Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้
ตอน: บทที่ 10 ฟูริน กระดิ่งลมแห่งรัก
เช้าวันใหม่กับบ้านหลังใหม่ ลาเวนเดอร์ตื่นขึ้นมาแล้วเปิดม่านหน้าต่าง แล้วเปิดประตูกรุกระจก
ออกไปยังระเบียง มองฟ้าในยามอรุณรุ่ง สูงลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะทำภารกิจล้างหน้าแปรงฟัน
อาบน้ำละหมาด แล้วก็ละหมาด เสร็จแล้วจึงกลับออกมายืนยังระเบียงห้อง ฟ้าที่ค่อยๆ สว่าง
ดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าออกมา ทำให้บ้านหลังงามหลังนี้ที่อยู่ชานเมือง ซึ่งอากาศดี
สงบร่มรื่น มองไปไกลๆ เห็นทุ่งหญ้าสีเขียว ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวเบิกบาน คลี่ยิ้มหวานออกมา
ก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนกระดิ่งลม เสียงที่เธอคุ้นเคยมากๆ ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
ลาเวนเดอร์พยายามจับทิศทางของเสียงได้ รอยยิ้มคลี่เต็มทั้งใบหน้า ขยับร่างกายออกไปตามหา
เสียงของกระดิ่งลม ก้าวลงบันไดผ่านห้องโถงใหญ่ ออกสู่นอกบ้าน ร่างระหงในชุดนอนไร้ผ้าคลุมฮิญาบ
วิ่งไปตามเสียงของกระดิ่งลมไปยังสวนกุหลาบซึ่งเป็นจุดที่อยู่ติดกับห้องนอนของเธอพอดี
ก็ถึงกับตะลึง รอยยิ้มสดใสเปื้อนใบหน้า เมื่อเห็นกระดิ่งลมญี่ปุ่นหรือฟูรินที่ทำจากแก้วนับร้อยๆ ใบ
ถูกแขวนไว้ตลอดแนวทางเดินเป็นระยะทางสิบเมตร ซึ่งเป็นเรือนไม้ในสวน มีต้นกุหลาบเลื้อยขึ้นมา
ปกคลุม กระดิ่งลมแก้วสีสันหลากสีถูกแขวนไว้อย่างสวยงาม
หนึ่งในส่วนประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ของฟูรินก็คือ กระดาษทางยาว ที่ห้อยอยู่ข้างล่างภาชนะรูปชาม
ซึ่งมีหลากหลายสีสันเช่นกัน เมื่อลมพัดมาโดน กระดาษทางยาวก็จะพลิ้วไปกระทบกับกระดิ่ง
และเกิดเป็นเสียงฟูรินขึ้น
เสน่ห์อันน่าหลงใหลของฟูรินอยู่ตรงเสียงที่เกิดจากลมโชยอ่อนๆ
โดยที่กระดาษทางยาวเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถเพลิดเพลินกับเสียงอันไพเราะของฟูริน
เสียงที่เมื่อฟังแล้วรู้สึกสงบ เย็นสบาย สัมผัสได้ถึงความเย็นที่พัดผ่านเข้ามา
ลาเวนเดอร์มองไปยังกระดาษทางยาว เพราะมันนี่แหละที่ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงตัวตนของสายลม
ยามเมื่อกระดาษพลิ้วไหวไปตามแรงลมอ่อนๆ เธอก็จะสัมผัสได้ว่า ลมอยู่ตรงนั้น
แม้ว่าจะไม่สามารถเห็นรูปร่างของลมได้ แต่ฟูรินนี่แหละที่ทำให้เธอรู้ว่า ลมอยู่ตรงไหน
เสียงอันไพเราะของฟูรินมากมายนี้ ทำให้ลาเวนเดอร์อดนึกไปถึง "ชายคนนั้น" ขึ้นมา
สิบปีแล้วสินะ ที่ไม่ได้เจอเขาอีกเลย เขาที่เคยให้ของที่ระลึกแก่เธอเป็น 'ฟูริน'
ตอนนั้นเธอสิบขวบ เร่ร่อนไปในกรุงโตเกียว หนีพวกอันธพาล ก็ได้เขาช่วยเหลือไว้
เขาที่เธอเห็นหน้าไม่ชัด เพราะเขาใส่หน้ากากอนามัยปิดหน้าไว้
แล้วยังพาเธอเข้าไปเยี่ยมชมร้านเก่าแก่แหล่งกำเนิดฟูริน อย่าง 'ชิโนฮาระ ฟูริน ฮมโปะ'
ได้เข้าชมขั้นตอนการทำฟูริน แล้วเขาก็ยื่นฟูรินแก้ว โดยใช้การเป่าแก้วออกมาให้เป็นรูปทรง
ทาสีลงลวดลายเป็นรูปดอกคามิเลียหรือสึบากิสีชมพูู
ทาสีด้วยมือจากด้านในเพื่อป้องกันไม่ให้สีลอกหรือสึกหรอได้ง่าย
ทำให้ผ่านมาสิบปี ฟูรินที่เขาให้เธอไว้ยังคงความสวยงามแห่งสีสันของดอกคามิเลีย
เอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง และเธอเก็บรักษามันไว้อย่างดี
ไม่คิดเลยจริงๆ ว่า เธอจะได้มาเห็นฟูรินสวยๆ จำนวนมากมายที่กำลังส่งเสียงก้องกังวานไพเราะที่นี่
และเมื่อเดินสำรวจแต่จะใบดู ทำให้เห็นว่า เป็นลวดลายดอกไม้ทั้งนั้น
ลาเวนเดอร์หยุดอยู่ตรงฟูรินลายดอกลาเวนเดอร์ที่ถูกผูกคู่กันไว้กับลายดอกคามิเลียสีชมพู
แล้วขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย
"ชอบหรือ" เสียงนั้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะยิ่งตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมสวมฮิญาบ
ก่อนออกจากห้อง แล้วตอนนี้ก็อยู่ตรงหน้าของบุรุษอีก ทำไมเธอถึงได้สะเพร่าอย่างนี้นะ
"คุณน่าจะลืมสิ่งนี้นะ" ไม่พูดเปล่า ยื่นผ้าคลุมฮิญาบสีดำผืนใหญ่ส่งมาให้เธอ ใบหน้าไร้อารมณ์
ตึงๆ ปากคว่ำๆ นั่น เธอเห็นจนชินตาแล้ว หญิงสาวจึงรีบรับมาแล้วรีบคลุมหัวทันที
"ขอบคุณค่ะ" พูดจบก็รีบหันหน้าหนีเขา แล้วก้าวขาออกไปเพื่อเว้นระยะห่างห้าเมตร
ทำให้คนที่มองตามหลังถึงกับยกมุมปากกึ่งยิ้มกึ่งขำขัน
"เดี๋ยวผมขอตัวเลยแล้วกัน แค่แวะมาชวนคุณไปทานข้าวเช้าน่ะ เพราะพรุ่งนี้ผมจะให้คุณเริ่มถือศีลอด
วันนี้ก็กินให้เต็มที่ก็แล้วกัน"
"อะ อะไรนะคะ"
"ผมรู้ว่าคุณได้ยินชัดเจนแล้ว"
"แต่นี่ไม่ใช่เดือนรอมาฎอนนะคะ"
"คุณต้องเข้าคอร์สรักษาอาการป่วยด้วยโรคประหลาดของคุณ
อย่าลืมเตรียมตัวถือศีลอดด้วย เพราะคุณต้องถือศีลอดต่อเนื่องเป็นปี"
"หา เป็นปี!"
"ใช่ ไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ต้องดูและพิจารณาอาการไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
ถ้าปีนึงยังไม่ดีขึ้น ก็ต้องเพิ่มจำนวนวันหรือจำนวนปี"
"ฉันทำไม่ไหวหรอกค่ะ แค่นี้ก็ผอมจนจะเดินไม่ไหวอยู่แล้วนะคะ"
"ทำเถอะ คุณจะได้แข็งแรงขึ้น มีพละกำลังมากขึ้น สุขภาพก็จะดีขึ้นด้วย"
"ถือศีลอดช่วยได้หรือคะ"
"ช่วยได้สิ เอาไว้วันหลังผมว่างๆ จะอธิบายให้คุณฟังก็แล้วกัน"
"แต่..."
"คุณไม่มีทางให้เลือกอีกแล้วนะ ผมไม่อยากจับคุณขังหรือล่ามโซ่คุณ
เพราะอีกไม่กี่วัน ดวงจันทร์ก็จะกลับมาเต็มดวงอีกครั้ง หรือคุณลืมไปแล้ว"
ลาเวนเดอร์ก้มหน้า ใครจะลืมได้ลง ในเมื่อคืนนั้น เธอทำสิ่งที่น่าละอายที่สุดและน่ารังเกียจที่สุดออกไป
"ผมให้เวลาคุณวันนี้ อยากกินอะไรก็บอกแม่บ้านได้ กินกลางวันได้เต็มที่ แล้วหลังจากนี้
ก็จะงดกินอะไรๆ ในช่วงกลางวัน" คนฟังถึงกับหน้าสลด ถือศีลอดแค่ปีละหนึ่งเดือน ก็ไม่ใช่จะง่ายแล้ว
นี่ต้องถือศีลอดเป็นปีเชียวนะ เธอจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปถือศีลอดต่อเนื่องยาวนานขนาดนั้นได้
"ไม่ทำคุณก็ไม่มีทางรู้ ที่คุณคิดๆ ไว้ในหัวมันอาจไม่ใช่ คุณต้องทำก่อน คุณถึงจะรู้จริงเห็นจริง
และไม่ใช่แค่ถือศีลอด คุณจะต้องฝึกฝนการอ่านอัลกุรอานในทุกๆ วันด้วย"
"แต่ฉันอ่านอัลกุรอานไม่ค่อยได้นี่คะ"
"ผมมีครูมาฝึกสอนให้คุณแล้ว"
"ใครหรือคะ"
"ซันนีเขาจะเป็นครูสอนอัลกุรอานให้คุณทุกวัน ภายในหนึ่งปี คุณจะต้องอ่านจบเล่ม
และท่องจำซูเราะห์สั้นๆ ทั้งหมดให้ได้"
"ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะทำได้เลยค่ะ"
"คุณยังไม่ทำ คุณจะรู้ได้ไงว่าทำไม่ได้ อย่าคิดเอาเอง" เสียงดุๆ นั่นทำเอาหญิงสาวถึงกับอยากวิ่งหนีเข้าบ้าน
"ฉันไปทานข้าวได้แล้วใช่มั้ยคะ"
"เชิญสิ" เขาผายมือให้ แล้วส่ายหน้าไหวๆ เมื่อเห็นคนไข้ในความดูแลของเขาดูจะรับมือยากอยู่ไม่น้อย
อีกครั้งบนโต๊ะอาหารที่สมาชิกของบ้านมารวมตัวกันแล้วพูดคุยหารือกัน ถามไถ่สิ่งต่างๆ กัน
ซึ่งเหมือนจะมีแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่จะได้มารวมตัวกันในแต่ละวัน ซึ่งเป็นมื้อเช้าก่อนที่ทุกคน
จะแยกย้ายกันออกไปทำภารกิจและหน้าที่การงานของตน ซึ่งลาเวนเดอร์เริ่มเห็นเค้าลางแล้วว่า
วิถีชีวิตของคนร่ำรวยก็ใช่ว่าจะสะดวกง่ายดายหรือราบรื่น หรือสุขสบายตลอดเวลา
กลับกัน พวกเขามีภาระหน้าที่ต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบมากมาย มากกว่าเธอที่เป็นเด็กเร่ร่อนด้วยซ้ำ
"ที่เห็นลูกชายลุงดูว่างๆ ช่วงนี้ จริงๆ แล้วเขาอยู่ระหว่างพักงานน่ะ งานเขาโดนแม่เขายึดไปทำหมดแล้ว ฮ่า"
ประมุขของบ้านอดแซวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นมา เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมถูกต้อนให้
จนมุมเสียที เขาปรารถนาให้ลูกชายเป็นคนพาลาเวนเดอร์ไปเจอมารดามากกว่า เพราะถ้าเขาไป
มันจะดูเอิกเริก และเป็นเป้าสายตา ซึ่งยังไม่ถึงเวลาที่จะทำแบบนั้นได้
"ใช่แล้วจ่ะ ป้าเป็นคนยึดงานเขามาทำเอง เพราะป้าอยากให้เขาได้พักบ้าง แต่เขาก็ไม่ยอมพัก
เดินทางไปทั่ว อย่างที่เห็นแหละจ่ะ" คนเป็นมารดาหันไปยิ้มอ่อนๆ ให้ลูกชายที่ยังคงตักข้าวต้มเข้าปาก
ราวกับไม่ได้สนใจใครบนโลกใบนี้
"วันนี้ลุงมีงานด่วนจริงๆ เลยพาหนูไปพบแม่ไม่ได้" ว่าแล้วก็ชำเลืองไปทางลูกชาย หมายจะดูปฏิกิริยา
ตอบกลับมา ทว่า กลับพบเพียงความว่างเปล่า และเฉยเมย
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจ เอาไว้คุณลุงพร้อมค่อยไปพบก็ได้ค่ะ"
"เอางั้นหรือ แล้ววันนี้หนูอยากไปไหนรึเปล่า ให้ซันนีพาไปมั้ย"
"ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ หนูชอบเก็บตัวเงียบๆ มากกว่า"
"เมืองไทยเป็นเมืองที่น่าเที่ยวมากเลยนะหนูลา ป้าอยากให้หนูไปเปิดหูเปิดตา"
"แต่หนูเข้ามาประเทศไทยโดยไม่มีเอกสารอะไร เกรงว่าจะไม่เหมาะที่จะไปเดินเที่ยวเล่น
เป็นที่น่าสนใจค่ะ กลัวจะทำให้คุณลุงคุณป้าเดือดร้อนด้วยค่ะ"
สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากันแล้วผ่อนลมหายใจออกมา หันไปทางลูกชาย
แล้วปรึกษากันในเรื่องนี้
"หรือพ่อกับแม่จะรับหนูลามาเป็นบุตรบุญธรรมดี"
"อย่าเลยค่ะ"
"อย่าเลยครับ"
ทั้งสองเสียงประสานพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ก่อนจะหันไปสบประสานสายตากันแล้วรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
ซึ่งท่าทีแบบนั้นไม่ได้รอดพ้นสายตาที่คอยสอดส่องของซันนีที่นั่งกินข้าวเงียบๆ เลย
"ทำไมล่ะ แม่ออกจะเอ็นดูของแม่ หนูลาจะมาเป็นลูกแม่อีกคนไม่ได้รึไง"
"เธอมีแม่นี่ครับ" คนเป็นลูกชายที่เงียบสนิทมาตลอดกลับรีบสวนกลับไปทันที
"หนูไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นค่ะ ยังคงยืนยันแบบเดิมค่ะ ว่าแค่อยากเจออยากคุยด้วยนิดหน่อย
แล้วก็จะกลับญี่ปุ่นค่ะ หนูชินกับการเป็นคนเร่ร่อนมาตั้งแต่จำความได้ การมีครอบครัวไม่ใช่
ความเคยชินของหนูหรอกค่ะ คงไม่ง่ายสำหรับอะไรที่ไม่เคยชิน เพราะต้องปรับตัวเองอีกเยอะ
แล้วคนอย่างหนูก็คงไม่ใช่ที่ต้องการอะไรขนาดนั้นด้วย" ประโยคท้ายนั่นน้ำเสียงคนพูดไม่ได้ฟังดู
น้อยอกน้อยใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ทำให้ทุกสายตามองมาอย่างไม่เข้าใจมากนัก
"ทำไมหนูพูดแบบนั้นล่ะ" มาดามมารีอานน์อดไม่ได้ที่จะไถ่ถามด้วยแววตาห่วงใย
"หนูทบทวนเรื่องนี้มาอย่างดีแล้วค่ะ และประเมินตัวเองมาพอประมาณนึงแล้วด้วยค่ะ"
"เหมือนคุณจะลืมเรื่องที่ผมเพิ่งพูดกับคุณไปก่อนหน้านี้นะว่า คุณต้องอยู่รักษาตัวเอง
คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ผมไม่มีทางปล่อยเสือร้ายหลุดออกไปจากถ้ำเด็ดขาด"
ลาเวนเดอร์หันไปจ้องคนพูดตาเขม็ง เม้มปากเป็นเส้นตรง หากก็จนคำพูดใด
เมื่อเขาพูดราวกับเป็นคำประกาศิตลงมาว่า
"พระจันทร์เต็มดวงรอบถัดไปคุณก็จะอายุครบยี่สิบปีไม่ใช่หรือ
คุณคิดว่า ถึงตอนนั้น คุณจะทำยังไงกับตัวเอง
คุณมีทางออกที่ดีไปกว่าทางที่ผมยื่นให้คุณแล้วหรือลาเวนเดอร์"
ลาเวนเดอร์ก้มลงตักข้าวต้มเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ราวกับไม่รับรู้รสชาติของมัน
เพราะความขมขื่นที่จุกแน่นภายใน ทำไมเขาต้องตอกย้ำเธอในเรื่องคืนนั้นในตอนนี้ด้วย
"ว่าไงครับ" ลาเวนเดอร์ช้อนตาขึ้นมองเขาด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า ก่อนจะตักข้าวต้มเข้าปาก
เคี้ยวๆ กลืนแบบเร่งรีบให้มันหมดชามไวๆ น้ำตาร่วงลงก็ไม่คิดจะปัดทิ้ง มือที่ตักข้าวต้มเข้าปาก
เริ่มสั่น หากก็ยังพยายามตักข้าวต้มเข้าไปให้ได้ ทำให้ทุกสายตาที่มองไปยังภาพนั้น
ถึงกับจุกแน่นในหัวอก
"ผมจะพาเธอไปพบแม่ของเธอเองครับพ่อ" หันไปบอกบิดาแล้วจึงหันไปทางสมาชิกใหม่
ที่เอาแต่ก้มหน้ากินข้าวต้มจนหมดชาม
"เดี๋ยวคุณกินข้าวเสร็จก็ขึ้นไปเตรียมตัวได้เลย ผมกับซันนีจะเป็นคนพาคุณไปหาแม่ของคุณ
คุณเองอาจจะเปลี่ยนความคิดไปเลยก็ได้" แล้วจึงหันไปทางซันนีที่ตอนนี้จัดการอาหาร
เรียบร้อยแล้ว
"ซันนี ฝากคุณดูแลเครื่องแต่งกายให้เธอด้วย เอาให้มิดชิดที่สุด โดดเด่นน้อยที่สุด
และสวมนิกอบให้เธอด้วย ขอเป็นชุดดำ ผมยังไม่อยากให้ใครเห็นเธอ มันยังไม่ถึงเวลา"
"ได้ค่ะคุณหมอ"
"ขอบคุณมาก" แล้วก็หันไปทางลาเวนเดอร์
"เราจะไปที่นั่นในฐานะลูกค้าที่ไปทำสปาและนวดตัวเท่านั้น
คุณห้ามเปิดหน้าเด็ดขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม"
"ค่ะ" ลาเวนเดอร์ตอบรับโดยที่ไม่ยอมมองหน้าเขา ก่อนจะขอตัวไปเตรียมตัว
เมื่อเห็นว่าลาเวนเดอร์ขึ้นไปยังชั้นบนพร้อมซันนีแล้ว มาดามมารีอานน์ก็หันมาเอ็ดลูกชายทันที
"ทำไมลูกพูดแรงขนาดนั้น แม่ไม่ชอบเลยจริงๆ"
"แม่ก็เห็นว่าไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผลกับเธอ"
"แต่นี่มันแรงไปจริงๆ นะ"
"พ่อก็รู้สึกว่ามันแรงไปนะเซริว"
"เธอยังต้องเจอยาแรงๆ อีกหลายขนานครับพ่อ แค่นี้ยังเบาะๆ ครับ"
"หมายความว่าไง" มาดามมารีอานน์
"เธอมีอาการประหลาดที่แม่เองจะได้เห็นชัดเจนในอีกไม่กี่วันนี่แหละครับ
ในฐานะที่แม่เป็นหมอ แม่ก็คงไม่อาจทนดูเธอเป็นแบบนั้นได้ไม่ต่างจากผมในตอนนี้"
"เอาเถอะ เรายังพอมีเวลา ค่อยๆ รักษาแบบละมุนๆ ก็ได้"
"ถ้าพวกนั้นมาเจอเธอเข้า เราอาจไม่ได้มีเวลาอย่างที่คิดครับแม่ แม่ก็รู้ว่าพวกไหนบ้างที่จ้องจะ
จับตัวเธอไป" คราวนี้คนเป็นพ่อถึงกับพูดแทรกออกมาอย่างหนักใจ
"เราไม่ควรบอกเธอให้รู้เลยหรือว่าทำไมเธอถึงมีชะตากรรมแบบนี้"
"อย่าเพิ่งเลยค่ะ ให้แม่เธอเป็นคนบอกเธอเรื่องนี้ ดีที่สุด" มาดามมารีอานน์บอกเสียงอ่อน
เพราะข้างในลึกๆ แล้ว เธอกลับไม่แน่ใจในตัวแม่ของลาเวนเดอร์เลยสักนิด
ผู้หญิงคนนั้น อ่านยากยิ่งนัก
ผ่านไปสักพัก ลาเวนเดอร์ที่แต่งกายมิดชิดปิดทุกอย่างยกเว้นดวงตาในชุดดำยกเซต
ก็ก้าวออกมาจากห้อง เดินลงมายังชั้นล่างเพื่อจะออกไปเจอมารดาแบบเงียบๆ
ก็พบว่า บุรุษที่จะพาเธอไปกำลังนั่งรอที่ห้องรับแขกอยู่ก่อนแล้ว เขาอยู่ในชุดกางเกงยีนสีดำ
เสื้อเชิ้ตแขนยาวคอจีนสีเดียวกับกางเกง พอหันมาทางเธอก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง 185 เซนติเมตร
แล้วหยิบแว่นกันแดดยี่ห้อดังมาสวมใส่ ซ้ำยังยื่นแว่นกันแดดอีกอันให้เธอสวมใส่อีกด้วย
"ใส่มันซะ ดวงตาของคุณไม่เหมือนของใคร ผมไม่อยากให้พวกนั้นหาพิกัดคุณเจอ"
หญิงสาวรับมาสวมใส่ ตอนนี้ไม่มีส่วนใดบนร่างกายเธอที่ไม่ถูกปกปิด
"เป็นผู้หญิง สิ่งที่ควรใจกว้างก็ควรใจกว้าง ส่วนอะไรที่ควรประหยัดไว้ก็ควรประหยัด"
"อะไรบ้างหรือคะที่ควรประหยัด"
"ความสวยยังไงล่ะ จะแจกจ่ายทำบุญทำทานให้ใครต่อใครเห็นหรือลูบๆ คลำๆ มันมีแต่จะวุ่นวายตามมา"
"ก็จริงของคุณนะคะ เพราะเมื่อถูกรู้จักมากๆ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของฉัน
ก็จะค่อยๆ ลดลงฮวบๆ ทันที"
"พูดกันเข้าใจง่ายๆ แบบนี้ ผมขอบ" ลาเวนเดอร์ชำเลืองมองคนที่บอกว่า ชอบ
แล้วยกมุมปากตัวเอง และแน่นอนอากัปกิริยาเหล่านี้ เขาย่อมมองไม่เห็นหรอก เพราะมันถูกปกปิด
ไว้ทั้งหมดแล้ว
"ส่วนซันนีไม่ขอปิดหน้ากับใส่แว่นดำนะคะ เพราะหน้าตาปกติธรรมดาสามัญ ไม่ได้สวยโดดเด่นมากมายอะไร
อีกอย่าง มีแต่คนลืมการมีตัวตนตลอด ฮ่า" เสียงที่แทรกขึ้นทำให้ทั้งสองคนนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้
กันแค่สองคน แต่มีซันนีอยู่ร่วมวงด้วยตลอดเวลามาตลอดทาง และนั่นทำให้ทั้งสองถึงกับยิ้มออกมา
แล้วก็ออกเดินทางไปยังร้านนวดและสปาที่สาขาใหญ่สุดและเป็นร้านที่ดีที่สุดในภาคพื้นเอเชีย
เมื่อไปถึงตึกห้าชั้นที่ถูกออกแบบได้สวยงามลงตัว แปลกตา โดดเด่นกว่าใคร มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ลาเวนเดอร์ก็ถึงกับอึ้ง ทึ่งไปกับบรรยากาศที่ถูกรังสรรค์มาราวกับสวนสวรรค์บนโลกที่แออัดใบนี้
เหมือนโอเอซิสกลางทะเล เพราะตั้งอยู่ใจกลางกรุง ที่มีรถรา พาหนะมากมายหลายชนิดและผู้คน
ที่แออัด ฝุ่นควันมากมี เหนื่อยล้ากับการเดินทาง พอมาเจอสถานที่แห่งนี้เท่านั้น
ก็เหมือนได้ทะลุมาอยู่อีกมิตินึง ที่ทั้งดูสงบ ร่มเย็น ผ่อนคลาย และสวย
นี่ยังไม่ได้เข้าไปยังด้านในเลยด้วยซ้ำ
"นี่ไงล่ะ หนึ่งในธุรกิจของแม่คุณ นี่แค่เสี้ยวนึงเท่านั้น และไม่ใช่แค่ประเทศนี้
แม่คุณขยายกิจการไปในหลายๆ ประเทศ และยังมีธุรกิจอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน
คุณว่า ต้องรวยมากขนาดไหนถึงจะทำแบบนี้ได้"
"ฉันขอโทษที่ได้พูดเรื่องคุณรวยไปแบบนั้นกลางโต๊ะอาหารค่ะ ฉันแค่ เป็นคนจน คนเร่ร่อนคนนึง
ไม่เคยเข้าใจคนรวยและความร่ำรวยของคนรวย และคิดว่าคนที่ไม่เคยจนแบบคุณก็คงจะ
ไม่มีวันเข้าใจคนจนๆ อย่างฉัน" ก่อนจะเว้นวรรคเพื่อกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียง
ไม่ค่อยมั่นคงออกไปว่า
"และฉันก็ยังคงเป็นคนจน คนเร่ร่อน เพราะไม่เคยมีอะไรที่คุณเอ่ยมาเลยค่ะ
ไม่เคยมีอะไรที่พวกคุณมีกัน ต่อให้มารู้ว่ามีแม่รวยเป็นเศรษฐี
แต่เกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา ฉันจน ตอนนี้ก็ยังจนค่ะ ยังเป็นผู้อาศัยบ้านคุณอยู่ ไม่เคยมีบ้านกับใครเขา
ไม่เคยมีครอบครัวด้วยซ้ำ"
"เอาไว้ผมจะพาคุณไปที่บ้านของแม่คุณ แต่จะพูดว่า บ้าน ก็คงไม่ได้
เพราะบ้านแม่คุณไม่ได้ต่างไปจากวังเลย"
ว่าแล้วก็เดินนำสองสาวไปยังทางเข้าร้านนวดและสปาหรูใจกลางกรุง
ทว่า ยังย่างก้าวได้ไม่กี่ก้าว ลาเวนเดอร์ก็รู้สึกถึงมวลบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นมองไปยังยอดตึก
เห็นร่างนึงในชุดสีขาวลอยดิ่งลงมาทางเธอ พริบตา ร่างเธอก็ถูกกระชากอย่างแรง
เสียงกรีดร้องของผู้คนดังลั่นไปทั่ว ร่างของเธอที่ถูกดึงถูกกระชากถูกขังอยู่ในกรงอันแข็งแกร่ง
ที่เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่ามันคือ ร่างของเขา และพอหันไปไม่ถึงศอกก็เห็นร่างสตรีนางนึง
นอนคอพับบนพื้นในสภาพที่ไร้วิญญาณ ดวงตายังเปิดกว้างราวกับได้เห็นในสิ่งที่คาดไม่ถึง
หรือตกใจสุดขีด ลาเวนเดอร์ถึงกับเนื้อตัวสั่นเทา เลื่อนสายตาไปทางมือขวาของสตรีผู้นี้
ที่วางอยู่บนขาของเธอ ก็เห็นบางอย่างที่มือนั้นกำเอาไว้แน่น ลาเวนเดอร์จึงถือวิสาสะ
ดึงสร้อยในมือสตรีที่ไร้วิญญาณมาดู แล้วรีบซ่อนมันไว้ในกระเป๋าไม่ให้ใครทันได้เห็น
ก่อนจะใช้มืออีกข้างปิดเปลือกตาของคนตายที่เธอไม่รู้จัก
ทว่ากลับรู้สึกสงสารจับขั้วหัวใจขึ้นมาเมื่อมองใบหน้านั้นชัดๆ
ร่างนี้เกือบดิ่งลงมาทับร่างของเธอด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้เขาช่วยเธอไว้ เธอก็คงตายไปพร้อมๆ กับ
สตรีผู้นี้เป็นแน่แท้ ซึ่งเลือดของคนตายได้กระเซ็นมาถึงตัวเธอ เลือดที่ตอนนี้นองตามพื้นเต็มไปหมด
กำลังส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง ทำให้คนที่ต่อมรับกลิ่นดีเลิศถึงกับเวียนหัว ภาพบางอย่างลอยมา
ภาพหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวที่ยืนมือออกไปข้างหน้าราวกับพยายามไขว่คว้าบางอย่างไว้
ก่อนจะหงายหลังตกจากตึกผุดขึ้นมาในดวงตา ได้ยินเสียงกระดิ่งลมดังก้องไปมาในหัว
ถัดจากนั้นก็รู้สึกมีมือใหญ่กุมขมับและหัวเธอเอาไว้แล้วบีบจนรู้สึกเจ็บหัว
เจ็บจนหายใจติดขัด เป็นลมหมดสติไปในที่สุด
......................โปรดติดตามตอนต่อไป.......................................
ออกไปยังระเบียง มองฟ้าในยามอรุณรุ่ง สูงลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะทำภารกิจล้างหน้าแปรงฟัน
อาบน้ำละหมาด แล้วก็ละหมาด เสร็จแล้วจึงกลับออกมายืนยังระเบียงห้อง ฟ้าที่ค่อยๆ สว่าง
ดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าออกมา ทำให้บ้านหลังงามหลังนี้ที่อยู่ชานเมือง ซึ่งอากาศดี
สงบร่มรื่น มองไปไกลๆ เห็นทุ่งหญ้าสีเขียว ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวเบิกบาน คลี่ยิ้มหวานออกมา
ก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนกระดิ่งลม เสียงที่เธอคุ้นเคยมากๆ ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
ลาเวนเดอร์พยายามจับทิศทางของเสียงได้ รอยยิ้มคลี่เต็มทั้งใบหน้า ขยับร่างกายออกไปตามหา
เสียงของกระดิ่งลม ก้าวลงบันไดผ่านห้องโถงใหญ่ ออกสู่นอกบ้าน ร่างระหงในชุดนอนไร้ผ้าคลุมฮิญาบ
วิ่งไปตามเสียงของกระดิ่งลมไปยังสวนกุหลาบซึ่งเป็นจุดที่อยู่ติดกับห้องนอนของเธอพอดี
ก็ถึงกับตะลึง รอยยิ้มสดใสเปื้อนใบหน้า เมื่อเห็นกระดิ่งลมญี่ปุ่นหรือฟูรินที่ทำจากแก้วนับร้อยๆ ใบ
ถูกแขวนไว้ตลอดแนวทางเดินเป็นระยะทางสิบเมตร ซึ่งเป็นเรือนไม้ในสวน มีต้นกุหลาบเลื้อยขึ้นมา
ปกคลุม กระดิ่งลมแก้วสีสันหลากสีถูกแขวนไว้อย่างสวยงาม
หนึ่งในส่วนประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ของฟูรินก็คือ กระดาษทางยาว ที่ห้อยอยู่ข้างล่างภาชนะรูปชาม
ซึ่งมีหลากหลายสีสันเช่นกัน เมื่อลมพัดมาโดน กระดาษทางยาวก็จะพลิ้วไปกระทบกับกระดิ่ง
และเกิดเป็นเสียงฟูรินขึ้น
เสน่ห์อันน่าหลงใหลของฟูรินอยู่ตรงเสียงที่เกิดจากลมโชยอ่อนๆ
โดยที่กระดาษทางยาวเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถเพลิดเพลินกับเสียงอันไพเราะของฟูริน
เสียงที่เมื่อฟังแล้วรู้สึกสงบ เย็นสบาย สัมผัสได้ถึงความเย็นที่พัดผ่านเข้ามา
ลาเวนเดอร์มองไปยังกระดาษทางยาว เพราะมันนี่แหละที่ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงตัวตนของสายลม
ยามเมื่อกระดาษพลิ้วไหวไปตามแรงลมอ่อนๆ เธอก็จะสัมผัสได้ว่า ลมอยู่ตรงนั้น
แม้ว่าจะไม่สามารถเห็นรูปร่างของลมได้ แต่ฟูรินนี่แหละที่ทำให้เธอรู้ว่า ลมอยู่ตรงไหน
เสียงอันไพเราะของฟูรินมากมายนี้ ทำให้ลาเวนเดอร์อดนึกไปถึง "ชายคนนั้น" ขึ้นมา
สิบปีแล้วสินะ ที่ไม่ได้เจอเขาอีกเลย เขาที่เคยให้ของที่ระลึกแก่เธอเป็น 'ฟูริน'
ตอนนั้นเธอสิบขวบ เร่ร่อนไปในกรุงโตเกียว หนีพวกอันธพาล ก็ได้เขาช่วยเหลือไว้
เขาที่เธอเห็นหน้าไม่ชัด เพราะเขาใส่หน้ากากอนามัยปิดหน้าไว้
แล้วยังพาเธอเข้าไปเยี่ยมชมร้านเก่าแก่แหล่งกำเนิดฟูริน อย่าง 'ชิโนฮาระ ฟูริน ฮมโปะ'
ได้เข้าชมขั้นตอนการทำฟูริน แล้วเขาก็ยื่นฟูรินแก้ว โดยใช้การเป่าแก้วออกมาให้เป็นรูปทรง
ทาสีลงลวดลายเป็นรูปดอกคามิเลียหรือสึบากิสีชมพูู
ทาสีด้วยมือจากด้านในเพื่อป้องกันไม่ให้สีลอกหรือสึกหรอได้ง่าย
ทำให้ผ่านมาสิบปี ฟูรินที่เขาให้เธอไว้ยังคงความสวยงามแห่งสีสันของดอกคามิเลีย
เอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง และเธอเก็บรักษามันไว้อย่างดี
ไม่คิดเลยจริงๆ ว่า เธอจะได้มาเห็นฟูรินสวยๆ จำนวนมากมายที่กำลังส่งเสียงก้องกังวานไพเราะที่นี่
และเมื่อเดินสำรวจแต่จะใบดู ทำให้เห็นว่า เป็นลวดลายดอกไม้ทั้งนั้น
ลาเวนเดอร์หยุดอยู่ตรงฟูรินลายดอกลาเวนเดอร์ที่ถูกผูกคู่กันไว้กับลายดอกคามิเลียสีชมพู
แล้วขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย
"ชอบหรือ" เสียงนั้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะยิ่งตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมสวมฮิญาบ
ก่อนออกจากห้อง แล้วตอนนี้ก็อยู่ตรงหน้าของบุรุษอีก ทำไมเธอถึงได้สะเพร่าอย่างนี้นะ
"คุณน่าจะลืมสิ่งนี้นะ" ไม่พูดเปล่า ยื่นผ้าคลุมฮิญาบสีดำผืนใหญ่ส่งมาให้เธอ ใบหน้าไร้อารมณ์
ตึงๆ ปากคว่ำๆ นั่น เธอเห็นจนชินตาแล้ว หญิงสาวจึงรีบรับมาแล้วรีบคลุมหัวทันที
"ขอบคุณค่ะ" พูดจบก็รีบหันหน้าหนีเขา แล้วก้าวขาออกไปเพื่อเว้นระยะห่างห้าเมตร
ทำให้คนที่มองตามหลังถึงกับยกมุมปากกึ่งยิ้มกึ่งขำขัน
"เดี๋ยวผมขอตัวเลยแล้วกัน แค่แวะมาชวนคุณไปทานข้าวเช้าน่ะ เพราะพรุ่งนี้ผมจะให้คุณเริ่มถือศีลอด
วันนี้ก็กินให้เต็มที่ก็แล้วกัน"
"อะ อะไรนะคะ"
"ผมรู้ว่าคุณได้ยินชัดเจนแล้ว"
"แต่นี่ไม่ใช่เดือนรอมาฎอนนะคะ"
"คุณต้องเข้าคอร์สรักษาอาการป่วยด้วยโรคประหลาดของคุณ
อย่าลืมเตรียมตัวถือศีลอดด้วย เพราะคุณต้องถือศีลอดต่อเนื่องเป็นปี"
"หา เป็นปี!"
"ใช่ ไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ต้องดูและพิจารณาอาการไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
ถ้าปีนึงยังไม่ดีขึ้น ก็ต้องเพิ่มจำนวนวันหรือจำนวนปี"
"ฉันทำไม่ไหวหรอกค่ะ แค่นี้ก็ผอมจนจะเดินไม่ไหวอยู่แล้วนะคะ"
"ทำเถอะ คุณจะได้แข็งแรงขึ้น มีพละกำลังมากขึ้น สุขภาพก็จะดีขึ้นด้วย"
"ถือศีลอดช่วยได้หรือคะ"
"ช่วยได้สิ เอาไว้วันหลังผมว่างๆ จะอธิบายให้คุณฟังก็แล้วกัน"
"แต่..."
"คุณไม่มีทางให้เลือกอีกแล้วนะ ผมไม่อยากจับคุณขังหรือล่ามโซ่คุณ
เพราะอีกไม่กี่วัน ดวงจันทร์ก็จะกลับมาเต็มดวงอีกครั้ง หรือคุณลืมไปแล้ว"
ลาเวนเดอร์ก้มหน้า ใครจะลืมได้ลง ในเมื่อคืนนั้น เธอทำสิ่งที่น่าละอายที่สุดและน่ารังเกียจที่สุดออกไป
"ผมให้เวลาคุณวันนี้ อยากกินอะไรก็บอกแม่บ้านได้ กินกลางวันได้เต็มที่ แล้วหลังจากนี้
ก็จะงดกินอะไรๆ ในช่วงกลางวัน" คนฟังถึงกับหน้าสลด ถือศีลอดแค่ปีละหนึ่งเดือน ก็ไม่ใช่จะง่ายแล้ว
นี่ต้องถือศีลอดเป็นปีเชียวนะ เธอจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปถือศีลอดต่อเนื่องยาวนานขนาดนั้นได้
"ไม่ทำคุณก็ไม่มีทางรู้ ที่คุณคิดๆ ไว้ในหัวมันอาจไม่ใช่ คุณต้องทำก่อน คุณถึงจะรู้จริงเห็นจริง
และไม่ใช่แค่ถือศีลอด คุณจะต้องฝึกฝนการอ่านอัลกุรอานในทุกๆ วันด้วย"
"แต่ฉันอ่านอัลกุรอานไม่ค่อยได้นี่คะ"
"ผมมีครูมาฝึกสอนให้คุณแล้ว"
"ใครหรือคะ"
"ซันนีเขาจะเป็นครูสอนอัลกุรอานให้คุณทุกวัน ภายในหนึ่งปี คุณจะต้องอ่านจบเล่ม
และท่องจำซูเราะห์สั้นๆ ทั้งหมดให้ได้"
"ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะทำได้เลยค่ะ"
"คุณยังไม่ทำ คุณจะรู้ได้ไงว่าทำไม่ได้ อย่าคิดเอาเอง" เสียงดุๆ นั่นทำเอาหญิงสาวถึงกับอยากวิ่งหนีเข้าบ้าน
"ฉันไปทานข้าวได้แล้วใช่มั้ยคะ"
"เชิญสิ" เขาผายมือให้ แล้วส่ายหน้าไหวๆ เมื่อเห็นคนไข้ในความดูแลของเขาดูจะรับมือยากอยู่ไม่น้อย
อีกครั้งบนโต๊ะอาหารที่สมาชิกของบ้านมารวมตัวกันแล้วพูดคุยหารือกัน ถามไถ่สิ่งต่างๆ กัน
ซึ่งเหมือนจะมีแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่จะได้มารวมตัวกันในแต่ละวัน ซึ่งเป็นมื้อเช้าก่อนที่ทุกคน
จะแยกย้ายกันออกไปทำภารกิจและหน้าที่การงานของตน ซึ่งลาเวนเดอร์เริ่มเห็นเค้าลางแล้วว่า
วิถีชีวิตของคนร่ำรวยก็ใช่ว่าจะสะดวกง่ายดายหรือราบรื่น หรือสุขสบายตลอดเวลา
กลับกัน พวกเขามีภาระหน้าที่ต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบมากมาย มากกว่าเธอที่เป็นเด็กเร่ร่อนด้วยซ้ำ
"ที่เห็นลูกชายลุงดูว่างๆ ช่วงนี้ จริงๆ แล้วเขาอยู่ระหว่างพักงานน่ะ งานเขาโดนแม่เขายึดไปทำหมดแล้ว ฮ่า"
ประมุขของบ้านอดแซวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นมา เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมถูกต้อนให้
จนมุมเสียที เขาปรารถนาให้ลูกชายเป็นคนพาลาเวนเดอร์ไปเจอมารดามากกว่า เพราะถ้าเขาไป
มันจะดูเอิกเริก และเป็นเป้าสายตา ซึ่งยังไม่ถึงเวลาที่จะทำแบบนั้นได้
"ใช่แล้วจ่ะ ป้าเป็นคนยึดงานเขามาทำเอง เพราะป้าอยากให้เขาได้พักบ้าง แต่เขาก็ไม่ยอมพัก
เดินทางไปทั่ว อย่างที่เห็นแหละจ่ะ" คนเป็นมารดาหันไปยิ้มอ่อนๆ ให้ลูกชายที่ยังคงตักข้าวต้มเข้าปาก
ราวกับไม่ได้สนใจใครบนโลกใบนี้
"วันนี้ลุงมีงานด่วนจริงๆ เลยพาหนูไปพบแม่ไม่ได้" ว่าแล้วก็ชำเลืองไปทางลูกชาย หมายจะดูปฏิกิริยา
ตอบกลับมา ทว่า กลับพบเพียงความว่างเปล่า และเฉยเมย
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจ เอาไว้คุณลุงพร้อมค่อยไปพบก็ได้ค่ะ"
"เอางั้นหรือ แล้ววันนี้หนูอยากไปไหนรึเปล่า ให้ซันนีพาไปมั้ย"
"ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ หนูชอบเก็บตัวเงียบๆ มากกว่า"
"เมืองไทยเป็นเมืองที่น่าเที่ยวมากเลยนะหนูลา ป้าอยากให้หนูไปเปิดหูเปิดตา"
"แต่หนูเข้ามาประเทศไทยโดยไม่มีเอกสารอะไร เกรงว่าจะไม่เหมาะที่จะไปเดินเที่ยวเล่น
เป็นที่น่าสนใจค่ะ กลัวจะทำให้คุณลุงคุณป้าเดือดร้อนด้วยค่ะ"
สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากันแล้วผ่อนลมหายใจออกมา หันไปทางลูกชาย
แล้วปรึกษากันในเรื่องนี้
"หรือพ่อกับแม่จะรับหนูลามาเป็นบุตรบุญธรรมดี"
"อย่าเลยค่ะ"
"อย่าเลยครับ"
ทั้งสองเสียงประสานพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ก่อนจะหันไปสบประสานสายตากันแล้วรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
ซึ่งท่าทีแบบนั้นไม่ได้รอดพ้นสายตาที่คอยสอดส่องของซันนีที่นั่งกินข้าวเงียบๆ เลย
"ทำไมล่ะ แม่ออกจะเอ็นดูของแม่ หนูลาจะมาเป็นลูกแม่อีกคนไม่ได้รึไง"
"เธอมีแม่นี่ครับ" คนเป็นลูกชายที่เงียบสนิทมาตลอดกลับรีบสวนกลับไปทันที
"หนูไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นค่ะ ยังคงยืนยันแบบเดิมค่ะ ว่าแค่อยากเจออยากคุยด้วยนิดหน่อย
แล้วก็จะกลับญี่ปุ่นค่ะ หนูชินกับการเป็นคนเร่ร่อนมาตั้งแต่จำความได้ การมีครอบครัวไม่ใช่
ความเคยชินของหนูหรอกค่ะ คงไม่ง่ายสำหรับอะไรที่ไม่เคยชิน เพราะต้องปรับตัวเองอีกเยอะ
แล้วคนอย่างหนูก็คงไม่ใช่ที่ต้องการอะไรขนาดนั้นด้วย" ประโยคท้ายนั่นน้ำเสียงคนพูดไม่ได้ฟังดู
น้อยอกน้อยใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ทำให้ทุกสายตามองมาอย่างไม่เข้าใจมากนัก
"ทำไมหนูพูดแบบนั้นล่ะ" มาดามมารีอานน์อดไม่ได้ที่จะไถ่ถามด้วยแววตาห่วงใย
"หนูทบทวนเรื่องนี้มาอย่างดีแล้วค่ะ และประเมินตัวเองมาพอประมาณนึงแล้วด้วยค่ะ"
"เหมือนคุณจะลืมเรื่องที่ผมเพิ่งพูดกับคุณไปก่อนหน้านี้นะว่า คุณต้องอยู่รักษาตัวเอง
คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ผมไม่มีทางปล่อยเสือร้ายหลุดออกไปจากถ้ำเด็ดขาด"
ลาเวนเดอร์หันไปจ้องคนพูดตาเขม็ง เม้มปากเป็นเส้นตรง หากก็จนคำพูดใด
เมื่อเขาพูดราวกับเป็นคำประกาศิตลงมาว่า
"พระจันทร์เต็มดวงรอบถัดไปคุณก็จะอายุครบยี่สิบปีไม่ใช่หรือ
คุณคิดว่า ถึงตอนนั้น คุณจะทำยังไงกับตัวเอง
คุณมีทางออกที่ดีไปกว่าทางที่ผมยื่นให้คุณแล้วหรือลาเวนเดอร์"
ลาเวนเดอร์ก้มลงตักข้าวต้มเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ราวกับไม่รับรู้รสชาติของมัน
เพราะความขมขื่นที่จุกแน่นภายใน ทำไมเขาต้องตอกย้ำเธอในเรื่องคืนนั้นในตอนนี้ด้วย
"ว่าไงครับ" ลาเวนเดอร์ช้อนตาขึ้นมองเขาด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า ก่อนจะตักข้าวต้มเข้าปาก
เคี้ยวๆ กลืนแบบเร่งรีบให้มันหมดชามไวๆ น้ำตาร่วงลงก็ไม่คิดจะปัดทิ้ง มือที่ตักข้าวต้มเข้าปาก
เริ่มสั่น หากก็ยังพยายามตักข้าวต้มเข้าไปให้ได้ ทำให้ทุกสายตาที่มองไปยังภาพนั้น
ถึงกับจุกแน่นในหัวอก
"ผมจะพาเธอไปพบแม่ของเธอเองครับพ่อ" หันไปบอกบิดาแล้วจึงหันไปทางสมาชิกใหม่
ที่เอาแต่ก้มหน้ากินข้าวต้มจนหมดชาม
"เดี๋ยวคุณกินข้าวเสร็จก็ขึ้นไปเตรียมตัวได้เลย ผมกับซันนีจะเป็นคนพาคุณไปหาแม่ของคุณ
คุณเองอาจจะเปลี่ยนความคิดไปเลยก็ได้" แล้วจึงหันไปทางซันนีที่ตอนนี้จัดการอาหาร
เรียบร้อยแล้ว
"ซันนี ฝากคุณดูแลเครื่องแต่งกายให้เธอด้วย เอาให้มิดชิดที่สุด โดดเด่นน้อยที่สุด
และสวมนิกอบให้เธอด้วย ขอเป็นชุดดำ ผมยังไม่อยากให้ใครเห็นเธอ มันยังไม่ถึงเวลา"
"ได้ค่ะคุณหมอ"
"ขอบคุณมาก" แล้วก็หันไปทางลาเวนเดอร์
"เราจะไปที่นั่นในฐานะลูกค้าที่ไปทำสปาและนวดตัวเท่านั้น
คุณห้ามเปิดหน้าเด็ดขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม"
"ค่ะ" ลาเวนเดอร์ตอบรับโดยที่ไม่ยอมมองหน้าเขา ก่อนจะขอตัวไปเตรียมตัว
เมื่อเห็นว่าลาเวนเดอร์ขึ้นไปยังชั้นบนพร้อมซันนีแล้ว มาดามมารีอานน์ก็หันมาเอ็ดลูกชายทันที
"ทำไมลูกพูดแรงขนาดนั้น แม่ไม่ชอบเลยจริงๆ"
"แม่ก็เห็นว่าไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผลกับเธอ"
"แต่นี่มันแรงไปจริงๆ นะ"
"พ่อก็รู้สึกว่ามันแรงไปนะเซริว"
"เธอยังต้องเจอยาแรงๆ อีกหลายขนานครับพ่อ แค่นี้ยังเบาะๆ ครับ"
"หมายความว่าไง" มาดามมารีอานน์
"เธอมีอาการประหลาดที่แม่เองจะได้เห็นชัดเจนในอีกไม่กี่วันนี่แหละครับ
ในฐานะที่แม่เป็นหมอ แม่ก็คงไม่อาจทนดูเธอเป็นแบบนั้นได้ไม่ต่างจากผมในตอนนี้"
"เอาเถอะ เรายังพอมีเวลา ค่อยๆ รักษาแบบละมุนๆ ก็ได้"
"ถ้าพวกนั้นมาเจอเธอเข้า เราอาจไม่ได้มีเวลาอย่างที่คิดครับแม่ แม่ก็รู้ว่าพวกไหนบ้างที่จ้องจะ
จับตัวเธอไป" คราวนี้คนเป็นพ่อถึงกับพูดแทรกออกมาอย่างหนักใจ
"เราไม่ควรบอกเธอให้รู้เลยหรือว่าทำไมเธอถึงมีชะตากรรมแบบนี้"
"อย่าเพิ่งเลยค่ะ ให้แม่เธอเป็นคนบอกเธอเรื่องนี้ ดีที่สุด" มาดามมารีอานน์บอกเสียงอ่อน
เพราะข้างในลึกๆ แล้ว เธอกลับไม่แน่ใจในตัวแม่ของลาเวนเดอร์เลยสักนิด
ผู้หญิงคนนั้น อ่านยากยิ่งนัก
ผ่านไปสักพัก ลาเวนเดอร์ที่แต่งกายมิดชิดปิดทุกอย่างยกเว้นดวงตาในชุดดำยกเซต
ก็ก้าวออกมาจากห้อง เดินลงมายังชั้นล่างเพื่อจะออกไปเจอมารดาแบบเงียบๆ
ก็พบว่า บุรุษที่จะพาเธอไปกำลังนั่งรอที่ห้องรับแขกอยู่ก่อนแล้ว เขาอยู่ในชุดกางเกงยีนสีดำ
เสื้อเชิ้ตแขนยาวคอจีนสีเดียวกับกางเกง พอหันมาทางเธอก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง 185 เซนติเมตร
แล้วหยิบแว่นกันแดดยี่ห้อดังมาสวมใส่ ซ้ำยังยื่นแว่นกันแดดอีกอันให้เธอสวมใส่อีกด้วย
"ใส่มันซะ ดวงตาของคุณไม่เหมือนของใคร ผมไม่อยากให้พวกนั้นหาพิกัดคุณเจอ"
หญิงสาวรับมาสวมใส่ ตอนนี้ไม่มีส่วนใดบนร่างกายเธอที่ไม่ถูกปกปิด
"เป็นผู้หญิง สิ่งที่ควรใจกว้างก็ควรใจกว้าง ส่วนอะไรที่ควรประหยัดไว้ก็ควรประหยัด"
"อะไรบ้างหรือคะที่ควรประหยัด"
"ความสวยยังไงล่ะ จะแจกจ่ายทำบุญทำทานให้ใครต่อใครเห็นหรือลูบๆ คลำๆ มันมีแต่จะวุ่นวายตามมา"
"ก็จริงของคุณนะคะ เพราะเมื่อถูกรู้จักมากๆ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของฉัน
ก็จะค่อยๆ ลดลงฮวบๆ ทันที"
"พูดกันเข้าใจง่ายๆ แบบนี้ ผมขอบ" ลาเวนเดอร์ชำเลืองมองคนที่บอกว่า ชอบ
แล้วยกมุมปากตัวเอง และแน่นอนอากัปกิริยาเหล่านี้ เขาย่อมมองไม่เห็นหรอก เพราะมันถูกปกปิด
ไว้ทั้งหมดแล้ว
"ส่วนซันนีไม่ขอปิดหน้ากับใส่แว่นดำนะคะ เพราะหน้าตาปกติธรรมดาสามัญ ไม่ได้สวยโดดเด่นมากมายอะไร
อีกอย่าง มีแต่คนลืมการมีตัวตนตลอด ฮ่า" เสียงที่แทรกขึ้นทำให้ทั้งสองคนนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้
กันแค่สองคน แต่มีซันนีอยู่ร่วมวงด้วยตลอดเวลามาตลอดทาง และนั่นทำให้ทั้งสองถึงกับยิ้มออกมา
แล้วก็ออกเดินทางไปยังร้านนวดและสปาที่สาขาใหญ่สุดและเป็นร้านที่ดีที่สุดในภาคพื้นเอเชีย
เมื่อไปถึงตึกห้าชั้นที่ถูกออกแบบได้สวยงามลงตัว แปลกตา โดดเด่นกว่าใคร มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ลาเวนเดอร์ก็ถึงกับอึ้ง ทึ่งไปกับบรรยากาศที่ถูกรังสรรค์มาราวกับสวนสวรรค์บนโลกที่แออัดใบนี้
เหมือนโอเอซิสกลางทะเล เพราะตั้งอยู่ใจกลางกรุง ที่มีรถรา พาหนะมากมายหลายชนิดและผู้คน
ที่แออัด ฝุ่นควันมากมี เหนื่อยล้ากับการเดินทาง พอมาเจอสถานที่แห่งนี้เท่านั้น
ก็เหมือนได้ทะลุมาอยู่อีกมิตินึง ที่ทั้งดูสงบ ร่มเย็น ผ่อนคลาย และสวย
นี่ยังไม่ได้เข้าไปยังด้านในเลยด้วยซ้ำ
"นี่ไงล่ะ หนึ่งในธุรกิจของแม่คุณ นี่แค่เสี้ยวนึงเท่านั้น และไม่ใช่แค่ประเทศนี้
แม่คุณขยายกิจการไปในหลายๆ ประเทศ และยังมีธุรกิจอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน
คุณว่า ต้องรวยมากขนาดไหนถึงจะทำแบบนี้ได้"
"ฉันขอโทษที่ได้พูดเรื่องคุณรวยไปแบบนั้นกลางโต๊ะอาหารค่ะ ฉันแค่ เป็นคนจน คนเร่ร่อนคนนึง
ไม่เคยเข้าใจคนรวยและความร่ำรวยของคนรวย และคิดว่าคนที่ไม่เคยจนแบบคุณก็คงจะ
ไม่มีวันเข้าใจคนจนๆ อย่างฉัน" ก่อนจะเว้นวรรคเพื่อกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียง
ไม่ค่อยมั่นคงออกไปว่า
"และฉันก็ยังคงเป็นคนจน คนเร่ร่อน เพราะไม่เคยมีอะไรที่คุณเอ่ยมาเลยค่ะ
ไม่เคยมีอะไรที่พวกคุณมีกัน ต่อให้มารู้ว่ามีแม่รวยเป็นเศรษฐี
แต่เกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา ฉันจน ตอนนี้ก็ยังจนค่ะ ยังเป็นผู้อาศัยบ้านคุณอยู่ ไม่เคยมีบ้านกับใครเขา
ไม่เคยมีครอบครัวด้วยซ้ำ"
"เอาไว้ผมจะพาคุณไปที่บ้านของแม่คุณ แต่จะพูดว่า บ้าน ก็คงไม่ได้
เพราะบ้านแม่คุณไม่ได้ต่างไปจากวังเลย"
ว่าแล้วก็เดินนำสองสาวไปยังทางเข้าร้านนวดและสปาหรูใจกลางกรุง
ทว่า ยังย่างก้าวได้ไม่กี่ก้าว ลาเวนเดอร์ก็รู้สึกถึงมวลบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นมองไปยังยอดตึก
เห็นร่างนึงในชุดสีขาวลอยดิ่งลงมาทางเธอ พริบตา ร่างเธอก็ถูกกระชากอย่างแรง
เสียงกรีดร้องของผู้คนดังลั่นไปทั่ว ร่างของเธอที่ถูกดึงถูกกระชากถูกขังอยู่ในกรงอันแข็งแกร่ง
ที่เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่ามันคือ ร่างของเขา และพอหันไปไม่ถึงศอกก็เห็นร่างสตรีนางนึง
นอนคอพับบนพื้นในสภาพที่ไร้วิญญาณ ดวงตายังเปิดกว้างราวกับได้เห็นในสิ่งที่คาดไม่ถึง
หรือตกใจสุดขีด ลาเวนเดอร์ถึงกับเนื้อตัวสั่นเทา เลื่อนสายตาไปทางมือขวาของสตรีผู้นี้
ที่วางอยู่บนขาของเธอ ก็เห็นบางอย่างที่มือนั้นกำเอาไว้แน่น ลาเวนเดอร์จึงถือวิสาสะ
ดึงสร้อยในมือสตรีที่ไร้วิญญาณมาดู แล้วรีบซ่อนมันไว้ในกระเป๋าไม่ให้ใครทันได้เห็น
ก่อนจะใช้มืออีกข้างปิดเปลือกตาของคนตายที่เธอไม่รู้จัก
ทว่ากลับรู้สึกสงสารจับขั้วหัวใจขึ้นมาเมื่อมองใบหน้านั้นชัดๆ
ร่างนี้เกือบดิ่งลงมาทับร่างของเธอด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้เขาช่วยเธอไว้ เธอก็คงตายไปพร้อมๆ กับ
สตรีผู้นี้เป็นแน่แท้ ซึ่งเลือดของคนตายได้กระเซ็นมาถึงตัวเธอ เลือดที่ตอนนี้นองตามพื้นเต็มไปหมด
กำลังส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง ทำให้คนที่ต่อมรับกลิ่นดีเลิศถึงกับเวียนหัว ภาพบางอย่างลอยมา
ภาพหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวที่ยืนมือออกไปข้างหน้าราวกับพยายามไขว่คว้าบางอย่างไว้
ก่อนจะหงายหลังตกจากตึกผุดขึ้นมาในดวงตา ได้ยินเสียงกระดิ่งลมดังก้องไปมาในหัว
ถัดจากนั้นก็รู้สึกมีมือใหญ่กุมขมับและหัวเธอเอาไว้แล้วบีบจนรู้สึกเจ็บหัว
เจ็บจนหายใจติดขัด เป็นลมหมดสติไปในที่สุด
......................โปรดติดตามตอนต่อไป.......................................
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.พ. 2567, 23:44:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2567, 23:44:04 น.
จำนวนการเข้าชม : 187
<< บทที่ 9 บ้าน | บทที่ 11 หนึ่งเดียวในใต้หล้า >> |