Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้
ตอน: บทที่ 11 หนึ่งเดียวในใต้หล้า
ห้องใต้ดิน ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร
"เรื่องที่ให้ไปจัดการเรียบร้อยดีมั้ย"
"เรียบร้อยทุกอย่างครับ นักข่าวจะไม่เล่นข่าวนี้แน่นอนครับท่าน"
"ปิดปากมันทุกคนที่เกี่ยวข้อง"
"ทุกอย่างจะไม่ถูกขุดคุ้ยครับท่าน วางใจได้
แต่ว่า สร้อยเส้นนั้นหายไปครับท่าน มันไม่ได้อยู่กับเหยื่อ"
"อะไรนะ มันหายไปได้ยังไง"
"เราค้นแล้วไม่เจอเลยครับ"
"ไปตามหาสร้อยเส้นนั้นมาให้ได้"
"ไม่มีใครที่น่าสงสัยว่าจะนำสร้อยเส้นนั้นไปเลย นอกจาก..."
"แกสงสัยใครบอกมา"
"ผู้หญิงชุดดำคนหนึ่งครับ เธออยู่ใกล้เหยื่อที่สุดตอนที่ตกลงไปข้างล่าง"
"งั้นก็ไปตามหาเธอให้เจอสิ จะมัวชักช้าอยู่ทำไม รู้ไม่ใช่หรือว่าสร้อยเส้นนั้นสำคัญแค่ไหน"
"เธอปิดหน้ามิดชิด แม้แต่ดวงตาก็ไม่เห็นเลยครับว่าเป็นดวงตาแบบไหน
เราใช้กล้องวงจรปิดแถวนั้น ก็ไม่สามารถระบุตัวตนของเธอคนนั้นได้เลย"
"ก็ไปดูให้แน่ใจว่าเธอมากับใครและไปกับใคร"
"เอ่อ เธอมากับใครไม่อาจแน่ใจครับ แต่คุณวาลองโซลเป็นคนอุ้มเธอขึ้นรถไปหลังจากเธอสลบไม่ได้สติ"
"เซริวหรือ เขาไปทำอะไรที่นั่น"
"เหมือนจะไปที่ร้านครับ"
"กลับไปสืบมาให้แน่ใจว่าเซริวไปทำอะไรที่นั่น และเขามีใครไปด้วยมั้ย
ผู้หญิงชุดดำคนนั้นเกี่ยวข้องกับเขารึเปล่า และไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องเอาสร้อยเส้นนั้น
กลับมาให้ฉันพร้อมจี้ที่สมบูรณ์ให้ได้ ต่อให้จะต้องฆ่าใครสักกี่ศพก็ตาม"
"ครับท่าน"
.................................................................
ณ สวนอันร่มรื่นในยามบ่ายของวัน ตรงศาลาไม้เปิดโล่งในสวน ร่มรื่นภายใต้ร่มไม้ใหญ่
เงียบสงบ เป็นมุมพักผ่อนเล็กๆ ที่มีเสียงกระดิ่งลมส่งเสียงดังเพราะพริ้ง
กับกลิ่นหอมของบรรดาดอกไม้นานาพรรณ
ลาเวนเดอร์ในชุดเดรสสีขาวตัวยาวแขนยาวมีจั๊มตรงปลายแขนนอนอิงหมอนน้อยบนที่นอน
ขนาดนอนได้คนเดียวที่มีเบาะสีขาวแสนนุ่มรองรับร่างอันบอบบางของเธอเอาไว้
มองจี้ที่ห้อยอยู่ด้วยแววตาฉงน เพราะไม่เคยเจอจี้อะไรที่จะทั้งสวย ทั้งดูลึกลับ
และชวนให้ขนลุกได้แบบนี้มาก่อน อีกอย่างเธอไม่มีความรู้เรื่องพวกแร่ พวกอัญมณีด้วย
เลยไม่รู้เลยว่า ไอ้หินหรืออัญมณีตรงกลางจี้เส้นนี้มันเรียกว่าอะไร
มันมีแสงสีแดงส้มและเหลือง คล้ายพระอาทิตย์ตกดินที่ร้อนแรง เหมือนหินเพลิง
หรือจะเป็นอัญมณีเพลิง ไหนจะกรอบที่ล้อมรอบหินนี้อีกเล่า มันเหมือนจะทำจากทองคำ
แกะลาย มีดาวหกแฉกทั้งหกล้อมรอบหินเพลิงนี้ ส่วนตัวสร้อยก็เป็นสร้อยทองคำธรรมดา
ไม่ได้มีลวดลายอะไร
"แกควรเอาไปคืนเจ้าของนะ" ลาเวนเดอร์บอกตัวเอง ย้ำกับตัวเองมารอบที่ร้อยแล้วมั้ง
แต่ภาพที่ติดในตานั่น ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า สร้อยเส้นนี้อาจเป็นปริศนานำไปสู่การตกตึงลงมาตาย
ของผู้หญิงคนนั้น ที่ร่วงลงมาแบบนั้น ตรงตึกใจกลางเมือง แต่กลับไม่มีข่าวสำนักใดให้ความสำคัญเลย
ไม่พบเรื่องราวของหญิงสาวคนนั้นเลยในหน้าสื่อ มันผิดวิสัยเกินไป
"เป็นยังไงบ้าง" เสียงที่ดังขึ้นนั้น ทำให้ลาเวนเดอร์รีบเก็บสร้อยซ่อนไว้ใต้หมอนทันที
เขายืนตัวตรงเต็มความสูง ตระหง่านเหมือนต้นตาลตรงหน้าศาลา แล้วค่อยๆ เยื้องย่าง
ขึ้นมาบนศาลา
"ไม่เป็นไรแล้วค่ะ หายแล้ว แค่ยังมึนๆ เลยออกมาสูดอากาศสดชื่นๆ ในสวน"
"ไม่ได้แอบไม่ได้ซ่อนอะไรผมอยู่ใช่มั้ย" เสียงเรียบๆ ก็จริง แต่ทำเอาคนฟังถึงกับรู้สึกเย็นวาบ
"ทำไมหรือคะ" แล้วเขาก็นั่งลงตรงเปลรังนกทำจากหวายที่แขวนไว้ตรงหน้าเตียงที่เธอนอนอยู่
มีไหมพรมถักนุ่มรองนั่ง แล้วหยิบหมอนใบนึงขึ้นวางพิงหลังไว้ด้วยท่าทางสบายๆ
ไม่เคร่งเครียดและเคร่งขรึม แต่คำพูดและน้ำเสียงดูจะขัดกับสีหน้าท่าทางไปมาก
"ก็ผมรู้สึกว่าตั้งแต่พาคุณกลับมา คุณดูแปลกๆ ดูเหมือนมีความลับบางอย่าง"
ลาเวนเดอร์ยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ามือข้างนึงยังคงระแวดระวังหมอนใบนั้นไว้ เลยวางมือทับหมอน
กลัวเขาจะเห็นสิ่งที่เธอซ่อนไว้
"ดูออกขนาดนั้นเลยหรือคะ"
"ใช่สิ แววตาคุณตอนนี้เหมือนมีดวงไฟอยู่ในนั้น คุณไปจ้องอะไรมาล่ะ" นั่นไง เขามันพวกนกรู้
"แล้วทำไมฉันต้องตอบคุณด้วย"
"งั้นผมไม่รบกวนคุณแล้วก็ได้ พักผ่อนต่อเถอะ"
พูดแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้น และโดยไม่ทันได้ลุกไปไหน คนที่ทำท่ากระอักกระอ่วน
มีสีหน้าเลิ่กลั่กยอมหลุดปากออกไปว่า
"หินเพลิง" มุมปากชายหนุ่มกระตุกเพียงนิด นิดจนแทบมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
ก่อนจะหันมามองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาคาดคั้น
"คุณเอามาจากศพนั้นใช่มั้ย" ลาเวนเดอร์ตกใจตาค้าง อ้าปากเหวอ จนดูตลกปนน่ารัก
"ทำไมคุณรู้"
"ผมเห็น"
"ฉันไม่ได้มีเจตนาจะขโมยของคนตายนะ" เธอรีบแก้
"แล้วที่คุณทำมันต้องเรียกว่าอะไร"
"ฉันห็นภาพเค้ายื่นมือไปข้างหน้า เหมือนจะคว้าอะไรไว้ แต่คว้ามาได้แค่สร้อย แล้วร่างก็
หงายหลังตกลงมาจากตึก เธอต้องไม่ได้ฆ่าตัวตายแน่ๆ" เธอพยายามอธิบายชี้แจงด้วยสีหน้าวิตกกังวล
"คุณบอกว่าคุณเห็นหรือ" มีเสียงฮึๆ ออกมาจากลำคอของเขา ลาเวนเดอร์กลืนน้ำลายลงคอเฮือกๆ
"เราไปถึงที่นั่นพร้อมกัน และตอนไปถึง ร่างนั้นก็ตกลงมาพอดี
คุณจะเห็นภาพที่คุณบอกว่าเห็นได้ยังไง คุณเอาเวลาไหนไปเห็น"
"ฉันเห็นจริงๆ นะ มันผุดเข้ามาในหัวฉันจริงๆ เป็นภาพ ภาพติดตา"
"มันไม่ได้เป็นภาพที่คุณเห็นกับตา มันคือมโนภาพในหัวของคุณ" เขาย้ำเน้นๆ จนหัวใจเธอกระตุก
"แต่ฉันน่ะ เห็นภาพอะไรแบบนี้บ่อยๆ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และมันก็จริงทุกครั้งด้วย"
"คุณก็เลยเชื่อในภาพที่คุณมโนขึ้นมาสินะ"
ทำไมเขาต้องคอยตอกย้ำเน้นๆ คำว่า 'มโนภาพ' ด้วยเล่า
"ก็ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่เชื่อ คุณก็เห็นว่าไม่มีสำนักข่าวใดออกข่าวนี้เลย
ทั้งที่มันเกิดขึ้นในจุดที่ใครๆ ก็ผ่านไปมาเยอะแยะ มันผิดปกติ มันต้องมีเงื่อนงำแน่นอน"
"ผมไม่ได้พาคุณมาที่นี่เพื่อที่จะให้คุณเป็นนักสืบหรือทำหน้าที่แทนตำรวจนะ"
"แล้วคุณจะให้ฉันแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้งั้นหรือ เธอตกลงมาตายข้างๆ ฉัน สายตาสุดท้ายของเธอ
ที่มองมาที่ฉันมันน่าสงสารและมีแววอ้อนวอนอะไรสักอย่าง ยังไงฉันก็ไม่สามารถลบภาพนั้นไปได้"
"แล้วคุณรู้หรือว่าเธอเป็นใคร"
"ฉันไม่รู้ค่ะ" เสียงหญิงสาวเริ่มอ่อนลง จนแทบคล้ายเสียงอ้อนเบาๆ
"นั่นแหละ คือ สิ่งที่ผมกำลังจะบอกว่า ห้ามยุ่งเรื่องคนอื่น โดยเฉพาะคนที่คุณไม่ได้รู้จักที่มาที่ไป"
แล้วเขาจะมาทำเสียงแข็งตาเขียวใส่เธอแบบนี้ทำไมเล่า ลาเวนเดอร์เลยเชิดหน้าขึ้น
"แล้วทำไมคุณถึงยอมช่วยฉัน คุณแน่ใจแล้วหรือว่า คุณรู้จักที่มาที่ไปของฉันแล้วจริงๆ
เพราะขนาดฉันเองยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าฉันคือ ใคร มาจากไหนกันแน่"
"ผมรู้จักคุณมากกว่าคุณแน่นอน"
ดูเขาจะตอบออกมาได้อย่างมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ซะเหลือเกิน
ทำเอาคนที่เชิดหน้าอยู่ก็ยิ่งเชิดคางต่อไป
"ฉันไม่เชื่อ"
"ผมจะทำให้คุณเห็นเอง" เขาเคยคิดจะยอมลงให้เธอบ้างมั้ยนะ คงทำไม่เป็นสินะ
"งั้นคุณรู้จักเธอคนนั้นที่ตายมั้ย"
"ทำไมผมต้องตอบคุณ" เขากำลังย้อนเธอ เห็นหน้านิ่งแบบนี้แต่กลับยอกย้อนเก่งซะด้วย
"ได้โปรดเถอะนะ ช่วยบอกฉันหน่อยไม่ได้หรือ" ลาเวนเดอร์เปลี่ยนท่าทีหันมาอ้อนวอนเขาแทน
"ผมบอกว่าให้คุณเลิกยุ่ง และก็เอาของไปคืนเขาซะ ส่งมันมาให้ผม ผมจะเอาไปคืนเจ้าของเอง"
"แต่เธอตายไปแล้วนี่คะ"
"ยังหรอก เจ้าของมันยังไม่ตายง่ายๆ ยังอยู่ให้คุณได้ทำความรู้จักไปอีกนาน"
"คุณหมายความว่าไง"
"คุณยังไม่ต้องรู้หรอก กรุณาส่งมันมาให้ผม เดี๋ยวนี้" เขาแบมือออกมา พร้อมด้วยน้ำเสียงเข้มๆ
แววตานั่นดูเอาเรื่องไม่น้อย และมันท้าทายเธอ ซึ่งคนอย่างเธอ ใครอย่าได้หาญมาท้าทายเด็ดขาด
"ไม่ จนกว่าคุณจะบอกฉันว่าใครคือเจ้าของของมัน" ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับท่าทางถือดีอวดดีนั่น
จนนึกอยากจะทำโทษให้หายซ่ายิ่งนัก และเหลืออดเต็มทนแล้ว จึงพ่นคำออกไปแรงๆ ว่า
"แม่คุณไงล่ะ"
"ห้ะ แม่ฉันหรือคะ" ลาเวนเดอร์ตาค้าง เบิกตาโตที่ปกติก็โตไม่น้อยอยู่แล้วให้ยิ่งโตเข้าไปอีก
ไม่ได้รู้เลยว่า ท่าทางแบบนั้น สีหน้าแบบนั้น มันยั่วคนตรงหน้าได้ไม่น้อย
ชายหนุ่มเลยเริ่มไม่อยากนั่งอยู่ตรงเปลรังนกนี่อีกต่อไปแล้ว เลยจะปิดจบการสนทนานี้ไปซะ
"ใช่"
"งั้นดีเลย ฉันจะสวมใส่มันตอนไปพบเขา" คราวนี้เป็นชายหนุ่มที่ขึงตาใส่อีกฝ่ายที่ไม่ยอมลดราวาศอก
ให้เขาเลย ด้วยความอยากปรามคนถือดี ชายหนุ่มเลยลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เอ่ยด้วยน้ำเสียงประกาศิตว่า
"ไม่ได้"
"ทำไมจะไม่ได้ละคะ"
"มันเสี่ยงเกินไป"
"แต่ฉันชอบอะไรเสี่ยงๆ ซะด้วยสิ" ชายหนุ่มเริ่มจะหมดความอดทนแล้วจริงๆ ที่จะคุยกับคนตรงหน้า
เมื่ออีกฝ่ายดูจะยั่วอารมณ์เขาให้ปะทุได้เรื่อยๆ แบบนี้
"อย่าให้ผมต้องใช้วิธีโหดๆ เพื่อทำให้คุณยื่นมันมาให้ผมนะลาเวนเดอร์" เสียงเยียบเย็นแบบนั้น
ทำให้คนที่กำลังเชิดหน้าเชิดคางถึงกับหันหน้าไปอีกทางทันที
"อย่ามาขู่ฉันเลย คุณก็รู้ว่าฉันไม่กลัว"
"ซันนี" ชายหนุ่มเรียกผู้ช่วยของเขา ที่เขารู้ดีว่าแอบซ่อนตัวอยู่แถวๆ นี้มาตลอด
"อะไรคะ" เหมือนจะรู้งาน ซันนีปรากฏกายออกมา
"จัดการเอาสร้อยที่อยู่ใต้หมอนนั่นมาให้ผมหน่อย"
"ฉันไม่ให้นะ" ลาเวนเดอร์รีบคว้าสร้อยใต้หมอนมาถือไว้แล้วลุกหนี วิ่งไปรอบๆ ศาลา
โดยมีซันนีคอยไล่ตาม แต่อีกฝ่ายว่องไวกว่า เพราะเรื่องวิ่งหนีการไล่ล่านั้น ลาเวนเดอร์ชินแล้ว
ชินจนกลายเป็นทักษะที่เธอแสนจะถนัดที่สุด จากที่เคร่งเครียด ลาเวนเดอร์ก็เริ่มสนุก
ทำให้หัวเราะเสียงใสๆ ออกมา แต่ท้ายที่สุดก็วิ่งชนเอากับร่างสูงใหญ่และหนาแน่นไปด้วยมัดกล้าม
ก่อนจะล้มลงไปนอนจุ้มปุกอยู่บนพื้นหญ้านุ่มๆ สร้อยในมือถูกมือใหญ่คว้าไปครอบครองในทันที
"ก็แค่นี้แหละ พักผ่อนเถอะ" พูดจบเขาก็เดินจากไปเสียอย่างนั้น ลาเวนเดอร์รีบลุกวิ่งตามร่างนั้นไป
"เอามานะ คุณจะเอามันไปคืนเองไม่ได้ ฉันจะเอาไปคืนเค้าเอง" ลาเวนเดอร์วิ่งไปดักหน้า
กางแขนขวางเขาไว้ไม่ให้เดินผ่านไปได้ ชายหนุ่มเห็นอะไรบนผ้าคลุมหัวของหญิงสาวก็กระตุกยิ้ม
"ยิ้มอะไรของคุณน่ะ" เขาทำปากเป็นการชี้ไปทางศีรษะของเธอ
"อะไรล่ะ" ลาเวนเดอร์เริ่มระแวงขึ้นมา
"มันมีหนอนบนหัวคุณน่ะ มันคลานอยู่บนหัวคุณ"
"อ๊ายยยยยย" เสียงกรี๊ดดังลั่น แต่ตัวคนกรีดร้องกลับยืนนิ่งไม่แม้แต่จะไหวติง
ราวกับต้องคำสาปให้เป็นหิน ทำเอาชายหนุ่มถึงกับหัวเราะออกมาอย่างขำขัน
"เอาออกไปสิคะ เอาออกให้หน่อย"
"ไม่ คุณต้องพูดเพราะๆ กับผมก่อน"
"ซันนีขา ช่วยฉันด้วย" หันไปอ้อนเสียงออดอ้อนกับซันนีที่อยู่ไม่ไกลแทน
ที่ตอนนี้ก็ยืนหัวเราะขำขันเธออยู่
"ไม่ดีกว่าค่ะ ซีนนีไม่กินเส้นกับหนอนเลยค่ะ และดูมันจะคลานลงมาจะถึงหน้าผากคุณแล้วนะคะตอนนี้"
"อ๊ายยยยยยยย"
"คุณหมอขา ช่วยเอาหนอนออกให้หน่อย" คราวนี้หญิงสาวถึงกับยอมจำนนด้วยความกลัวหนอน
ทำเอาชายหนุ่มถึงกับหัวเราะถูกอกถูกใจยิ่งนัก เลยช่วยหยิบหนอนออกจากผ้าคลุมหัวให้อย่างง่ายดาย
แล้วโยนมันไปยังพุ่มไม้ไม่ไกล
"ก็แค่นี้ ทำไมถึงต้องทำให้มันยาก"
"คอยดูนะ ฉันจะเอาคืนคุณให้ได้เลย" ลาเวนเดอร์เจ็บใจยิ่งนัก
"ผมจะรอนะ" เขายิ้มยั่ว และไม่ทันได้ตั้งตัว หญิงสาวก็กระทืบเท้าเขาสุดแรง ก่อนจะรีบคว้าเอา
สร้อยในมือเขาไปตอนที่ชายหนุ่มร้องด้วยความเจ็บจนเผลอตัว จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าบ้านไปอย่างไว
แล้วเข้าห้องนอนปิดประตูลงกลอนอย่างหนาแน่นเลยทีเดียว
"แสบจริงๆ เลยค่ะคุณหมอ" ซันนีที่ยืนขำท่าทางไปไม่เป็นของเจ้านายตนเองอยู่เอ่ยออกมา
"คุณต้องไปเอามันมาให้ผม"
"ได้ค่ะ แต่..."
"ไม่มีแต่ คุณก็รู้ว่าสร้อยเส้นนั้นอาจนำความตายมาสู่คนถือครองมัน"
"แต่ซันนีเห็นด้วยกับเธอ ซันนีว่าน่าจะให้เธอเป็นคนนำมันไปคืนให้เจ้าของนะคะ"
"ทำไมคุณคิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น"
"เพราะเธอคือ ลูกสาวของเจ้าของสร้อย แม่คงไม่คิดทำร้ายลูกได้ลงคอหรอกค่ะ"
"ฮึ คุณมองโลกแง่ดีเกินไปแล้วซันนี ถ้าผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าเธอเป็นลูกจริงๆ
เขาจะทิ้งไว้ให้ตกอยู่ในอันตรายเสี่ยงตายแบบนั้นหรือ"
"เราก็ควรให้สองแม่ลูกได้เจอกันอีกสักครั้ง และการที่เธอเป็นคนเอาสร้อยไปคืนแม่
ซันนีมองว่าเป็นไอเดียที่ดีมากๆ เลยค่ะ เพราะยังไงๆ เราก็ต้องให้เขาสองคนได้เจอกันอยู่ดี"
"แต่ผมไม่ไว้ใจ"
"คุณหมอเปลี่ยนไปมากรู้มั้ยคะ" ซันนีสะกิดอีกฝ่าย
"ผมเปลี่ยนอะไร"
"ก็เปลี่ยนไปจากเดิมไงละคะ ปกติคุณหมอไม่ใช่คนที่จะมาทะเลาะกับใครไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่"
"แล้วยังไง คุณก็เห็นว่าเธอทำให้ผมหัวเสียได้ขนาดไหน"
"แล้วคุณหมอเคยหัวเสียแบบนี้มาก่อนหรือคะ"
"ก็ไม่ไง"
"ก็นั่นไงคะ ทำไมถึงหัวเสีย"
"คุณจะพูดอะไรก็พูดมาซันนี"
"คุณหมอแคร์เธอมากเกินไป มากจนขาดการควบคุมตัวเองค่ะ"
"ช่างเถอะ เรื่องสร้อยนั่นก็แล้วแต่คุณก็แล้วกัน"
ชายหนุ่มรีบตัดบทก่อนจะก้าวอาดๆ จากไป ซันนียิ้มพลางส่ายหน้าน้อยๆ
"คุณหมอนะคุณหมอ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย"
..............................................................................................
ลาเวนเดอร์ที่ขลุกอยู่แต่ในห้องเริ่มเบื่อขึ้นมา จึงเดินลงมายังด้านล่างเพื่อจะหาอะไรทำ
ก็เจอกับราชินีของคฤหาสน์หลังนี้เข้าพอดี หญิงสาวยิ้มรับรอยยิ้มที่ส่งมาให้เธอกลับไป
"น่ารักจริงๆ หนูลาของฉัน" ไม่วายเอ่ยปากชม ก่อนจะเดินเข้าไปหา
"มีอะไรให้หนูทำบ้างมั้ยคะ"
"เบื่อละสิ งั้นเข้าครัวด้วยกันมั้ยล่ะ วันนี้เรามีพ่อครัวใหญ่มาทำอาหารมื้อใหญ่ให้พวกเรากินกันด้วยนะ"
ลาเวนเดอร์เลิกคิ้วได้น่าเอ็นดูทีเดียว
"ใครหรือคะ"
"ลูกชายป้าน่ะสิ จะใครล่ะ"
"งั้น หนูขอไปทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ยคะ กลัวจะทำครัวเลอะค่ะ" ลาเวนเดอร์รีบถอนตัวทันที
แล้วพยายามมองหาทางหนีทีไล่ ทว่า
"ไปเถอะ ไปนั่งดูก็ได้" ไม่พูดเปล่าแต่ยึดเอาแขนของหญิงสาวแล้วพาไปยังห้องครัว
ที่มีชายร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองพร้อมด้วยผ้ากันเปื้อนสีดำคาดเอวไว้ ดูแปลกตาไปอีกแบบ
"เราคงไม่ว่าอะไรนะที่แม่พาหนูลามานั่งเล่นในห้องครัว" คนที่กำลังอยู่หน้าเตาปรุงอะไรบางอย่างอยู่
ไม่ได้หันมามองด้วยซ้ำ แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรเท่าไหร่กลับมาว่า
"ถ้าอยากนั่งเล่นก็มีห้องนั่งเล่นนี่ครับ ใครเขาให้เด็กมาวิ่งเล่นเพ่นพ่านในครัวกันละครับ"
"เอ๋ เราก็พูดไปนั่น น้องเด็กซะที่ไหน ออกจะสาวและสวยสะพรั่งขนาดนี้"
"นิสัยและความคิดไม่เห็นจะต่างกับเด็กห้าขวบนี่ครับ" ไม่พูดเปล่านะ ยังหันมาเหลือบตามอง
ลาเวนเดอร์นิดๆ พอเป็นพิธี แล้วหันไปปรุงอาหารต่อด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ
หญิงสาวหมั่นไส้เต็มที จึงเดินอ้อมไปอีกฟาก ยืนประจันหน้ากับพ่อครัว แล้วพูดจาด้วยท่าที
ยียวนกวนประสาทว่า
"มีอะไรให้เด็กช่วยมั้ยคะ"
"ช่วยไปเล่นตรงนู้น" เค้าทำปากจู๋ไปทางประตูทางออก
"คุณป้าคะ ลูกชายคุณป้าอายุกี่ขวบคะปีนี้"
"สามสิบขวบจ่ะ"
"โห ทำไมแก่จังละคะ" คนที่โดนกล่าวหาว่า 'แก่จัง' เริ่มอยู่ไม่สุข ช้อนตาขึ้นมองคนพูด
ด้วยประกายคมกริบ
"สามสิบนี่ไม่แก่นะจ๊ะ กำลังดีเลย หนูนั่นแหละที่ละอ่อนเกินไป" คนเป็นแม่ช่วยแก้ให้ทันควัน
"วันพระจันทร์เต็มดวงรอบถัดไป หนูก็จะยี่สิบขวบแล้วนะคะ ใครมาว่าเด็กนี่ โป้งเลยจริงๆ"
"ก็รอให้ครบยี่สิบก่อนค่อยโป้งดีกว่ามั้ย" ชายหนุ่มไม่วายหาเรื่องตอกกลับ
"อย่าทะเลาะกันเลย มา มานั่งตรงนี้ดีกว่าหนูลา" ว่าแล้วก็ลากตัวการป่วนพ่อครัวไปนั่งที่เก้าอี้
ห่างออกไปสามเมตร
"หรือจะช่วยป้าเตรียมจานชามดี"
"ดีค่ะ"
แล้วก็คุยกะหนุงกะหนิงกันสองคน ไม่สนใจพ่อครัวที่ทำอาหารด้วยความคล่องแคล้วว่องไว
จนกระทั่งมีเสียงจานตกแตกนั่นแหละ ทำให้พ่อครัวสายโหดหันมามองสารตั้งต้นทันที
ก่อนจะส่ายหน้าด้วยสีหน้าท่าทางเหนื่อยหน่าย
"เอิ่ม มันใบใหญ่เกิน หนูเลยถือไม่ถนัดค่ะคุณป้า เดี๋ยวหนูเก็บเองค่ะ"
"อย่าเลยๆ เดี๋ยวป้าให้เด็กๆ มาทำความสะอาดดีกว่า"
"หนูเป็นคนทำ หนูก็ต้องรับผิดชอบสิคะ" พูดจบก็รีบทำการเก็บกวาดห้องครัว พอใกล้จะเสร็จ
ขณะลุกขึ้น ก็เดินไปสะดุดเอาขาเก้าอี้ ทำให้หกล้ม โดนเศษกระเบื้องที่หลงลืมเก็บกวาดตำเท้า
เข้าเต็มๆ
"โอ๊ย" เสียงร้องนั้นทำให้สองแม่ลูกรีบหันไปดู ก็เห็นกองเลือดน้อยๆ บนพื้นหินขัดสีขาวนวล
ไวกว่าใครก็ดูจะเป็นพ่อครัวที่พุ่งเข้าไปหา จับข้อเท้าของคนที่นั่งอยู่บนพื้นมาดู เห็นกระเบื้อง
ยังปักคาอยู่เลยรีบดึงออก ลาเวนเดอร์ที่เจ็บเลยตีมือเขาเข้าให้ เม้มปากเป็นเส้นตรง
หน้านิ่ว ตาขวาง
"อยู่นิ่งๆ" เขาส่งเสียงปราม ดึงข้อเท้าที่พยายามกระชากหนีเอาไว้
"ก็มันเจ็บ คุณทำฉันเจ็บนะ"
"ยังจะโทษว่าคนอื่นทำให้ตัวเองเจ็บอีก ก็เห็นๆ อยู่ว่าใครซุ่มซ่าม"
"ก็คุณมือหนัก จากที่เจ็บไม่มาก ก็มากจนเกินจะทนไหวแล้วเนี่ย" ว่าไปก็สูดปากไป
ด้วยสีหน้าเหยเก
"แล้วใครใช้ให้ซุ่มซ่าม ดื้อจะทำเองทั้งนั้น"
"เดี๋ยวแม่ไปเอากระเป๋ายามาให้นะลูก"
"ครับแม่"
"ผมบอกให้อยู่นิ่งๆ ไง" เสียงเข้มดุดังขึ้นอีกครั้งเมื่อคนเจ็บพยายามชักเท้าหนี
"แผลแค่นี้ ฉันจัดการเองได้ค่ะ ไม่ต้องถึงมือหมอหรอก เดี๋ยวหม้อแกงหมอจะไหม้เอานะคะ"
เธอว่าพลางพยักพเยิดไปทางเตา ชายหนุ่มเลยลุกขึ้นไปปิดเตาแล้วเดินกลับมา
คุกเข่าข้างนึกลง แล้วมองสำรวจบาดแผล
"ทำไมเลือดคุณถึงออกเยอะจังทั้งๆ ที่แผลก็ไม่ได้จะลึกมาก"
"ปกติค่ะ บางทีก็ไหลนองพื้น"
"มันไม่ปกติน่ะสิ" ว่าแล้วก็ทำการห้ามเลือดแล้วทำแผลให้เมื่อมารดาเอากระเป๋ายามาให้
"เอาไว้ผมจะนำเลือดของคุณไปตรวจดู"
"ดีเหมือนกันค่ะ เพราะตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยไปโรงพยาบาล ไม่เคยผ่านการรักษาด้วยมือหมอเลยค่ะ"
"แล้วคุณทำยังไงตอนเจ็บป่วย"
"ซื้อยามากินค่ะ"
"ที่ญี่ปุ่นไม่ใช่ว่าจะซื้อยาได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ นอกจากยาทั่วไปเท่านั้น"
"ก็กินยาทั่วไปเอาค่ะ ถึงไม่มียากิน ฉันก็หาย พอถึงเวลามันก็หายเอง แค่อดทนเอา"
คนฟังทั้งสองคนซึ่งเป็นแพทย์ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน
"หายเองหรือ"
"ค่ะ ก็ยังหายใจอยู่นี่ไงคะ" คนพูดฉีกยิ้มกว้าง ยักคิ้วด้วยนิดๆ ก่อนจะสูดปากเมื่อ
มือหนักๆ นั่นกดบาดแผลเธอ
"ระวังเท้าด้วยอย่าให้โดนน้ำ" เขาบอกเมื่อพันแผลให้เรียบร้อยแล้ว และลาเวนเดอร์
ก็พยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล
"เดี๋ยวป้าประคองไปนั่งห้องนั่งเล่นดีมั้ย"
"ไม่ดีค่ะ หนูเจ็บนิดเดียวแค่นี้ ไม่ต้องพักหรอกค่ะ สบายมากๆ
เนี่ย ยังจัดการพวกจานแตกไม่เสร็จเลย"
"เดี๋ยวป้าให้คนมาจัดการต่อเอง หนูไปพักเถอะนะ"
"แต่หนูอยากทำให้เสร็จนี่คะ"
"ทำไมถึงดื้อกับผู้ใหญ่นัก" เสียงเข้มๆ ของเขาดังขึ้นด้วยสีหน้าแววตาขัดใจ
ลาเวนเดอร์เม้มปากเป็นเส้นตรง ช้อนตาขึ้นมองเขาแล้วหันไปทางอีกคน
"หนูก็แค่ไม่อยากทำไรค้างๆ คาๆ แค่นั้นเองนะคะคุณป้า"
"ป้ารู้ แต่หนูไม่ต้องกังวลเลย ให้เด็กๆ เค้าจัดการไป"
"งั้น..." ไม่วายเหลือบไปมองคนที่ยืนจ้องเธอตาเขม็งราวกับจะจับกิน
แล้วหันมาทางอีกคน
"ก็ได้ค่ะ แต่คุณป้าไม่ต้องประคองหนูก็ได้นะคะ หนูไปเองได้ คุณป้าอยู่ช่วยในครัวต่อเถอะค่ะ"
พูดแล้วก็เดินเขย่งๆ ออกไปจากห้องครัว ไม่วายหันมาส่งยิ้มให้ผู้อุปการคุณอีกทีโดยไม่แม้
แต่จะมองไปทางชายหนุ่มให้เสียสายตา แล้วก็เดินพึมพำเหมือนหมีกินผึ้ง
"เชอะ ทำมาทำเสียงดุ ใครเค้ากลัวกันเล่า"
...............................................................
เมื่อเดินมาถึงห้องนั่งเล่น ก็พบว่ามีแขกมาเยือนคฤหาสน์หลังนี้ถึงสามคน แต่ละคนดูหรูหรา
มีสง่าราศี เสื้อผ้าและท่วงท่าดูเป็นผู้ดีมีมารยาทสูงส่ง โดยเฉพาะสตรีที่อ่อนวัยที่สุดนั่น
"หนูเป็นใครหรือจ๊ะ" เสียงอันไพเราะพร้อมรอยยิ้มสวยละมุนตาของสตรีรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าของคฤหาสน์
เอ่ยถามเธอที่เดินกะเผลกๆ
"หนูชื่อลาเวนเดอร์ค่ะ เป็น เอ่อ แขกของที่นี่ค่ะ"
"อย่างนี้นี่เอง ฉันชื่อ นูรีฮาน บาคีร์ และนี่สามีของฉัน ชากิรีน บาคีร์
ส่วนนี่ก็ลูกสาวของฉัน นาซานิน คู่หมั้นของคุณหมอวาลองโซล ยินดีที่ได้รู้จักจ่ะ"
พูดพลางยื่นมือมาสลาม ลาเวนเดอร์ยื่นมือออกไปสัมผัสสองมือนั่น
จากนั้นหญิงสาวที่ใบหน้างดงามราวกับนางสวรรค์ก็ยื่นมือมาสลามกับเธอ
ไม่เพียงแต่สัมผัสมือ คนงามก้มลงจูบหลังมือของเธอด้วยท่าทีนอบน้อมถ่อมตน
รอยยิ้มก็ละมุนละไม น่ามองยิ่งนัก
เมื่อกี้สาวงามผู้นี้ถูกแนะนำว่าไงนะ 'คู่หมั้น' ของคุณหมอสายโหดในครัวนั่นน่ะหรือ
นี่เขามีคู่หมั้นแล้วหรือนี่ แต่ก็นะ โปรไฟล์ดีออกขนาดนี้ ใครจะปล่อยให้โสดมาถึงอายุสามสิบได้
"คุณหมอวาลองโซลอยู่ในครัวกับคุณป้าค่ะ เดี๋ยวหนูไปตามให้นะคะ"
"ไม่ต้องหรอกจ่ะ เมื่อครู่ฉันให้เด็กๆ ไปบอกให้เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เลยมารอกันในห้องเล่น"
ยังคงเป็นสตรีคนเดิมที่พูดอยู่คนเดียว ส่วนคนเป็นสามีเดินเลี่ยงไปนั่งยังโซฟาเรียบร้อยแล้ว
"งั้น หนูไม่รบกวนแล้วล่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ" ลาเวนเดอร์น้อมศีรษะลงต่ำเพียงนิด
"อ้าว จะรีบไปไหนละคะ อยู่คุยกันก่อนสิคะ" เป็นครั้งแรกที่สาวงามตรงหน้าเธอเอ่ยพูด
น้ำเสียงอ่อนหวานน่าฟัง รื่นหู นุ่มนวล รอยยิ้มก็หวานและน่ามองยิ่งนัก
โชคดีของคุณหมอสายโหดนะเนี่ย ที่จะมีคนยิ้มสวยๆ และยิ้มหวานๆ คอยยืนยิ้มอยู่ข้างกาย
คนที่แทบไม่มีรอยยิ้มอย่างเขา นับว่าเลือกคู่ครองได้เหมาะสมยิ่งนัก
"พอดีปวดเท้านิดหน่อยค่ะ เลยไม่ค่อยสะดวก" ลาเวนเดอร์ยิ้มให้คนสวยตรงหน้า
แล้วรีบขอตัวทันที เธอไม่ถนัดรับแขกเลย โดยเฉพาะแขกคนสำคัญของเจ้าของสถานที่
"ขอตัวก่อนนะคะ"
"จะรีบไปไหนละคะ" เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง ลาเวนเดอร์หันไปก็เจอสตรีที่น่าจะอายุมากกว่าเธอ
เพียงนิดหรืออาจจะรุ่นราวคราวเดียวกัน รูปร่างหน้าตาคล้ายๆ ประมุขเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้มากๆ
เพียงแต่ รอยยิ้มนั้น เหมือนกับมารดาของคุณหมอวาลองโซล เอ๊ะ หรือนี่จะคือ น้องสาวของเขา
ที่ถูกเอ่ยถึงบ่อยๆ
"ฉัน เวโรนิค ค่ะ น้องสาวพี่เซริว ลูกสาวหนึ่งเดียวของเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้" ประโยคท้ายๆ นี่
ฟังดูแปร่งๆ อยู่นะ ยิ่งแววตาคู่นั้นที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นั่นอีกเล่า
"และนี่คุณ ชัชชน ชุติวัต คู่หมั้นของฉัน ที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้"
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉัน ลาเวนเดอร์ ค่ะ" ลาเวนเดอร์ยิ้มพร้อมแนะนำตัวเองก่อนจะยื่นมือออกไป
สลามอีกฝ่าย ทว่า อีกฝ่ายกลับไม่รับสลาม อีกทั้งยังขยี้คำถามที่คนถูกถามไม่อยากตอบว่า
"แนะนำแค่ชื่อหรือ แล้วนามสกุล สายตระกูลละ ไม่มีหรือคะ" ไม่ใช่แค่พูด
ทั้งปากทั้งแววตามีแววเย้ยหยันออกมาอย่างเปิดเผย
"ไม่..." ลาเวนเดอร์พูดไม่ทันจบก็มีเสียงแทรกเข้ามาทันทีว่า
"ศศินาพัชร์" เสียงเข้มๆ นั่นไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน เสียงจากพ่อครัวสายโหดที่ตอนนี้เดินเข้ามาพร้อมกับ
มารดาของเขา แล้วมายืนยืดตัวตรงเต็มความสูงห่างจากเธอไปหนึ่งเมตร
"ลาเวนเดอร์ ศศินาพัชร์ คือ ชื่อและนามสกุลของเธอ" เขาหันไปตอบน้องสาวด้วยสีหน้าเรียบสนิท
จงใจพูดชื่อนามสกุลของลาเวนเดอร์เน้นทีละคำช้าๆ
"พอใจแล้วก็เชิญนั่งครับเจ้าหญิง" ว่าแล้วก็ผายมือให้น้องสาวของตนที่นึกจะมาถือยศถือศักดิ์ขึ้นมา
ทำเอาน้องสาวหน้าม่อย เชิดใส่ แล้วเดินนำว่าที่เจ้าบ่าวไปยังโซฟา
สายตาดุๆ ที่จ้องน้องสาวของตนนั่นก็หันมาทางลาเวนเดอร์ก่อนจะอ่อนแสงลง
เมื่อเห็นน้ำใสๆ กลิ้งไปมาในดวงตาสีสันประหลาดนั่นเข้า
"เธอล่ะ ทำไมยังยืนอยู่ ไม่เมื่อยหรือไง" เขาถามเสียงเรียบๆ ใบหน้าก็ยังคงความตึงเรียบเช่นเดิม
"หนูขอตัวขึ้นไปพักก่อนนะคะคุณป้า" ลาเวนเดอร์หันไปทางมารดาของเขาแทนการสนทนากับเขา
"เดี๋ยวป้าประคองขึ้นไปนะลูก" เสียงนั้นทั้งอ่อนโยนและเจือความเมตตากรุณา
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูเดินไหวค่ะ" ลาเวนเดอร์พยายามแค่นยิ้มออกมา ทั้งที่ตอนนี้รู้สึกปวดระบมที่ฝ่าเท้าขึ้นมา
แล้วยังรู้สึกปวดหนึบๆ ภายในจิตใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายมันออกมาได้
เป็นครั้งแรกนั่นแหละที่เธอถูกถามถึงสายตระกูลขึ้นมา เพราะที่ผ่านมา เธอเหมือนไร้ตัวตน
บนโลกใบนี้ ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อนเล่น ไม่มีใครคอยถามไถ่สิ่งต่างๆ มาเจอคำถามว่า
นามสกุลอะไรแบบนี้เข้า เลยไปไม่เป็นขึ้นมา ขนาดเจ้าของร้านอาหารที่เธอไปทำงานด้วย
ก็ยังไม่ต้องการจะอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเธอมาก และเธอก็ไม่เคยบอกว่าเธอชื่อนี้เวลาไปทำงาน
ที่ไหนๆ ด้วย แค่บอกว่า ไม่มีเอกสาร เป็นแรงงานลักลอบเข้าเมือง เขาก็ถามแค่ชื่อเล่นแค่นั้น
เพื่อที่จะใช้เรียกใช้งานได้
"เดี๋ยวซันนีประคองไปจะดีกว่าค่ะ" ซันนีที่เดินตามทั้งสองแม่ลูกมาติดๆ รีบขันอาสา
แล้วประคองร่างของลาเวนเดอร์ออกไปจากห้องนั่งเล่นแห่งนั้น โดยทุกสายตาต่างก็พุ่งไปยัง
จุดเดียวกัน ซึ่งก็คือ หญิงสาวสะคราญโฉมยากจะหาหญิงใดเสมอเหมือน เพราะไม่อาจพบพาน
ใครที่จะมีดวงตาที่สวยงามและประหลาดเช่นนี้ได้ อีกทั้งองค์ประกอบทั้งหมดของเครื่องหน้านั่น
ก็คงไม่มีสาวงามคนใดอาจหาญเทียบเทียมได้ พาให้ทุกสายตาจ้องมองไปจนสุดสายตา
จนกระทั่งร่างนั่นหายไปจากการมองเห็น
"หนึ่งเดียวในใต้หล้า" เสียงนั้นดังมาจากว่าที่เจ้าบ่าวของเวโรนิค ทำให้วาลองโซลหันไปทาง
ว่าที่น้องเขยด้วยสายตานิ่งเรียบก่อนจะหันไปทักทายคนอื่นๆ ตามปกติ
...........................โปรดติดตามตอนต่อไป..................................
ฝากติชมด้วยนะคะ
"เต่าโย"
"เรื่องที่ให้ไปจัดการเรียบร้อยดีมั้ย"
"เรียบร้อยทุกอย่างครับ นักข่าวจะไม่เล่นข่าวนี้แน่นอนครับท่าน"
"ปิดปากมันทุกคนที่เกี่ยวข้อง"
"ทุกอย่างจะไม่ถูกขุดคุ้ยครับท่าน วางใจได้
แต่ว่า สร้อยเส้นนั้นหายไปครับท่าน มันไม่ได้อยู่กับเหยื่อ"
"อะไรนะ มันหายไปได้ยังไง"
"เราค้นแล้วไม่เจอเลยครับ"
"ไปตามหาสร้อยเส้นนั้นมาให้ได้"
"ไม่มีใครที่น่าสงสัยว่าจะนำสร้อยเส้นนั้นไปเลย นอกจาก..."
"แกสงสัยใครบอกมา"
"ผู้หญิงชุดดำคนหนึ่งครับ เธออยู่ใกล้เหยื่อที่สุดตอนที่ตกลงไปข้างล่าง"
"งั้นก็ไปตามหาเธอให้เจอสิ จะมัวชักช้าอยู่ทำไม รู้ไม่ใช่หรือว่าสร้อยเส้นนั้นสำคัญแค่ไหน"
"เธอปิดหน้ามิดชิด แม้แต่ดวงตาก็ไม่เห็นเลยครับว่าเป็นดวงตาแบบไหน
เราใช้กล้องวงจรปิดแถวนั้น ก็ไม่สามารถระบุตัวตนของเธอคนนั้นได้เลย"
"ก็ไปดูให้แน่ใจว่าเธอมากับใครและไปกับใคร"
"เอ่อ เธอมากับใครไม่อาจแน่ใจครับ แต่คุณวาลองโซลเป็นคนอุ้มเธอขึ้นรถไปหลังจากเธอสลบไม่ได้สติ"
"เซริวหรือ เขาไปทำอะไรที่นั่น"
"เหมือนจะไปที่ร้านครับ"
"กลับไปสืบมาให้แน่ใจว่าเซริวไปทำอะไรที่นั่น และเขามีใครไปด้วยมั้ย
ผู้หญิงชุดดำคนนั้นเกี่ยวข้องกับเขารึเปล่า และไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องเอาสร้อยเส้นนั้น
กลับมาให้ฉันพร้อมจี้ที่สมบูรณ์ให้ได้ ต่อให้จะต้องฆ่าใครสักกี่ศพก็ตาม"
"ครับท่าน"
.................................................................
ณ สวนอันร่มรื่นในยามบ่ายของวัน ตรงศาลาไม้เปิดโล่งในสวน ร่มรื่นภายใต้ร่มไม้ใหญ่
เงียบสงบ เป็นมุมพักผ่อนเล็กๆ ที่มีเสียงกระดิ่งลมส่งเสียงดังเพราะพริ้ง
กับกลิ่นหอมของบรรดาดอกไม้นานาพรรณ
ลาเวนเดอร์ในชุดเดรสสีขาวตัวยาวแขนยาวมีจั๊มตรงปลายแขนนอนอิงหมอนน้อยบนที่นอน
ขนาดนอนได้คนเดียวที่มีเบาะสีขาวแสนนุ่มรองรับร่างอันบอบบางของเธอเอาไว้
มองจี้ที่ห้อยอยู่ด้วยแววตาฉงน เพราะไม่เคยเจอจี้อะไรที่จะทั้งสวย ทั้งดูลึกลับ
และชวนให้ขนลุกได้แบบนี้มาก่อน อีกอย่างเธอไม่มีความรู้เรื่องพวกแร่ พวกอัญมณีด้วย
เลยไม่รู้เลยว่า ไอ้หินหรืออัญมณีตรงกลางจี้เส้นนี้มันเรียกว่าอะไร
มันมีแสงสีแดงส้มและเหลือง คล้ายพระอาทิตย์ตกดินที่ร้อนแรง เหมือนหินเพลิง
หรือจะเป็นอัญมณีเพลิง ไหนจะกรอบที่ล้อมรอบหินนี้อีกเล่า มันเหมือนจะทำจากทองคำ
แกะลาย มีดาวหกแฉกทั้งหกล้อมรอบหินเพลิงนี้ ส่วนตัวสร้อยก็เป็นสร้อยทองคำธรรมดา
ไม่ได้มีลวดลายอะไร
"แกควรเอาไปคืนเจ้าของนะ" ลาเวนเดอร์บอกตัวเอง ย้ำกับตัวเองมารอบที่ร้อยแล้วมั้ง
แต่ภาพที่ติดในตานั่น ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า สร้อยเส้นนี้อาจเป็นปริศนานำไปสู่การตกตึงลงมาตาย
ของผู้หญิงคนนั้น ที่ร่วงลงมาแบบนั้น ตรงตึกใจกลางเมือง แต่กลับไม่มีข่าวสำนักใดให้ความสำคัญเลย
ไม่พบเรื่องราวของหญิงสาวคนนั้นเลยในหน้าสื่อ มันผิดวิสัยเกินไป
"เป็นยังไงบ้าง" เสียงที่ดังขึ้นนั้น ทำให้ลาเวนเดอร์รีบเก็บสร้อยซ่อนไว้ใต้หมอนทันที
เขายืนตัวตรงเต็มความสูง ตระหง่านเหมือนต้นตาลตรงหน้าศาลา แล้วค่อยๆ เยื้องย่าง
ขึ้นมาบนศาลา
"ไม่เป็นไรแล้วค่ะ หายแล้ว แค่ยังมึนๆ เลยออกมาสูดอากาศสดชื่นๆ ในสวน"
"ไม่ได้แอบไม่ได้ซ่อนอะไรผมอยู่ใช่มั้ย" เสียงเรียบๆ ก็จริง แต่ทำเอาคนฟังถึงกับรู้สึกเย็นวาบ
"ทำไมหรือคะ" แล้วเขาก็นั่งลงตรงเปลรังนกทำจากหวายที่แขวนไว้ตรงหน้าเตียงที่เธอนอนอยู่
มีไหมพรมถักนุ่มรองนั่ง แล้วหยิบหมอนใบนึงขึ้นวางพิงหลังไว้ด้วยท่าทางสบายๆ
ไม่เคร่งเครียดและเคร่งขรึม แต่คำพูดและน้ำเสียงดูจะขัดกับสีหน้าท่าทางไปมาก
"ก็ผมรู้สึกว่าตั้งแต่พาคุณกลับมา คุณดูแปลกๆ ดูเหมือนมีความลับบางอย่าง"
ลาเวนเดอร์ยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ามือข้างนึงยังคงระแวดระวังหมอนใบนั้นไว้ เลยวางมือทับหมอน
กลัวเขาจะเห็นสิ่งที่เธอซ่อนไว้
"ดูออกขนาดนั้นเลยหรือคะ"
"ใช่สิ แววตาคุณตอนนี้เหมือนมีดวงไฟอยู่ในนั้น คุณไปจ้องอะไรมาล่ะ" นั่นไง เขามันพวกนกรู้
"แล้วทำไมฉันต้องตอบคุณด้วย"
"งั้นผมไม่รบกวนคุณแล้วก็ได้ พักผ่อนต่อเถอะ"
พูดแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้น และโดยไม่ทันได้ลุกไปไหน คนที่ทำท่ากระอักกระอ่วน
มีสีหน้าเลิ่กลั่กยอมหลุดปากออกไปว่า
"หินเพลิง" มุมปากชายหนุ่มกระตุกเพียงนิด นิดจนแทบมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
ก่อนจะหันมามองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาคาดคั้น
"คุณเอามาจากศพนั้นใช่มั้ย" ลาเวนเดอร์ตกใจตาค้าง อ้าปากเหวอ จนดูตลกปนน่ารัก
"ทำไมคุณรู้"
"ผมเห็น"
"ฉันไม่ได้มีเจตนาจะขโมยของคนตายนะ" เธอรีบแก้
"แล้วที่คุณทำมันต้องเรียกว่าอะไร"
"ฉันห็นภาพเค้ายื่นมือไปข้างหน้า เหมือนจะคว้าอะไรไว้ แต่คว้ามาได้แค่สร้อย แล้วร่างก็
หงายหลังตกลงมาจากตึก เธอต้องไม่ได้ฆ่าตัวตายแน่ๆ" เธอพยายามอธิบายชี้แจงด้วยสีหน้าวิตกกังวล
"คุณบอกว่าคุณเห็นหรือ" มีเสียงฮึๆ ออกมาจากลำคอของเขา ลาเวนเดอร์กลืนน้ำลายลงคอเฮือกๆ
"เราไปถึงที่นั่นพร้อมกัน และตอนไปถึง ร่างนั้นก็ตกลงมาพอดี
คุณจะเห็นภาพที่คุณบอกว่าเห็นได้ยังไง คุณเอาเวลาไหนไปเห็น"
"ฉันเห็นจริงๆ นะ มันผุดเข้ามาในหัวฉันจริงๆ เป็นภาพ ภาพติดตา"
"มันไม่ได้เป็นภาพที่คุณเห็นกับตา มันคือมโนภาพในหัวของคุณ" เขาย้ำเน้นๆ จนหัวใจเธอกระตุก
"แต่ฉันน่ะ เห็นภาพอะไรแบบนี้บ่อยๆ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และมันก็จริงทุกครั้งด้วย"
"คุณก็เลยเชื่อในภาพที่คุณมโนขึ้นมาสินะ"
ทำไมเขาต้องคอยตอกย้ำเน้นๆ คำว่า 'มโนภาพ' ด้วยเล่า
"ก็ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่เชื่อ คุณก็เห็นว่าไม่มีสำนักข่าวใดออกข่าวนี้เลย
ทั้งที่มันเกิดขึ้นในจุดที่ใครๆ ก็ผ่านไปมาเยอะแยะ มันผิดปกติ มันต้องมีเงื่อนงำแน่นอน"
"ผมไม่ได้พาคุณมาที่นี่เพื่อที่จะให้คุณเป็นนักสืบหรือทำหน้าที่แทนตำรวจนะ"
"แล้วคุณจะให้ฉันแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้งั้นหรือ เธอตกลงมาตายข้างๆ ฉัน สายตาสุดท้ายของเธอ
ที่มองมาที่ฉันมันน่าสงสารและมีแววอ้อนวอนอะไรสักอย่าง ยังไงฉันก็ไม่สามารถลบภาพนั้นไปได้"
"แล้วคุณรู้หรือว่าเธอเป็นใคร"
"ฉันไม่รู้ค่ะ" เสียงหญิงสาวเริ่มอ่อนลง จนแทบคล้ายเสียงอ้อนเบาๆ
"นั่นแหละ คือ สิ่งที่ผมกำลังจะบอกว่า ห้ามยุ่งเรื่องคนอื่น โดยเฉพาะคนที่คุณไม่ได้รู้จักที่มาที่ไป"
แล้วเขาจะมาทำเสียงแข็งตาเขียวใส่เธอแบบนี้ทำไมเล่า ลาเวนเดอร์เลยเชิดหน้าขึ้น
"แล้วทำไมคุณถึงยอมช่วยฉัน คุณแน่ใจแล้วหรือว่า คุณรู้จักที่มาที่ไปของฉันแล้วจริงๆ
เพราะขนาดฉันเองยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าฉันคือ ใคร มาจากไหนกันแน่"
"ผมรู้จักคุณมากกว่าคุณแน่นอน"
ดูเขาจะตอบออกมาได้อย่างมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ซะเหลือเกิน
ทำเอาคนที่เชิดหน้าอยู่ก็ยิ่งเชิดคางต่อไป
"ฉันไม่เชื่อ"
"ผมจะทำให้คุณเห็นเอง" เขาเคยคิดจะยอมลงให้เธอบ้างมั้ยนะ คงทำไม่เป็นสินะ
"งั้นคุณรู้จักเธอคนนั้นที่ตายมั้ย"
"ทำไมผมต้องตอบคุณ" เขากำลังย้อนเธอ เห็นหน้านิ่งแบบนี้แต่กลับยอกย้อนเก่งซะด้วย
"ได้โปรดเถอะนะ ช่วยบอกฉันหน่อยไม่ได้หรือ" ลาเวนเดอร์เปลี่ยนท่าทีหันมาอ้อนวอนเขาแทน
"ผมบอกว่าให้คุณเลิกยุ่ง และก็เอาของไปคืนเขาซะ ส่งมันมาให้ผม ผมจะเอาไปคืนเจ้าของเอง"
"แต่เธอตายไปแล้วนี่คะ"
"ยังหรอก เจ้าของมันยังไม่ตายง่ายๆ ยังอยู่ให้คุณได้ทำความรู้จักไปอีกนาน"
"คุณหมายความว่าไง"
"คุณยังไม่ต้องรู้หรอก กรุณาส่งมันมาให้ผม เดี๋ยวนี้" เขาแบมือออกมา พร้อมด้วยน้ำเสียงเข้มๆ
แววตานั่นดูเอาเรื่องไม่น้อย และมันท้าทายเธอ ซึ่งคนอย่างเธอ ใครอย่าได้หาญมาท้าทายเด็ดขาด
"ไม่ จนกว่าคุณจะบอกฉันว่าใครคือเจ้าของของมัน" ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับท่าทางถือดีอวดดีนั่น
จนนึกอยากจะทำโทษให้หายซ่ายิ่งนัก และเหลืออดเต็มทนแล้ว จึงพ่นคำออกไปแรงๆ ว่า
"แม่คุณไงล่ะ"
"ห้ะ แม่ฉันหรือคะ" ลาเวนเดอร์ตาค้าง เบิกตาโตที่ปกติก็โตไม่น้อยอยู่แล้วให้ยิ่งโตเข้าไปอีก
ไม่ได้รู้เลยว่า ท่าทางแบบนั้น สีหน้าแบบนั้น มันยั่วคนตรงหน้าได้ไม่น้อย
ชายหนุ่มเลยเริ่มไม่อยากนั่งอยู่ตรงเปลรังนกนี่อีกต่อไปแล้ว เลยจะปิดจบการสนทนานี้ไปซะ
"ใช่"
"งั้นดีเลย ฉันจะสวมใส่มันตอนไปพบเขา" คราวนี้เป็นชายหนุ่มที่ขึงตาใส่อีกฝ่ายที่ไม่ยอมลดราวาศอก
ให้เขาเลย ด้วยความอยากปรามคนถือดี ชายหนุ่มเลยลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เอ่ยด้วยน้ำเสียงประกาศิตว่า
"ไม่ได้"
"ทำไมจะไม่ได้ละคะ"
"มันเสี่ยงเกินไป"
"แต่ฉันชอบอะไรเสี่ยงๆ ซะด้วยสิ" ชายหนุ่มเริ่มจะหมดความอดทนแล้วจริงๆ ที่จะคุยกับคนตรงหน้า
เมื่ออีกฝ่ายดูจะยั่วอารมณ์เขาให้ปะทุได้เรื่อยๆ แบบนี้
"อย่าให้ผมต้องใช้วิธีโหดๆ เพื่อทำให้คุณยื่นมันมาให้ผมนะลาเวนเดอร์" เสียงเยียบเย็นแบบนั้น
ทำให้คนที่กำลังเชิดหน้าเชิดคางถึงกับหันหน้าไปอีกทางทันที
"อย่ามาขู่ฉันเลย คุณก็รู้ว่าฉันไม่กลัว"
"ซันนี" ชายหนุ่มเรียกผู้ช่วยของเขา ที่เขารู้ดีว่าแอบซ่อนตัวอยู่แถวๆ นี้มาตลอด
"อะไรคะ" เหมือนจะรู้งาน ซันนีปรากฏกายออกมา
"จัดการเอาสร้อยที่อยู่ใต้หมอนนั่นมาให้ผมหน่อย"
"ฉันไม่ให้นะ" ลาเวนเดอร์รีบคว้าสร้อยใต้หมอนมาถือไว้แล้วลุกหนี วิ่งไปรอบๆ ศาลา
โดยมีซันนีคอยไล่ตาม แต่อีกฝ่ายว่องไวกว่า เพราะเรื่องวิ่งหนีการไล่ล่านั้น ลาเวนเดอร์ชินแล้ว
ชินจนกลายเป็นทักษะที่เธอแสนจะถนัดที่สุด จากที่เคร่งเครียด ลาเวนเดอร์ก็เริ่มสนุก
ทำให้หัวเราะเสียงใสๆ ออกมา แต่ท้ายที่สุดก็วิ่งชนเอากับร่างสูงใหญ่และหนาแน่นไปด้วยมัดกล้าม
ก่อนจะล้มลงไปนอนจุ้มปุกอยู่บนพื้นหญ้านุ่มๆ สร้อยในมือถูกมือใหญ่คว้าไปครอบครองในทันที
"ก็แค่นี้แหละ พักผ่อนเถอะ" พูดจบเขาก็เดินจากไปเสียอย่างนั้น ลาเวนเดอร์รีบลุกวิ่งตามร่างนั้นไป
"เอามานะ คุณจะเอามันไปคืนเองไม่ได้ ฉันจะเอาไปคืนเค้าเอง" ลาเวนเดอร์วิ่งไปดักหน้า
กางแขนขวางเขาไว้ไม่ให้เดินผ่านไปได้ ชายหนุ่มเห็นอะไรบนผ้าคลุมหัวของหญิงสาวก็กระตุกยิ้ม
"ยิ้มอะไรของคุณน่ะ" เขาทำปากเป็นการชี้ไปทางศีรษะของเธอ
"อะไรล่ะ" ลาเวนเดอร์เริ่มระแวงขึ้นมา
"มันมีหนอนบนหัวคุณน่ะ มันคลานอยู่บนหัวคุณ"
"อ๊ายยยยยย" เสียงกรี๊ดดังลั่น แต่ตัวคนกรีดร้องกลับยืนนิ่งไม่แม้แต่จะไหวติง
ราวกับต้องคำสาปให้เป็นหิน ทำเอาชายหนุ่มถึงกับหัวเราะออกมาอย่างขำขัน
"เอาออกไปสิคะ เอาออกให้หน่อย"
"ไม่ คุณต้องพูดเพราะๆ กับผมก่อน"
"ซันนีขา ช่วยฉันด้วย" หันไปอ้อนเสียงออดอ้อนกับซันนีที่อยู่ไม่ไกลแทน
ที่ตอนนี้ก็ยืนหัวเราะขำขันเธออยู่
"ไม่ดีกว่าค่ะ ซีนนีไม่กินเส้นกับหนอนเลยค่ะ และดูมันจะคลานลงมาจะถึงหน้าผากคุณแล้วนะคะตอนนี้"
"อ๊ายยยยยยยย"
"คุณหมอขา ช่วยเอาหนอนออกให้หน่อย" คราวนี้หญิงสาวถึงกับยอมจำนนด้วยความกลัวหนอน
ทำเอาชายหนุ่มถึงกับหัวเราะถูกอกถูกใจยิ่งนัก เลยช่วยหยิบหนอนออกจากผ้าคลุมหัวให้อย่างง่ายดาย
แล้วโยนมันไปยังพุ่มไม้ไม่ไกล
"ก็แค่นี้ ทำไมถึงต้องทำให้มันยาก"
"คอยดูนะ ฉันจะเอาคืนคุณให้ได้เลย" ลาเวนเดอร์เจ็บใจยิ่งนัก
"ผมจะรอนะ" เขายิ้มยั่ว และไม่ทันได้ตั้งตัว หญิงสาวก็กระทืบเท้าเขาสุดแรง ก่อนจะรีบคว้าเอา
สร้อยในมือเขาไปตอนที่ชายหนุ่มร้องด้วยความเจ็บจนเผลอตัว จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าบ้านไปอย่างไว
แล้วเข้าห้องนอนปิดประตูลงกลอนอย่างหนาแน่นเลยทีเดียว
"แสบจริงๆ เลยค่ะคุณหมอ" ซันนีที่ยืนขำท่าทางไปไม่เป็นของเจ้านายตนเองอยู่เอ่ยออกมา
"คุณต้องไปเอามันมาให้ผม"
"ได้ค่ะ แต่..."
"ไม่มีแต่ คุณก็รู้ว่าสร้อยเส้นนั้นอาจนำความตายมาสู่คนถือครองมัน"
"แต่ซันนีเห็นด้วยกับเธอ ซันนีว่าน่าจะให้เธอเป็นคนนำมันไปคืนให้เจ้าของนะคะ"
"ทำไมคุณคิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น"
"เพราะเธอคือ ลูกสาวของเจ้าของสร้อย แม่คงไม่คิดทำร้ายลูกได้ลงคอหรอกค่ะ"
"ฮึ คุณมองโลกแง่ดีเกินไปแล้วซันนี ถ้าผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าเธอเป็นลูกจริงๆ
เขาจะทิ้งไว้ให้ตกอยู่ในอันตรายเสี่ยงตายแบบนั้นหรือ"
"เราก็ควรให้สองแม่ลูกได้เจอกันอีกสักครั้ง และการที่เธอเป็นคนเอาสร้อยไปคืนแม่
ซันนีมองว่าเป็นไอเดียที่ดีมากๆ เลยค่ะ เพราะยังไงๆ เราก็ต้องให้เขาสองคนได้เจอกันอยู่ดี"
"แต่ผมไม่ไว้ใจ"
"คุณหมอเปลี่ยนไปมากรู้มั้ยคะ" ซันนีสะกิดอีกฝ่าย
"ผมเปลี่ยนอะไร"
"ก็เปลี่ยนไปจากเดิมไงละคะ ปกติคุณหมอไม่ใช่คนที่จะมาทะเลาะกับใครไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่"
"แล้วยังไง คุณก็เห็นว่าเธอทำให้ผมหัวเสียได้ขนาดไหน"
"แล้วคุณหมอเคยหัวเสียแบบนี้มาก่อนหรือคะ"
"ก็ไม่ไง"
"ก็นั่นไงคะ ทำไมถึงหัวเสีย"
"คุณจะพูดอะไรก็พูดมาซันนี"
"คุณหมอแคร์เธอมากเกินไป มากจนขาดการควบคุมตัวเองค่ะ"
"ช่างเถอะ เรื่องสร้อยนั่นก็แล้วแต่คุณก็แล้วกัน"
ชายหนุ่มรีบตัดบทก่อนจะก้าวอาดๆ จากไป ซันนียิ้มพลางส่ายหน้าน้อยๆ
"คุณหมอนะคุณหมอ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย"
..............................................................................................
ลาเวนเดอร์ที่ขลุกอยู่แต่ในห้องเริ่มเบื่อขึ้นมา จึงเดินลงมายังด้านล่างเพื่อจะหาอะไรทำ
ก็เจอกับราชินีของคฤหาสน์หลังนี้เข้าพอดี หญิงสาวยิ้มรับรอยยิ้มที่ส่งมาให้เธอกลับไป
"น่ารักจริงๆ หนูลาของฉัน" ไม่วายเอ่ยปากชม ก่อนจะเดินเข้าไปหา
"มีอะไรให้หนูทำบ้างมั้ยคะ"
"เบื่อละสิ งั้นเข้าครัวด้วยกันมั้ยล่ะ วันนี้เรามีพ่อครัวใหญ่มาทำอาหารมื้อใหญ่ให้พวกเรากินกันด้วยนะ"
ลาเวนเดอร์เลิกคิ้วได้น่าเอ็นดูทีเดียว
"ใครหรือคะ"
"ลูกชายป้าน่ะสิ จะใครล่ะ"
"งั้น หนูขอไปทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ยคะ กลัวจะทำครัวเลอะค่ะ" ลาเวนเดอร์รีบถอนตัวทันที
แล้วพยายามมองหาทางหนีทีไล่ ทว่า
"ไปเถอะ ไปนั่งดูก็ได้" ไม่พูดเปล่าแต่ยึดเอาแขนของหญิงสาวแล้วพาไปยังห้องครัว
ที่มีชายร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองพร้อมด้วยผ้ากันเปื้อนสีดำคาดเอวไว้ ดูแปลกตาไปอีกแบบ
"เราคงไม่ว่าอะไรนะที่แม่พาหนูลามานั่งเล่นในห้องครัว" คนที่กำลังอยู่หน้าเตาปรุงอะไรบางอย่างอยู่
ไม่ได้หันมามองด้วยซ้ำ แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรเท่าไหร่กลับมาว่า
"ถ้าอยากนั่งเล่นก็มีห้องนั่งเล่นนี่ครับ ใครเขาให้เด็กมาวิ่งเล่นเพ่นพ่านในครัวกันละครับ"
"เอ๋ เราก็พูดไปนั่น น้องเด็กซะที่ไหน ออกจะสาวและสวยสะพรั่งขนาดนี้"
"นิสัยและความคิดไม่เห็นจะต่างกับเด็กห้าขวบนี่ครับ" ไม่พูดเปล่านะ ยังหันมาเหลือบตามอง
ลาเวนเดอร์นิดๆ พอเป็นพิธี แล้วหันไปปรุงอาหารต่อด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ
หญิงสาวหมั่นไส้เต็มที จึงเดินอ้อมไปอีกฟาก ยืนประจันหน้ากับพ่อครัว แล้วพูดจาด้วยท่าที
ยียวนกวนประสาทว่า
"มีอะไรให้เด็กช่วยมั้ยคะ"
"ช่วยไปเล่นตรงนู้น" เค้าทำปากจู๋ไปทางประตูทางออก
"คุณป้าคะ ลูกชายคุณป้าอายุกี่ขวบคะปีนี้"
"สามสิบขวบจ่ะ"
"โห ทำไมแก่จังละคะ" คนที่โดนกล่าวหาว่า 'แก่จัง' เริ่มอยู่ไม่สุข ช้อนตาขึ้นมองคนพูด
ด้วยประกายคมกริบ
"สามสิบนี่ไม่แก่นะจ๊ะ กำลังดีเลย หนูนั่นแหละที่ละอ่อนเกินไป" คนเป็นแม่ช่วยแก้ให้ทันควัน
"วันพระจันทร์เต็มดวงรอบถัดไป หนูก็จะยี่สิบขวบแล้วนะคะ ใครมาว่าเด็กนี่ โป้งเลยจริงๆ"
"ก็รอให้ครบยี่สิบก่อนค่อยโป้งดีกว่ามั้ย" ชายหนุ่มไม่วายหาเรื่องตอกกลับ
"อย่าทะเลาะกันเลย มา มานั่งตรงนี้ดีกว่าหนูลา" ว่าแล้วก็ลากตัวการป่วนพ่อครัวไปนั่งที่เก้าอี้
ห่างออกไปสามเมตร
"หรือจะช่วยป้าเตรียมจานชามดี"
"ดีค่ะ"
แล้วก็คุยกะหนุงกะหนิงกันสองคน ไม่สนใจพ่อครัวที่ทำอาหารด้วยความคล่องแคล้วว่องไว
จนกระทั่งมีเสียงจานตกแตกนั่นแหละ ทำให้พ่อครัวสายโหดหันมามองสารตั้งต้นทันที
ก่อนจะส่ายหน้าด้วยสีหน้าท่าทางเหนื่อยหน่าย
"เอิ่ม มันใบใหญ่เกิน หนูเลยถือไม่ถนัดค่ะคุณป้า เดี๋ยวหนูเก็บเองค่ะ"
"อย่าเลยๆ เดี๋ยวป้าให้เด็กๆ มาทำความสะอาดดีกว่า"
"หนูเป็นคนทำ หนูก็ต้องรับผิดชอบสิคะ" พูดจบก็รีบทำการเก็บกวาดห้องครัว พอใกล้จะเสร็จ
ขณะลุกขึ้น ก็เดินไปสะดุดเอาขาเก้าอี้ ทำให้หกล้ม โดนเศษกระเบื้องที่หลงลืมเก็บกวาดตำเท้า
เข้าเต็มๆ
"โอ๊ย" เสียงร้องนั้นทำให้สองแม่ลูกรีบหันไปดู ก็เห็นกองเลือดน้อยๆ บนพื้นหินขัดสีขาวนวล
ไวกว่าใครก็ดูจะเป็นพ่อครัวที่พุ่งเข้าไปหา จับข้อเท้าของคนที่นั่งอยู่บนพื้นมาดู เห็นกระเบื้อง
ยังปักคาอยู่เลยรีบดึงออก ลาเวนเดอร์ที่เจ็บเลยตีมือเขาเข้าให้ เม้มปากเป็นเส้นตรง
หน้านิ่ว ตาขวาง
"อยู่นิ่งๆ" เขาส่งเสียงปราม ดึงข้อเท้าที่พยายามกระชากหนีเอาไว้
"ก็มันเจ็บ คุณทำฉันเจ็บนะ"
"ยังจะโทษว่าคนอื่นทำให้ตัวเองเจ็บอีก ก็เห็นๆ อยู่ว่าใครซุ่มซ่าม"
"ก็คุณมือหนัก จากที่เจ็บไม่มาก ก็มากจนเกินจะทนไหวแล้วเนี่ย" ว่าไปก็สูดปากไป
ด้วยสีหน้าเหยเก
"แล้วใครใช้ให้ซุ่มซ่าม ดื้อจะทำเองทั้งนั้น"
"เดี๋ยวแม่ไปเอากระเป๋ายามาให้นะลูก"
"ครับแม่"
"ผมบอกให้อยู่นิ่งๆ ไง" เสียงเข้มดุดังขึ้นอีกครั้งเมื่อคนเจ็บพยายามชักเท้าหนี
"แผลแค่นี้ ฉันจัดการเองได้ค่ะ ไม่ต้องถึงมือหมอหรอก เดี๋ยวหม้อแกงหมอจะไหม้เอานะคะ"
เธอว่าพลางพยักพเยิดไปทางเตา ชายหนุ่มเลยลุกขึ้นไปปิดเตาแล้วเดินกลับมา
คุกเข่าข้างนึกลง แล้วมองสำรวจบาดแผล
"ทำไมเลือดคุณถึงออกเยอะจังทั้งๆ ที่แผลก็ไม่ได้จะลึกมาก"
"ปกติค่ะ บางทีก็ไหลนองพื้น"
"มันไม่ปกติน่ะสิ" ว่าแล้วก็ทำการห้ามเลือดแล้วทำแผลให้เมื่อมารดาเอากระเป๋ายามาให้
"เอาไว้ผมจะนำเลือดของคุณไปตรวจดู"
"ดีเหมือนกันค่ะ เพราะตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยไปโรงพยาบาล ไม่เคยผ่านการรักษาด้วยมือหมอเลยค่ะ"
"แล้วคุณทำยังไงตอนเจ็บป่วย"
"ซื้อยามากินค่ะ"
"ที่ญี่ปุ่นไม่ใช่ว่าจะซื้อยาได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ นอกจากยาทั่วไปเท่านั้น"
"ก็กินยาทั่วไปเอาค่ะ ถึงไม่มียากิน ฉันก็หาย พอถึงเวลามันก็หายเอง แค่อดทนเอา"
คนฟังทั้งสองคนซึ่งเป็นแพทย์ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน
"หายเองหรือ"
"ค่ะ ก็ยังหายใจอยู่นี่ไงคะ" คนพูดฉีกยิ้มกว้าง ยักคิ้วด้วยนิดๆ ก่อนจะสูดปากเมื่อ
มือหนักๆ นั่นกดบาดแผลเธอ
"ระวังเท้าด้วยอย่าให้โดนน้ำ" เขาบอกเมื่อพันแผลให้เรียบร้อยแล้ว และลาเวนเดอร์
ก็พยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล
"เดี๋ยวป้าประคองไปนั่งห้องนั่งเล่นดีมั้ย"
"ไม่ดีค่ะ หนูเจ็บนิดเดียวแค่นี้ ไม่ต้องพักหรอกค่ะ สบายมากๆ
เนี่ย ยังจัดการพวกจานแตกไม่เสร็จเลย"
"เดี๋ยวป้าให้คนมาจัดการต่อเอง หนูไปพักเถอะนะ"
"แต่หนูอยากทำให้เสร็จนี่คะ"
"ทำไมถึงดื้อกับผู้ใหญ่นัก" เสียงเข้มๆ ของเขาดังขึ้นด้วยสีหน้าแววตาขัดใจ
ลาเวนเดอร์เม้มปากเป็นเส้นตรง ช้อนตาขึ้นมองเขาแล้วหันไปทางอีกคน
"หนูก็แค่ไม่อยากทำไรค้างๆ คาๆ แค่นั้นเองนะคะคุณป้า"
"ป้ารู้ แต่หนูไม่ต้องกังวลเลย ให้เด็กๆ เค้าจัดการไป"
"งั้น..." ไม่วายเหลือบไปมองคนที่ยืนจ้องเธอตาเขม็งราวกับจะจับกิน
แล้วหันมาทางอีกคน
"ก็ได้ค่ะ แต่คุณป้าไม่ต้องประคองหนูก็ได้นะคะ หนูไปเองได้ คุณป้าอยู่ช่วยในครัวต่อเถอะค่ะ"
พูดแล้วก็เดินเขย่งๆ ออกไปจากห้องครัว ไม่วายหันมาส่งยิ้มให้ผู้อุปการคุณอีกทีโดยไม่แม้
แต่จะมองไปทางชายหนุ่มให้เสียสายตา แล้วก็เดินพึมพำเหมือนหมีกินผึ้ง
"เชอะ ทำมาทำเสียงดุ ใครเค้ากลัวกันเล่า"
...............................................................
เมื่อเดินมาถึงห้องนั่งเล่น ก็พบว่ามีแขกมาเยือนคฤหาสน์หลังนี้ถึงสามคน แต่ละคนดูหรูหรา
มีสง่าราศี เสื้อผ้าและท่วงท่าดูเป็นผู้ดีมีมารยาทสูงส่ง โดยเฉพาะสตรีที่อ่อนวัยที่สุดนั่น
"หนูเป็นใครหรือจ๊ะ" เสียงอันไพเราะพร้อมรอยยิ้มสวยละมุนตาของสตรีรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าของคฤหาสน์
เอ่ยถามเธอที่เดินกะเผลกๆ
"หนูชื่อลาเวนเดอร์ค่ะ เป็น เอ่อ แขกของที่นี่ค่ะ"
"อย่างนี้นี่เอง ฉันชื่อ นูรีฮาน บาคีร์ และนี่สามีของฉัน ชากิรีน บาคีร์
ส่วนนี่ก็ลูกสาวของฉัน นาซานิน คู่หมั้นของคุณหมอวาลองโซล ยินดีที่ได้รู้จักจ่ะ"
พูดพลางยื่นมือมาสลาม ลาเวนเดอร์ยื่นมือออกไปสัมผัสสองมือนั่น
จากนั้นหญิงสาวที่ใบหน้างดงามราวกับนางสวรรค์ก็ยื่นมือมาสลามกับเธอ
ไม่เพียงแต่สัมผัสมือ คนงามก้มลงจูบหลังมือของเธอด้วยท่าทีนอบน้อมถ่อมตน
รอยยิ้มก็ละมุนละไม น่ามองยิ่งนัก
เมื่อกี้สาวงามผู้นี้ถูกแนะนำว่าไงนะ 'คู่หมั้น' ของคุณหมอสายโหดในครัวนั่นน่ะหรือ
นี่เขามีคู่หมั้นแล้วหรือนี่ แต่ก็นะ โปรไฟล์ดีออกขนาดนี้ ใครจะปล่อยให้โสดมาถึงอายุสามสิบได้
"คุณหมอวาลองโซลอยู่ในครัวกับคุณป้าค่ะ เดี๋ยวหนูไปตามให้นะคะ"
"ไม่ต้องหรอกจ่ะ เมื่อครู่ฉันให้เด็กๆ ไปบอกให้เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เลยมารอกันในห้องเล่น"
ยังคงเป็นสตรีคนเดิมที่พูดอยู่คนเดียว ส่วนคนเป็นสามีเดินเลี่ยงไปนั่งยังโซฟาเรียบร้อยแล้ว
"งั้น หนูไม่รบกวนแล้วล่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ" ลาเวนเดอร์น้อมศีรษะลงต่ำเพียงนิด
"อ้าว จะรีบไปไหนละคะ อยู่คุยกันก่อนสิคะ" เป็นครั้งแรกที่สาวงามตรงหน้าเธอเอ่ยพูด
น้ำเสียงอ่อนหวานน่าฟัง รื่นหู นุ่มนวล รอยยิ้มก็หวานและน่ามองยิ่งนัก
โชคดีของคุณหมอสายโหดนะเนี่ย ที่จะมีคนยิ้มสวยๆ และยิ้มหวานๆ คอยยืนยิ้มอยู่ข้างกาย
คนที่แทบไม่มีรอยยิ้มอย่างเขา นับว่าเลือกคู่ครองได้เหมาะสมยิ่งนัก
"พอดีปวดเท้านิดหน่อยค่ะ เลยไม่ค่อยสะดวก" ลาเวนเดอร์ยิ้มให้คนสวยตรงหน้า
แล้วรีบขอตัวทันที เธอไม่ถนัดรับแขกเลย โดยเฉพาะแขกคนสำคัญของเจ้าของสถานที่
"ขอตัวก่อนนะคะ"
"จะรีบไปไหนละคะ" เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง ลาเวนเดอร์หันไปก็เจอสตรีที่น่าจะอายุมากกว่าเธอ
เพียงนิดหรืออาจจะรุ่นราวคราวเดียวกัน รูปร่างหน้าตาคล้ายๆ ประมุขเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้มากๆ
เพียงแต่ รอยยิ้มนั้น เหมือนกับมารดาของคุณหมอวาลองโซล เอ๊ะ หรือนี่จะคือ น้องสาวของเขา
ที่ถูกเอ่ยถึงบ่อยๆ
"ฉัน เวโรนิค ค่ะ น้องสาวพี่เซริว ลูกสาวหนึ่งเดียวของเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้" ประโยคท้ายๆ นี่
ฟังดูแปร่งๆ อยู่นะ ยิ่งแววตาคู่นั้นที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นั่นอีกเล่า
"และนี่คุณ ชัชชน ชุติวัต คู่หมั้นของฉัน ที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้"
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉัน ลาเวนเดอร์ ค่ะ" ลาเวนเดอร์ยิ้มพร้อมแนะนำตัวเองก่อนจะยื่นมือออกไป
สลามอีกฝ่าย ทว่า อีกฝ่ายกลับไม่รับสลาม อีกทั้งยังขยี้คำถามที่คนถูกถามไม่อยากตอบว่า
"แนะนำแค่ชื่อหรือ แล้วนามสกุล สายตระกูลละ ไม่มีหรือคะ" ไม่ใช่แค่พูด
ทั้งปากทั้งแววตามีแววเย้ยหยันออกมาอย่างเปิดเผย
"ไม่..." ลาเวนเดอร์พูดไม่ทันจบก็มีเสียงแทรกเข้ามาทันทีว่า
"ศศินาพัชร์" เสียงเข้มๆ นั่นไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน เสียงจากพ่อครัวสายโหดที่ตอนนี้เดินเข้ามาพร้อมกับ
มารดาของเขา แล้วมายืนยืดตัวตรงเต็มความสูงห่างจากเธอไปหนึ่งเมตร
"ลาเวนเดอร์ ศศินาพัชร์ คือ ชื่อและนามสกุลของเธอ" เขาหันไปตอบน้องสาวด้วยสีหน้าเรียบสนิท
จงใจพูดชื่อนามสกุลของลาเวนเดอร์เน้นทีละคำช้าๆ
"พอใจแล้วก็เชิญนั่งครับเจ้าหญิง" ว่าแล้วก็ผายมือให้น้องสาวของตนที่นึกจะมาถือยศถือศักดิ์ขึ้นมา
ทำเอาน้องสาวหน้าม่อย เชิดใส่ แล้วเดินนำว่าที่เจ้าบ่าวไปยังโซฟา
สายตาดุๆ ที่จ้องน้องสาวของตนนั่นก็หันมาทางลาเวนเดอร์ก่อนจะอ่อนแสงลง
เมื่อเห็นน้ำใสๆ กลิ้งไปมาในดวงตาสีสันประหลาดนั่นเข้า
"เธอล่ะ ทำไมยังยืนอยู่ ไม่เมื่อยหรือไง" เขาถามเสียงเรียบๆ ใบหน้าก็ยังคงความตึงเรียบเช่นเดิม
"หนูขอตัวขึ้นไปพักก่อนนะคะคุณป้า" ลาเวนเดอร์หันไปทางมารดาของเขาแทนการสนทนากับเขา
"เดี๋ยวป้าประคองขึ้นไปนะลูก" เสียงนั้นทั้งอ่อนโยนและเจือความเมตตากรุณา
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูเดินไหวค่ะ" ลาเวนเดอร์พยายามแค่นยิ้มออกมา ทั้งที่ตอนนี้รู้สึกปวดระบมที่ฝ่าเท้าขึ้นมา
แล้วยังรู้สึกปวดหนึบๆ ภายในจิตใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายมันออกมาได้
เป็นครั้งแรกนั่นแหละที่เธอถูกถามถึงสายตระกูลขึ้นมา เพราะที่ผ่านมา เธอเหมือนไร้ตัวตน
บนโลกใบนี้ ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อนเล่น ไม่มีใครคอยถามไถ่สิ่งต่างๆ มาเจอคำถามว่า
นามสกุลอะไรแบบนี้เข้า เลยไปไม่เป็นขึ้นมา ขนาดเจ้าของร้านอาหารที่เธอไปทำงานด้วย
ก็ยังไม่ต้องการจะอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเธอมาก และเธอก็ไม่เคยบอกว่าเธอชื่อนี้เวลาไปทำงาน
ที่ไหนๆ ด้วย แค่บอกว่า ไม่มีเอกสาร เป็นแรงงานลักลอบเข้าเมือง เขาก็ถามแค่ชื่อเล่นแค่นั้น
เพื่อที่จะใช้เรียกใช้งานได้
"เดี๋ยวซันนีประคองไปจะดีกว่าค่ะ" ซันนีที่เดินตามทั้งสองแม่ลูกมาติดๆ รีบขันอาสา
แล้วประคองร่างของลาเวนเดอร์ออกไปจากห้องนั่งเล่นแห่งนั้น โดยทุกสายตาต่างก็พุ่งไปยัง
จุดเดียวกัน ซึ่งก็คือ หญิงสาวสะคราญโฉมยากจะหาหญิงใดเสมอเหมือน เพราะไม่อาจพบพาน
ใครที่จะมีดวงตาที่สวยงามและประหลาดเช่นนี้ได้ อีกทั้งองค์ประกอบทั้งหมดของเครื่องหน้านั่น
ก็คงไม่มีสาวงามคนใดอาจหาญเทียบเทียมได้ พาให้ทุกสายตาจ้องมองไปจนสุดสายตา
จนกระทั่งร่างนั่นหายไปจากการมองเห็น
"หนึ่งเดียวในใต้หล้า" เสียงนั้นดังมาจากว่าที่เจ้าบ่าวของเวโรนิค ทำให้วาลองโซลหันไปทาง
ว่าที่น้องเขยด้วยสายตานิ่งเรียบก่อนจะหันไปทักทายคนอื่นๆ ตามปกติ
...........................โปรดติดตามตอนต่อไป..................................
ฝากติชมด้วยนะคะ
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มี.ค. 2567, 22:44:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มี.ค. 2567, 22:44:55 น.
จำนวนการเข้าชม : 127
<< บทที่ 10 ฟูริน กระดิ่งลมแห่งรัก | บทที่ 12 ท่าไม้ตาย >> |