Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้
ตอน: บทที่ 13 คุณค่าของเธอ
วาลองโซลกับซันนีนั่งมองสตรีที่นอนหลับพริ้มอยู่บนเตียง ใบหน้ามีรอยนิ้วปรากฏอย่างชัดเจน
โดยที่แทบไม่ต้องถามว่า เธอโดนอะไรมาบ้าง ศีรษะแตกต้องเย็บไปหลายเข็ม
จึงพันผ้าพันแผลรอบศีรษะเอาไว้
"คงต้องล้มเลิกงานแต่งแล้วล่ะค่ะ หลักฐานมัดตัวชัดเจนขนาดนั้น" ซันนีส่ายหน้าให้กับ
ความคลั่งรักของเวโรนิคที่ขาดสติขนาดนั้น เกือบทำให้คนคนนึงตายได้เลย
"ขอบคุณมากนะซันนีที่รอบคอบ ก่อนไปยังไม่ลืมติดตั้งกล้องไว้ในห้องนอนของลาเวนเดอร์
ไม่งั้นผมก็คงไม่รู้ต้องทำยังไงให้นิกกี้ยอมตัดใจสักที"
"ก็ซันนีไม่ไว้ใจผู้ชายคนไหนสักคนนี่คะ ต่อให้เป็นคุณหมอก็เถอะ" พูดไปก็ยิ้ม หัวเราะฮึๆ ในลำคอ
"คุณทำหน้าที่ได้ดีขนาดนี้ ผมควรเพิ่มโบนัสให้ใช่มั้ย" วาลองโซลรู้สึกอย่างที่พูดเพราะเขารู้สึก
ขอบคุณลูกน้องที่ทำงานออกมาได้ดีและรอบคอบ
"ควรมากๆ ค่ะ" ก่อนจะจี้ถามว่า
"ถามจริงๆ นะคะ ถ้าไม่มีคลิปนั้นยืนยัน คุณหมอจะเชื่อใครคะ"
"ผมไม่ได้ขาดสติขนาดที่จะลืมไปว่าใครเป็นยังไงนะซันนี ผมรู้จักชัชชนและน้องสาวตัวเองดี
ไม่เคยสนับสนุนให้สองคนนี้คบหาและแต่งงานกันด้วยซ้ำ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะพ่อกับแม่
ให้ท้ายและตามใจลูกคนเล็กซะขนาดนั้น การมีหลักฐานมัดตัวก็ช่วยให้ความจริงกระจ่างออกมา
เพราะแค่คำพูดมันไม่มีน้ำหนักพอให้ใครเชื่อได้ อีกอย่าง นิกกี้ทำเกินไปมากจริงๆ"
"ก็จริงค่ะ"
"อีกอย่างลาเวนเดอร์ก็กำลังถือศีลอด แผลก็อักเสบ มีไข้ต่ำๆ จะเอาแรงที่ไหนไปสู้
และคงไม่คิดจะทำอะไรลามกอนาจารในห้องตัวเองในขณะที่ตนเองกำลังถือศีลอด
มันไม่กินกับปัญญา และเธอก็ไม่ได้มีท่าทีจะชอบพอชัชชนเลยด้วยซ้ำ และก็ยังไม่ใช่
คืนพระจันทร์เต็มดวงด้วย" พูดถึงตรงนี้ วาลองโซลก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูกขึ้นมา
ซันนีเห็นชัดว่าแก้มเขาเริ่มมีสีแดงขึ้นมา จึงไม่วายลอบยิ้มให้กับท่าทางที่ซ่อนความอาย
ความขัดเขินไว้ไม่มิดนั่น น้ำเสียงถัดมาเลยดูแกว่งๆ
"ไม่เจอสาเหตุที่เป็นไปได้ตามข้อกล่าวหาที่ชัชชนกล่าวหาเธอสักข้อ"
"ขอบคุณนะคะที่ไม่คิดว่าฉันเลวและทำเรื่องเลวๆ แบบนั้น" น้ำเสียงดังมาจากคนที่นอนอยู่บนเตียง
ที่ตอนนี้ลืมตาขึ้นมามองทั้งสองคนด้วยสีหน้าอิดโรย ทว่า แววตากลับทอเป็นประกายสดใส
วาลองโซลหันไปยิ้มบางๆ ให้คนป่วย แล้วเดินเข้าไปอีกนิด ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟังว่า
"ยังเจ็บอีกมั้ย" ลาเวนเดอร์ส่ายหน้าเบาๆ
"ยาคงยังไม่หมดฤทธิ์มั้งคะ เลยไม่เจ็บ" ว่าพลางยิ้มอย่างสดใสออกมา ทำให้ซันนีเข้าไปกุมมือนั้น
แล้วส่งยิ้มไปให้ และอยู่ๆ ประตูห้องคนป่วยก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นผู้มาใหม่สามคน
โดยประมุขของบ้านเป็นผู้หิ้วกระเช้าผลไม้ ส่วนผู้เป็นภรรยาหิ้วอาหารโดยมีลูกสาวช่วยถือ
ตะกร้าของกินให้อีกแรง
"แม่พาน้องมาขอโทษหนูลากับเรื่องทั้งหมดที่เข้าใจผิดกัน" พูดพลางมองไปยัง
คนป่วยแล้วให้สงสารขึ้นมาจับใจ ลูกสาวเธอได้ทำในสิ่งที่เป็นความผิดพลาดที่ยากจะให้อภัยลงไป
ซึ่งครั้งนี้ ยากเกินที่เธอจะยืนข้างลูกสาวหรือให้ท้ายได้อีกแล้ว
"คนเราสามารถเข้าใจผิดกันได้ แต่การลงมือกระทำอะไรที่ทำร้ายคนอื่นด้วยความรุนแรงโหดร้ายแบบนี้
ทั้งที่อีกฝ่ายไร้ความสามารถในการตอบโต้ใดๆ ผมอยากให้นี่เป็นครั้งสุดท้าย
ที่ผมจะได้เห็นจากนิกกี้ครับแม่" วาลองโซลหันไปยังน้องสาวที่ยืนก้มหน้างุด และเขามองออกว่า
ท่าทางแบบนี้คงจะสำนึกผิดแล้วจริงๆ
"นิกกี้ขอโทษค่ะพี่เซริว ที่ทำอะไรแบบขาดสติแบบนั้นไป"
"คนที่เราต้องขอโทษคือ ลาเวนเดอร์ ไม่ใช่พี่" เวโรนิคหันไปทางลาเวนเดอร์ที่มีสภาพยับเยิน
ด้วยน้ำมือตนก็น้ำตาคลอเบ้า เพราะไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เธอจึงทำอะไรโหดร้ายแบบนั้นลงไป
"ฉันขอโทษนะลาเวนเดอร์ ขอโทษจริงๆ" ลาเวนเดอร์ยิ้มบาง ก่อนจะพยายามพูดให้น้ำเสียงนิ่งที่สุด
ใสที่สุดออกไปว่า
"ฉันยอมรับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณเป็นและไม่สามารถเข้าใจความคิดคุณได้เลย
ฉันเติบโตมาโดยไม่มีครอบครัวคอยซัพพอร์ตใดๆ ตัวคนเดียว ไม่มีใครคอยปกป้องดูแล
ต้องเดินเพียงลำพัง ร้อนหนาวก็ก้าวผ่านมาเพียงลำพัง เราสองคนเลยสามารถเข้าใจผิดกันได้ไม่ยาก
เพราะเราเติบโตมาไม่เหมือนกันเลย" ลาเวนเดอร์หันไปทางผู้มีพระคุณที่ให้ที่อยู่ที่กินแก่เธอในดินแดนนี้
แล้วน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมา ก่อนจะหันไปทางลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของทั้งสอง
"แต่ฉันอยากจะบอกคุณว่า ฉันมาที่นี่เพื่อมาตามหาครอบครัวของฉัน
นี่คือ เป้าหมายของฉัน ฉันไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากนี้เลย
และฉันก็ได้ครอบครัวของคุณคอยช่วยคอยซัพพอร์ตฉันในเรื่องนี้
ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้ต้องการจะเข้ามายึดถือยึดครองใครหรือสิ่งใดที่นี่ค่ะ
ฉันเร่ร่อนมาตั้งแต่จำความได้จนชิน ชินจนไม่ได้รู้สึกว่านี่คือ ความอัปยศใดๆ ในชีวิตไปแล้วค่ะ
แล้วฉันก็ไม่ได้มีจิตพิศวาสคุณชัชชนเลยสักนิดเดียว ชื่อเขาหน้าเขาฉันก็แทบจะจำไม่ได้
ฉันไม่มีเหตุให้ต้องทำแบบนั้นให้ตัวเองเปื้อนราคีคาว
ถึงฉันจะไร้รากดูต่ำต้อยในสายตาใครยังไง แต่ฉันก็มีศักดิ์ศรีในความเป็นหญิงติดตัวมาแต่เกิดค่ะ
ฉันมีความภาคภูมิใจในชีวิตแบบที่ฉันเป็น ไม่ได้ดูถูกดูแคลนตัวเองหรือต้องอับอายใคร
และวันหนึ่งฉันก็ต้องไป คุณวางใจได้ในเรื่องนี้ว่าฉันจะไปจากที่นี่แน่นอน จะไม่หยิบฉวย
ในสิ่งที่ฉันไม่มีสิทธิ์หรือละเมิดสิทธิ์ของใครคนใดติดมือไปค่ะ"
ลาเวนเดอร์รู้ว่า ใครอื่นหรือจะปกป้องเธอได้ดีเท่าตัวเธอเอง และนี่คือ สิ่งที่เธอทำเพื่อตัวเองได้
ใครจะละเลยเธอ เฉยเมยต่อเธอ ไม่ใส่ใจเธอ ไม่ว่ากัน แต่เธอรักตัวเธอที่เป็นเธอมาตลอด
และพร้อมจะปกป้องตัวเองเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ และเธอก็ไม่เคยคิดจะมาตั้งถิ่นฐานที่นี่
เธอไม่ได้ปรารถนาอะไรที่เป็นพวกวัตถุเหล่านั้นเลย แม้ว่าจะผ่านชีวิตอันแร้นแค้นมาก็ตาม
เพราะสิ่งที่เธอขาดแคลนมาตลอดและโหยหามาตลอด คือ พ่อกับแม่ และครอบครัว
นั่นคือ สิ่งที่เธอปรารถนาที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะยากดีมีจน หรือต่ำต้อยด้อยค่า
หรือจะชั่วช้าแค่ไหน เธอก็ปรารถนาจะได้พบเจอพวกเขา อยากทำความรู้จักกับพวกเขา
"คุณมีสิ่งดีๆ มากมายในชีวิตแล้ว มีครอบครัวที่ดีมาก และคุณก็มีคุณค่าในตัวเองมากๆ
ฉันแค่ไม่อยากให้คุณต้องสูญเสียมันไปเพราะฉันหรือเพราะใครค่ะ"
พูดจบก็หลับตาลงเพราะความเหนื่อยล้า แทบไม่มีแรงแม้แต่จะเปิดเปลือกตาตัวเอง
ก่อนจะหลับไปจริงๆ ในไม่กี่นาทีถัดมา
เวโรนิคทรุดเข่าลงนั่งบนโซฟาแล้วยกสองมือขึ้นปิดหน้า แล้วก้มหน้าร้องไห้ตัวโยน
วาลองโซลมองน้องสาว ยกมือขึ้นลูบหลังนั้นเบาๆ แล้วหันไปมองคนบนเตียงที่หลับไปแล้ว
แม้สภาพจะบอบช้ำ หากแต่ความงดงามนั้นยังไม่สร่างลงแม้แต่น้อย
เป็นความงดงามที่เขาแปลกใจเหลือเกินว่าเธอรับทอดมาจากใครกันแน่
ใครคือ เจ้าของความงดงามเช่นนี้ที่เธอรับมา
ให้ฉงนใจจนอยากจะไขปริศนานี้ให้จงได้ เพราะจะว่ามารดาของเธอสวย ก็สวยจนไร้ที่ติอยู่ก็จริง
แต่มิใช่ความงดงามแบบที่ลาเวนเดอร์ครอบครองอยู่ เพราะเธอมีบุคลิกบางอย่างที่ยากจะพบได้
ในคนทั่วๆ ไป อีกทั้งมีนิสัยและความคิดความอ่าน การใช้สำนวนภาษาอะไรแบบนี้ที่
ไม่ได้เหมือนกับสตรีที่เขาเคยพบเจอ เธอผ่านสังคมเลวร้ายมาตั้งแต่จำความได้
แต่สังคมเหล่านั้นก็มิได้ย้อมสีชีวิตเธอให้มืดดำตามไปด้วย เขายังเห็นความสุกสกาว
สว่างไสวเปล่งประกายออกมาจากตัวเธอ
พลันให้นึกไปถึงวันแรกที่ได้พบเจอกับเธอ วันที่เขาไม่เคยลืมเลือนได้เลย
แม้จะดูไปแล้ว เธอจำเขาไม่ได้แล้วก็ตาม แต่เขากลับจำเธอได้แม่นยำ
เธอที่กำลังหนีภัยจากการตามล่าจากกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบ เธอเพียงลำพังและต้องการจะมีใคร
คอยคุ้มครอง เขาที่เห็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ในวัยสิบขวบในชุดสีดำมีฮูดปกปิดศีรษะและใบหน้าเอาไว้
ก็ไม่สามารถละสายตาจากเธอได้ รีบเข้าไปดึงตัวเธอเข้ามาหลบซ่อน ใช้ร่างกายที่ใหญ่กว่ามาก
เป็นที่กำบังให้กับเธอ เนื้อตัวที่สั่นเท่านั้นทำให้เขารู้ว่าเธอหวาดกลัวแค่ไหน
เขาในวัยยี่สิบปีเลยดึงเธอพาหนีภัย จนพาเธอพลัดหลงทาง กว่าจะหาทางกลับบ้านของเขาได้
ก็หมดเวลาไปสองวัน เป็นสองวันที่เร่ร่อนไปในเมืองใหญ่กับเด็กหญิงวัยสิบขวบ
ที่มีดวงตาสีสันประหลาดไม่เหมือนใคร มีรอยยิ้มที่ตรึงตาตรึงใจ สดใสน่ารัก คำพูดคำจาที่ไพเราะน่าฟัง
เด็กหญิงที่ไม่ยอมเปิดปากเล่าถึงที่มาของตัวเอง ไม่บอกแม้แต่ชื่อให้เขาได้รู้
บอกแค่ว่า ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีพี่น้อง ตัวคนเดียว และไม่มีบ้าน ทั้งตัวก็มีเท่าที่มี
ค่ำไหนก็นอนที่นั่น ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องกลับบ้าน และไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครรออยู่ที่บ้าน
ไม่มีคนรัก ไม่มีคนที่รอคอยการกลับไปหา ไม่มีเพื่อนที่รู้จัก ไม่มีเพื่อนสนิทที่รู้ใจ ไม่มีใครให้คบ
ให้คุย
เขาเห็นเธอกอดแมวจรจัดตัวหนึ่งที่เพิ่งเจอกันหมาดๆ อย่างสนิทใจแล้วยิ้มสดใส
บอกเขาว่า
'มีแต่แมวจรที่ยินดีให้ลากอด'
เขาในตอนนั้นเลยคุกเข่าอ้าแขนกว้างๆ พยักหน้าให้เธอเข้ามาสู่อ้อมกอดของเขาด้วยความเต็มใจ
เด็กหญิงตัวน้อยลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้างแล้ววิ่งเข้าสู่อ้อมกอดเขา กอดเขาเอาไว้แน่น
ซุกหน้ากับเขา ร้องไห้ตัวโยน เขาทำได้เพียงลูบหัวทุยๆ นั่น ลูบหลังและโยกตัวเธอไปมา
จนเธอหลับไปในอ้อมกอดเขา เขาเองก็เผลอหลับไปพร้อมกับเธอตรงซอกตึกนั่น
ตื่นมาก็พบว่าเธอได้หายไปแล้ว ทิ้งยางรัดผมโครเชต์ดอกลาเวนเดอร์เอาไว้ในมือเขาเป็นที่ระลึก
และเขาก็เก็บมันมาจนถึงทุกวันนี้ รอคืนให้เจ้าของของมัน
วาลองโซลหยิบยางรัดผมนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมนอก แล้วเดินไปหาคนบนเตียง
แล้วสวมมันไว้ที่ข้อมือซ้ายของเธอ ทุกคนในที่นั้นมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
โดยไม่มีใครออกความเห็นหรือพูดอะไรออกมา แล้วขอตัวไปทำธุระโดยสั่งความให้ซันนี
ช่วยดูแลลาเวนเดอร์จนกว่าจะหายเป็นปกติแบบไม่ให้คลาดสายตา
คนอื่นๆ จึงขอตัวกลับด้วย
ลาเวนเดอร์ที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบดวงตาคู่เดิมที่ทอดมองมายังเธอด้วยแววตาห่วงใย
ใช่เธอจะลืมแววตาคู่นี้ได้ แค่ไม่แน่ใจว่าจะใช่เขาหรือเปล่าก็เท่านั้น จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก
แสร้งหลอกตัวเองว่าไม่น่าจะใช่เขา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้อยู่ดีว่า แววตาคู่นั้นมันใช่เขาแน่ๆ
ผ่านมานานแค่ไหน แววตาคู่นี้ยังคงมองเธออย่างห่วงใยไม่เปลี่ยนแปลง
หญิงสาวยิ้มให้เขาแล้วยันกายลุกขึ้นนั่ง ซันนีรีบเข้าไปช่วยประคอง
"กินอะไรสักหน่อยมั้ย" เสียงทุ้มน่าฟังนั้นของเขาถามเธอ ในขณะที่มือก็กุลีกุจอจัดแจงอาหาร
มาวางตรงหน้าเธอ ลาเวนเดอร์ยกมือทั้งสองขึ้นจะรวบผมเก็บไว้ แล้วเห็นยางรัดผมที่ข้อมือตนเอง
เลยมองมันนิ่งนาน ก่อนจะน้ำตาซึม เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม เขาเหลือบมองเธอเพียงนิด
แล้วกลับไปนั่งที่โซฟาห่างออกไป ซันนีรู้งานเลยช่วยเอายางรัดผมนั้นมัดผมให้
แล้วหาผ้าคลุมมาคลุมปิดเอาเราะห์ไว้ให้ แม้ว่ายังมีผ้าพันแผลพันรอบหัวก็ตาม
"ขอบคุณค่ะ" ลาเวนเดอร์กล่าวขอบคุณซันนีแล้วหันไปทางวาลองโซลแล้วบอกเขาว่า
"ยางรัดผมนี่ของใครหรือคะ"
"ของคุณ" เขาตอบสั้นๆ ใบหน้านิ่งสนิทขณะตอบ และนั่นทำให้ลาเวนเดอร์ถึงกับยิ้มออกมาอีกครั้ง
"ยังเก็บไว้อีกหรือคะ" คราวนี้เป็นวาลองโซลที่ประหลาดใจ มองลาเวนเดอร์นิ่งทีเดียว
ราวกับต้องการคำยืนยันบางคำจากเธออยู่
"ใครจะลืมคนที่เคยช่วยฉันได้ละคะ ไม่มีทางลืมหรอกค่ะ" นั่นคือคำยืนยันของลาเวนเดอร์
ที่ส่งผลให้เกิดรอยยิ้มเบาๆ บางๆ จากคนฟัง ซันนีที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองถึงกับลอบยิ้ม
สองคนนี้คงเคยมีเรื่องราวบางอย่างร่วมกันโดยที่คนอื่นไม่เคยรู้มาก่อนอย่างแน่นอน
"ขอบคุณนะคะสำหรับทุกๆ อย่างที่ผ่านมา" ลาเวนเดอร์ยังคงยิ้มสดใส ก่อนจะตักอาหาร
เข้าปากที่ยังเจ็บอยู่ ทำให้กลืนกินอาหารลำบากกว่าปกติ หากก็ไม่ทำให้รสชาติอร่อยๆ ของมัน
พร่องลงไปแม้แต่น้อย
"อร่อยมากเลยค่ะ" หญิงสาวเอ่ยชม คนทำถึงกระตุกยิ้มตรงมุมปาก แววตาเป็นประกาย
โดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เธอรู้ว่าเขาเป็นคนพูดน้อย ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
เขาก็แทบไม่พูดอะไรออกมา แต่ก็ปกป้องเธออย่างสุดชีวิต
"ขอกลับไปพักผ่อนที่บ้านคุณหมอได้มั้ยคะ หรือที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่"
ลาเวนเดอร์ถามขึ้นเมื่อทานอาหารทั้งหมดเสร็จแล้ว มันทำให้เธอรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมา
"เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน คืนนี้ผมอยากตรวจเช็กอาการต่างๆ ของคุณให้แน่ใจก่อน
ว่าไม่มีอะไรแล้วจริงๆ"
"งั้นก็ได้ค่ะ"
"เบื่อหรือ?" ลาเวนเดอร์พยักหน้า
"ค่ะ ไม่มีอะไรให้ทำแบบนี้ ก็เลยเบื่อๆ ค่ะ"
"แล้วอยากทำอะไรละ?"
"ถักโครเชต์ได้มั้ยคะ มือฉันยังดีทุกอย่าง"
"งั้นก็เอาสิ เดี๋ยวให้ซันนีไปหาอุปกรณ์มาให้คุณก็แล้วกัน อยากได้อะไรก็บอกเขา"
"ขอบคุณนะคะ"
"พูดคำนี้เยอะไปแล้วรู้มั้ย"
"ก็ มันรู้สึกขอบคุณนี่คะ" ชายหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะหันไปทางซันนี
"จัดการเรื่องอุปกรณ์ให้เธอหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะรอจนกว่าคุณจะกลับมา"
"ได้ค่ะ"
จากนั้นซันนีก็รีบออกไปจัดการเรื่องอุปกรณ์ต่างๆ ที่คนป่วยต้องการ
วาลองโซลเลยหยิบหมอนมาวางบนโซฟาแล้วล้มตัวลงนอนปิดตาหลับทันที
เมื่อซันนีก้าวขาออกจากห้องคนป่วยไป ทิ้งให้ลาเวนเดอร์นอนมองเพดานห้องอย่างเหงาๆ
"หลับจริงหรือหลับปลอมคะนั่น" หญิงสาวพูดขึ้นลอยๆ
"คุณอยากได้อะไรรึเปล่า" เขาถามกลับมาโดยที่ดวงตายังปิดสนิท
"ขอโทษนะคะที่วันนั้นจากไปโดยไม่ได้บอกลา เพราะไม่รู้จะบอกลายังไงจริงๆ ค่ะ"
ลาเวนเดอร์เริ่มเปิดฉากเท้าความหลังเมื่อเกือบสิบปีก่อน
"ผมไม่ถือสาเด็กสิบขวบหรอก" เขาว่า ตายังคงปิดสนิทเช่นเดิม
"แค่เป็นห่วงว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะเป็นยังไง จะรอดปลอดภัยยังไง
จะพักที่ไหน จะได้กินข้าวมั้ย" ก่อนจะเว้นวรรค แล้วเอ่ยประโยคถัดมา
ที่ทำให้คนฟังถึงกับน้ำตาคลอเบ้า
"ผมแค่คิดว่า ทำไมเธอไม่ร้องขอความเห็นใจและความช่วยเหลือจากผม
หรือขอให้ผมให้ที่อยู่กับเธอ ให้ผมพาเธอไปอยู่ด้วย ขอให้ผมเลี้ยงข้าวเธอก็ยังดี
แต่เธอกลับเลือกจะเป็นเด็กเสเพลแบบนั้นต่อไปเพราะอะไรกัน
ทั้งๆ ที่ผมสามารถให้ที่พักอาศัยให้ข้าวให้น้ำกับเธอได้
แต่เธอกลับไม่ร้องขอและยังทิ้งผมไว้ตรงนั้นคนเดียว
เธอเป็นคนแบบไหนกัน เด็กผู้หญิงตัวแค่นั้นเอง"
"ฉันกลัว ทำคุณเดือดร้อนหนัก กลัวเป็นตัวซวยในชีวิตคุณและคนอื่นๆ"
ลาเวนเดอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"คนพวกนั้นอาจจะทำร้ายคุณ" เธอบอกเขาพลางซับน้ำตาตัวเอง
วาลองโซลยังคงนอนนิ่งๆ หลับตาสนิท นานกว่าเขาจะเปิดปากพูดออกมาว่า
"ผมตามหาคุณอยู่หลายปี กว่าจะเจอ และไม่เคยอยากให้คุณกลับไปเร่ร่อนเสเพลแบบนั้นอีก
คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่มั้ย"
"ฉันแค่ไม่ต้องการเป็นภาระใครนานๆ โดยไม่จำเป็นค่ะ"
"ผมเคยพูดหรือว่าคุณเป็นภาระ"
"ไม่เคยค่ะ แต่ ก็เป็นภาระอยู่ดีนี่คะ"
"ทำไมชอบคิดให้ตัวเองลำบาก" คราวนี้เขาดีดตัวลุกขึ้นนั่ง หันจ้องตาเขม็งมาทางเธอนิ่งทีเดียว
"ถ้าคุณอึดอัดใจที่จะอยู่ที่นั่น ผมมีบ้านอีกหลายหลังให้คุณเลือกพักอาศัยนะ"
"อยู่ในฐานะอะไรหรือคะ คนอาศัยน่ะหรือคะ" คนฟังพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ทีเดียว
"คุณอยากได้สถานะไหนล่ะ ผมให้คุณได้ทั้งนั้นแหละลาเวนเดอร์ แค่คุณบอกมาว่าพอใจจะอยู่
ในฐานะใด" เป็นลาเวนเดอร์เสียเองที่ถึงกับลมหายใจสะดุด รู้สึกเสียวปลาบเมื่อเจอเข้ากับคำถามนี้
พร้อมสายตาจริงจังคู่นั้น เขาใช้สายตาสื่อความหมายได้ตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ
"หรืออยากได้บ้านหลังไหน ผมจะพาไปดู ให้คุณเลือกได้เลยว่าจะเอาหลังไหน
ผมยินดียกมันทั้งหลังให้คุณเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว" ลาเวนเดอร์อึ้งไปอีกครั้ง
ไม่คิดว่าเขาจะมาไม้นี้กับเธอ นี่มันสายเปย์ตัวพ่อเลยชัดๆ
"ฉันจำได้ว่าเพิ่งบอกไปว่า ไม่ได้ต้องการอะไรจากพวกคุณ"
"อะไรที่เป็นของผม ผมยินดียกให้คุณ คุณยังไม่เข้าใจอะไรอีกหรือลาเวนเดอร์"
"ฉันพูดคำไหนคำนั้นค่ะ" ลาเวนเดอร์ทัดทาน หากเขากลับสู้กลับ
"ผมก็พูดคำไหนคำนั้น"
"ฉัน..."
"จะเชื่อฟังกันสักวันไม่ได้เลยหรือไง ผมไม่น่าเชื่อถือพอให้คุณเชื่อฟังเลยหรือ"
แล้วเขาก็ใช้ไม้นี้กับเธอ แล้วเธอจะไปต่อยังไง
"ก็คุณทำเหมือนคุณเป็นพระราชาที่ใครๆ ก็ต้องเชื่อฟังคุณ
ใครๆ ก็ต้องหมุนรอบตัวคุณ ฉันไม่ชอบเลย"
"แล้วแบบไหนที่คุณชอบ" ลาเวนเดอร์ได้แต่อึ้งแล้วอึ้งอีก วันนี้เขาเป็นอะไร
กินอะไรเข้าไป ทำไมถึงมีอาการประหลาดๆ แบบนี้ขึ้นมา รุกเธอได้รุกเธอดี
"ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย"
"ก็เผื่อผมจะทำให้คุณชอบได้" นั่นไง เขาพูดอะไรที่ชวนให้จั๊กจี้อีกแล้ว
ลาเวนเดอร์ได้แต่นึกในใจขอให้ซันนีรีบกลับมา ตอนนี้เธอไม่รู้จะทำหน้ายังไงแล้ว
"คุณต้องกินอะไรผิดมาแน่ๆ เลย" ว่าแล้วก็รีบห่มผ้าแล้วพลิกตัวนอนตะแคงหันไปอีกทางทันที
ไม่อาจบอกได้ว่า เพราะอะไรเธอถึงต้องมีอาการแบบนี้ด้วย
"ถ้าคุณต้องเป็นอะไรไปในบ้านหลังนั้น ผมคงไม่ให้อภัยตัวเอง
ผมขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นตอนที่คุณกำลังต้องการความช่วยเหลือ"
ลาเวนเดอร์รู้สึกประหลาดๆ ขึ้นมาในใจเมื่อถ้อยคำนั้นผ่านเข้ามาในหัว
แล้วเหมือนจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ใจเต้นแรงขึ้นมา
"คุณ เอ่อไม่ผิดหรอกค่ะ มันคงถึงคราวที่ฉันต้องเจออะไรแบบนี้
อย่างน้อยก็ทำให้น้องสาวของคุณหลุดพ้นมาจากผู้ชายคนนั้นได้"
ลาเวนเดอร์ตอบกลับไปทั้งๆ ที่ยังนอนตะแคงหันหลังให้กับเขา
ก็เธอไม่กล้าหันไปสู้สายตาคู่นั้นนี่ รอให้ซันนีกลับมาไวๆ
แต่เหมือนรายนั้นจะไปนานเกินไปแล้ว
แล้วเหมือนเขาจะรับรู้ความคิดของเธอ เขาเงียบไปแล้ว เงียบไปนานจนลาเวนเดอร์
ถึงกับหันกลับไปดูว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่กลับเห็นเงาดำทะมึนกำลังยืนบดบังเขา
ที่นอนอยู่บนโซฟา แล้วแสยะยิ้มน่าเกลียดใส่เธอ
"กรี๊ด" ลาเวนเดอร์กรีดร้องสุดเสียงเมื่อเงาดำนั่นกำลังคืบคลาน
มาหาเธอ ยกผ้าห่มขึ้นปิดหน้า วาลองโซลตกใจกับเสียงกรีดร้องนั้นก็ลุกขึ้นไปยัง
คนป่วยที่นอนคลุมโปงเนื้อตัวสั่นเทา
"คุณ เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น"
"มัน ไอ้ดำค่ะ ไอ้ดำมันจะฆ่าฉัน" ลาเวนเดอร์กอดตัวเองตัวสั่น
"ไม่มีอะไรแล้ว มันไปแล้วคุณ" เขาบอก ลาเวนเดอร์กลับไม่เชื่อ เธอยังสัมผัสได้ถึงรังสีของมันอยู่
"ไม่ มันยังอยู่ ฉันสัมผัสได้"
"ผมอยู่ตรงนี้ ยังไงๆ ผมก็จะไม่ให้มันทำอะไรคุณได้"
"แน่นะคะ"
"แน่สิ" นั่นทำให้ลาเวนเดอร์โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม มองไปรอบๆ ห้อง ก็ไม่เห็นร่างดำๆ นั่น
ก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
"คุณอย่าไปไหนนะคะ อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว ฉันไม่รู้ว่าทำไมมันถึงยังตามฉันมาถึงเมืองไทย"
"งั้นมาอ่านกุรอานกับผมเถอะ เดี๋ยวผมสอนให้อ่านเอามั้ย"
"ค่ะ" หญิงสาวพยักหน้า แล้วยิ้มออกมาได้
.............................โปรดติดตามตอนต่อไป.......................................
EID Mubarak 1445
สุขสันต์วันอีดอิฏิลฟิตรีปี 1445 ย้อนหลังค่ะ
ขอให้มีความสุขค่ะ
"เต่าโย"
โดยที่แทบไม่ต้องถามว่า เธอโดนอะไรมาบ้าง ศีรษะแตกต้องเย็บไปหลายเข็ม
จึงพันผ้าพันแผลรอบศีรษะเอาไว้
"คงต้องล้มเลิกงานแต่งแล้วล่ะค่ะ หลักฐานมัดตัวชัดเจนขนาดนั้น" ซันนีส่ายหน้าให้กับ
ความคลั่งรักของเวโรนิคที่ขาดสติขนาดนั้น เกือบทำให้คนคนนึงตายได้เลย
"ขอบคุณมากนะซันนีที่รอบคอบ ก่อนไปยังไม่ลืมติดตั้งกล้องไว้ในห้องนอนของลาเวนเดอร์
ไม่งั้นผมก็คงไม่รู้ต้องทำยังไงให้นิกกี้ยอมตัดใจสักที"
"ก็ซันนีไม่ไว้ใจผู้ชายคนไหนสักคนนี่คะ ต่อให้เป็นคุณหมอก็เถอะ" พูดไปก็ยิ้ม หัวเราะฮึๆ ในลำคอ
"คุณทำหน้าที่ได้ดีขนาดนี้ ผมควรเพิ่มโบนัสให้ใช่มั้ย" วาลองโซลรู้สึกอย่างที่พูดเพราะเขารู้สึก
ขอบคุณลูกน้องที่ทำงานออกมาได้ดีและรอบคอบ
"ควรมากๆ ค่ะ" ก่อนจะจี้ถามว่า
"ถามจริงๆ นะคะ ถ้าไม่มีคลิปนั้นยืนยัน คุณหมอจะเชื่อใครคะ"
"ผมไม่ได้ขาดสติขนาดที่จะลืมไปว่าใครเป็นยังไงนะซันนี ผมรู้จักชัชชนและน้องสาวตัวเองดี
ไม่เคยสนับสนุนให้สองคนนี้คบหาและแต่งงานกันด้วยซ้ำ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะพ่อกับแม่
ให้ท้ายและตามใจลูกคนเล็กซะขนาดนั้น การมีหลักฐานมัดตัวก็ช่วยให้ความจริงกระจ่างออกมา
เพราะแค่คำพูดมันไม่มีน้ำหนักพอให้ใครเชื่อได้ อีกอย่าง นิกกี้ทำเกินไปมากจริงๆ"
"ก็จริงค่ะ"
"อีกอย่างลาเวนเดอร์ก็กำลังถือศีลอด แผลก็อักเสบ มีไข้ต่ำๆ จะเอาแรงที่ไหนไปสู้
และคงไม่คิดจะทำอะไรลามกอนาจารในห้องตัวเองในขณะที่ตนเองกำลังถือศีลอด
มันไม่กินกับปัญญา และเธอก็ไม่ได้มีท่าทีจะชอบพอชัชชนเลยด้วยซ้ำ และก็ยังไม่ใช่
คืนพระจันทร์เต็มดวงด้วย" พูดถึงตรงนี้ วาลองโซลก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูกขึ้นมา
ซันนีเห็นชัดว่าแก้มเขาเริ่มมีสีแดงขึ้นมา จึงไม่วายลอบยิ้มให้กับท่าทางที่ซ่อนความอาย
ความขัดเขินไว้ไม่มิดนั่น น้ำเสียงถัดมาเลยดูแกว่งๆ
"ไม่เจอสาเหตุที่เป็นไปได้ตามข้อกล่าวหาที่ชัชชนกล่าวหาเธอสักข้อ"
"ขอบคุณนะคะที่ไม่คิดว่าฉันเลวและทำเรื่องเลวๆ แบบนั้น" น้ำเสียงดังมาจากคนที่นอนอยู่บนเตียง
ที่ตอนนี้ลืมตาขึ้นมามองทั้งสองคนด้วยสีหน้าอิดโรย ทว่า แววตากลับทอเป็นประกายสดใส
วาลองโซลหันไปยิ้มบางๆ ให้คนป่วย แล้วเดินเข้าไปอีกนิด ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟังว่า
"ยังเจ็บอีกมั้ย" ลาเวนเดอร์ส่ายหน้าเบาๆ
"ยาคงยังไม่หมดฤทธิ์มั้งคะ เลยไม่เจ็บ" ว่าพลางยิ้มอย่างสดใสออกมา ทำให้ซันนีเข้าไปกุมมือนั้น
แล้วส่งยิ้มไปให้ และอยู่ๆ ประตูห้องคนป่วยก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นผู้มาใหม่สามคน
โดยประมุขของบ้านเป็นผู้หิ้วกระเช้าผลไม้ ส่วนผู้เป็นภรรยาหิ้วอาหารโดยมีลูกสาวช่วยถือ
ตะกร้าของกินให้อีกแรง
"แม่พาน้องมาขอโทษหนูลากับเรื่องทั้งหมดที่เข้าใจผิดกัน" พูดพลางมองไปยัง
คนป่วยแล้วให้สงสารขึ้นมาจับใจ ลูกสาวเธอได้ทำในสิ่งที่เป็นความผิดพลาดที่ยากจะให้อภัยลงไป
ซึ่งครั้งนี้ ยากเกินที่เธอจะยืนข้างลูกสาวหรือให้ท้ายได้อีกแล้ว
"คนเราสามารถเข้าใจผิดกันได้ แต่การลงมือกระทำอะไรที่ทำร้ายคนอื่นด้วยความรุนแรงโหดร้ายแบบนี้
ทั้งที่อีกฝ่ายไร้ความสามารถในการตอบโต้ใดๆ ผมอยากให้นี่เป็นครั้งสุดท้าย
ที่ผมจะได้เห็นจากนิกกี้ครับแม่" วาลองโซลหันไปยังน้องสาวที่ยืนก้มหน้างุด และเขามองออกว่า
ท่าทางแบบนี้คงจะสำนึกผิดแล้วจริงๆ
"นิกกี้ขอโทษค่ะพี่เซริว ที่ทำอะไรแบบขาดสติแบบนั้นไป"
"คนที่เราต้องขอโทษคือ ลาเวนเดอร์ ไม่ใช่พี่" เวโรนิคหันไปทางลาเวนเดอร์ที่มีสภาพยับเยิน
ด้วยน้ำมือตนก็น้ำตาคลอเบ้า เพราะไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เธอจึงทำอะไรโหดร้ายแบบนั้นลงไป
"ฉันขอโทษนะลาเวนเดอร์ ขอโทษจริงๆ" ลาเวนเดอร์ยิ้มบาง ก่อนจะพยายามพูดให้น้ำเสียงนิ่งที่สุด
ใสที่สุดออกไปว่า
"ฉันยอมรับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณเป็นและไม่สามารถเข้าใจความคิดคุณได้เลย
ฉันเติบโตมาโดยไม่มีครอบครัวคอยซัพพอร์ตใดๆ ตัวคนเดียว ไม่มีใครคอยปกป้องดูแล
ต้องเดินเพียงลำพัง ร้อนหนาวก็ก้าวผ่านมาเพียงลำพัง เราสองคนเลยสามารถเข้าใจผิดกันได้ไม่ยาก
เพราะเราเติบโตมาไม่เหมือนกันเลย" ลาเวนเดอร์หันไปทางผู้มีพระคุณที่ให้ที่อยู่ที่กินแก่เธอในดินแดนนี้
แล้วน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมา ก่อนจะหันไปทางลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของทั้งสอง
"แต่ฉันอยากจะบอกคุณว่า ฉันมาที่นี่เพื่อมาตามหาครอบครัวของฉัน
นี่คือ เป้าหมายของฉัน ฉันไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากนี้เลย
และฉันก็ได้ครอบครัวของคุณคอยช่วยคอยซัพพอร์ตฉันในเรื่องนี้
ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้ต้องการจะเข้ามายึดถือยึดครองใครหรือสิ่งใดที่นี่ค่ะ
ฉันเร่ร่อนมาตั้งแต่จำความได้จนชิน ชินจนไม่ได้รู้สึกว่านี่คือ ความอัปยศใดๆ ในชีวิตไปแล้วค่ะ
แล้วฉันก็ไม่ได้มีจิตพิศวาสคุณชัชชนเลยสักนิดเดียว ชื่อเขาหน้าเขาฉันก็แทบจะจำไม่ได้
ฉันไม่มีเหตุให้ต้องทำแบบนั้นให้ตัวเองเปื้อนราคีคาว
ถึงฉันจะไร้รากดูต่ำต้อยในสายตาใครยังไง แต่ฉันก็มีศักดิ์ศรีในความเป็นหญิงติดตัวมาแต่เกิดค่ะ
ฉันมีความภาคภูมิใจในชีวิตแบบที่ฉันเป็น ไม่ได้ดูถูกดูแคลนตัวเองหรือต้องอับอายใคร
และวันหนึ่งฉันก็ต้องไป คุณวางใจได้ในเรื่องนี้ว่าฉันจะไปจากที่นี่แน่นอน จะไม่หยิบฉวย
ในสิ่งที่ฉันไม่มีสิทธิ์หรือละเมิดสิทธิ์ของใครคนใดติดมือไปค่ะ"
ลาเวนเดอร์รู้ว่า ใครอื่นหรือจะปกป้องเธอได้ดีเท่าตัวเธอเอง และนี่คือ สิ่งที่เธอทำเพื่อตัวเองได้
ใครจะละเลยเธอ เฉยเมยต่อเธอ ไม่ใส่ใจเธอ ไม่ว่ากัน แต่เธอรักตัวเธอที่เป็นเธอมาตลอด
และพร้อมจะปกป้องตัวเองเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ และเธอก็ไม่เคยคิดจะมาตั้งถิ่นฐานที่นี่
เธอไม่ได้ปรารถนาอะไรที่เป็นพวกวัตถุเหล่านั้นเลย แม้ว่าจะผ่านชีวิตอันแร้นแค้นมาก็ตาม
เพราะสิ่งที่เธอขาดแคลนมาตลอดและโหยหามาตลอด คือ พ่อกับแม่ และครอบครัว
นั่นคือ สิ่งที่เธอปรารถนาที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะยากดีมีจน หรือต่ำต้อยด้อยค่า
หรือจะชั่วช้าแค่ไหน เธอก็ปรารถนาจะได้พบเจอพวกเขา อยากทำความรู้จักกับพวกเขา
"คุณมีสิ่งดีๆ มากมายในชีวิตแล้ว มีครอบครัวที่ดีมาก และคุณก็มีคุณค่าในตัวเองมากๆ
ฉันแค่ไม่อยากให้คุณต้องสูญเสียมันไปเพราะฉันหรือเพราะใครค่ะ"
พูดจบก็หลับตาลงเพราะความเหนื่อยล้า แทบไม่มีแรงแม้แต่จะเปิดเปลือกตาตัวเอง
ก่อนจะหลับไปจริงๆ ในไม่กี่นาทีถัดมา
เวโรนิคทรุดเข่าลงนั่งบนโซฟาแล้วยกสองมือขึ้นปิดหน้า แล้วก้มหน้าร้องไห้ตัวโยน
วาลองโซลมองน้องสาว ยกมือขึ้นลูบหลังนั้นเบาๆ แล้วหันไปมองคนบนเตียงที่หลับไปแล้ว
แม้สภาพจะบอบช้ำ หากแต่ความงดงามนั้นยังไม่สร่างลงแม้แต่น้อย
เป็นความงดงามที่เขาแปลกใจเหลือเกินว่าเธอรับทอดมาจากใครกันแน่
ใครคือ เจ้าของความงดงามเช่นนี้ที่เธอรับมา
ให้ฉงนใจจนอยากจะไขปริศนานี้ให้จงได้ เพราะจะว่ามารดาของเธอสวย ก็สวยจนไร้ที่ติอยู่ก็จริง
แต่มิใช่ความงดงามแบบที่ลาเวนเดอร์ครอบครองอยู่ เพราะเธอมีบุคลิกบางอย่างที่ยากจะพบได้
ในคนทั่วๆ ไป อีกทั้งมีนิสัยและความคิดความอ่าน การใช้สำนวนภาษาอะไรแบบนี้ที่
ไม่ได้เหมือนกับสตรีที่เขาเคยพบเจอ เธอผ่านสังคมเลวร้ายมาตั้งแต่จำความได้
แต่สังคมเหล่านั้นก็มิได้ย้อมสีชีวิตเธอให้มืดดำตามไปด้วย เขายังเห็นความสุกสกาว
สว่างไสวเปล่งประกายออกมาจากตัวเธอ
พลันให้นึกไปถึงวันแรกที่ได้พบเจอกับเธอ วันที่เขาไม่เคยลืมเลือนได้เลย
แม้จะดูไปแล้ว เธอจำเขาไม่ได้แล้วก็ตาม แต่เขากลับจำเธอได้แม่นยำ
เธอที่กำลังหนีภัยจากการตามล่าจากกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบ เธอเพียงลำพังและต้องการจะมีใคร
คอยคุ้มครอง เขาที่เห็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ในวัยสิบขวบในชุดสีดำมีฮูดปกปิดศีรษะและใบหน้าเอาไว้
ก็ไม่สามารถละสายตาจากเธอได้ รีบเข้าไปดึงตัวเธอเข้ามาหลบซ่อน ใช้ร่างกายที่ใหญ่กว่ามาก
เป็นที่กำบังให้กับเธอ เนื้อตัวที่สั่นเท่านั้นทำให้เขารู้ว่าเธอหวาดกลัวแค่ไหน
เขาในวัยยี่สิบปีเลยดึงเธอพาหนีภัย จนพาเธอพลัดหลงทาง กว่าจะหาทางกลับบ้านของเขาได้
ก็หมดเวลาไปสองวัน เป็นสองวันที่เร่ร่อนไปในเมืองใหญ่กับเด็กหญิงวัยสิบขวบ
ที่มีดวงตาสีสันประหลาดไม่เหมือนใคร มีรอยยิ้มที่ตรึงตาตรึงใจ สดใสน่ารัก คำพูดคำจาที่ไพเราะน่าฟัง
เด็กหญิงที่ไม่ยอมเปิดปากเล่าถึงที่มาของตัวเอง ไม่บอกแม้แต่ชื่อให้เขาได้รู้
บอกแค่ว่า ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีพี่น้อง ตัวคนเดียว และไม่มีบ้าน ทั้งตัวก็มีเท่าที่มี
ค่ำไหนก็นอนที่นั่น ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องกลับบ้าน และไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครรออยู่ที่บ้าน
ไม่มีคนรัก ไม่มีคนที่รอคอยการกลับไปหา ไม่มีเพื่อนที่รู้จัก ไม่มีเพื่อนสนิทที่รู้ใจ ไม่มีใครให้คบ
ให้คุย
เขาเห็นเธอกอดแมวจรจัดตัวหนึ่งที่เพิ่งเจอกันหมาดๆ อย่างสนิทใจแล้วยิ้มสดใส
บอกเขาว่า
'มีแต่แมวจรที่ยินดีให้ลากอด'
เขาในตอนนั้นเลยคุกเข่าอ้าแขนกว้างๆ พยักหน้าให้เธอเข้ามาสู่อ้อมกอดของเขาด้วยความเต็มใจ
เด็กหญิงตัวน้อยลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้างแล้ววิ่งเข้าสู่อ้อมกอดเขา กอดเขาเอาไว้แน่น
ซุกหน้ากับเขา ร้องไห้ตัวโยน เขาทำได้เพียงลูบหัวทุยๆ นั่น ลูบหลังและโยกตัวเธอไปมา
จนเธอหลับไปในอ้อมกอดเขา เขาเองก็เผลอหลับไปพร้อมกับเธอตรงซอกตึกนั่น
ตื่นมาก็พบว่าเธอได้หายไปแล้ว ทิ้งยางรัดผมโครเชต์ดอกลาเวนเดอร์เอาไว้ในมือเขาเป็นที่ระลึก
และเขาก็เก็บมันมาจนถึงทุกวันนี้ รอคืนให้เจ้าของของมัน
วาลองโซลหยิบยางรัดผมนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมนอก แล้วเดินไปหาคนบนเตียง
แล้วสวมมันไว้ที่ข้อมือซ้ายของเธอ ทุกคนในที่นั้นมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
โดยไม่มีใครออกความเห็นหรือพูดอะไรออกมา แล้วขอตัวไปทำธุระโดยสั่งความให้ซันนี
ช่วยดูแลลาเวนเดอร์จนกว่าจะหายเป็นปกติแบบไม่ให้คลาดสายตา
คนอื่นๆ จึงขอตัวกลับด้วย
ลาเวนเดอร์ที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบดวงตาคู่เดิมที่ทอดมองมายังเธอด้วยแววตาห่วงใย
ใช่เธอจะลืมแววตาคู่นี้ได้ แค่ไม่แน่ใจว่าจะใช่เขาหรือเปล่าก็เท่านั้น จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก
แสร้งหลอกตัวเองว่าไม่น่าจะใช่เขา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้อยู่ดีว่า แววตาคู่นั้นมันใช่เขาแน่ๆ
ผ่านมานานแค่ไหน แววตาคู่นี้ยังคงมองเธออย่างห่วงใยไม่เปลี่ยนแปลง
หญิงสาวยิ้มให้เขาแล้วยันกายลุกขึ้นนั่ง ซันนีรีบเข้าไปช่วยประคอง
"กินอะไรสักหน่อยมั้ย" เสียงทุ้มน่าฟังนั้นของเขาถามเธอ ในขณะที่มือก็กุลีกุจอจัดแจงอาหาร
มาวางตรงหน้าเธอ ลาเวนเดอร์ยกมือทั้งสองขึ้นจะรวบผมเก็บไว้ แล้วเห็นยางรัดผมที่ข้อมือตนเอง
เลยมองมันนิ่งนาน ก่อนจะน้ำตาซึม เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม เขาเหลือบมองเธอเพียงนิด
แล้วกลับไปนั่งที่โซฟาห่างออกไป ซันนีรู้งานเลยช่วยเอายางรัดผมนั้นมัดผมให้
แล้วหาผ้าคลุมมาคลุมปิดเอาเราะห์ไว้ให้ แม้ว่ายังมีผ้าพันแผลพันรอบหัวก็ตาม
"ขอบคุณค่ะ" ลาเวนเดอร์กล่าวขอบคุณซันนีแล้วหันไปทางวาลองโซลแล้วบอกเขาว่า
"ยางรัดผมนี่ของใครหรือคะ"
"ของคุณ" เขาตอบสั้นๆ ใบหน้านิ่งสนิทขณะตอบ และนั่นทำให้ลาเวนเดอร์ถึงกับยิ้มออกมาอีกครั้ง
"ยังเก็บไว้อีกหรือคะ" คราวนี้เป็นวาลองโซลที่ประหลาดใจ มองลาเวนเดอร์นิ่งทีเดียว
ราวกับต้องการคำยืนยันบางคำจากเธออยู่
"ใครจะลืมคนที่เคยช่วยฉันได้ละคะ ไม่มีทางลืมหรอกค่ะ" นั่นคือคำยืนยันของลาเวนเดอร์
ที่ส่งผลให้เกิดรอยยิ้มเบาๆ บางๆ จากคนฟัง ซันนีที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองถึงกับลอบยิ้ม
สองคนนี้คงเคยมีเรื่องราวบางอย่างร่วมกันโดยที่คนอื่นไม่เคยรู้มาก่อนอย่างแน่นอน
"ขอบคุณนะคะสำหรับทุกๆ อย่างที่ผ่านมา" ลาเวนเดอร์ยังคงยิ้มสดใส ก่อนจะตักอาหาร
เข้าปากที่ยังเจ็บอยู่ ทำให้กลืนกินอาหารลำบากกว่าปกติ หากก็ไม่ทำให้รสชาติอร่อยๆ ของมัน
พร่องลงไปแม้แต่น้อย
"อร่อยมากเลยค่ะ" หญิงสาวเอ่ยชม คนทำถึงกระตุกยิ้มตรงมุมปาก แววตาเป็นประกาย
โดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เธอรู้ว่าเขาเป็นคนพูดน้อย ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
เขาก็แทบไม่พูดอะไรออกมา แต่ก็ปกป้องเธออย่างสุดชีวิต
"ขอกลับไปพักผ่อนที่บ้านคุณหมอได้มั้ยคะ หรือที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่"
ลาเวนเดอร์ถามขึ้นเมื่อทานอาหารทั้งหมดเสร็จแล้ว มันทำให้เธอรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมา
"เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน คืนนี้ผมอยากตรวจเช็กอาการต่างๆ ของคุณให้แน่ใจก่อน
ว่าไม่มีอะไรแล้วจริงๆ"
"งั้นก็ได้ค่ะ"
"เบื่อหรือ?" ลาเวนเดอร์พยักหน้า
"ค่ะ ไม่มีอะไรให้ทำแบบนี้ ก็เลยเบื่อๆ ค่ะ"
"แล้วอยากทำอะไรละ?"
"ถักโครเชต์ได้มั้ยคะ มือฉันยังดีทุกอย่าง"
"งั้นก็เอาสิ เดี๋ยวให้ซันนีไปหาอุปกรณ์มาให้คุณก็แล้วกัน อยากได้อะไรก็บอกเขา"
"ขอบคุณนะคะ"
"พูดคำนี้เยอะไปแล้วรู้มั้ย"
"ก็ มันรู้สึกขอบคุณนี่คะ" ชายหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะหันไปทางซันนี
"จัดการเรื่องอุปกรณ์ให้เธอหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะรอจนกว่าคุณจะกลับมา"
"ได้ค่ะ"
จากนั้นซันนีก็รีบออกไปจัดการเรื่องอุปกรณ์ต่างๆ ที่คนป่วยต้องการ
วาลองโซลเลยหยิบหมอนมาวางบนโซฟาแล้วล้มตัวลงนอนปิดตาหลับทันที
เมื่อซันนีก้าวขาออกจากห้องคนป่วยไป ทิ้งให้ลาเวนเดอร์นอนมองเพดานห้องอย่างเหงาๆ
"หลับจริงหรือหลับปลอมคะนั่น" หญิงสาวพูดขึ้นลอยๆ
"คุณอยากได้อะไรรึเปล่า" เขาถามกลับมาโดยที่ดวงตายังปิดสนิท
"ขอโทษนะคะที่วันนั้นจากไปโดยไม่ได้บอกลา เพราะไม่รู้จะบอกลายังไงจริงๆ ค่ะ"
ลาเวนเดอร์เริ่มเปิดฉากเท้าความหลังเมื่อเกือบสิบปีก่อน
"ผมไม่ถือสาเด็กสิบขวบหรอก" เขาว่า ตายังคงปิดสนิทเช่นเดิม
"แค่เป็นห่วงว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะเป็นยังไง จะรอดปลอดภัยยังไง
จะพักที่ไหน จะได้กินข้าวมั้ย" ก่อนจะเว้นวรรค แล้วเอ่ยประโยคถัดมา
ที่ทำให้คนฟังถึงกับน้ำตาคลอเบ้า
"ผมแค่คิดว่า ทำไมเธอไม่ร้องขอความเห็นใจและความช่วยเหลือจากผม
หรือขอให้ผมให้ที่อยู่กับเธอ ให้ผมพาเธอไปอยู่ด้วย ขอให้ผมเลี้ยงข้าวเธอก็ยังดี
แต่เธอกลับเลือกจะเป็นเด็กเสเพลแบบนั้นต่อไปเพราะอะไรกัน
ทั้งๆ ที่ผมสามารถให้ที่พักอาศัยให้ข้าวให้น้ำกับเธอได้
แต่เธอกลับไม่ร้องขอและยังทิ้งผมไว้ตรงนั้นคนเดียว
เธอเป็นคนแบบไหนกัน เด็กผู้หญิงตัวแค่นั้นเอง"
"ฉันกลัว ทำคุณเดือดร้อนหนัก กลัวเป็นตัวซวยในชีวิตคุณและคนอื่นๆ"
ลาเวนเดอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"คนพวกนั้นอาจจะทำร้ายคุณ" เธอบอกเขาพลางซับน้ำตาตัวเอง
วาลองโซลยังคงนอนนิ่งๆ หลับตาสนิท นานกว่าเขาจะเปิดปากพูดออกมาว่า
"ผมตามหาคุณอยู่หลายปี กว่าจะเจอ และไม่เคยอยากให้คุณกลับไปเร่ร่อนเสเพลแบบนั้นอีก
คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่มั้ย"
"ฉันแค่ไม่ต้องการเป็นภาระใครนานๆ โดยไม่จำเป็นค่ะ"
"ผมเคยพูดหรือว่าคุณเป็นภาระ"
"ไม่เคยค่ะ แต่ ก็เป็นภาระอยู่ดีนี่คะ"
"ทำไมชอบคิดให้ตัวเองลำบาก" คราวนี้เขาดีดตัวลุกขึ้นนั่ง หันจ้องตาเขม็งมาทางเธอนิ่งทีเดียว
"ถ้าคุณอึดอัดใจที่จะอยู่ที่นั่น ผมมีบ้านอีกหลายหลังให้คุณเลือกพักอาศัยนะ"
"อยู่ในฐานะอะไรหรือคะ คนอาศัยน่ะหรือคะ" คนฟังพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ทีเดียว
"คุณอยากได้สถานะไหนล่ะ ผมให้คุณได้ทั้งนั้นแหละลาเวนเดอร์ แค่คุณบอกมาว่าพอใจจะอยู่
ในฐานะใด" เป็นลาเวนเดอร์เสียเองที่ถึงกับลมหายใจสะดุด รู้สึกเสียวปลาบเมื่อเจอเข้ากับคำถามนี้
พร้อมสายตาจริงจังคู่นั้น เขาใช้สายตาสื่อความหมายได้ตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ
"หรืออยากได้บ้านหลังไหน ผมจะพาไปดู ให้คุณเลือกได้เลยว่าจะเอาหลังไหน
ผมยินดียกมันทั้งหลังให้คุณเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว" ลาเวนเดอร์อึ้งไปอีกครั้ง
ไม่คิดว่าเขาจะมาไม้นี้กับเธอ นี่มันสายเปย์ตัวพ่อเลยชัดๆ
"ฉันจำได้ว่าเพิ่งบอกไปว่า ไม่ได้ต้องการอะไรจากพวกคุณ"
"อะไรที่เป็นของผม ผมยินดียกให้คุณ คุณยังไม่เข้าใจอะไรอีกหรือลาเวนเดอร์"
"ฉันพูดคำไหนคำนั้นค่ะ" ลาเวนเดอร์ทัดทาน หากเขากลับสู้กลับ
"ผมก็พูดคำไหนคำนั้น"
"ฉัน..."
"จะเชื่อฟังกันสักวันไม่ได้เลยหรือไง ผมไม่น่าเชื่อถือพอให้คุณเชื่อฟังเลยหรือ"
แล้วเขาก็ใช้ไม้นี้กับเธอ แล้วเธอจะไปต่อยังไง
"ก็คุณทำเหมือนคุณเป็นพระราชาที่ใครๆ ก็ต้องเชื่อฟังคุณ
ใครๆ ก็ต้องหมุนรอบตัวคุณ ฉันไม่ชอบเลย"
"แล้วแบบไหนที่คุณชอบ" ลาเวนเดอร์ได้แต่อึ้งแล้วอึ้งอีก วันนี้เขาเป็นอะไร
กินอะไรเข้าไป ทำไมถึงมีอาการประหลาดๆ แบบนี้ขึ้นมา รุกเธอได้รุกเธอดี
"ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย"
"ก็เผื่อผมจะทำให้คุณชอบได้" นั่นไง เขาพูดอะไรที่ชวนให้จั๊กจี้อีกแล้ว
ลาเวนเดอร์ได้แต่นึกในใจขอให้ซันนีรีบกลับมา ตอนนี้เธอไม่รู้จะทำหน้ายังไงแล้ว
"คุณต้องกินอะไรผิดมาแน่ๆ เลย" ว่าแล้วก็รีบห่มผ้าแล้วพลิกตัวนอนตะแคงหันไปอีกทางทันที
ไม่อาจบอกได้ว่า เพราะอะไรเธอถึงต้องมีอาการแบบนี้ด้วย
"ถ้าคุณต้องเป็นอะไรไปในบ้านหลังนั้น ผมคงไม่ให้อภัยตัวเอง
ผมขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นตอนที่คุณกำลังต้องการความช่วยเหลือ"
ลาเวนเดอร์รู้สึกประหลาดๆ ขึ้นมาในใจเมื่อถ้อยคำนั้นผ่านเข้ามาในหัว
แล้วเหมือนจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ใจเต้นแรงขึ้นมา
"คุณ เอ่อไม่ผิดหรอกค่ะ มันคงถึงคราวที่ฉันต้องเจออะไรแบบนี้
อย่างน้อยก็ทำให้น้องสาวของคุณหลุดพ้นมาจากผู้ชายคนนั้นได้"
ลาเวนเดอร์ตอบกลับไปทั้งๆ ที่ยังนอนตะแคงหันหลังให้กับเขา
ก็เธอไม่กล้าหันไปสู้สายตาคู่นั้นนี่ รอให้ซันนีกลับมาไวๆ
แต่เหมือนรายนั้นจะไปนานเกินไปแล้ว
แล้วเหมือนเขาจะรับรู้ความคิดของเธอ เขาเงียบไปแล้ว เงียบไปนานจนลาเวนเดอร์
ถึงกับหันกลับไปดูว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่กลับเห็นเงาดำทะมึนกำลังยืนบดบังเขา
ที่นอนอยู่บนโซฟา แล้วแสยะยิ้มน่าเกลียดใส่เธอ
"กรี๊ด" ลาเวนเดอร์กรีดร้องสุดเสียงเมื่อเงาดำนั่นกำลังคืบคลาน
มาหาเธอ ยกผ้าห่มขึ้นปิดหน้า วาลองโซลตกใจกับเสียงกรีดร้องนั้นก็ลุกขึ้นไปยัง
คนป่วยที่นอนคลุมโปงเนื้อตัวสั่นเทา
"คุณ เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น"
"มัน ไอ้ดำค่ะ ไอ้ดำมันจะฆ่าฉัน" ลาเวนเดอร์กอดตัวเองตัวสั่น
"ไม่มีอะไรแล้ว มันไปแล้วคุณ" เขาบอก ลาเวนเดอร์กลับไม่เชื่อ เธอยังสัมผัสได้ถึงรังสีของมันอยู่
"ไม่ มันยังอยู่ ฉันสัมผัสได้"
"ผมอยู่ตรงนี้ ยังไงๆ ผมก็จะไม่ให้มันทำอะไรคุณได้"
"แน่นะคะ"
"แน่สิ" นั่นทำให้ลาเวนเดอร์โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม มองไปรอบๆ ห้อง ก็ไม่เห็นร่างดำๆ นั่น
ก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
"คุณอย่าไปไหนนะคะ อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว ฉันไม่รู้ว่าทำไมมันถึงยังตามฉันมาถึงเมืองไทย"
"งั้นมาอ่านกุรอานกับผมเถอะ เดี๋ยวผมสอนให้อ่านเอามั้ย"
"ค่ะ" หญิงสาวพยักหน้า แล้วยิ้มออกมาได้
.............................โปรดติดตามตอนต่อไป.......................................
EID Mubarak 1445
สุขสันต์วันอีดอิฏิลฟิตรีปี 1445 ย้อนหลังค่ะ
ขอให้มีความสุขค่ะ
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 เม.ย. 2567, 20:34:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 เม.ย. 2567, 20:34:58 น.
จำนวนการเข้าชม : 153
<< บทที่ 12 ท่าไม้ตาย | บทที่ 14 แต่จันทร์ดูคล้ายลำเอียง >> |