Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้

วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้

ตอน: บทที่ 12 ท่าไม้ตาย

เมื่อใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น ซันนีก็เคาะประตูห้องแล้วเปิดเข้ามาหาเจ้าของห้องที่ตอนนี้
นั่งถักกระเป๋าอยู่บนพื้นห้อง แทนที่จะนั่งบนเตียงนุ่ม กลับมานั่งพับเพียบกันพื้นห้องนอน
หลังพิงเตียงนอน

"ถักอะไรอยู่หรือคะนั่น"

"Crochet Blueberry Pie Bag ค่ะ" ซันนีกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะมองกระเป๋าถักโครเชต์สีฟ้า
ที่มีรูปร่างคล้ายพายบลูเบอร์รี่ ดูเธอจะชื่นชอบของกินเป็นพิเศษ ขนาดถักกระเป๋าสะพายเอาไว้ใช้
ยังถักออกมาเป็นรูปทรงของกินได้อย่างน่ารักแบบนี้

คุณหมอวาลองโซลนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ดูจะจับทางหญิงงามตรงหน้าถูก ช่างสังเกตอะไรอย่างนี้

"ทำไมถึงเป็นพายบลูเบอร์รีละคะ"

"มันอร่อยค่ะ ฉันชอบมากๆ เลย" นั่นไง จริงดังคาดจริงๆ ด้วย หญิงงามคนนี้โปรดปรานขนม
ที่คุณหมอวาลองโซลทำให้กินอยู่ด้านล่าง และคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่คุณหมอจะรู้จักของโปรด
ของสาวงามผู้นี้

"ได้เวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ" ลาเวนเดอร์พักมือจากงานถักหันมามองซันนี ยิ้มฝืดๆ แล้วโคลงศีรษะ

"ยังไม่หิวเลยค่ะ เหมือนอาหารมื้อเที่ยงยังย่อยไม่เสร็จเลย"

"ไม่หิวก็คงต้องลงไปทานสักนิดค่ะ"

"ไม่ไปไม่ได้หรือคะ ฉันไม่อยากลงไปเจอแขกที่ไม่รู้จักเลยค่ะ มันทำตัวทำหน้าไม่ถูก
ฉันเป็นพวกไม่ค่อยมีมนุษสัมพันธ์ที่ดีเท่าไหร่ค่ะ กลัวจะทำคุณป้าขายหน้า ทำให้คนอื่นๆ หมดสนุกกัน"

"แต่คุณหมอให้ซันนีมาเชิญคุณลงไปทานอาหารด้วยกันนะคะ"

"ก็คงเชิญไปตามมารยาทค่ะ"

"อย่าคิดแบบนั้นสิคะ" ซันนีพูดแล้วก็นั่งลงบนพื้น มองคนที่ตอนนี้หันไปถักเจ้าดอกไม้ที่ใกล้เสร็จแล้วนั่น
เหมือนไม่สนใจให้ความสำคัญกับเรื่องที่เธอสนทนาด้วย

"พรุ่งนี้คุณจะต้องเริ่มถือศีลอด และต้องทำต่อเนื่องไปหลายเดือน หรืออาจจะเป็นปี
คุณหมอก็เลยจัดมื้อใหญ่ให้คุณ เพราะคุณจะไม่ได้กินมื้อกลางวันไปอีกนานเลยนะคะ"
มือที่ถักกระเป๋าอยู่หยุดชะงัก หันมามองใบหน้าซันนี แล้วส่ายหน้าไปมาด้วยแววตาเหนื่อยๆ

"เขาคงจัดเลี้ยงให้คู่หมั้นและญาติๆ ของเขามากกว่าค่ะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลย"

"ทำไมจะไม่เกี่ยวละคะ ปกติคุณหมอจะไม่เข้าครัวทำทุกเมนูแบบนี้ ต่อให้ญาติจะขนกันมา
หรือต่อให้เป็นคู่หมั้นก็ตาม ที่นี่มีแม่บ้าน มีเชฟที่ทำเป็นยอดฝีมือคอยทำอาหารให้ทุกคนค่ะ"
ลาเวนเดอร์เลิกคิ้วสวยด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ

"เชื่อซันนีเถอะค่ะ ซันนีรู้จักทุกคนในครอบครัวคุณหมอดี เราโตมาด้วยกัน รู้ทางรู้ใจกันดี
คุณหมอไม่ใช่คนที่ใครจะบงการได้ แต่ก็ไม่อยากขัดใจใครโดยไม่จำเป็น
คู่หมั้นก็มาบ่อยๆ ค่ะ เขาหมั้นกันมาตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่คลอด ไปมาหาสู่กันตั้งแต่เด็กๆ
ก็ไม่เห็นว่าคุณหมอจะเข้าครัวทำอะไรๆ ให้กิน คุณน่ะไม่ควรปฏิเสธอาหารที่คุณหมอทำ
บอกเลยว่า น่าเสียดายถ้าไม่กินค่ะ"

"แต่ก็หอมน่ากินอยู่นะคะ ตอนที่ฉันช่วยคุณป้าจัดการเรื่องจานชาม" ลาเวนเดอร์นึกถึงกลิ่นหอม
เย้ายวนใจขึ้นมาแล้วเริ่มอยู่ไม่สุข อีกอย่างเธอกำลังหิวมากๆ อยู่พอดี

"ต้องลงไปชื่นชมและลิ้มรสค่ะ รับรองว่า จะกินเพลินจนลืมคนอื่นๆ ไปจนหมด ฮ่าๆๆๆ"

"พูดซะขนาดนี้ ไม่ลงไปคงไม่ได้แล้วล่ะสิ" ลาเวนเดอร์ยิ้มขันกับท่าทางของซันนีที่ดูตรงไปตรงมา
และเปิดเผย

"ขนมน่ากินสุดๆ นะจะบอกให้ ซันนีไปแอบดูมาแล้ว"

"ขนมอะไรคะ"

"วุ้นกะทิเฉาก๊วยค่ะ หน้าตาดูไฮโซมากๆ ต้องไปดูให้เห็นกับตานะบอกเลย"
ลาเวนเดอร์เริ่มตื่นเต้นกับชื่อเมนูที่เธอไม่เคยกินมาก่อน

"แล้วยังมี พายบลูเบอร์รี่ มูสช็อกโกแลตเบอร์รี่ทาร์ต กับวานิลลาพุดดิ้งเบอร์รี่ทาร์ต
เพิ่งออกมาจากตู้เย็น ไม่รู้คุณหมอไปแอบทำตอนไหน
ก่อนซันนีมาหาคุณที่ห้อง เห็นคุณหมอกำลังนำออกมาจากตู้เย็น พุดดิ้งเนี่ย เนื้อเด้งมากค่ะ"

"สายยั่ว ยั่วเก่งที่สุดไปเลยค่ะ" ลาเวนเดอร์ยกนิ้วโป้งให้ซันนีพร้อมเสียงหัวเราะสดใส

"งั้นไปกันเถอะค่ะ กระเป๋านี้ค่อยกลับมาถักตอนอาหารกำลังย่อยก็ได้" ไม่พูดเปล่า
ดึงแขนลาเวนเดอร์ให้ลุกขึ้น ก่อนจะมองสำรวจ แล้วส่ายหน้า

"เปลี่ยนชุดใหม่ดีกว่าค่ะ ชุดนี้มอมแมมไปแล้ว เลอะด้วย"

"อาบน้ำด้วยมั้ยคะ"

"ถ้าอาบน้ำจะช้าไป เดี๋ยวคนอื่นจะรอนาน เดี๋ยวซันนีไปเอาชุดมาให้นะคะ" ว่าแล้วก็เดินไปเปิดตู้
หยิบชุดเดรสผ้าฝ้ายสีขาวแต่งฉลุมีซับใน แขนยาว ตัวชุดยาวครอมเท้า
ชายกระโปรงพลิ้วไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย เรียบหรู สไตล์มินิมอล เหมาะสำหรับสวมใส่
สบายๆ ชิลๆ

"คุณซันนีเลือกชุดเก่งจังเลยค่ะ ชุดนี้น่ารัก ใส่แล้วสบายมากๆ" ลาเวนเดอร์อดชมไม่ได้
หลังจากได้สวมใส่มันแล้วรู้สึกชอบ เพราะใส่สบาย เนื้อผ้านิ่ม ทิ้งตัว

"ไม่ใช่ซันนีเป็นคนเลือกชุดพวกนี้มาให้คุณหรอกค่ะ"

"แล้วใครละคะ"

"ให้ทาย"

"ทายไม่ถูกหรอกค่ะ เพราะว่าฉันแทบไม่รู้จักใครมาก่อนหน้านี้เลยสักคน"

"คุณหมอไงคะ นั่นน่ะคนที่จัดการทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับคุณทั้งหมด"
ลาเวนเดอร์ถึงกับคาดไม่ถึง สายตาบ่งบอกว่าเธอไม่เชื่อ เขาเป็นผู้ชาย จะมารู้เรื่องอะไรพวกนี้
ได้อย่างไร จะมารู้ได้อย่างไรว่าเธอชอบและไม่ชอบอะไรแบบไหน
ก็ชุดต่างๆ ที่อยู่ในตู้ เธอชอบหมดทุกชุดตั้งแต่เปิดดูแล้ว แค่ไม่นึกว่าพอสวมใส่แล้ว
มันจะให้ความสบายและดูน่ารักขนาดนี้

"ไม่ใช่คุณลุงคุณป้าหรอกหรือคะ"

"คุณทั้งสองยุ่งกับธุรกิจการงาน แทบไม่มีเวลากันหรอกค่ะ ส่วนคุณหมอถูกสั่งพักงานหนึ่งปี"

"อะไรนะคะ ถูกสั่งพักงาน?"

"ใช่ค่ะ เลยมีเวลาให้คุณเหลือเฟือเลยตอนนี้ ฮ่าๆๆๆ"

"เกิดอะไรขึ้นคะ"

"เอาไว้ค่อยพูดเรื่องนี้ทีหลังดีกว่าค่ะ ตอนนี้เราลงไปหาไรอร่อยๆ กินกันเถอะ
คุณหมอจัดทำแบบบุฟเฟต์ซะด้วยนะคะ เลือกกินที่ชอบได้เต็มที่เลย"

"โห น่าสนใจจริงๆ ด้วยค่ะ งั้นไปกันเลยค่ะ"

"เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งๆ ผ้าคลุมยังไม่สวมค่ะ"

"โอ้ ฉันลืมค่ะ อยู่ในบ้านแล้วชิน เผลอคิดว่าบ้านตัวเองค่ะ เฮะๆ"

"มาค่ะ เดียวซันนีสวมให้ค่ะ" แล้วก็เดินไปหยิบผ้าคลุมฮิญาบสีขาวสีเดียวกับชุด
มาสวมให้ลาเวนเดอร์แล้วพันผ้าให้อย่างดี เรียบร้อยตามสโลแกนคุณหมอที่สั่งกำชับมา

"วันหลังเห็นทีฉันคงต้องสมัครเป็นลูกศิษย์คุณให้ช่วยสอนวิธีแต่งองค์ทรงเครื่องแล้วล่ะค่ะ
เพราะฉันน่ะ ทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นเลย" ว่าแล้วก็ละอายที่เกิดเป็นหญิงแท้ๆ แต่กลับบกพร่อง
ในเรื่องความสวยความงาม

"ไม่เป็นไรค่ะ คนสวย อยู่ในชุดมอมแมมก็สวย" ซันนีกระเซ้าเย้าแหย่
ก่อนจะรีบประคองคนที่เท้ายังเจ็บอยู่ให้ลงไปยังด้านล่างตรงห้องรับประทานอาหาร
อันแสนกว้างใหญ่และหรูหรา รองรับคนได้นับร้อยคน

เมื่อก้าวเข้าไปในนั้น ก็ตกเป็นเป้าสายตาทันที ดวงตาทุกคู่ต่างหันมาจับอยู่ที่หญิงสาวผู้เข้ามา
ร่วมรับประทานอาหารเย็นเป็นคนสุดท้าย ข้างกายมีซันนีที่คอยกระตุกแขนเป็นการสะกิด
ให้เดินไปยังเจ้าของคฤหาสน์ที่นั่งอยู่ไม่ไกล

"น่ารักอีกแล้ว สวมชุดนี้แล้วหนูดูน่ารักน่าเอ็นดู เรียบร้อย อ่อนหวานเป็นที่สุด"

มาดามมารีอานน์อดใจไม่ไหวที่จะชื่นชมหญิงสาวตรงหน้าที่งามเกินกว่าจะละสายตาได้
ดูเจริญหูเจริญตา มองเพลิน มองได้ไม่รู้เบื่อ ทำเอาลูกสาวที่ได้ยินเข้าถึงกับทำหน้าม่อย
รีบเดินเข้ามาเกาะเกี่ยวแขนมารดาแล้วพาไปนั่งข้างๆ ตน ยึดเกาะเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ราวกับกลัวใครจะมาแย่งมารดาของตนเองไป โดยไม่ยอมสนทนากับลาเวนเดอร์
หญิงสาวจึงทำได้แค่ยิ้มบางให้กับคนที่เหมือนจะหวงแหนปนน้อยใจมารดา

"เชิญตามสบายเลยนะหนูลา อยากทานอะไร หนูทานได้เต็มที่ เลือกได้ตามใจชอบเลย"
ประมุขของบ้านผายมือให้ลาเวนเดอร์ด้วยสีหน้าท่าทางใจดี มีเมตตา

"งั้นหนูไม่เกรงใจแล้วนะคะคุณลุง" ลาเวนเดอร์หันไปทางซันนี
ชี้ชวนไปยังของกินที่วางเรียงรายในที่จัดวางดูหรูหราอลังการ
จนไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ทั้งหมดนี้คือ ฝีมือผู้ชายที่หน้าตึง ไม่ค่อยยิ้มคนนั้นเป็นคนทำมันออกมา

"วุ้นนี้น่ารักจังเลยค่ะ ดูสิคะ" ลาเวนเดอร์ยิ้มตาใสทีเดียวเมื่อเห็นวุ้นกะทิเฉาก๊วยที่มีการแกะสลัก
เฉาก๊วยเป็นรูปดอกกุหลาบวางไว้ข้างบน

"เห็นแล้วไม่กล้ากินเลยค่ะ" ชมไปสายตาก็จับจ้องแต่ขนมนั้นไม่วางตา ไม่สนใจใครจะมองมาอย่างไร

"ชอบก็ตักเลย" เสียงนั้นทำให้ลาเวนเดอร์หันไปมอง ก็พบว่าเป็นคุณหมอนั่นเอง
ที่ยืนมองมาทางเธอด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออก

"กินก่อนข้าวก็ได้หรือคะ"

"ก็ควรจะกินหลังข้าวนะ" เขาตอบ

"พายบลูเบอร์รี่กับวุ้นสตรอว์เบอร์รีโยเกิร์ตก็มี เห็นรึยัง" เขาแนะนำ

"ไหนคะ อยู่ตรงไหน" แล้วเขาก็นำทางเธอไปยังขนมดังกล่าว เมื่อได้เห็นเท่านั้น
ลาเวนเดอร์ก็ยกสองมือขึ้นปิดปากตัวเองด้วยความตื่นตาตื่นใจ

"น่ากินจังเลยค่ะ น่ารักมากๆ ด้วย จะกินยังไงคะเนี่ย"

"เดี๋ยวผมตักให้นะ เอากี่ชิ้นดี" หญิงสาวยกสองนิ้วพร้อมรอยยิ้มสดใส
เขาก็เอาใจด้วยการตักแล้วยื่นให้

"ขอบคุณค่ะ" เสียงใสๆ เอ่ยขอบคุณโดยที่ดวงตายังคงจ้องไปยังของกินอื่นๆ

"ปังทูน่าโรลล่ะ สนใจมั้ย"

"อันนี้หรือคะ"

"ใช่"

"เอาค่ะ" แล้วก็ยกสองนิ้วขึ้นบอกเป็นนัยๆ ว่าช่วยตักให้ด้วย

"คุณซันนีละคะ"

"อย่ากังวลซันนีเลยค่ะ ซันนีกินเก่งที่สุดในที่นี้ ไม่มีไม่ทันกินแน่นอนค่ะ"

"งั้นซันนีเอาอันนี้ดีกว่า น่ากินมากๆ" ว่าแล้วก็หันไปตักอาหารคาว

"อะไรหรือคะนั่น" ลาเวนเดอร์อดถามไม่ได้เมื่อเห็นอาหารที่ตนไม่คุ้นเคยเลย

"ไก่พันตะไคร้" คนทำเป็นคนตอบแทน ก่อนจะถามว่า

"สนใจจะชิมดูมั้ย ดีต่อสุขภาพนะ" ลาเวนเดอร์รีบพยักหน้า ไม่คิดจะคิดให้นาน
ก่อนจะมีเด็กๆ เข้ามานำถาด บริการช่วยถือให้เธอ

"ส่วนอันนี้ แกงไทยโบราณ หากินยากแล้วล่ะ ชื่อว่า แกงหยวกใส่ปลาย่าง"
แล้วเขาก็ตักมันใส่หม้อดินอันเล็ก พร้อมกับตักข้าวสวยใส่จานที่ทำด้วยเครื่องปั้นดินเผา
เข้าคู่กันอย่างลงตัว วางลงไปในถาดของลาเวนเดอร์ แล้วนำถาดนั้นจากมือบริกร
เดินนำเธอไปทางที่นั่งตรงมุมสบายๆ คนละมุมกับคนอื่นๆ
ทำเอาสายตามากมายในที่แห่งนั้นพากันมองภาพดังกล่าวด้วยความรู้สึกหลากหลาย
แตกต่างกันไป ซันนีจึงเดินถือถาดของตนเดินตามลาเวนเดอร์ไปติดๆ

"อ่ะ คุณกับซันนีนั่งตรงนี้แล้วกัน ขอให้มีความสุขกับการกินนะครับ"
ลาเวนเดอร์เลิกคิ้วขณะมองเขาที่ดูจะเอาใจเธออย่างสุภาพบุรุษที่แสนดีก็ไม่ปาน
เขาเป็นฝ่ายบริการเธอหรือเนี่ย ชักจะทำตัวไม่ค่อยถูกแล้วสิ ปกติเธอจะบริการตัวเอง
กับคอยบริการคนอื่นๆ เพราะอาชีพเธอที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็งานบริการคนอื่นๆ ทั้งนั้น
ไม่เคยได้รับการบริการจากใครแบบนี้มาก่อนเลย

"น่ากินไปหมดเลยค่ะ คุณหมอเก่งจัง ทำฉันอายเลย" แก้มลาเวนเดอร์แดงขึ้น แม้ไม่ได้แต่งหน้า
หากก็มีหน้าสดที่ดูสดใสตามวัยและสวยแบบธรรมชาติ

"ไม่ต้องอายหรอก อยากกินไรบอกผมได้ ผมว่างช่วงนี้" เขาพูดเหมือนขันอาสาจะทำให้เธอกิน
ตามใจปากของเธอ นี่เขาพูดจริงใช่มั้ยเนี่ย

"พูดจริงรึเปล่าคะ" ไวเท่าความคิด หญิงสาวรีบชิงถามก่อนเขาจะขอตัวไปทางอื่น

"ผมเคยพูดเล่นๆ หรือ" พูดจบเขาก็เดินไปยังบิดามารดาของเขา
ทำเอาซันนีหันมาสะกิดลาเวนเดอร์ที่นั่งด้วยกัน

"กินให้เต็มที่ไปเลยค่ะ พรุ่งนี้ก็ต้องเริ่มอดแล้วนะคะ" ลาเวนเดอร์พยักหน้ายิ้มทั้งปากทั้งตา
ทำเอาซันนีอดคิดไม่ได้ว่า ก็ทั้งสวยทั้งน่ามองแบบนี้ จะไม่ให้คุณหมอรีบมาคอยบริการ
เอาอกเอาใจจนป่านนี้คู่หมั้นคงอกกลัดหนองไปแล้วมั้ง แต่ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ
สมควรแล้วจะต้องเจออิทธิฤทธิ์ของคุณหมอซะบ้าง

ลาเวนเดอร์ตักของคาวเข้าปากคำแรกก็ถึงกับตาลุกวาวกับรสสัมผัส

"อร่อยจังเลยค่ะ ทำไมอร่อยอย่างนี้ละคะ"

"ก็บอกแล้วไงคะว่าถ้าไม่ลงมากินจะต้องเสียดาย"

"ถ้าไม่ได้กินนี่น่าเสียดายจริงๆ ด้วยค่ะ" พูดแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตากินจนไม่สนใครหรืออะไร
ตักกินนั่นนี่อย่างเพลิดเพลิน ทำเอาคนทำอาหารที่ชำเลืองหันมามองอยู่เรื่อยๆ ถึงกับ
ยิ้มบาง ดวงตาเป็นประกาย

"อัลฮัมดุลิลลาห์ อร่อยที่สุดและอิ่มสุดๆ ไปเลยค่ะคุณซันนี" ลาเวนเดอร์เอ่ยขึ้นหลังจาก
วางช้อนส้อมลง พับเก็บอาวุธเรียบร้อยแล้ว

"เล่นกินทุกเมนูแบบนี้ ไม่กลัวอ้วนหรือคะ" ซันนีแหย่เมื่อได้เห็นแล้วว่าคนตรงหน้า
กินอาหารโดยไม่ห่วงสวยเลยสักนิด กินอย่างเอร็ดอร่อยอย่างเป็นธรรมชาติ ไร้การปรุงแต่ง
ไม่ได้กินมูมมาม และไม่ได้เก็บอาการเก็บทรง ทำเอาเธอที่นั่งกินด้วยพลอยกินอย่างเอร็ดอร่อยตาม
เพราะคนตรงหน้าดูจะกินอะไรก็อร่อยไปทุกอย่าง แถมยังกวาดเรียบกินทุกเมนูเสียด้วย

"ไม่กลัวอ้วนหรอกค่ะ เพราะพรุ่งนี้ก็เริ่มถือศีลอดแล้ว กลัวผอมเป็นกุ้งแห้งมากกว่า อิอิ"

"นั่นน่ะสิ ยังไงก็สู้ๆ นะคะ"

"สู้ค่ะ" ลาเวนเดอร์ยกกำปั้นขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใสเบิกบาน ก็แน่ละสิ ได้กินของอร่อยถูกใจ
มีหรือจะไม่อารมณ์ดี

"แต่ไม่รู้จะได้กินอะไรอร่อยๆ แบบนี้อีกมั้ยนี่สิ" ไม่วายทอดถอนใจ

"เดี๋ยวพาลาเวนเดอร์กลับไปพักผ่อนที่ห้องด้วยนะซันนี ทางนี้คงคุยกันอีกยาวกว่าจะแยกย้ายกันกลับ"
วาลองโซลเดินมาสั่งความกับลูกน้องก่อนจะหันไปทางลาเวนเดอร์ และทันได้ยินประโยคดังกล่าว

"ขอบคุณนะคะคุณเซริวที่เลี้ยงข้าวมื้อใหญ่"

"เห็นคุณกินไม่สนโลกแบบนั้น ผมก็รู้แล้วว่า คุณไม่น่าจะเดินกลับห้องคนเดียวไหว"
นั่นเขาพูดเหมือนจะหยอกเธอใช่มั้ย เธอไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย

"พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนเลยค่ะ แต่ยังไม่ค่ำเลยนี่สิ" เธอว่าอย่างอารมณ์ดี

"เอานี่ไปสิ" เขายื่นซองเล็กๆ มาให้เธอ

"อะไรคะ"

"ทอฟฟี่ มันจะเปรี้ยวๆ ผมทำไว้กินแก้เลี่ยน" ลาเวนเดอร์รับมาหนึ่งกำมือแล้วมองมัน
ก่อนจะมองเขา

"ทำไมคุณใจดีจังเลยละคะ"

"ก็ถ้าคุณว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อ ไม่ซนจนเกินไป ผมก็จะใจดีกับคุณแบบนี้แหละ"
ลาเวนเดอร์รู้สึกเหมือนเธอจะวูบ เมื่อเจอกับสายตาและคำพูดของเขาที่ดูจะแตกต่างกว่าครั้งอื่นๆ ที่ผ่านมา
แต่กระนั้นก็แกะทอฟฟี่ออกมา แล้วนำเข้าปาก อมๆ ดูก็ยิ้มออกมาด้วยแววตาถูกอกถูกใจ
ก่อนจะยกนิ้วหัวแม่มือให้เขาทั้งสองข้าง

"ฉันน่ะแพ้ทางของกินอร่อยๆ ค่ะ" ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มใสซื่อ ทั้งเปิดเผยและจริงใจ

"ผมรู้" เขาว่าด้วยแววตาเป็นประกาย ลาเวนเดอร์เลยรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา
ก็เขาดันมารู้ทันรู้ทางเธอไปหมดแบบนี้

"คุณน่ะร้ายกาจที่สุดเลย"

"รีบเอาคนของคุณไปเก็บได้แล้วซันนี คุณก็รู้ว่าเพราะอะไรต้องรีบเอาไปเก็บ"
วาลองโซลหันไปทางซันนีที่ยืนยิ้มขันอยู่ข้างๆ ลาเวนเดอร์แล้วสั่งความ

"ค่ะ ควรเอาไปเก็บได้แล้วจริงๆ ค่ะ เพราะน่ารักเกินไปมากเลยค่ะตอนนี้"
หญิงสาวผู้ไม่วายกัดจิกเจ้านายตนเองพอเป็นพิธี จากนั้นจึงประคองลาเวนเดอร์กลับห้อง
โดยที่หญิงสาวหันไปทางทุกคนแล้วโน้มตัวลงนิดนึงเป็นการทำความเคารพก่อนขอตัวจากไป
โดยไม่รู้เลยว่า ตัวเองกลายเป็นหัวข้อที่คนอื่นๆ นำมากล่าวขานพูดถึงตามมา
เพียงลับหลังหายไปนิดเดียวเท่านั้น

...........................................................................

"พี่ไม่ไว้หน้านาซี่เลย ทำไมคะ เพราะอะไรถึงเอาใจใส่หญิงอื่นต่อหน้าทุกคนแบบนั้น
ทั้งๆ ที่นาซี่ก็อยู่ตรงนี้ แต่พี่กลับเมินเฉย ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจกันเลย"

เมื่อสบโอกาส นาซานินก็รีบตัดพ้อต่อว่าวาลองโซลด้วยสีหน้าแววตาไม่พอใจอย่างที่สุด
มีอย่างที่ไหน ไปตามคอยบริการหญิงอื่นทั้งๆ ที่ตนเองมีคู่หมั้นอยู่ตรงนี้ทั้งคน
หากเขาก็ยังเป็นเขาที่ดูจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลยสักนิด

"เมื่อไหร่พี่จะหันมามองนาซี่บ้าง เราเป็นคู่หมั้นกันนะคะ"

"พี่เคยบอกเธอยังไง ตอนนี้คำตอบนั้นก็ยังเหมือนเดิม
และลาเวนเดอร์ไม่ใช่คนอื่น สำหรับพี่เธอไม่เคยเป็นคนอื่น"

"นาซี่ไม่ยอม และจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด"

"เธอก็รู้ดีว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะยอมหรือไม่ยอมเลย"

"นาซี่จะขัดขวางทุกทางเลยคอยดูก็แล้วกัน"

"อย่ามาข่มขู่พี่ เธอก็รู้ว่า มันไม่คุ้มที่เธอจะมาเสียเวลา"

"นาซี่จะรอ รอวันที่พี่จะหันมา"

"มันจะทำให้เธอเสียเวลาชีวิตนะนาซี่ พี่อยากให้เธอเปิดโอกาสให้ตัวเองได้รับสิ่งที่ดีกว่า
ให้กับตัวเอง"

"ก็พี่ไงคะคือ สิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับนาซี่"

"ไม่หรอก เพราะเธอไม่เคยมองดูใครอื่น เธอจึงไม่เห็นว่ามีคนอีกมากมายที่ดีกว่าพี่
เหมาะสมกับเธอมากกว่าพี่"

"แล้วลาเวนเดอร์มีดีที่ตรงไหน เพราะเธอสวยกว่าใครใช่มั้ยละคะ เธอมีดีก็แค่ความสวยเท่านั้น"

"ใช่ เธอสวย สวยทุกอย่าง และเพราะเธอสวยทุกอย่าง"

"พอค่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว" นาซานินเริ่มน้ำตาคลอเบ้า ไม่อาจทนฟังคนที่ตนมีใจให้พูดถึงอีกคน
ด้วยแววตาชื่นชมยินดีแบบนี้ได้ ก่อนจะรีบเดินไปยังห้องน้ำ โดยไม่รู้ว่า มาดามมารีอานน์
ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดนี้

.............................................................................

ค่ำลง ลาเวนเดอร์ที่ถักกระเป๋าโครเชต์พายบลูเบอร์รี่เสร็จแล้วก็กระหายน้ำขึ้นมา
จึงเดินลงมายังด้านล่าง หากก็ไม่ลืมสวมผ้าคลุมฮิญาบด้วย
เพราะในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่ได้มีแค่ผู้หญิงด้วยกันเท่านั้น
แต่มีผู้ชายรวมอยู่ด้วย ซึ่งทุกคนในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันกับเธอ
ทำให้ต้องระมัดระวังเรื่อง 'เอาเราะห์'

ขณะเดินเข้าไปในห้องครัว เธอเห็นเงาดำผ่านวูบไปทางด้านหลัง หันไปมองก็ไม่เจอใครหรืออะไร
จึงเดินเข้าไปในห้องครัว หยิบแก้ว กดน้ำอุ่นมานั่งดื่ม สายตาหันไปอีกทีก็พบร่างสูงใหญ่กำยำ
ยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องครัว ลาเวนเดอร์ขมวดคิ้ว พยายามนึกให้ออกว่า ใบหน้านี้คือ ใคร
แล้วก็นึกขึ้นได้

"ขอนั่งด้วยคนสิครับ ผมชัชชน เรียกว่า พี่ชน ก็ได้ครับ"

"ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ ดึกมากแล้ว คงไม่เหมาะที่จะมาคุยกันตรงนี้แบบสองต่อสอง
ขอตัวก่อนนะคะ" ลาเวนเดอร์รีบลุกและขอตัวทันที หากกลับถูกเขายืนขวางทางไว้

"อย่าเพิ่งไปสิครับ"

"ช่วยหลีกทางให้ด้วยค่ะ"

"จะรีบไปไหนละครับ อยู่คุยกันก่อนสิ"

"ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันง่วงแล้ว"

"คุณสวยมากนะครับ สวยจนผมห้ามใจไม่ได้เลยจริงๆ" นั่นไง ปัญหาก็เดินทางมาชนเธอจนได้
ลูกสาวเจ้าของบ้านยิ่งไม่ค่อยชอบขี้หน้าเธออยู่ด้วย แม่ที่เธอเดินทางมาเพราะอยากพบเจอ
ก็ยังไม่ได้เจอหน้า ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมจะปะทะกับใครทั้งนั้น

"หลีกทางให้ด้วยค่ะ" ลาเวนเดอร์พยายามจะเดินอ้อมไปทางอื่น หากก็ถูกขวางไว้จนได้อีก

"ฉันเตือนคุณแล้วนะคะว่าให้หลีกทางให้"

"ผมก็บอกคุณไปแล้วว่าผมสนใจคุณ"

"คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ไม่ควรมายุ่งกับสาวอื่นแบบนี้ ฉันไม่อยากเดือดร้อนค่ะ"

"แล้วทำไมทีเซริวที่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ถึงมายุ่งกับคุณได้โดยที่คุณไม่ได้มีท่าทีรังเกียจแบบนี้ละครับ
หรือคุณมีสองมาตรฐาน เลือกปฏิบัติ"

"เขาไม่ได้มีท่าทางคุกคามแบบคุณนี่คะ"

"มันก็แค่รอเวลา รอจังหวะจะตะปบเหยื่ออย่างคุณตอนที่คุณตกหลุมพรางกับดักแล้วมากกว่า เชื่อผมสิ"

"คุณไม่ควรพูดถึงพี่ชายของคู่หมั้นของคุณแบบไม่ให้เกียรติเขาแบบนี้"

"แล้วทำไมผมต้องให้เกียรติเขาด้วย เขากับผมศักดิ์เท่ากัน เขาไม่ได้ร่ำรวยไปกว่าผม
และไม่ได้มีหน้าที่การงานที่มีเกียรติไปกว่าผม ชาติตระกูลก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าผม
แล้วทำไมผมต้องก้มหัวให้กับคนอย่างเขาด้วย ทำไมผมต้องยอมให้เขาได้ในสิ่งที่ดีกว่าผมด้วย"

ลาเวนเดอร์ได้แต่ลอบถอนใจ

"งั้นก็ควรให้เกียรติตัวเองและครอบครัวของคุณด้วยการไม่มายุ่งกับฉันทั้งๆ ที่อีกไม่กี่วัน
คุณก็จะแต่งงานแล้ว"

"แล้วถ้าผมไม่ต้องแต่งงาน ผมก็ยุ่งกับคุณได้ใช่มั้ย" เอ๊ะ ทำไมพูดไม่รู้เรื่องนะ

"กรุณาหลีกทางด้วยค่ะ" ลาเวนเดอร์กำหมัดแน่นที่อีกฝ่ายดูจะไม่ยอมหลีกทางให้เธอเลย

"ถ้าเขาทำได้ ทำไมผมจะทำไม่ได้" ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มพุ่งพรวดเข้ามาหมายจะตะครุบร่างบาง
ในชุดนอนเสื้อแขนยาวกางเกงวอร์มเอาไว้ หากหญิงสาวกลับหลบหลีกได้ว่องไว
และไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงใหญ่ก็ถูกเตะด้วยท่าเตะเจาะยาง หรือ Calf Kick เพราะอีกฝ่ายได้เปรียบ
เรื่องความสูงและช่วงตัว ทำให้ชายหนุ่มเสียหลัก และไม่รอช้า ลาเวนเดอร์ใช้ท่าเตะไม้ตาย
เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว หรือ Crescent Kick ซึ่งเป็นเทคนิคขั้นสูงที่เธอได้รับการฝึกฝนมา
โดยการก้าวขาหนึ่งไปด้านหน้า แล้วเหวี่ยงขาอีกข้างเป็นวงกว้างคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว
เตะโค้งออกด้านนอกด้วยการจู่โจมที่รวดเร็วและสร้างความบาดเจ็บให้อีกฝ่ายได้ไม่น้อยเลย

ทำเอาร่างใหญ่ล้มลงไปนอนร้องครางกับพื้นครัวดังลั่นด้วยความเจ็บปวด
ส่งผลให้คนในคฤหาสน์ลงมาดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น

คนแรกที่มาถึงคือ วาลองโซล เขาเห็นลาเวนเดอร์กำลังยืนตั้งการ์ดกำหมัดทั้งสองห่างจาก
คนที่นอนร้องครางอยู่บนพื้นราวๆ สองเมตร แล้วตามมาด้วยเวโรนิคที่ส่งเสียงร้องลั่นบ้าน
โผไปยังคู่หมั้นทันที ถัดมาก็สองสามีภรรยาเจ้าของบ้าน และซันนี

"เกิดอะไรขึ้นคะชน" เวโรนิคถามคู่หมั้นหลังจากประคองให้เขาลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว
ก่อนจะหันไปทางลาเวนเดอร์ด้วยแววตาจับผิด

"มีการเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ไม่มีอะไรครับ"

"จะไม่มีอะไรได้ยังไงคะ ดูสภาพคุณตอนนี้สิ จะเดินยังเดินไม่ได้เลย"

"ลาเวนเดอร์แค่เข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นโจร ก็เลยซัดผมซะน่วมเลย เขาแค่จำว่าผมเป็น
คู่หมั้นของคุณไม่ได้" ลาเวนเดอร์เม้มปากเป็นเส้นตรง มองคนที่พูดจากลับกลอกปลิ้นปล้อน
คนแบบนี้น่ะหรือที่จะมาเป็นลูกเขยของคุณลุงกับคุณป้า เฮอะ

"จริงรึเปล่าลาเวนเดอร์" เวโรนิคหันไปถามลาเวนเดอร์ที่ตอนนี้เดินไปยืนอยู่ข้างๆ พี่ชายตนกับซันนี
ยิ่งเห็นยิ่งไม่ถูกชะตาเอาซะเลย ผู้หญิงคนนี้

"แล้วแต่คุณจะเชื่อค่ะ แต่ฉันไม่ใช่คนที่ความจำเสื่อมแบบกะทันหันแน่นอน
และในห้องครัวก็ไม่ได้มืด หรือสลัวที่จะมองและแยกแยะอะไรได้ไม่ชัดเจน"
ทำไมเธอต้องช่วยคนแบบนั้นด้วย จะมีก็แต่จะซ้ำให้หนักยิ่งกว่าเดิม
คนอะไร เอาตัวรอดด้วยการยัดเยียดความผิดให้คนอื่นซึ่งๆ หน้า หน้าไม่อายเลยสักนิด
นิสัยแบบนี้ไม่ควรได้รับการสืบทอดทางพันธุกรรมด้วยซ้ำ

"หมายความว่าไง"

"ถามเขาดูสิคะ" ลาเวนเดอร์โยนปัญหากลับไปที่ตัวต้นเหตุ ก่อนจะขอตัวไปนอน

"ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มถือศีลอดแล้ว ฉันก็แค่ลงมาหาอะไรดื่ม
เพราะไม่อยากตื่นมากินข้าวซะโฮรฺคนเดียวตอนตีสี่ก็เท่านั้นค่ะ"

"ใครบอกว่าคุณจะตื่นมากินข้าวซะโฮรฺคนเดียว ผมเองก็จะถือศีลอดด้วย ซันนีก็ด้วย"

ลาเวนเดอร์หันไปทางวาลองโซลและซันนี หญิงสาวพยักหน้าเป็นการยืนยัน

"ทำไมไม่เห็นบอกกันเลยละคะ"

"ก็กำลังบอกอยู่นี่ไง" วาลองโซลตอบพลางมองไปยังว่าที่น้องเขยที่ตอนนี้ไม่กล้า
แม้แต่จะสบตากับเขาด้วยซ้ำ

"งั้นก็แยกย้ายกันก่อนเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาพูดคุยสะสางกัน"
ประมุขของบ้านตัดบท ก่อนจะจูงมือภรรยาเดินกลับเข้าห้องนอนไป คนอื่นๆ เลยเดินตามกันไป
ทิ้งให้ลาเวนเดอร์ที่ยังยืนอยู่มองตามทุกคนไปด้วยแววตาเหนื่อยล้า

เธอไม่อยากสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ใครเลย ไม่อยากแม้แต่จะเป็นภาระของใครต่อใคร

"ทำไมยังไม่ไปอีก" วาลองโซลหันมาเรียกหญิงสาวที่เหมือนจะยังไม่ยอมขยับเขยื้อน

"ฉันว่า ยังไม่สายหรอกนะที่คุณจะหาทางเปลี่ยนตัวน้องเขย เพราะตอนนี้ยังเป็นแค่คู่หมั้น
ยังไม่ใช่สามี คนคนนี้ไม่เหมาะกับน้องสาวคุณหรอกค่ะ" พูดแล้วก็เดินกะเผลกไปยังห้องนอน

"เดี๋ยว" เสียงนั้นทำให้ขาที่กำลังเดินหยุดชะงัก

"คุณไม่ได้ดูเลยหรือไงว่า เท้าคุณมีเลือดไหลออกมาอีกแล้ว" ลาเวนเดอร์ก้มมองเท้าของตน
ก็เห็นเป็นเช่นนั้น

"ถึงว่า ทำไมเจ็บขึ้นมา คงเพราะใช้มันเตะคนหนักไป ฉันคงลืมตัวค่ะ"
ไม่พูดเปล่า ยังยิ้มขันตัวเองไปด้วย ทำเอาคนเป็นหมอถึงกับส่ายหน้า

"เดี๋ยวฉันจัดการเองได้ค่ะคุณหมอ คุณหมอไปนอนเถอะนะคะ แค่นี้เอง"
พูดจบก็เดินกลับห้องตัวเองไป ส่วนเขาไม่ได้ฟังเธอ เดินไปหยิบกระเป๋าอุปกรณ์แล้วเดินตามเธอไป
ก่อนจะไปเคาะห้องซันนี

"คุณช่วยไปดูเขาหน่อย แผลที่เท้าน่าจะมีปัญหา"

"ได้ค่ะ" ซันนีรับกระเป๋าอุปกรณ์มาจากวาลองโซล

"ถามเขาหน่อยว่า ชัชชนทำอะไรเขาบ้าง"

"ดูจากสภาพแล้ว คุณชนไม่น่าจะได้แตะต้องหรือสัมผัสแม้แต่ปลายเล็บเลยด้วยซ้ำค่ะ"
ซันนีหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปยังห้องของลาเวนเดอร์ที่อยู่ติดกัน
ก่อนจะเคาะห้อง สักพักก็เดินเข้าไปในนั้น

วาลองโซลได้แต่อึดอัดใจ ไม่รู้ควรจะจัดการอย่างไรเรื่องของน้องสาว
แน่นอนว่า เขาไม่เคยปลื้มว่าที่น้องเขยที่น้องสาวของเขาตกหลุมรักหัวปักหัวปำ
จนกำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้ามาแต่ต้น
แต่ก็ห้ามปรามน้องสาวที่เอาแต่ใจไม่ได้ บิดามารดาของเขาเองก็ตามใจน้องสาวจนเคยตัว
มาถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าน้องสาวของเขาจะคิดได้ไหม


.......................................................................................................

"เธอเป็นไงบ้าง" ซันนีถึงกับตกใจเมื่อออกมาจากห้องของลาเวนเดอร์ก็เจอกับคุณหมอวาลองโซล
ที่ยืนอยู่หน้าห้องเธอเหมือนว่ารออยู่นานแล้ว

"นี่คุณหมอยังอยู่รอหรือคะ"

"ผมร้อนใจ อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่" ซันนีลอบถอนใจ สีหน้าไม่สู้ดีนัก

"แผลฉีกค่ะ ขนาดใหญ่กว่าเดิม อักเสบด้วย พรุ่งนี้คงต้องพักเท้าค่ะ"

"แล้ว เอ่อ"

"เรื่องนั้น เธอบอกแค่ว่า คุณชัชชนมีท่าทีคุกคามเธอ และพูดถึงคุณในแง่ไม่ดีๆ ไม่ให้เกียรติ
และดูถูกเธอ อ่อยเธอ เล่นหูเล่นตากับเธอ พอเธอไม่เล่นด้วย ก็จะลวนลาม
เธอเลยจัดการด้วยมวยไทยที่ได้รับการฝึกฝนมาค่ะ"

พูดจบก็ขำขึ้นมา เพราะดูท่าคนที่โดนท่าไม้ตายไปแบบนั้น พรุ่งนี้คงไม่ง่ายที่จะลุกเหินเดินสบาย

"สมควรแล้วค่ะที่ต้องเจอแบบนั้นเข้าให้บ้าง" ซันนีพูดด้วยน้ำเสียงสาแก่ใจ

"เธอไม่ได้โดนทำร้ายใช่มั้ย"

"ไม่เลยค่ะ อย่างที่ซันนีบอกก่อนหน้านี้นั่นแหละค่ะ ไม่ได้แตะต้องหรือสัมผัสแม้แต่ปลายเล็บ ฮ่าๆๆๆ"
พูดแล้วก็เปิดประตูห้องนอน เพราะง่วงสุดแสนจะง่วง แต่ไม่วายแหย่อีกฝ่ายให้พอแสบๆ คันๆ

"คุณหมอเองก็หายกังวลแล้วก็กลับไปนอนซะนะคะ เธอยังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน สบายใจได้ค่ะ"

วาลองโซลยิ้มบางก่อนจะหันไปทางประตูห้องนอนของลาเวนเดอร์แล้วเดินกลับเข้าห้องนอน
ของตนเองไป โดยที่เวโรนิคที่ยืนหลบมุมอยู่ไม่ไกล ได้ยินทุกอย่างทั้งหมดที่สองคนสนทนากัน


....................................

วันถัดมา ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ประมุขของบ้านจูงมือภรรยานั่งรถไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่
ส่วนเวโรนิคมีนัดประชุมแต่เช้า ส่วนคู่หมั้น อาการยังไม่สู้ดี เลยขอพักผ่อนอีกสักวันจึงค่อยกลับไป
ทำงานที่บริษัทตนเอง ทำให้ทั้งบ้าน มีเพียงวาลองโซล ซันนี และลาเวนเดอร์ที่ถูกสั่งห้ามเดินไปไหน
หนึ่งวัน เลยนั่งถักกระเป๋าอีกใบให้ซันนีอยู่ในห้องนอน

"คุณหมอจะไปไหนคะ" ซันนีถามขึ้นเมื่อเห็นวาลองโซลเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก

"จะไปซื้อของในครัวที่ขาดหน่อย"

"ทำไมไม่ให้แม่บ้านหรือเชฟไปแทนละคะ"

"ผมอยากไปเดินเลือกดูพวกวัตถุดิบมาทำอาหารค่ำนี้ด้วยตัวเอง ไปไม่นานหรอก
ฝากคุณจับตาชัชชนให้ด้วยก็แล้วกัน และฝากดูลาเวนเดอร์ด้วย ผมไม่ไว้ใจเจ้านั่นเท่าไหร่"

"ได้ค่ะ"

............................................................

ชัชชนเมื่อเห็นว่า วาลองโซลไม่อยู่ มีแต่ซันนีเท่านั้น เขาจึงวางแผนร้ายเพื่อล่อให้ซันนี
ออกห่างจากลาเวนเดอร์ ยังไงๆ วันนี้ เธอก็ต้องตกเป็นของเขา เรื่องอะไรเขาจะปล่อยให้หญิงสาว
คนนี้ตกไปเป็นของวาลองโซลที่เขามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่ามันต้องการจะทำอะไร
และเขาไม่มีทางให้มันสมหวังดังปรารถนาหรอก

เมื่อกิเลสตัณหาเข้าครอบงำ ผิดถูกรู้หมด แต่อดไม่ได้
ซันนีถูกสายจากทางบ้านโทรมาบอกว่าพ่อล้มหัวฟาดพื้นห้องน้ำ ให้รีบไปที่โรงพยาบาล
เธอพยายามติดต่อวาลองโซล แต่โทรไม่ติด จึงเขียนข้อความบอกไว้แทน

ทางด้านชัชชนเมื่อเห็นว่า ซันนีออกไปข้างนอกแล้ว ก็รีบจู่โจมเหยื่อทันทีที่มีโอกาส
ซึ่งไม่มีโอกาสใดจะเหมาะเท่าโอกาสนี้อีกแล้ว เค้าเคาะห้องหญิงสาว แล้วห้องก็ถูกเปิดออก
อย่างง่ายดายโดยที่ลาเวนเดอร์คิดว่า ซันนีลืมอะไรเลยแวะกลับมาสั่งความเธอ
เธอผิดคาด ชายร่างสูงใหญ่ดันร่างเธอเข้าไปข้างใน แล้วพุ่งตามเข้ามา ปิดประตูลงกลอนทันที
จากนั้นก็ใช้จังหวะที่เธอกำลังเซ เพราะขาเจ็บระบมเนื่องจากอักเสบและมีไข้เล็กต่ำๆ
ทำให้มึนๆ เข้าชาร์ตตัวเธอเอาไว้ ทว่า ลาเวนเดอร์หลบมัน หากกลับล้มลงบนเตียงแทน
อีกฝ่ายเลยโถมตัวเข้ามา หวังจะทาบทับร่างเธอเอาไว้ แต่หญิงสาวก็หลบหลีกได้ทัน
และก่อนจะส่งเสียงเรียกให้คนมาช่วย ก็ถูกมือใหญ่ปิดปากเอาไว้แน่น
แล้วล้อคร่างนั้นเอาไว้บนเตียง หมายจะจับปล้ำ

ทว่า ไม่ทันได้ทำอะไร ประตูก็ถูกไขออกจากด้านนอก ไวเท่าความคิด
ชัชชนพลิกกายให้ตัวเองอยู่ใต้ร่างลาเวนเดอร์แทน แล้วตะโกนดังลั่นว่า

"ปล่อยผมนะ นี่คุณจะทำอะไรผม ผมไม่เล่นด้วยหรอกนะ คุณจะบ้าหรือลาเวนเดอร์
ผมมีคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานแล้วคุณก็รู้"

เวโรนิคเข้าไปลากตัวลาเวนเดอร์ออกมาจากคู่หมั้น แล้วเหวี่ยงสุดแรง
จนร่างของคนถูกเหวี่ยงปลิวไปชนเข้ากับโต๊ะ ศีรษะมีเลือดไหลออกมาทันที
เวโรนิคเข้าไปช่วยประคองตัวคู่หมั้นออกมาจากเตียง แล้วหันไปทางลาเวนเดอร์
จ้องมองด้วยแววตามีดวงเพลิงขนาดใหญ่ มุ่งไปหาลาเวนเดอร์ที่มึนยิ่งกว่าเดิม
แถมยังรู้สึกเจ็บเป็นริ้วๆ ขึ้นมาที่ศีรษะ แล้วกระชากผมเธอขึ้นมาก่อนจะใช้มือฟาดตบหน้าเธอไม่ยั้ง
สุดแรง จนเลือดกบปาก จากนั้นโขกหัวเธอกับพื้นห้องด้วยความหึงหวงสุดขีด จนขาดสติไปแล้ว

"เธอก็แค่คนมาขออาศัยเขาอยู่ แต่กลับตอบแทนผู้มีพระคุณของเธอด้วยวิธีเลวๆ แบบนี้หรือ
เลวที่สุด ผู้หญิงสารเลว แพศยา ยั่วผู้ชายไปทั่ว ทั้งคู่หมั้นทั้งพี่ชายฉันเธอก็คงอยากจะเคลม
ทั้งหมดซินะ"

"คุณมันตาบอด และหูหนวก" ลาเวนเดอร์พยายามเปล่งคำพูดออกมาทั้งๆ ที่สติใกล้จะดับวูบลงแล้ว

"คนเลวก็คือ คู่หมั้นคุณ ไม่ใช่ฉัน นี่ห้องของฉัน เขาเป็นคนลอบเข้าห้องฉัน"

"หยุดนะ เธออ่อยเขายังไงทำไมฉันจะดูไม่ออก ผู้หญิงอย่างเธอก็ไม่ต่างจากไม้เลื้อย
ที่ต้องการที่เกาะ" ไม่พูดเปล่า เวโรนิคเข้าไปกระชากผมลาเวนเดอร์อีกครั้ง กำลังจะเงื้อมือตบ
อีกครั้ง แต่คราวนี้มีเสียงเข้มราวกับฟ้าผ่าดังขึ้น

"หยุดเดี๋ยวนี้นะ" วาลองโซลรีบเข้าไปหาคนที่ตอนนี้สลบไปแล้ว แล้วยกร่างนั้นขึ้นวางบนตัก
ก็พบเลือดไหลออกมาจากศีรษะของหญิงสาวจนเลอะพื้นเต็มไปหมด ไหนจะใบหน้าที่ยับเยิน
อาบเลือด ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองน้องสาว แล้วคำรามเสียงราวกับเสือเจ็บว่า

"ออกไป เอาคู่หมั้นเธอออกไปให้พ้นบ้านหลังนี้ด้วย แล้วอย่าให้พี่เห็นหน้ามันอีก
ไม่งั้นพี่จะฆ่ามันทิ้งซะ"

"พี่เซริว พี่จะมาโทษพี่ชนแบบนี้ไม่ถูกนะ"

"พี่บอกว่าออกไปให้พ้น เอามันไปเก็บให้ไกลๆ ด้วย" พูดจบก็ยกร่างของลาเวนเดอร์ขึ้น
แล้วรีบพาไปยังโรงพยาบาลของตนทันที





............................โปรดติดตามตอนต่อไป............................................

ใกล้จะเข้าสู่เดือนรอมาฎอนแล้ว เต่าโยขอส่งใบลากับนักอ่านเช่นเคย
แล้วค่อยเจอกันอีกครั้งหลังจากเดือนรอมาฎอนนะคะ อินชาอัลลอฮ์

ขอให้ทุกคนได้รับความสงบ สันติ ในเดือนรอมาฎอนอันประเสริฐนี้
และขอให้บรรดาการงานที่ดีได้รับการตอบรับ อามีนๆ

ด้วยรัก

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มี.ค. 2567, 10:32:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มี.ค. 2567, 10:32:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 79





<< บทที่ 11 หนึ่งเดียวในใต้หล้า   บทที่ 13 คุณค่าของเธอ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account