงจันทร์บนฟ้ายามใกล้รุ่งแล้วกล่าวสืบไปว่า

"ด้วยเหตุนี้เอง ท่านศาสนทูตของเราจึงได้บอกวิธีการในการป้องกันมิให้เกิดความปั่นป่วนทางจิต
หรืออาการวิกลจริต ด้วยการถือศีลอดในวันที่ดวงจันทร์เต็มดวง คือในวันที่ สิบสาม สิบสี่ และสิบห้า
ของทุกเดือนตามจันทรคติติดต่อกัน ซึ่งการถือศีลอดในช่วงเวลานั้น เป็นการยับยั้งการบริโภคของเหลว
เป็นการลดปริมาณน้ำในร่างกายที่ก่อให้เกิดผลเสียในช่วงดวงจันทร์เต็มดวง ดังนั้น ผู้ที่ถือศีลอด
จึงสามารถควบคุมพลังงานในร่างกายของเขาได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ถือศีลอด ระงับอารมณ์ใฝ่ต่ำได้ดีกว่า
หยุดยั้ง หักห้ามตนไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่ดีได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ถือศีลอด"

"มาชาอัลลอฮ์ เช่นนี้นี่เอง ที่เราเรียกว่า การถือศีลอดสุนัตอัยยามุลบีฎใช่รึเปล่าคะ"

"ใช่แล้วล่ะ"

"อัลฮัมดุลิลลาห์ เป็นโชคดีที่แม่ซันนีมักจะโทรมาเตือนซันนีให้ถือศีลอดสุนัตอัยยามุลบีฎทุกเดือน
ซ้ำยังกำชับว่าให้ทำไปตลอดชีวิตด้วยนะคะ"

"ความสุขของลูก ก็คือ การมีพ่อแม่ที่ดี" ชายหนุ่มกล่าวขณะทอดสายตาไปยังคนที่สลบไม่ได้สติ

"ความสุขของพ่อแม่ ก็คือ การมีลูกที่ดี" ซันนีต่อประโยคนั้นให้พร้อมรอยยิ้ม

"อย่าลืมชวนเธอถือศีลอดพร้อมกับคุณด้วยนะ" เขาบอกแกมเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"เธอมีชีวิตที่ขาดคนคอยตักเตือน และร่อนเร่พเนจร ไร้พ่อแม่คอยปกป้อง คอยบอกคอยสอน
ไม่มีแบบอย่างที่ดีงามให้ทำตาม ใช้ชีวิตแบบไร้เข็มทิศ ขาดเป้าหมายที่หนักแน่น"

"ทำไมคุณหมอถึงเลือกเธอละคะ"

"เพราะเธอมีแค่คนเดียวบนโลกนี้น่ะสิ หนึ่งไม่มีสอง"

"แต่เธอ เอ่อ ไม่ใช่คนปกตินะคะคุณหมอ มาดามจะ เอ่อ ไม่ว่าอะไรหรือคะ"

"ผมแก้ไขได้ ผมรักษาเธอได้ วางใจเถอะ"

"แล้วถ้าไม่ได้ละคะ เธอจะเป็นยังไงต่อจากนั้น"

"เธอต้องหายแน่นอน" เมื่อได้ยินเสียงอันหนักแน่นเช่นนั้น ซันนีก็โล่งใจขึ้นมา

"ซันนีจะช่วยคุณหมอรักษาเธอค่ะ" รอยยิ้มจริงใจนั่นทำให้ชายหนุ่มถึงกับเปิดยิ้มที่นานๆจะยิ้มออกมาสักที

"สำหรับเรื่องคืนนี้ ขอให้คุณเก็บไว้เป็นความลับไปตลอดชีวิตนะซันนี"

"แน่นอนค่ะคุณหมอ ซันนีจะไม่พูดมันออกไปค่ะ"

"ขอบคุณมากๆครับ"

"คุณหมอวางใจได้ค่ะ ซันนีจะไม่พูด มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะพูดด้วยซ้ำ"

"ผมเชื่อคุณ"

"แล้วซันนีต้องทำยังไงต่อไปคะ"

"คุณแค่อยู่ปลอบขวัญและให้กำลังใจเธอเท่านั้น ที่เหลือ ผมจัดการเอง"

"แล้วคุณหมอจะนอนที่ไหนคะ"

"เดี๋ยวผมจะไปนอนงีบสักนิดข้างนอกก็แล้วกัน คุณก็นอนกับเธอในห้องนี้แหละ
ผมขอตัวก่อนนะ ฝากเธอด้วย" ว่าพลางก็เดินไปหยิบชุดใหม่ในตู้ออกมาแล้วเดินออกไป

"ได้ค่ะ"

ชายหนุ่มจัดการชำระล้างร่างกายตัวเองจนสะอาด และอาบน้ำละหมาดเพื่อจะละหมาดซุบฮ์
อดไม่ได้ที่จะสำรวจตัวเอง ก็พบว่าริมฝีปากของเขาบวมแดง และยังมีร่องรอยตามซอกคอ
บ่า ใหล่ ซึ่งมันเป็นผลงานของเธอที่ฝากไว้บนตัวเขา อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วไล้ไปตาม
ริมฝีปากของตน ก่อนจะกัดปากตัวเอง ส่ายหัวขับไล่ความรู้สึกบางอย่างออกไป
แล้วซับน้ำบนผมด้วยผ้าขนหนู แต่งกายด้วยชุดโต๊ป แล้วเข้าสู่การละหมาด

ทางด้านซันนี ที่เป็นช่วงวันนั้นของเดือน จึงไม่สามารถทำการละหมาดได้ ซึ่งลาเวนเดอร์เอง
ก็เช่นกัน ซันนีพบว่า หญิงสาวที่สลบไปนั้นเริ่มมีประจำเดือนโดยประจำเดือนถูกขับออกมา
หลังจากสลบไปชั่วครู่ ทำให้เป็นหน้าที่เธอที่ต้องช่วยเหลือคนที่ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
ในเรื่องส่วนตัวมากๆเช่นนี้ จากนั้นก็ได้แต่สำรวจบาดแผล และร่องรอยฟาช้ำตามตัวหญิงสาวที่ยังหลับพริ้ม
ไร้อิทธิฤทธิ์ใดๆ เพื่อที่จะทายาให้ ก็เห็นรอยช้ำสีเขียวสลับม่วงตามขาของหญิงสาวเต็มไปหมด
บางจุดเป็นแอ่งใหญ่ บางจุดเป็นแอ่งเล็กๆ ซึ่งไม่น่าจะเกิดจากการกระทบกระแทกกัน
ในเหตุการณ์ล่าสุดแน่นอน แล้วร่องรอยพวกนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร คงต้องถามเจ้าตัวหลังจาก
ตื่นฟื้นคืนสติแล้ว

"โชคดีของคุณแค่ไหนนะ ที่ตอนนั้นเป็นคุณหมอ ถ้าเป็นคนอื่น คุณคงถูกย่ำยีจนแหลกรานแน่ๆ
คงไม่ยอมให้คุณกระทำอยู่ฝ่ายเดียว และคงไม่คิดปัดป้องคุณเพราะต้องการปกป้องเกียรติของคุณแบบที่
คุณหมอทำหรอกค่ะ" ซันนีพึมพำขณะมองใบหน้างดงามไร้ที่ติของลาเวนเดอร์
เครื่องหน้าที่สวยงามลงตัวเช่นนี้ หาได้ไม่ง่ายนักหรอก เธอล่ะ ภูมิใจในตัวคุณหมอเหลือเกิน
ที่สามารถหักห้ามตัวเองได้ ควบคุมอารมณ์ใฝ่ต่ำของตัวเองได้เยี่ยมขนาดนี้

ไม่เสียแรงที่ยอมสวามิภักดิ์ด้วย

เสียงทุ้มน่าฟังซึ่งกำลังอ่านคัมภีร์อัลกุรอานทำให้ร่างที่กำลังขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเปิดเปลือกตาขึ้น
มองไปรอบๆตัว พบว่าไม่ใช่ห้องนอนของตน จึงพยายามหาพิกัดเสียงที่ได้ยินนั่น
ก็ไม่เจอเจ้าของเสียง ลาเวนเดอร์ขยับตัวจะลุกขึ้น หากกลับต้องกัดฟันยกมือขึ้นแตะศีรษะ
ใบหน้าเหยเก ความเจ็บปวดจับกุมศีรษะของเธอที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้รอบหัว
พยายามค่อยๆนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ก่อนจะหน้าแดงก่ำ
ราวกับมีไข้ มือที่กุมหัวสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ก่อนจะค่อยๆยกเข่าทั้งสองขึ้นมากอด
เอาไว้ น้ำตาหลั่งใหลอาบเข่าทั้งสองโดยปราศจากเสียงสะอื้น

"คุณ!" ซันนีที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารถึงกับตกใจกับภาพที่เห็น รีบวางถาดลง
แล้วพุ่งไปหาร่างที่สั่นสะท้านทันที

"เป็นไรไปคะ เจ็บตรงไหนรึเปล่า" เสียงตะโกนโหวกเหวกไม่เบานั่นทำให้เสียงทุ้มที่กำลังอ่านคัมภีร์อยู่
ถึงกับหยุดชะงัก ก่อนจะอ่านจนจบบท จากนั้นก็ลุกมายังห้องของคนไข้ ยืนนิ่งตรงประตูทางเข้า
เห็นซันนีกำลังกอดร่างที่เอาแต่ซุกหน้าซบลงกับเข่าทั้งสอง ได้ยินเสียงสะอื้นเบาหวิวเล็ดลอดออกมา
ตั้งใจจะเดินออกไป ปล่อยให้ทั้งสองที่เป็นเพศเดียวกันได้ปลอบขวัญเป็นการส่วนตัว
ทว่า ขาที่กำลังจะก้าวออกไปกลับชะงักค้าง เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งพูดเบาๆกับซันนีว่า

"ฉันไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้วค่ะคุณซันนี ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่เหลืออีกแล้ว ฉันมันคนไร้ค่า
เป็นหญิงที่ไร้เกียรติ น่ารังเกียจที่สุดเลย"

"ไม่เอาค่ะ ไม่พูดแบบนี้ คุณต้องไม่คิดแบบนี้ คุณมีค่าเสมอ อย่าคิดกับตัวเองแบบนี้"

"ถึงตอนนั้นฉันจะสติฟั่นเฟือน แต่ฉันก็จำได้หมดค่ะว่าฉันทำอะไรลงไปบ้าง
และฉันให้อภัยตัวเองไม่ได้ ฉันทำไม่ได้" หญิงสาวเอ่ยออกมาทั้งที่ยัง
มุดหน้าใช้หัวเข่าตนเป็นกำแพง ข่มเสียงสะอื้นเอาไว้สุดฤทธิ์ หากคนฟังกลับสัมผัสได้ถึง
ความเจ็บปวดของหญิงสาวได้ชัดเจน

"ฟังซันนีนะคะ คุณหมอเข้าใจและไม่คิดถือสาเลยค่ะ อย่ากังวลไปเลยนะคะ
ซันนีเองก็เข้าใจและเห็นใจ ไม่มีใครคิดไม่ดีกับคุณเลย"

"แต่ฉันคิดดีกับตัวเองไม่ได้นี่คะ"

"ไม่เอาค่ะ ซันนีกับคุณหมอตกลงกันแล้วว่าจะช่วยรักษาคุณให้หาย
ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไร เราจะช่วยกันรักษาคุณจนหายแน่นอน อย่าโทษตัวเองแบบนี้อีกนะคะ"

"ฆ่าฉันเถอะนะคะ ได้โปรดฆ่าฉัน ไม่ก็ขังฉันไว้ มัดฉันไว้ มัดไว้สิคะ" หญิงสาวยื่นสองแขน
ให้ซันนี ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า จับบ่าทั้งสองของลาเวนเดอร์ให้ลุกขึ้น

"ออกไปข้างนอกกันมั้ยคะ ไปดูอะไรสวยๆงามๆ จะได้สบายใจขึ้น"

"ออกไปได้หรือคะ"

"ได้สิคะ"

ทว่า พอลุกขึ้นก็ทันได้เห็นร่างสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งตรงประตูห้อง ลาเวนเดอร์ถึงกับก้มหน้างุด
ไม่กล้าสบตาคู่นั้นที่มองมายังเธอ

"ปวดหัวมั้ย" เสียงทุ้มถามขึ้น ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ ลาเวนเดอร์พยักหน้าทั้งๆที่ยังไม่กล้า
เงยหน้าขึ้นมองคนถาม

"ปวดค่ะ"

"ถ้ายังพอทนไหว ผมก็อยากให้ทน ไม่อยากให้กินยาแก้ปวดนัก มันมีผลข้างเคียงน่ะ"

"ฉันทนได้ค่ะ ปกติก็ไม่กินยาแก้ปวดค่ะ ฉัน ปวด จน ชินแล้วค่ะ" แม้จะพูดตะกุกตะกัก
แต่ก็พยายามจะพูดกับเขา เขาที่เธอไม่คิดจะมอง เพราะละอายเกินกว่าจะกล้ามอง

"อย่าลืมกินอาหารด้วย ร่างกายคุณกำลังต้องการพลังงาน" ซันนีที่ได้ยินดังนั้นก็รีบไปหยิบ
ถาดอาหารขึ้นมา แล้วพยักพเยิดให้ลาเวนเดอร์เดินตามเธอมา เมื่อมายืนอยู่ตรงประตูทางออก
ที่ร่างเจ้าของบ้านยังคงยืนไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ลาเวนเดอร์จึงฉวยโอกาสเอ่ยขอบคุณเขา

"ขอบคุณนะคะ คุณ หมอ"

"เรียกผมว่า เซริว เถอะ"

"ค่ะ คุณเซริว"

"ดี"

"เอ่อ ฉัน อยากจะขอโทษ..." หากยังไม่ทันได้พูดต่อให้จบ เสียงเขาก็ขัดขึ้นเสียก่อน

"หวังว่าอาหารจะถูกปากคุณนะ ช่วงนี้คุณจำเป็นต้องกินอะไรที่รสชาติบางๆ ติดไปทางจืดๆ
งดเค็ม เพราะความเค็มส่งผลต่ออาการป่วยของคุณ"

พูดจบประโยคเขาก็เดินจากไปด้วยสีหน้าท่าทางเรียบเฉย ไร้ความรู้สึก
เยือกเย็นเสมอต้นเสมอปลาย ลาเวนเดอร์เงยหน้าขึ้นมองตามแผ่นหลังนั่นไป
ด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมาได้

.......................................................

"ต่อไปคุณคงได้กินอาหารฝีมือคุณหมอหลายมื้อจนกว่าจะออกไปจากที่นี่ค่ะ
เพราะซันนีไม่ถนัดทำอาหารเลย ยิ่งอาหารเพื่อสุขภาพด้วยแล้ว ซันนีขาดความรู้ด้านนี้มากๆ
ปกติแม่จะเป็นคนจัดการเรื่องพวกนี้ให้หมดเลยค่ะ พอถูกส่งมาทำงานกับคุณหมอ
ก็สั่งทางร้านมากินเอาค่ะ" ซันนีเอ่ยขึ้นเมื่อพาลาเวนเดอร์มานั่งตรงระเบียงบ้านที่มองเห็นทิวทัศน์
อันสวยงาม สดชื่น และนั่งมองคนไข้ตักอาหารเข้าปากคำแล้วคำเล่าโดยไม่พูดอะไรออกมาเลย
แม้จนคำเดียว จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า

"อร่อยมั้ยคะ" ลาเวนเดอร์พยักหน้า ก่อนจะยิ้มฝืดๆ

"สีหน้าคุณไม่ได้บ่งบอกว่าอร่อยเลยนะคะ" คราวนี้ลาเวนเดอร์ยิ้มกว้างทีเดียว

"ฉันแค่รู้สึกปวดหัวน่ะค่ะ ไม่ใช่เพราะรสชาติอาหารเลย แม้จะค่อนไปทางจืด
แต่ก็อร่อยไปอีกแบบค่ะ ฉันชอบ"

"คุณหมอมาได้ยินคงดีใจแน่ๆเลย"

"เขาชอบทำอาหารหรือคะ"

"ใช่ค่ะ อาชีพหมอน่ะเป็นงานอดิเรกของคุณหมอเขาค่ะ ฮ่าๆๆๆ"

"คงจะจริงค่ะ เพราะเป็นการเค้นเอาความอร่อยจากส่วนประกอบต่างๆออกมา
ไม่ใช่การใช้สารปรุงแต่งรสชาติ ลิ้นเลยไม่ถูกหลอกว่าอร่อย แต่เป็นความอร่อยแบบธรรมชาติดั้งเดิม
ของสิ่งต่างๆที่มารวมตัวกัน เห็นมั้ยคะว่าฉันกินจนเกลี้ยงเลย แบบนี้จะไม่เรียกว่าอร่อยแล้วจะเรียกว่าอะไร"

ลาเวนเดอร์รวบช้อนส้อมแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะเกือบทำแก้วน้ำตก เมื่อหันไปเห็นเจ้าของบ้าน
ยืนกอดอกมองมาทางเธอห่างออกไปไม่กี่เมตร ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนยืนอยู่ตรงเบื้องหน้า

ลาเวนเดอร์ก้มหน้างุด มองมือทั้งสองของตนที่กำลังผสานกัน

"สัปดาห์หน้า เราจะเดินทางไปประเทศไทยด้วยกัน" เขาบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
หากนั่นกลับทำให้ลาเวนเดอร์ถึงกับตกใจ มองสบตาเขาโดยไม่ทันรู้ตัว

"อะไรนะคะ" หญิงสาวตกใจจนดวงตาส่องประกายประหลาดออกมา

"คุณมีเวลาแค่เจ็ดวันสำหรับการพักผ่อนอยู่ที่นี่ หลังจากนั้นก็จะเดินทางไกล
และอาจจะต้องลำบากกันสักหน่อย คุณพร้อมจะลำบากรึยัง"

"ฉันลำบากจนชินแล้วค่ะ ที่เรียกว่า ลำบากนั้น ฉันรู้จักดียิ่งกว่าความสบายที่แทบไม่เคย
ได้สัมผัสด้วยซ้ำ คุณเซริววางใจได้ค่ะ ฉันจะพยายามไม่เป็นตัวภาระของคุณมากจนเกินไป"

"ผมไม่ได้เห็นคุณเป็นภาระอะไร" พูดแล้วก็ไป ใบหน้ายังนิ่งๆตึงๆ ไร้ความรู้สึกอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ไม่แปรเปลี่ยน

"ทำไมต้องทำหน้าตึงด้วยละคะ น้ำเสียงก็ตึงๆ หรือยังโกรธฉันเรื่องเมื่อคืนอยู่" ลาเวนเดอร์พึมพำกับซันนี
อย่างไม่สบายใจนัก เธอผิด เธอรู้ตัวดี จนไม่กล้ามองเขาโดยตรงด้วยซ้ำ

"อย่าแปลกใจไปเลยค่ะ จะโกรธหรือจะยินดี คุณหมอก็หน้าตึงแบบนี้ประจำค่ะ
ตึงจนไม่น่าจะมีวันเหี่ยวย่นได้ค่ะ ฮ่าๆๆๆ" ซันนีอดไม่ไหวที่จะแซวคนที่เพิ่งเดินจากไป
ด้วยเสียงที่ดังพอที่จะให้เจ้านายของตนได้ยินไปด้วย

"คุณซันนีคะ ฉันลุกไม่ไหวเลยค่ะ เจ็บจนจุกขึ้นมา เจ็บหน่วงจนขยับร่างกายส่วนล่างแทบไม่ไหวค่ะ"
อยู่ๆสีหน้าของลาเวนเดอร์ก็เหยเก เหงื่อผุดปรายตรงหน้าผาก

"เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมถึงปวด แล้วปวดตรงไหนคะ"

"ปวดประจำเดือนค่ะ ฉันปวดแบบนี้ทุกเดือนค่ะ"

"ทุกเดือนเลยหรอคะ" ลาเวนเดอร์พยักหน้าหงึกๆ

"คุณทนมาได้ยังไงกับสารพัดเรื่องสารพัดอาการเช่นนี้" ไม่วายตัดพ้อต่อโชคชะตาของหญิงสาวตรงหน้า

"แล้วปกติทำยังไงคะ"

"นอนนิ่งๆค่ะ สักพักก็จะคลายลง เบาลง และหายสนิทเมื่อสะอาดจากประจำเดือนค่ะ"

"งั้นก็ไปนอนนิ่งๆกันค่ะ" ลาเวนเดอร์ส่ายหน้า

"นอนตรงนี้ได้มั้ยคะ เพราะก้าวขาไม่น่าจะไหวแล้วค่ะ"

"ตรงนี้มันไม่เหมาะ เดี๋ยวจะไม่สบาย งั้นเดี๋ยวซันนีไปตามคุณหมอมาให้ช่วยยกคุณนะคะ"

"อย่าเลยค่ะ ฉันขอนั่งเฉยๆตรงนี้สักพักก่อนก็ได้ค่ะ"

"จะเอาอย่างนี้หรอคะ"

"ค่ะ"

"งั้นเอาอย่างนี้ เดี๋ยวซันนีไปชงน้ำขิงขมิ้นอุ่นๆมาให้ดื่มค่ะ ของดีเลยแหละ"

"ขอบคุณค่ะคุณซันนี"

"รออยู่ตรงนี้นะคะ"

ระหว่างรอซันนี ลาเวนเดอร์ที่เจ็บทั้งที่ศีรษะและหน้าท้องก็พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
มองออกไปยังวิวทิวทัศน์อันสวยสดชื่นรอบๆตัว ทว่า กลับตาดี เห็นใครคนนึงยืนนิ่งๆอยู่ตรงโขดหิน
กลางลำธารที่ใหลรินอยู่เบื้องล่างของบ้านหลังนี้ จุดที่ยืนนั้นห่างออกไปไกลจากบ้านราวๆ ห้าร้อยเมตร
เธอที่อยู่บนชั้นสองของบ้านก้มลงมองเพื่อให้แน่ใจว่านั่นคือ ใคร หากเมื่อมองไปอีกทีกลับไม่พบใคร
กะพริบตา ขยี้ตา ก็ไม่พบร่างใดตรงบริเวณนั้นเลย

"ไม่น่าจะตาฝาดนะ" หญิงสาวพึมพำ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมือเย็นเฉียบวางลงบนบ่าของเธอ
ขนาดว่าเธอสวมเสื้อผ้าหนาขนาดนี้ ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกของมือนั่นได้ชัดเจนเช่นนี้

............................โปรดติดตามตอนต่อไป......................................


















yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ม.ค. 2567, 23:03:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ม.ค. 2567, 23:03:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 104





<< บทที่ 7 เขาคือใคร   บทที่ 9 บ้าน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account