Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้

วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้

ตอน: บทที่ 9 บ้าน

ลาเวนเดอร์หน้าเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเจ้าของมือเย็นยะเยือกนั่นมีโฉมหน้าอันน่าสะพรึงขนาดไหน
แถมน้ำเสียงที่ดังก้องคำรามสะกดจิตเธอให้แข็งทื่อ

แน่นอน เขาพูดกับเธอโดยไม่ขยับปาก
แต่เธอได้ยินเสียงเขาดังก้องภายในอย่างชัดเจน เสียงที่ชวนขนลุกซู่

"ขอให้มีความสุขกับการเดินทางไปเจอแม่บังเกิดเกล้านะเรอาสุดที่รักของฉัน"

ก่อนจะแสยะยิ้มอันน่ารังเกียจขยะแขยงออกมาขณะพูดต่อไปว่า

"ฉันจะติดตามเธอไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ต้องกลัวหรอกว่าใครจะทำอะไรเธอ
เพราะฉันนั้นจะปกป้องเธอเอง แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นการข้ามเขตก็ตาม ฉันก็ไม่หวาดหวั่น
ในการที่จะทำหน้าที่ปกป้องเธอ"

"ไม่ ฉันไม่ต้องการการปกป้องจากแก" ลาเวนเดอร์พยายามค้นหาเสียงตัวเองแล้วเค้นมันออกไป
หากก็ยากเย็นยิ่งนัก อยากจะกรีดร้องให้คนในบ้านออกมาช่วยเธอจากการโดนมันดึงรั้งศีรษะของเธอให้หงายหน้าขึ้นจนคอแทบพลิก และเธอเจ็บ

"แต่ฉันรักที่จะปกป้องเธอตลอดไป ฉันรักเธอมากนะเรอาของฉัน" น้ำเสียงนั้นเจือเยาะหยัน

"ออกไป ออกไปนะ ออกไปให้พ้น" ลาเวนเดอร์ตะเบ็งเสียงออกไปสุดแรง แต่กลับได้ยินเสียงตัวเอง
เพียงนิดเดียว

"อย่าเสียเวลาเรียกพวกเขาเลย พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของเธอหรอกสาวน้อยของฉัน
ลิ้นเธอขยับไม่ได้นี่นา"

จริงของเขา ลิ้นเธอไม่ขยับเลยเพราะมันขยับไม่ได้ขึ้นมา เธอกำลังพูดกับเขาโดยไม่ได้ขยับลิ้น

"ไปให้พ้นจากชีวิตฉันนะไอ้ดำทะมึน ออกไป"

"ฉันจะไปจากเธอได้ยังไงเล่า ในเมื่อแม่เธอเป็นคนผูกฉันไว้กับเธอ ให้ฉันปกปักคุ้มครองเธอ ฮ่าๆๆๆ"

"แม่หรือ? ไม่จริง"

"เดี๋ยวเราก็จะได้เจอเขาแล้ว ฉันก็รอคอยวันที่จะได้เจอแม่ของเธอนะสาวน้อย ไปสิ ไปเจอเขาด้วยกัน"

"ไม่จริง แม่ต้องไม่ทำอะไรแบบนี้"

"ทำไมแม่เธอจะทำไม่ได้ ก็แม่เธอมันเลว แม่เธอมันคนเลว เป็นนังผู้หญิงสารเลว
ฉันที่เธอหวาดกลัวหวาดระแวง ยังไม่น่ากลัวเท่าแม่เธอเลยหนาคนดี"

"ไม่จริง แกโกหก แกใส่ร้ายแม่ฉัน"

"มีแม่ที่ไหนบ้างที่โยนลูกตัวเองลงไปบนรางรถไฟ ให้รถไฟทับตาย เพราะว่า ลูกเกิดมา
มีดวงตาประหลาด แต่เธอดันไม่ตายไง มีคนรู้จักมาช่วยไว้ไงล่ะ
แม่เธอเลยต้องเลี้ยงจนเธอเดินได้ พอเธอเดินได้คล่อง เขาก็เอาเธอไปทิ้งไว้ที่มัสยิดหลังนั้น
แล้วก็ไม่ย้อนกลับมาหาเธออีกเลย มีแค่ฉันนี่แหละที่ถูกผูกติดไว้กับเธอ
ฉันที่ก็มีพ่อมีแม่ของฉันเหมือนกัน" น้ำเสียงตอนท้ายฟังดูปวดร้าวระคนเจ็บแค้นจนคนฟังสัมผัสมันได้

"ฉันไม่เชื่อแกหรอก แกปั้นเรื่องแต่งเรื่องเอาก็ได้"

"งั้นก็ไปถามแม่เธอเอาเองก็แล้วกัน ฉันไปล่ะ ไม่อยากเจอไอ้หมอนั่นจริงๆ เกลียดขี้หน้ามัน"

พูดจบก็หายไป ทิ้งให้ลาเวนเดอร์น้ำตาคลอเบ้า หันไปก็พบร่างของชายหนุ่มยืนมองมา

"เกิดไรขึ้นรึเปล่า" ลาเวนเดอร์พยักหน้า และไม่คิดจะปิดบังเขาผู้นี้ แม้จะยังไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว
เขาเป็นใคร และต้องการอะไรจากเธอกันแน่ แต่เธอในตอนนี้ ไร้ที่พึ่งพิง ไร้ที่ไปแล้วจริงๆ
เจอไรเข้าก็เลยขอเกาะให้พอลอยตัวเอาไว้ก่อน เรื่องเอาตัวรอดค่อยคิดหาหนทางอีกที

"ไอ้ดำมาให้ฉันเห็นค่ะ คราวนี้เขาพูดด้วยเป็นครั้งแรกค่ะ"

"เขาพูดว่ายังไงบ้าง" ลาเวนเดอร์ปิดปากไม่ยอมพูดอะไรออกไป นอกจากบอกว่า

"เรื่องไร้สาระและไม่จริงค่ะ"

"เรื่องแม่ของคุณใช่มั้ย" ลาเวนเดอร์ขมวดคิ้ว มองคนถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เขาดูจะไม่ใช่คนธรรมดาๆ เสียแล้วสิ แล้วเขาเข้ามาในชีวิตเธอทำไมกันแน่

"ใช่ค่ะ"

"บอกผมมาสิว่าเขาพูดถึงแม่คุณว่าไงบ้าง"

"เขา เอ่อ บอกว่าแม่เป็นคนเลว และเคยจะฆ่าฉันตอนฉันยังแบเบาะ แต่ไม่สำเร็จ
ก่อนจะเลี้ยงฉันและทิ้งฉันไว้ที่มัสยิดเมื่อฉันเดินคล่อง เพียงเพราะฉันมีดวงตาที่ประหลาด
แต่ยังไงฉันก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ แม่จะฆ่าลูกแท้ๆ ได้ยังไงกัน คุณว่ามั้ยคะ"

"ผมไม่ทราบครับ"

"ยังไงฉันก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ ไม่มีวัน และเขาไม่ได้เรียกชื่อฉันว่าลาเวนเดอร์ เขาเรียกฉันว่าเรอา
ซึ่งนั่นไม่ใช่ชื่อฉันเลยค่ะ ยังไงเขาก็เป็นจอมโกหก"

"แต่ผมก็อยากให้คุณเผื่อใจไว้บ้างนะครับ บางที เรอาอาจจะเป็นชื่อแรกของคุณที่ถูกเรียกด้วยแม่ของคุณก็ได้"
พูดแล้วก็วางน้ำขิงขมิ้นลงบนโต๊ะแล้วพูดประโยคที่ทำให้คนฟังถึงกับอึ้งก่อนจะเดินจากไปเสียดื้อๆ

"เรอา เป็นชื่อของดวงจันทร์บนดาวเสาร์"

ลาเวนเดอร์มองแก้วใบนั้นนิ่งงัน แล้วหยิบขึ้นมาจิบ ในใจมีนับพันล้านความคิดที่ปนเปกันไปมา
หากก็ไม่วายได้ยินเสียงดังก้องภายในว่า

"เธอมีพี่น้องฝาแฝดด้วยนะเรอา เป็นแฝดสาม ไม่ใช่แฝดสอง ชายหนึ่ง หญิงสอง
แต่มีเธอเท่านั้นที่โดนทิ้ง ฮ่าๆๆๆ เธอคือผู้ถูกเลือกให้ถูกทิ้งไว้ที่นี่คนเดียว ส่วนอีกสองคนนั้น
ถูกรักถูกถนอมอย่างดี มีชีวิตที่ดีพร้อมทุกอย่าง แล้วดูเธอสิ ไม่มีใครต้องการเลย
แม้แต่แม่ก็ไม่ต้องการเธอ จำไว้ให้ขึ้นใจล่ะ อย่าลืมมันซะละ ช่างน่าสงสาร น่าสงสารอะไรอย่างนี้ ฮ่าๆๆๆ"

แม้จะบอกตัวเองว่าไม่มีวันเชื่อคำพูดพวกนั้น แต่หัวจิตหัวใจของหญิงสาวก็ถึงกับสั่นไหว
น้ำตาร่วงเผาะลงไปในแก้วขิงขมิ้นหยดแล้วหยดเล่า

จะอย่างไร เธอก็ต้องการจะเจอแม่ผู้ให้กำเนิด เธอต้องไปเจอให้จงได้
เธอแค่อยากจะถามเพียงแค่คำถามเดียวเท่านั้น


เจ็ดวันต่อมา การเดินทางข้ามประเทศของลาเวนเดอร์เป็นไปอย่างยากลำบากและทุลักทุเล
เพราะเธอเป็นคนไร้ราก ไร้หลักฐาน และไร้ตัวตน ไม่มีเอกสารที่สามารถระบุว่าเป็นใครได้
แต่ก็สามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ นานามาได้ด้วยความช่วยเหลือจากผู้นำทางซึ่งก็คือ เขา
จนเดินทางถึงยังคฤหาสน์หลังงามของตระกูล 'ศศินพงษ์'

"ถึงแล้วล่ะ ลงมาสิ" ชายหนุ่มเปิดประตูออก ผายมือให้หญิงสาวที่นั่งหลับมาตลอดทางลงมาจากรถ
ที่ตนเป็นคนขับ เพราะความเหนื่อยหนัก ทำให้เธออ่อนล้าและอ่อนแรง
โดยมีซันนีนั่งมาด้วยกันด้านหลัง ทว่า หน้าตาอิดโรยและเหนื่อยล้านั้นมิอาจดับความงดงาม
น่าพิศของหญิงสาวผู้นี้ลงได้ แม้กระทั่งท่วงท่าที่ย่างเดินก็ยังคงความสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ
ไร้การปรุงแต่งหรือดัดใดๆ ทำให้ผู้ที่ยืนรอรับอยู่หน้าคฤหาสน์หลังงามถึงกับเปิดยิ้มกว้างทีเดียว
เมื่อได้เจอใบหน้าของคนที่นางรอคอยมาตลอด หวังจะได้พบเจอกันอีกครั้งหลังจากที่ครั้งนึง
เป็นนางที่ได้เสี่ยงชีวิตกระโดดลงไปเก็บสาวงามผู้นี้ขึ้นมาจากรางรถไฟ แล้วตามหาแม่ของเด็กจนเจอ

"อัสลามุอะลัยกุมครับแม่"

"วะอะลัยกุมุสลามจ่ะ"

"ผมพาคนที่แม่รอจะเจอมานานถึงมือแม่แล้วนะครับ อย่าลืมค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้นะครับ"
ไม่พูดเปล่า จับมือมารดาแล้ววางมันลงบนบ่าของลาเวนเดอร์
สตรีที่ใบหน้างดงามตามวัยระบายยิ้มด้วยความดีใจ
แล้วรั้งร่างของลาเวนเดอร์เข้าสู่อ้อมกอด คนที่ถูกสวมกอดถึงกับตกใจตัวแข็งทื่อ
เพราะไม่เคยรู้จักสตรีผู้นี้มาก่อนเลย ทำให้ทำตัวไม่ถูก

"หนูโตขึ้นแล้วสวยมากๆ อย่างที่ฉันคิดไว้เลยจริงๆ สวยจนฉันไม่สามารถละสายตาได้เลย
ลูกชายของฉันถูกฉันอบรมมาอย่างเข้มงวด เขาคงไม่ได้ล่วงเกินหนูใช่มั้ย"

ถ้อยคำชื่นชมนั้นมิเพียงผ่านทางวาจา ทว่าดวงตาทั้งสองคู่นั้นก็ฉายชัดว่าชื่นชมในความงาม
ของหญิงสาวที่ตนเพิ่งผละออกห่างเพื่อที่จะได้พิศมองให้เต็มตา ทว่า ประโยคตอนท้ายนั่น
ทำเอาลาเวนเดอร์ถึงกับหน้าแดงอย่างมิอาจห้ามได้ เพราะเป็นเธอเองนี่แหละที่ล่วงเกินลูกชายของท่าน
บวกกับท่าทางกระอักกระอ่วนนั่น ส่งผลให้หญิงวัยกลางคนที่งามสง่าถึงกับขมวดคิ้ว
เหลือบมองลูกชาย ที่ไม่ได้แสดงทีท่าอะไรออกมาแม้แต่น้อยให้จับเรดาห์ได้

"ไม่ผิดหวังจริงๆ สวยสมใจแม่เหลือเกิน" ลาเวนเดอร์ที่ได้ยินถึงกับเขินอายหน้าแดงเข้าไปอีก

"ลาเวนเดอร์ของฉัน เป็นฉันเองที่ตั้งชื่อนี้ให้เธอ ไม่ใช่สามีฉันหรือแม่ของเธอหรอก
เพราะเธอทำให้ฉันอยากเก็บเธอไว้ใกล้ตัวตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน"
ก่อนจะหันไปทางลูกชายของตนแล้วเอ่ยอธิบายว่า

"นี่ลูกชายฉัน ฉันตั้งชื่อเขาว่า วาลองโซล ส่วนลูกสาวของฉัน ฉันตั้งชื่อให้ว่า เวโรนิค
และเธอที่อายุน้อยกว่าลูกสาวฉันสี่ปี ฉันจึงตั้งชื่อให้ว่า ลาเวนเดอร์ เธอว่าคล้องจองเข้ากันดีใช่มั้ยล่ะ"

ลาเวนเดอร์อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย สตรีผู้นี้ดูใจดี อ้อมกอดก็แสนจะอบอุ่น ให้ความรู้สึกปลอดภัย
อย่างบอกไม่ถูก

"ไปข้างในกันเถอะ" ว่าพลางประคองร่างของลาเวนเดอร์อย่างหวงแหนเข้าไปยังคฤหาสน์
ที่ถูกตกแต่งอย่างประณีต พลอยทำให้ลูกชายแท้ๆ ที่ยืนนิ่งมองอยู่เบื้องหลังถึงกับส่ายหน้าเบาๆ
รอยยิ้มตรงมุมปากยกขึ้นเพียงนิด

"คุณหมอกำลังจะตกกระป๋องแล้วนะคะนั่น"

"คุณก็ดูเหมือนจะถูกลืมไปเลยนะซันนี"

"เหมือนไม่ถูกมองเห็นเลยด้วยซ้ำค่ะ น่าเอ็นดูตัวเองเหลือเกิน ฮ่าๆๆๆ" ยังคงขำตบท้าย
ก่อนจะส่งกระเป๋าให้พนักงานมารับไปเก็บถึงห้องรับรอง

"หวังว่าเวโรนิคจะไม่โวยวาย" วาลองโซลอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงใบหน้าของน้องสาว
หากได้มาเห็นสมาชิกใหม่ของบ้านเข้า จะเป็นอย่างไร เขาพอจะจินตนาการได้แจ่มชัดเลยทีเดียว

"เมื่อครู่ตอนนั่งรถผ่านทางด่วน ซันนีเห็นภาพเจ้าของศศิกรุปโดดเด่นเลยค่ะ จะยังไงก็ไม่มีใครสู้
ความงามของคนที่มาดามมารีอานน์หอบเข้าคฤหาสน์ไปได้เลยค่ะ เขาจะรู้มั้ยนะว่าได้ทิ้งสิ่งใดลงไป"

"ก็ไม่ใช่เพราะเขารู้ดี เขาจึงได้ทิ้งไปหรอกหรือซันนี เขาไม่มีความสามารถพอจะครอบครองเธอด้วยซ้ำ"

น้ำเสียงนั้นเจือแววเย้ยหยันไว้ แล้วก็เดินเข้าไปยังด้านในคฤหาสน์ที่เป็นของตระกูลศศินพงษ์
สายตระกูลทางฝั่งยายของเขาที่ตกทอดมาถึงมารดาของเขาที่เป็นสาวลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส

เมื่อพาลาเวนเดอร์เดินชมห้องรับรองและพาไปเดินชมคฤหาสน์ไปบางส่วนแล้วก็ถึงเวลาอาหารมื้อค่ำ
ประมุขของบ้านก็เดินทางมาถึงพอดิบพอดี เนื่องจาก ครอบครัวนี้มีกฎที่ต้องกลับมากินข้าวมื้อค่ำพร้อมกัน
เว้นแต่มีเหตุไปต่างถิ่นเท่านั้น ทำให้สมาชิกใหม่กับประมุขได้เจอกัน

"ไม่ต้องทำตัวเคร่งครัดอะไรนักหรอกหนู ฉันน่ะเป็นคนสบายๆ เวลาอยู่บ้าน" ประมุขของบ้าน
เปิดบทสนทนาด้วยท่าทางและสีหน้าสบายๆ ไม่ได้เป็นคนเคร่งขรึมเฉกเช่นลูกชาย
และไม่ได้มีความเหมือนลูกชายเท่าไหร่นัก มีเพียงริมฝีปากบางได้รูปสวยเหมือนสตรีเท่านั้น
ที่ลูกชายของเขาได้รับมรดกไป ที่เหลือเหมือนจะได้รับมาจากคนอื่นๆ ซึ่งกับมารดาของเขา
เขาก็ได้รับทรงจมูกมาแค่นั้นที่เป็นของมารดา เขาคงเป็นส่วนผสมของใครหลายๆ คนในสายตระกูล

"ค่ะ"

"มีไรจะถามฉันใช่มั้ยล่ะ"

"ใช่ค่ะ"

"งั้นถามมาได้เลย"

"แม่หนูอยู่ที่ไหนคะ และหนูจะได้เจอแม่เมื่อไหร่" คนฟังถึงกับยิ้มบางกับคำถามนี้ยิ่งนัก
ยิ่งเห็นแววตากระตือรือร้นนั่น ยิ่งอารมณ์ดี

"พรุ่งนี้เป็นไงล่ะ"

"จริงหรือคะ หนูจะได้เจอแม่พรุ่งนี้จริงๆ หรือคะ" แววตาเป็นประกายนั้น ทำให้ทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหาร
ถึงกับมองอย่างเพลินตา เพราะเป็นดวงตาที่เหมือนดวงดาวระยิบระยับอยู่ข้างใน และมีสีสันที่ประหลาด

"สะดวกจะให้ฉันหรือลูกชายฉันพาไปเจอล่ะ" คำถามนั้นทำให้หญิงสาวหันไปมองลูกชายเจ้าของบ้าน
แล้วก้มหน้ามองจานข้าว ตักข้าวเข้าปากไปแบบคิดไม่ตก

"มาดามของฉันของพาเธอไปไม่ได้ เขากับแม่เธอไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไหร่น่ะ"
ไม่วายหยอกเย้าภรรยาที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ ทำเอาอีกฝ่ายส่งค้อนกลับมาให้ ก่อนจะบ่นเบาๆ ว่า

"จิกตาใส่ จิกตาใส่" ลาเวนเดอร์เห็นการหยอกเย้ากันเช่นนั้นก็เบาใจขึ้นมา หากก็เลือกไม่ได้
อยากเลือกคนเป็นลูก เพราะอย่างน้อยก็เดินทางกับเขาผ่านความลำบากมาด้วยกันจนเริ่มคุ้นชิน
มากกว่าคนเป็นพ่อที่เพิ่งเจอ แต่เพราะความเงียบขรึมของเขา ทำให้เธอไม่กล้า

"ให้ลูกไปเถอะคุณ เพราะหนูลาของฉันคงจะคุ้นชินกับลูกเรามากกว่าคุณที่เพิ่งจะเจอกัน"

"ก็จริงของคุณนะมาดาม" ว่าแล้วโยนไม้ให้ลูกชายที่เอาแต่นั่งกินข้าวเงียบๆ ทันที
โดยไม่ต้องขอความเห็นใดๆ

"งั้นให้เซริวพาไปก็แล้วกันนะหนูลาของมาดาม ช่วงนี้เขาอยู่ในช่วงถูกพักงานน่ะ"
เสียงหัวเราะฮึๆ ดังลอดออกมาจากลำคอของคนเป็นพ่อ ส่งผลให้ลูกชายช้อนตาขึ้นมอง
ด้วยใบหน้าตึง ปากคว่ำ

"อย่าไปแหย่ลูกเสือสิคะคุณ เดี๋ยวถูกลูกเสือตะครุบขึ้นมา ฉันไม่ช่วยคุณหรอกนะ"

"ก็จริงมั้ยล่ะ" ไม่วายยั่วลูกชายด้วยการเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้มยั่วแหย่

"ผมไม่อยากไปครับ ไม่พร้อมจะเจอใครบางคนที่นั่น" เสียงเรียบๆ เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าตึงจัด

"เดี๋ยวพ่อล่อให้ไปเจอที่โรงแรมชายทะเลของเราให้ เอามั้ยล่ะ"

"ไม่ครับ ผมจะไม่ไปที่นั่น"

"เฮอะ นั่นก็ไม่พร้อม นี่ก็ไม่ได้ แล้วจะเอายังไง"

"หนูไปกับคุณลุงก็ได้ค่ะ" เสียงใสดังแทรกขึ้น ดังประกาศิตของผู้พิพากษา

"งั้นลุงก็แล้วแต่หนู" ลาเวนเดอร์ยิ้มบาง ก่อนจะขอตัว

"หนูขอตัวไปพักผ่อนก่อนได้มั้ยคะ"

"อิ่มแล้วหรือลูก" เสียงไถ่ถามอย่างอ่อนโยนนั่น ทำให้ลาเวนเดอร์หันไปยิ้มสวยๆ ให้ หากต้องรีบหุบฉับ
เมื่อเหลือบไปเห็นลูกชายของท่านที่นั่งอยู่ทิศนั้นเข้าพอดี

"อิ่มแล้วค่ะ"

"ทำไมทานน้อยจัง ไม่ถูกปากหรือจ๊ะ" ลาเวนเดอร์ส่ายหน้า

"อร่อยมากเลยค่ะ แต่หนูคงเหนื่อย เลยกินได้น้อยค่ะ"

"จริงสิ ลืมไปเลยว่าหนูเพิ่งผ่านการเดินทางมาไกล งั้นรีบไปพักเลยจ่ะ เดี๋ยวจะให้แม่บ้าน
ขึ้นไปช่วย"

"ไม่เป็นไรค่ะ หนูจัดการเองได้ค่ะ ไม่อยากรบกวนแม่บ้านค่ะ"

"เอางั้นหรือ งั้นแล้วแต่หนูเลย บ้านนี้ก็คือ บ้านหนู ทำตัวตามสบายได้เลยนะจ๊ะ"

"ขอบคุณมากๆ นะคะ เอาไว้หนูเจอแม่แล้ว ก็คงจะขอตัวกลับญี่ปุ่นเลยค่ะ"

"อะไรนะ หนูว่าอะไรนะ" ทุกคนที่ได้ยินประโยคนั้นถึงกับตกใจ

"หนูไม่รู้จักประเทศไทยเลย และก็ไม่อยากรบกวนทุกคนที่นี่ หนูเป็นคนเร่ร่อนมาตั้งแต่จำความได้
นิสัย มารยาทไม่ดี คงไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่หรอกค่ะ มันไม่ใช่ที่ของหนูเลย"

"แล้วหนูไม่อยากอยู่กับแม่หรือไง"

"ไม่ค่ะ หนูแค่อยากเจอ อยากรู้จัก แค่อยากกอดสักครั้ง และแค่อยากถามคำถามนึง แล้วก็จะกลับค่ะ"

"ผมพาคุณเดินทางไกลอย่างลำบากสาหัสมาถึงที่นี่ เพื่อที่คุณจะมาแค่เจอหน้าแม่ แล้วก็กลับแค่นั้นหรือ"
เป็นประโยคแรกที่เขาพูดกับเธอนับตั้งแต่เธอย่างขาเข้าสู่คฤหาสน์หลังนี้

"แล้วคุณมีที่ให้กลับรึไง คิดว่าจะยังกลับไปญี่ปุ่นได้อยู่อีกหรือ ที่นั่นมีพื้นที่สำหรับคุณมั้ยล่ะ"

คำถามนั้นราวกับขยี้หัวใจคนฟังจนรู้สึกเหมือนโดนน้ำกรดราดรด แสบจนหน้าชา
และน้ำตาคลอเบ้า ปากเม้มเป็นเส้นตรง

"เซริว!" เสียงผู้เป็นมารดาปรามลูกชาย หากคนที่พูดน้อยที่สุดกลับเลือกจะพูดยาวๆ แบบเชือดเฉือนต่อไป

"แม่ก็รู้ว่าเราทุ่มเทกันแค่ไหน แล้วนี่หรือคือสิ่งที่เธอคิดจะทำกับชีวิตตัวเอง ผมผิดหวังที่เธอคิดได้แค่นี้"

เป็นลาเวนเดอร์ที่ทนฟังต่อไปอีกไม่ไหว กำหมัดแน่น กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล

"แล้วคุณจะให้ฉันอยู่กับคนที่ไม่เคยตามหาฉัน ไม่เคยสนใจว่าฉันจะเป็นจะตายจะอยู่ยังไงได้ยังไง
และฉันก็ไม่มีใคร ไม่มีคนรู้จักที่นี่เลย แต่ที่ญี่ปุ่น ฉันพอมีคนที่ฉันรู้จักอยู่บ้าง
ไม่เหมือนที่นี่ ที่ที่ฉันไม่เคยรู้จักและไม่รู้จะดำรงชีวิตอยู่ยังไง ต่อให้ต้องเร่ร่อนไปทั้งชีวิต
ฉันก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะฉันชินแล้ว" พูดจบก็เบือนหน้าหนีไปอีกทาง กลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์
ประมุขของบ้านที่นั่งฟังเงียบๆ ถึงคราวต้องออกโรง

"หนูก็อยู่ซะที่นี่ คิดซะว่าพวกเราคือ ครอบครัวหนู เพราะไม่มีใครที่นี่รังเกียจหนูเลย
ทุกคนยินดีจะอ้าแขนรับหนู หนูเองก็จะได้ไม่ต้องเร่ร่อนไปที่ไหนอีกแล้ว จะได้เรียนหนังสือ
จะได้ทำในสิ่งที่รัก พวกเรายินดีสานฝันให้หนู" ลาเวนเดอร์หันมาทางประมุขของบ้านแล้วถึงกับจุกแน่นในอก

"หนูรับไม่ไหวหรอกค่ะ หนูคงไม่สามารถตอบแทนบุญคุณที่หนักขนาดนี้ได้"

"ทำไมต้องปฏิเสธน้ำใจที่คนอื่นหยิบยื่นให้ด้วย ทำไมถึงหยิ่งทะนงถือตัวนัก"

เป็นวาลองโซลที่ทนฟังไม่ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
อย่างที่น้อยครั้งจะแสดงน้ำเสียงเช่นนี้ออกมา
ทำให้ผู้เป็นมารดาที่มองมาถึงกับมองลูกชายด้วยแววตาครุ่นคิดหนัก

"คนที่มีทั้งพ่อและแม่ มีบ้านสวยๆ หลายหลัง มีเงินมีทอง อยู่ดีกินดี มีทุกอย่างเพียบพร้อมอย่างคุณ
จะมาเข้าอกเข้าใจอะไรกับคนที่ไม่เคยมีอะไรเลยสักอย่าง อย่างฉันได้เล่า
มีใครบ้างที่หยิบยื่นอะไรให้ฉันแล้วฉันไม่ต้องจ่ายบางอย่างให้กับเขาเป็นการตอบแทน
มีมั้ยล่ะคนที่ไม่เรียกค่าน้ำใจจากฉันเลย ทุกอย่างมีราคาที่ฉันต้องจ่ายเสมอ และสิ่งที่พวกคุณหยิบยื่นให้ฉัน
ที่ผ่านมา มันก็มากเกินพอที่ฉันจะจ่ายให้ได้ไหวอยู่แล้ว ฉันไม่มีอะไรจะจ่ายให้แล้วหรอกนะคะ"

"แล้วรู้ได้ไงว่าคุณไม่มีปัญญาจ่าย คุณคงไม่รู้ว่าแม่คุณน่ะรวยขนาดไหน และเขามีอะไรบ้าง
ถ้าคุณได้รู้ และได้เห็นอาณาจักรของแม่คุณ คุณอาจจะไม่คิดไม่พูดอะไรแบบนั้นออกมา"

"เซริว!" เป็นอีกครั้งที่เสียงห้ามปรามดังเข้มงวดและเข้มจัดจากผู้เป็นมารดา

"หนูขอตัวนะคะ" ลาเวนเดอร์หันมาทางประมุขของบ้านและมาดามมารีอานน์ก่อนจะลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยัง
ห้องพักรับรองชั้นสองทันทีโดยไม่รอให้ใครพูดอะไรอีก

"ทำไมลูกถึงเสียมารยาทขนาดนี้ หรือเพราะแม่ไม่ดี ถึงสอนลูกให้เสียมารยาทกับคนอื่นแบบนั้น"

"ผมขอตัวครับแม่" ว่าแล้วก็ลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกจากบ้านไป

"คุณดูลูกชายที่แสนดีของคุณสิ เขาทำแบบนี้กับแขกของฉัน และฉันแบบนี้ได้ยังไง
คุณต้องสั่งสอนเขาให้ฉันนะรู้มั้ย" ประมุขของบ้านลอบถอนใจก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นว่า

"แล้วคุณเคยเห็นลูกเป็นแบบนี้มาก่อนรึเปล่า ก็ไม่เคย ใช่มั้ยล่ะ"

"คุณหมายความว่าไง"

"คุณก็น่าจะรู้ดี คุณเป็นคนคลอดเขามาและเลี้ยงเขามาอย่างใกล้ชิด สายงานเขาก็เลือกจะทำกับคุณ
มีอะไรในตัวเขาบ้างที่คุณไม่รู้ล่ะคุณหมอมารีอานน์" มาดามมารีอานน์เริ่มทำหน้าไม่ถูก ไปไม่เป็นขึ้นมา

"มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ทำลูกคุณเสียอาการแบบนี้ได้"

"แต่หนูลาของฉัน..."

"ใช่ หนูลาของคุณไม่รู้อะไรเลย และดูท่าจะรับมือได้ยากมากๆ ด้วย คุณคิดว่าลูกคุณจะรับมือไหวมั้ยล่ะ"

"ไม่น่าจะไหวค่ะ ถ้าไหวจะขับรถออกไปแบบนั้นหรือคะ"
เสียงของคนที่เหมือนจะถูกทุกคนลืมไปหมดแล้วดังแทรกขึ้น

"อ้าวซันนี ทำไมฉันลืมเธอไปเลยล่ะ" ประมุขของบ้านหันมาทางเจ้าของเสียงแล้วนึกขันขึ้นมา
กับสีหน้าของผู้ช่วยคนสำคัญของลูกชายเขาที่มาดามของเขาส่งไปประกบลูกชายเมื่อลูกชาย
ได้รับภารกิจให้นำลาเวนเดอร์กลับมาไทย

"เป็นคนที่ถูกลืมเสมอเลยค่ะ ซันนีชินซะแล้ว" ว่าพลางยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี

"ก็ใครใช้ให้เธอนั่งเงียบสงบซะขนาดนั้น"

"แล้วจะให้ซันนีพูดอะไรได้หรือคะ สถานการณ์เมื่อครู่ ท่านประมุขแห่งอาณาจักรศศินพงษ์
ก็ยังได้แต่นั่งฟังมิใช่หรือคะ"

"ก็ถูกของเธอ แล้วนี่เจ้าลูกชายฉันมันไปไหนของมัน"

"ทรงนี้น่าจะหายไปหลบเพื่อสงบจิตสงบใจที่ไหนสักสองสามวันแน่ๆ เลยค่ะ"
เหมือนต้องการจะพูดประชดเสียมากกว่าจะพูดจริงจัง

"แล้วเรื่องลาเวนเดอร์ใครจะจัดการ"

"ก็คงต้องเป็นท่านกับมาดามแล้วล่ะค่ะ ยินดีด้วยนะคะ ซันนีเองก็ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ
อาหารอร่อยมากๆ เลยค่ะ" ว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินหนีไปทันที เพราะกลัวงานจะงอก

"งั้นฉันคงต้องไปพร้อมกับคุณด้วยแล้วล่ะค่ะ จะปล่อยคุณหิ้วลูกเสือเข้าถ้ำเสือคนเดียว
ก็ดูจะไม่ปลอดภัยเท่าไหร่"

"ผมว่าคุณไปด้วย เสือจะแตกตื่นมากกว่าไหม"

"หรือเอาอย่างนี้มั้ยคะ เราล่อเสือออกจากถ้ำไปที่รีสอร์ตของเพื่อนคุณ แล้วพาลูกเสือไปเจอ
แม่เสือที่นั่น"

"แล้วค่อยปล่อยเสือเข้าป่างั้นหรือ"

"ไม่ค่ะ ยังไงฉันก็ไม่ยอมยกลูกเสือตัวนี้ให้แม่เสือตัวนั้นเอาไปฆ่าแกงแน่นอน
เคยวางแผนลงมือฆ่ามาแล้ว ไว้ใจไม่ได้หรอกค่ะ"

"เขาเป็นแม่ลูกกันนะคุณ"

"ฮึ ฉันไม่เชื่อเลยว่าใช่แม่ลูกกันจริงๆ ไม่เห็นจะมีที่ตรงไหนเหมือนกันเลย"

"คุณจะเอาความรู้สึกคุณมาตัดสินไม่ได้"

"ฉันจะพิสูจน์ให้คุณดูว่า เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของผู้หญิงคนนั้น"

"ถ้าเกิดไม่ใช่ แล้วคุณจะให้ใครเป็นแม่ของเธอ เธอต้องมีแม่นะคุณ"

"ก็ฉันน่ะสิ จะใครล่ะ"

"ผมจะปวดหัวกับคุณ เวโรนิคลูกสาวคุณเขาเติมให้คุณไม่เต็มรึไง"

"ก็ฉันรักของฉันมาตั้งแต่กระโดดเสี่ยงชีวิตลงไปช่วยออกมาจากรางรถไฟแล้วนี่
คุณมันจะไปเข้าใจอะไร เวโรนิคก็เวโรนิค ลาเวนเดอร์ก็ลาเวนเดอร์สิ จะเหมือนกันได้ยังไง"

"แล้วเมื่อไหร่ลูกสาวคุณจะกลับจากฝรั่งเศสล่ะ รอบนี้เหมือนจะไปนานกว่ารอบอื่นๆ นะ"
อดไม่ได้ที่จะถามถึงลูกสาวที่สนิทกันยิ่งกว่าลูกชาย เพราะทำงานสายเดียวกัน

"ใกล้จะถึงวันแต่งแล้ว ก็ต้องพิถีพิถันเรื่องชุด นี่ขนาดว่าฉันเป็นแม่แท้ๆ ลูกสาวสุดที่รักของคุณ
ยังกีดกันฉันจากการช่วยเลือกชุดเจ้าสาวและจัดงาน บอกว่าให้ฉันอยู่เฉยๆ เขาจัดการทุกอย่างได้
ไม่อยากให้ฉันต้องเหน็ดเหนื่อยมากจนเกินไป เขารักฉันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"

"เพราะคุณไม่ได้แค่จะช่วย คุณน่ะมันจอมบงการยังไงล่ะ" ว่าแล้วก็หัวเราะก่อนจะลุกเดินหนี
ภรรยาที่ตอนนี้ใบหน้ากำลังเปลี่ยนสี


ตกดึก ลาเวนเดอร์ที่นอนไม่หลับแม้ว่าจะง่วงและเพลียขนาดไหนก็ตาม หากกลับไม่อาจข่มตาลงได้เลย
ตีสองแล้วก็ยังไม่สามารถหลับตาลงได้ ทำได้แค่พลิกตัวไปมาอยู่อย่างนั้น จนท้ายที่สุด
ไม่อาจอดทนได้ จึงลุกขึ้น เปิดประตูห้อง หมายจะออกไปรับลมมองดูดาวนอกบ้าน
แม้ข้างนอกจะมืดแล้วก็ตาม แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว เธอผ่านความมืดมานักต่อนักแล้ว

ทว่า เพียงก้าวขาออกจากประตูบ้าน ก็มีรถคันสีดำขับเข้ามาจอด ก่อนจะมีคนในชุดดำลงมายืน
มองเธอราวกับเห็นผี

"จะไปไหน" ลาเวนเดอร์ไม่ตอบ กลับเลือกที่จะสาวเท้าไปอีกทาง หากกลับถูกขวางเอาไว้
จากลูกชายเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ดูจะไม่จืดเลยสักนิด เหมือนเขาพร้อมจะทำสงครามกับเธอได้ทุกเมื่อ

"หลีกค่ะ"

"ก็จะไปไหนล่ะ นี่มันกี่ทุ่มกี่ยามแล้ว"

"ตีสองค่ะ"

"กลับเข้าไปในบ้านเดี๋ยวนี้"

"ฉันไม่ใช่ลูกน้องคุณ ทำไมต้องเชื่อฟังทำตามคุณด้วย"

"ผมบอกให้เข้าบ้าน" เสียงเข้มๆ นั้นไม่สามารถทำอะไรหญิงสาวหัวแข็งผู้นี้ได้

"ไม่" ยืนกรานเสียงแข็งพร้อมกับเบี่ยงตัวหลีกให้พ้นจากคนที่ยืนขวางทางไว้
แต่เสียงดุๆ เข้มๆ ที่เปล่งประโยคนึงมา ทำเอาขาที่กำลังก้าวถึงกับหยุดชะงัก

"อยากให้ผมอุ้มคุณขึ้นห้องใช่มั้ย งั้นก็เตรียมตัดชุดเจ้าสาวไว้ได้เลย ผมจะทำแน่ๆ
ถ้าคุณขืนยังคิดจะต่อต้านคำสั่งของผม"

"ฉันก็แค่นอนไม่หลับ ฉันอึดอัด" ลาเวนเดอร์ที่ตกใจกับประโยคดังกล่าวไม่น้อย
พยายามพูดความจริงออกไปอย่างยอมจำนน

"อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกแค่นั้น"

"แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่คนป่วยด้วยโรคประหลาดอย่างคุณจะออกมาข้างนอก
และผมจะไม่พูดซ้ำอีก"

ลาเวนเดอร์กัดปากและเม้มเป็นเส้นตรงด้วยสีหน้าขัดใจ ก่อนจะเดินด้วยท่าทางหงุดหงิด
กลับเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะหันกลับไปมองคนข้างหลังที่ไม่รู้จะกลับบ้านมาตอนนี้ทำไม
ขัดจังหวะจริงๆ

พอกลับเข้ามาในห้องแล้วก็ลำบากต้องเดินไปเดินมาให้เหงื่อออก เผื่อจะหลับง่ายขึ้น
ทว่า เสียงเคาะประตูห้องทำเอาหญิงสาวถึงกับตกใจ เดินย่องไปตรงประตู มองทางตาแมว
ก็ไม่เห็นใคร จึงเดินกลับเข้ามา แต่ก้าวไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเคาะอีกครั้ง
คราวนี้มีเสียงของคนเคาะดังตามมาด้วย

"เปิดประตูหน่อยสิคุณ" หญิงสาวชักสีหน้าหงุดหงิด แล้วเปิดประตูให้อย่างไม่เต็มใจนัก
หากพอเห็นว่าเขาถืออะไรมาด้วย สีหน้าหงุดหงิดๆ ก็คลี่คลายลงไปบ้าง

"ดื่มซะ เดี๋ยวก็หลับ คงผิดที่เลยหลับยาก" หญิงสาวรับถ้วยจากมือเขามาแล้วขอบคุณ

"ขอบคุณค่ะ" เขายังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดิม พอลาเวนเดอร์จะปิดประตูห้อง
ก็ได้ยินเสียงเบาๆ เหมือนจะเบาหวิวเอามากๆ จากเขา จนไม่แน่ใจว่าเธอหูฝาดไปรึเปล่า

"ฝันดีนะ"

ลาเวนเดอร์ที่ปิดประตูลงเมื่อเขากลับไปยังห้องของตนเองแล้ว ก็ก้มมองถ้วยในมือ
มันคือ นมอุ่นๆ ทว่า พอได้ดื่ม กลับหลับง่ายขึ้นมาทันที

นมอะไรของเขานะ ทำไมถึงออกฤทธิ์เร็วปานนี้

เขาเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงรู้วิธีต่างๆ ที่ช่วยทำให้เธอผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคไปได้
จากอะไรๆ ที่คิดว่ายากเย็น กลับง่ายดายเมื่อเขาก้าวเข้ามาให้ความช่วยเหลือ

แล้วเขา ต้องการอะไรจากเธอ?


..................................โปรดติดตามตอนต่อไป....................................................






































yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.พ. 2567, 11:44:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.พ. 2567, 11:44:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 91





<< บทที่ 8 Lunar Madness   บทที่ 10 ฟูริน กระดิ่งลมแห่งรัก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account