หะบีบี้...สุดที่รักของผม
หะบีบี้ น้องนุจสุดท้องแห่งตระกูลโสพณพสุธ
จะทำเช่นไร...
เมื่อการกลับสู่บ้านเกิดกลายกลับตาลปัตร
เป็นบ้านหลังอื่นที่ไม่เคยมีใครรู้ว่ามีอยู่จริงบนโลกนี้
"ดินแดนที่ไม่มีปรากฏบนแผนที่โลก"
ปรากฏแก่สายตา...
"คนแปลกหน้า" เธอคือคนแปลกหน้าสำหรับคนบนดินแดนนี้
และคนบนดินแดนนี้ก็คือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอเช่นกัน
คนแปลกหน้าอย่างเธอจะต้องทำเช่นไรในดินแดนใหม่...
เมื่อการกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้องกลายกลับเป็นความว่างเปล่า
และเขา...คือ 'ภัยคุกคาม!'
ที่กำลังก่อกวนหัวใจเธอนับแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ...
เขา...ผู้เป็น...อัศวินขี่ม้าขาวในฝันของเธอมาตลอด...
คนที่เธอเฝ้ารอคอยว่าจะได้เจอในความจริงสักครั้ง...
หากความจริงที่เจอ...กลับพลิกผันชีวิตเธอไปตลอดกาล...
Tags: รักโรแมนติก เพ้อฝัน ความลี้ลับ วิทยาศาสตร์ มุสตอฟา หะบีบี้ โสภณพสุธ
ตอน: บทที่ 18 แค่ฝัน
4 ปีต่อมา
บรรดาบุรุษทั้งหมดในดินแดนออกมารวมกันที่มัสยิดเพื่อละหมาดญุมอะห์ในวันศุกร์
ซึ่งเป็นเช่นนี้ในทุกๆ สัปดาห์ หากแต่วันนี้ อัลฮาบีบ มุสตอฟา ชัยนุลอาบิดีน ผู้นำแห่งดินแดน
ได้ขึ้นกล่าวคุตบะห์ได้จับหัวใจ จนคนนับพันนับหมื่นที่มารวมกันถึงกับเงียบกริบ
ไม่มีเสียงอื่นใดราวกับไม่ได้มีผู้คนมากมายมารวมกัน ณ ที่ตรงนั้น และด้วยความเงียบสนิทเช่นนี้
ทำให้เสียงของเขาดังไปถึงหูและหัวใจผู้คน
"ข้ามีเรื่องราวของซอฮาบะห์ท่านหนึ่ง ชื่อ อับดุลลอฮ์ บิน มูฆอฟัล
เขาคือ ผู้ที่ทำให้ท่านนบีของพวกเราถึงกับร่ำไห้สะอื้น เนื่องจากเรื่องราวที่ได้เล่าให้ท่านนบีฟัง
อับดุลลอฮ์ บิน มูฆอฟัล เป็นชายคนหนึ่งที่เข้ารับอิสลาม เป็นผู้ที่มีใบหน้าเศร้าหมอง
ไร้รอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา จนท่านนบีเริ่มสงสัยและได้เรียกตัวเขาเพื่อมาสอบถาม "อะไรทำให้ท่าน
ดูเศร้าอยู่เสมอ มันคือ เรื่องอะไรกัน บอกฉันได้หรือไม่" เมื่อท่านอับดุลลอฮ์ บิน มูฆอฟัล
ได้ยินสิ่งที่ท่านนบีถาม ยิ่งเพิ่มความเศร้าของเขาขึ้นไปอีก เขาได้เล่าให้ท่านนบีฟังว่า
"ฉันได้ทิ้งภรรยาของฉันตอนนางตั้งครรภ์อยู่ เพื่อไปค้าขายเป็นเวลาหลายปี และได้ทราบข่าวว่า
ภรรยาของฉันได้คลอดบุตรสาว เธอน่ารัก ฉลาด พูดเก่งมากเลยครับ แต่เสียดายที่เธอเป็นสตรี
ฉันต้องถูกเย้ยหยันและดูถูกจากชาวบ้านในชนเผ่าของฉันมาตลอด และด้วยความเห็นแก่ตัว
และความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของฉัน ฉันไม่สามารถที่จะทนต่อคำพูดถากถางเหล่านั้นได้อีกต่อไป
ฉันจึงสั่งให้ภรรยาแต่งกายบุตรสาวอย่างงดงาม นางจึงรู้ได้ทันทีทันใดว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นางจึงร่ำไห้อ้อนวอนขอว่าอย่าได้ทำแบบนั้นเลย แต่เพราะนางกลัว นางจึงทำตามที่ฉันบอก
เมื่อนางแต่งกายให้บุตรสาวเสร็จ นางจึงสอนคำพูดหนึ่งให้แก่เธอ
ฉันพาบุตรสาวไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเธอไม่ได้รู้เรื่องอันใดด้วยซ้ำ
ฉันเริ่มขุดดิน จนดินกระเด็นมาติดที่เคราของฉัน บุตรสาวของฉันจึงช่วยปัดออกให้
ตอนนั้น จิตใต้สำนึกได้บอกว่า อย่าทำลูกเลย สงสารเธอ แต่ทว่า
ทุกครั้งที่ฉันสงสารลูก ฉันจะตัดความรู้สึกนั้นทิ้งเสีย เพราะความเห็นแก่ตัวของฉัน
ที่ไม่อยากถูกเย้ยหยัน ถากถาง ฉันจึงดึงแขนบุตรสาว
ทันใดนั้น เธอเริ่มร้องไห้และได้ตะโกนออกมาว่า
"พ่อจ๋า อย่าทำหนูเลย หนูคือ อามานะห์ของพ่อ" เธอพูดซ้ำๆ กันหลายรอบ
ฉันไม่ฟังเสียงขอร้องจากบุตรสาว ฉันรีบยัดเธอลงหลุมพร้อมกับปิดหลุมทันที
เธอร้องไห้จนเสียงค่อยๆ เงียบไป
อับดุลลอฮ์กล่าวว่า โอ้ ยาร่อซูลลุ้ลลอฮ์ เรื่องนี้มันผุดขึ้นในใจฉันเสมอ
มันทำให้ฉันไม่สามารถยิ้มได้ แล้วนับประสาอะไรกับเสียงหัวเราะเล่า
จากนั้นเขาก็ก้มหัวร้องไห้หลังจากที่เล่าจบ
ท่านนบีกลับนิ่งเงียบ เขาคิดในใจว่าท่านนบีคงจะปลอบเขาเป็นแน่
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขากลับพบว่า ท่านนบีกำลังร้องไห้สะอื้นจนผ้าใต้คางของท่านเปียกชื้น
ทำให้อับดุลลอฮ์ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก ท่านนบีจึงกล่าวกับเขาว่า
"หากในเวลานั้น ฉันเป็นศาสนทูตแล้ว ฉันจะฝังท่านทั้งเป็นเหมือนที่ท่านทำกับบุตรสาวของท่าน"
มุสตอฟาหยุดไว้ตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง หันไปทางสาวน้อยที่นั่งอยู่บนตักของน้าชายของเขา
ผู้เป็นน้องชายของบิดาของเขาโดยที่ข้างๆ นั้นมีเด็กผู้ชายวัยสามขวบนั่งอยู่ด้วยตัวติดกัน
แล้วกล่าวสืบไปว่า
"ท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมถูกแต่งตั้งเป็นศาสนทูตในยุคญาฮิลิยะห์
ที่บุตรสาวต้องถูกฝัง ผู้หญิงไม่มีค่าใดในสายตา ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี
ท่านต้องพยายามมากเพียงใดที่จะทำให้มุสลิมะห์มีเกียรติดั่งราชินี
โอ้ ผู้ปกครองสตรีทั้งหลาย ณ ที่แห่งนี้ พวกนั้นจงดูแลสตรีในปกครองของพวกท่าน
ด้วยความรักและให้เกียรติแก่พวกนาง อย่าได้ตบตีทำร้ายจิตใจพวกนาง
จงปฏิบัติต่อพวกนางด้วยดี เพราะพวกนางนั้นคือ อามานะห์ของพวกท่าน"
กล่าวปิดจบ มุสตอฟาก็อ้าแขนรับร่างเด็กสาวตัวน้อยที่ลุกมาหาเขาทันที
เขาสวมกอดร่างน้อยเอาไว้อย่างสุดรักสุดหวง ทุกคนมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม
การกระทำของท่านผู้นำแห่งดินแดนก็มากเกินพอที่จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
ที่ถูกเล่าออกมาเมื่อสักครู่ น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาเมื่อครู่ของผู้คนมากมาย
จึงถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มแห่งความประทับใจ
จากนั้นร่างของเด็กชายตัวน้อยก็เดินไปหาท่านผู้นำ เรียกด้วยถ้อยคำอันแสนไพเราะ
สำหรับมุสตอฟายิ่งนัก
"ท่านพ่อ กอดด้วยๆ" มุสตอฟารับร่างบุตรชายเข้าสู่อ้อมกอด หอมและจูบหน้าผากลูกน้อย
ทั้งสอง ผู้เป็นของขวัญที่เขาได้รับมาในช่วงเวลาสี่ปีนี้
...................................................................
ณ ท้องทุ่งกว้าง มีม้าสีขาวกับสีดำกำลังควบเหยาะๆ ม้าสีขาวมีเจ้าของเป็นบุรุษรูปงามที่มีลูกชาย
วัยสามขวบนั่งอยู่ด้านหน้า ในขณะที่ม้าสีดำมีสตรีร่างบอบบางนั่งพร้อมด้วยลูกสาวในวัยสองขวบ
โดยมีผ้าพันรัดไว้กับร่างกายของผู้เป็นมารดา กันลูกสาวตกจากหลังม้า เสียงพูดคุยสลับเสียงหัวเราะ
น้อยๆ ของเด็กๆ ดังไปทั่วท้องทุ่งแห่งนี้ สร้างรอยยิ้มให้ผู้พานพบและได้รับเสียงทักทายไปตลอดเส้นทาง
จนกระทั่งม้าของทั้งสองได้หยุดลงตรงเนินเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกมาจากผู้คน
สองสามีภรรยาลงจากหลังม้า แล้วปล่อยให้เท้าของลูกทั้งสองได้สัมผัสกับผืนหญ้า
เสียงน้อยๆ ร้องด้วยความดีใจ จูงมือกันวิ่งเล่นในทุ่งหญ้าอันกว้างสุดลูกหูลูกตา
สักพักก็วิ่งมาหาบิดามารดาที่นั่งคลอเคลียตรงใต้ร่มไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขากว้างขวาง
เสียงบุรุษรูปงามแว่วดังเมื่อลูกทั้งสองกลับมานอนบนตักของตนและภรรยา
"ลูกเอ๋ย เจ้าจงอย่าไปเป็นหนี้ใคร อย่าทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพลูกหนี้
เพราะมันเป็นความต่ำต้อยในยามกลางวัน และเป็นความกลัดกลุ้มในยามค่ำคืน"
"ลูกเอ๋ย เมื่อมีใครมาฟ้องว่า ชายผู้หนึ่งควักดวงตาของเขาออกทั้งสองข้าง
ถึงแม้จะเป็นจริงตามนั้น เจ้าก็จงอย่าได้ออกความเห็นใดๆ ตราบที่เจ้ายังไม่ได้ฟังความของอีกฝ่าย
เพราะผู้ที่เสียดวงตาทั้งสองข้างไปนั้น อาจเป็นผู้เริ่มควักดวงตาของผู้อื่นก่อนถึงสี่ดวงก็เป็นได"
"ครับ"
"ค่ะ"
ทั้งสองตอบรับคำสอนของบิดา ซึ่งหะบีบี้รู้ดีว่า ลูกทั้งสองยังไม่ได้เข้าใจมันมากนัก
แต่ทั้งสองนั้นมีความจำเป็นเลิศ ในวัยเท่านี้ก็จริง แต่กลับสามารถท่องจำกุรอานได้ทั้งหมดแล้ว
ทั้งสองคน เพราะผู้เป็นบิดารักในการอ่านกุรอาน จึงอ่านให้ลูกๆ ทั้งสองที่อายุครรภ์ห่างกันแค่หนึ่งปี
ได้ฟังเสียงกุรอานจากผู้เป็นบิดาตั้งแต่ทั้งสองยังอยู่ในครรภ์ของเธอ เมื่อลูกเพิ่งคลอดได้ไม่กี่วัน
ก็พาลูกไปอยู่ในวงล้อมของผู้คนที่มานั่งร่วมวงมัจลิซซิกรุลลอฮ์และวงอาลาเกาะห์ที่คนจำนวน
นับร้อยนับพันมาร่วมกันอ่านกุรอานและซอลาวาตนบี ลูกทั้งสองของเธอจึงเป็นหนึ่งในเด็ก
จำนวนไม่มากนักที่ท่องจำอัลกุรอานได้ทั้งหมดในวัยอันน้อยนิดเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นที่รัก
ของผู้คนในดินแดนนี้ เป็นขวัญและกำลังใจของพ่อและแม่ รวมไปถึงย่าที่ทั้งรักทั้งเอ็นดู
"ท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ได้สอนบรรดามุสลิมไว้ว่า
เหล่าบรรดาผู้ศรัทธาที่เปี่ยมล้นด้วยแสงศรัทธาอย่างสมบูรณ์ คือ เหล่าบรรดาผู้ศรัทธาที่มี
มารยาทอันงดงาม และผู้ที่ดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาพวกเจ้าคือ ผู้ที่มีอุปนิสัยต่อภรรยาของเขาดีเยี่ยม
ในบรรดาพวกเจ้า"
พูดจบก็หันไปยิ้มให้หะบีบี้ ผู้เป็นภรรยา ก่อนจะโอบไหล่เธอมาเอียงซบไหล่เขาไว้
"เหมือนที่ท่านพ่อทำดีต่อท่านแม่ใช่หรือไม่" ลูกชายวัยสามขวบเป็นผู้เอ่ยถาม และแม่คือ ผู้ยืนยัน
"ใช่แล้วลูกรัก ท่านพ่อของลูกไม่เคยหยาบคายต่อแม่ของเจ้าทั้งสองเลยแม้จนครั้งเดียว
และท่านพ่อของลูกก็ใจดีกับแม่ของเจ้าทั้งสองในทุกๆ เรื่อง สอนสิ่งดีๆ มากมายให้แก่แม่ของเจ้าทั้งสอง
อีกทั้งยังปกป้องคุ้มครองแม่ของเจ้าทั้งสองนับตั้งแต่วันแรกที่พบเจอจนกระทั่งวันนี้
เป็นความรักที่มีความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่เคยขาดตอน แม่มีความสุขมากที่สุดที่มีท่านพ่อของลูก
อยู่ด้วยกันแบบนี้ ยิ่งมีลูกทั้งสองเพิ่มเข้ามา แม่ก็ยิ่งพบว่า ท่านพ่อของลูกมีความเป็นพ่อ
ที่ดีมากๆ มากเท่าที่ชีวิตนี้แม่ของลูกคงหาจากที่ใดไม่ได้อีกแล้ว"
เด็กน้อยทั้งสองจึงลุกขึ้นโผเข้ากอดผู้เป็นบิดาก่อนจะหอมแก้มนั้นด้วยความรัก แล้วหันมา
กอดผู้เป็นมารดา หอมแก้มทั้งสอง หะบีบี้ยกสองมือขึ้นสัมผัสแก้มลูกชายด้วยแววตาเป็นประกาย
แล้วเรียกขานชื่อลูกชายด้วยน้ำเสียงที่ละมุนละไม อ่อนหวาน จนผู้เป็นสามีชอบฟังน้ำเสียงนี้
ของเธอยิ่งนัก หะบีบี้ในวันที่เป็นแม่คนยิ่งอ่อนหวานและยิ่งอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นแม่ในตัวเธอ
เป็นเสน่ห์ที่ชวนให้รักและหลงใหล
"บุรฮานนุดดีนของแม่"
"ครับท่านแม่"
"ลูกรู้ใช่มั้ยว่า ชื่อของลูกหมายความว่าอย่างไร และใครเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้"
"รู้ครับ ท่านพ่อตั้งให้ หมายความว่า ความชัดเจนแจ่มแจ้งแห่งศาสนา"
"ลูกต้องดูแลปกป้องอุลยาน้องสาวของลูกตลอดไปนะลูกรัก"
"ครับท่านแม่" หะบีบี้รู้สึกโล่งโปร่งสบาย สามีและลูกทั้งสองล้วนเป็นความรื่นรมย์แก่สายตา
และเป็นความสงบมั่นคงแก่หัวใจเธอยิ่งนัก
เธอตัดสินใจถูกต้องแล้ว ที่เลือกจะแต่งงานกับบุรุษผู้นี้และยินยอมพร้อมใจมีบุตรด้วยกันกับเขา
ความหวาดกลัวและหวาดระแวงเกือบทำให้เธอพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไป
ขากลับ ทั้งสี่ชีวิตได้เดินทางผ่านกระท่อมหลังเล็กที่มีหญิงชราคนหนึ่งอาศัยอยู่
ในฐานะที่เป็นผู้นำแห่งดินแดนนี้ มุสตอฟา มักจะสอบถามเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในดินแดนนี้
อยู่เสมอ โดยที่ไม่เปิดเผยตนเองว่าเป็นผู้นำหรืออัลฮาบีบที่ปกครองดินแดนนี้
มุสตอฟาจึงหยุดการเดินทางลง แล้วสนทนาพูดคุยกับหญิงชรา โดยที่นางไม่รู้ว่าผู้ที่สนทนาด้วยนั้น
เป็นผู้ปกครองดินแดนนี้
หญิงชราได้ถามมุสตอฟาว่า
"โอ้เจ้าหนุ่มเอ๋ย ท่านอัลฮาบีบ มุสตอฟา ชัยนุลอาบิดีน เป็นอย่างไรบ้าง?"
มุสตอฟาจึงตอบไปว่า
"เขากำลังเดินทางกลับที่พักของเขา"
หญิงชราจึงกล่าวสืบไปว่า
"หวังว่า อัลลอฮ์จะไม่ทรงประทานความดีงามให้กับเขา"
มุสตอฟาถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ พร้อมกับถามว่า
"ทำไมละยาย?"
หญิงชราตอบว่า
"ตั้งแต่เขาได้เป็นอัลฮาบีบ ผู้นำแห่งดินแดนนี้ ข้ายังไม่เคยได้รับการช่วยเหลืออะไรจากเขาเลย"
มุสตอฟาจึงได้กล่าวขึ้นว่า
"บางทีเขาอาจจะไม่รู้จักบ้านของยายที่อยู่ห่างไกลออกมาเช่นนี้ก็ได้?"
หญิงชราก็ได้กล่าวว่า
"ข้าไม่เคยคิดว่า มีผู้นำคนใดที่จะไม่รู้จักบ้านของราษฎรของเขาทั้งหมด"
ในขณะนั้นเอง มุสตอฟาถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลพร้อมกับกล่าวว่า
"ช่างแย่เหลือเกินสำหรับมุสตอฟา แล้วเจ้าจะตอบคำถามของสตรีผู้นี้ในอาคิเราะห์ได้อย่างไร?"
มุสตอฟาจากบ้านหญิงชรามาโดยที่ได้มอบสิ่งของมีค่าที่ติดตัวมาให้กับหญิงชราทั้งหมด
โดยสัญญากับหญิงชราว่า จะนำเรื่องความทุกข์ร้อนของหญิงชราไปบอกแก่ผู้นำแห่งดินแดน
หญิงชราเพียงพูดขอบคุณเขา และชื่นชมในความมีน้ำใจที่เขาและครอบครัวมีต่อนาง
หากก็ยังคงมีความคับแค้นใจต่อผู้นำแห่งดินแดนอยู่เช่นนั้น
"ทุกคนล้วนบกพร่องและผิดพลาดกันได้ ท่านอย่าเศร้าเสียใจไปเลยท่านพี่"
หะบีบี้ปลอบใจสามีที่กำลังเสียใจและสำนึกผิด เขามักเป็นเช่นนี้เสมอ
ถ่อมตนและสำนึกผิด
"ท่านพี่ของเจ้ายังทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ"
"ท่านคือ มนุษย์ธรรมดา ได้โปรดให้อภัยตนเองเถิด แล้วเริ่มต้นปรับปรุงแก้ไขในส่วนนี้ต่อไป
ท่านพี่ต้องทำได้ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน"
เมื่อทั้งสี่ชีวิตกลับถึงบ้าน ย่าของเด็กน้อยทั้งสองก็รีบเข้ามารับร่างของหลานรักแล้วจูงไป
กินขนมที่ตนได้เตรียมเอาไว้ให้ ส่วนมุสตอฟาก็เข้าไปยังห้องส่วนตัวกับหะบีบี้เพื่อจัดการชำระล้าง
ร่างกายตน เสร็จแล้วจึงออกมาร่วมรับประทานอาหารเย็นกับมารดาของตน
ทุกอย่างสงบราบรื่นมาหลายปี เหมือนทะเลที่สงบมาเนิ่นนาน แต่ทว่าไม่กี่วันถัดจากนั้น
ก็มีข้าศึกพยายามบุกโจมตีเป้าหมายครั้งนี้ก็เพื่อทำลายดินแดนแห่งนี้ให้ราบคาบ
ผู้นำแห่งดินแดนจึงเรียกทุกคนในดินแดนเข้าประชุมปรึกษาหารือกันในที่ประชุมใหญ่
ที่เป็นลานกว้าง เขาขึ้นยืนบนฐานไม้ที่ยกสูง ก่อนจะกล่าวเรื่องราวของ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
ที่ถูกกล่าวถึงในมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งหะบีบี้และลูกๆ รวมทั้งมารดาของเขาก็เข้าร่วมรับฟังด้วย
"ในวันนี้ ข้าจะพูดถูกเรื่องราวของจดหมายซุลก๊อรนัยน์ที่เขียนถึงมารดา
ในอัลกุรอานกล่าวถึงบุคคลผู้นี้ในบทซูเราะห์อัล-กะห์ฟี ความว่า "และพวกเขาถามเจ้า (มุฮัมหมัด)
เกี่ยวกับซุลก๊อรนัยน์ จงกล่าวเถิด ฉันจะเล่าเรื่องราวของเขาให้พวกท่านฟัง"
ซุลก๊อรนัยน์ เป็นลูกคนเดียวของมารดาของท่าน ทุกคนคงเคยทราบประวัติของท่านมาบ้างแล้ว
เขาเป็นผู้ปกครองและเป็นผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ เขาสามารถพิชิตดินแดนตั้งแต่ตะวันออกไปจนถึงตะวันตก
และด้านที่สามไปจนถึงทางเหนือหรือทางใต้ และเมื่อเขาเดินทางถึงบาบิโลน เขาก็ล้มป่วยหนัก
ด้วยอาการป่วยที่รุนแรง
เขารู้สึกว่า ความตายของเขากำลังใกล้เข้ามาแล้ว ในเวลานั้นไม่มีอะไรอยู่ในใจของเขา
นอกจากความโศกเศร้าที่จะเกิดขึ้นกับมารดาของเขาหากเขาเสียชีวิตลง
เขาจึงคิดทำบางอย่างเพื่อไม่ให้มารดาของเขาโศกเศร้าหากเขาเสียชีวิตไป
เขาจึงส่งแกะผู้ตัวใหญ่ตัวหนึ่งและเขียนจดหมายฝากถึงมารดา
ในจดหมายเขียนว่า
โอ้แม่ของฉัน โลกนี้มีเวลาที่ถูกลิขิตไว้แล้ว และมีอายุขัยของมันแล้ว
หากแม่ทราบข่าวการตายของฉัน จงเชือดแกะตัวนี้แล้วปรุงเป็นอาหาร
แล้วเชิญผู้คนให้มารร่วมงานเลี้ยง ยกเว้น ห้ามเชิญคนที่สูญเสียคนที่รัก
เมื่อข่าวการเสียชีวิตของลูกชายไปถึงมารดา นางตัดสินใจทำตามประสงค์ของลูกชาย
นางนำแกะตัวนั้นทำตามที่ลูกชายขอ เตรียมอาหารและเชิญผู้คนตามที่ลูกชายสั่ง
แต่นางก็แปลกใจที่ไม่มีใครมาทานอาหารที่บ้านของนางเลย
นางจึงรู้ว่า ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยสูญเสียคนที่รักไป
จากนั้นไม่นาน นางจึงรู้ว่าลูกชายของนางหมายถึงอะไรจากพินัยกรรมของเขา
นางกล่าวว่า
ลูกเอ๋ย ขอพระเจ้าทรงเมตตาเจ้า เจ้าเป็นทั้งผู้เทศนาให้แม่ ทั้งที่เจ้าตายไปแล้ว
เหมือนที่เจ้าเคยเทศนาให้แม่ขณะที่เจ้ามีชีวิตอยู่"
มุสตอฟาหยุดเพื่อกลืนก้อนบางอย่างลงไปข้างในหัวอก ขณะที่สายตาทอดมองไปยังทุกคน
ในดินแดนนี้ ซึ่งทุกคนต่างมีน้ำตาไหลออกมาเปื้อนสองแก้ม บางคนก้มหน้าพยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้
เขาจึงกล่าวสืบไปว่า
"แน่แท้ ทุกชีวิตต่างต้องลิ้มรสการสูญเสียผู้อันเป็นที่รักไป
โลกแห่งนี้ไม่ใช่ที่อยู่อันถาวร เป็นเพียงสถานีส่งผ่าน และความตายไม่ได้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
กับการมีชีวิต หากแต่ความตายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิต
ทั้งความตายและการมีชีวิตเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน หรือต่างเป็นสิ่งที่นิยามซึ่งกันและกัน
ในขณะที่การมีชีวิตก็นิยามความหมายของความตายเช่นเดียวกัน"
แต่ละคนต่างสวมกอดกันเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว พวกเขาล้วนเข้าใจว่าผู้นำดินแดน
นำเรื่องนี้ออกมาพูดในสถานการณ์นี้เพื่อต้องการสื่อสารอะไรแก่พวกเขา
เพราะทุกคนต่างเชื่อมั่นต่อผู้นำของตนที่มักจะมองการณ์ไกล เห็นอะไรเกินมนุษย์ทั่วไป
แม้แต่หะบีบี้ก็สวมกอดลูกทั้งสองเอาไว้แนบแน่น มารดาของสามีก็สวมกอดเธอและลูกๆ ของเธอ
เอาไว้แน่น ราวกับเป็นสัญญาณบางอย่างที่หลายคนต่างสัมผัสได้ผ่านการสื่อสาร
ของท่านผู้นำ
"เราจงลุกขึ้นต่อสู้ อย่าหวั่นเกรงหวาดกลัวต่อศัตรูทั้งภายนอก และศัตรูที่อยู่ภายในใจของเรา
ขอทุกคนจงร่วมกันละหมาดด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง"
จากนั้นทุกคนก็ร่วมกันละหมาดรวมกัน เสร็จจากการละหมาด ภัยพิบัติแห่งสงครามใหญ่ก็เกิดขึ้น
กองทัพใหญ่บุกเข้าโจมตีดินแดนที่มุสตอฟาปกครอง บดขยี้ทั้งผู้คน อาคารบ้านเรือนจนแหลกลาญ
กองเพลิงมหึมาครอบคลุมดินแดน เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วแผ่นดิน
หะบีบี้มองภาพที่มุสตอฟาอุ้มกระเตงลูกทั้งสองไว้ ลูกชายขี่หลังสองแขนเกาะเกี่ยวคอบิดา
ส่วนลูกสาวเขาอุ้มไว้ในอ้อมกอดโดยมีมารดาของเขาเกาะแขนเขาไว้แน่น
กับภาพกองเพลิงที่เข้าปกคลุม ภาพดินแดนที่เคยสงบ และมีธรรมชาติอันงดงาม
มลายหายไปชั่วพริบตา หะบีบี้กรีดร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวเกินจะทานทนไหว
หัวใจเธอเหมือนจะดับสิ้นลง ณ ที่ตรงนั้น
"ไม่จริง ไม่จริง ม่ายยยยยย" เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้นยังคงดังไม่ขาดสาย
พร้อมด้วยน้ำตา
"อย่า ได้โปรด ยาร็อบบี" สองมือไขว่คว้า หากกลับคว้าไว้ได้เพียงอากาศธาตุ
"นาตาวัซซัล บิล ฮูบาบาห์
วัล บาตูลิล มุสตาตอบาห์
วัล นาบี ซุมมะ ซอฮาบาห์
ฟาอาซา ดาวะห์ มุจาบาห์"
เสียงใสๆ ของสตรีที่กำลังขับขานกอซิดะห์ดังกล่าวที่แสนคุ้นเคยนั้นเรียกให้ดวงตาทั้งสอง
ของหะบีบี้ค่อยๆ เปิดออก ก็เห็นเพดานห้องที่คุ้นตา หันไปด้านข้างก็พบว่าคือ ห้องนอนของตน
และเสียงของสตรีที่กำลังขับขานท่วงทำนองอันแสนไพเราะนั้นอยู่ ก็คือ เสียงของมารดา
ผู้ให้กำเนิดเธอมา หะบีบี้ร้องไห้แล้วโผเข้าสวมกอดมารดาราวกับเด็กน้อยที่กำลังหลงทาง
นาดาลูบหลังลูกสาว ลูบหัวนั้นด้วยรักและเอ็นดู
ไม่ว่า เวลาจะผ่านมานานแค่ไหน ลูกของเธอจะเติบโตขึ้นและตัวโตขนาดไหน
แต่สำหรับเธอแล้ว ลูกยังคงเป็นเด็กน้อยของเธออยู่เสมอ โดยเฉพาะลูกสาวสุดท้องคนนี้
"แม่ขา เขาจากหนูไปแล้ว เขากับลูกๆ จากหนูไปแล้ว"
"มันคือ ความฝัน แค่ความฝัน หะบีบี้ของแม่แค่หลับแล้วฝันไปเท่านั้น" หะบีบี้ผละจากมารดา
แล้วมองใบหน้าของมารดาก่อนจะส่ายหน้า
"ไม่จริงอ่ะ บีบี้ไม่ได้ฝัน จะฝันได้อย่างไรคะ เป็นไปไม่ได้"
"ลูกแค่เป็นเจ้าหญิงนิทราจากเหตุการณ์เครื่องบินตก ลูกแค่หลับไปนานถึงสี่เดือน"
นาดาพยายามอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ลูกสาวค่อยๆ ฟัง แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ยอมเชื่อ
"ไม่จริง ไม่ใช่ฝัน ไม่จริง"
"ลูกละเมอถึงแต่ชายหนุ่มที่ชื่อ มุสตอฟา บ่อยๆ
และก็เรียกหา บุรฮานนุดดีนกับอุลยา พวกเขาคือ คนในความฝันของลูก
ไม่ใช่ความจริง หะบีบี้ของแม่เพียงฝันไปเท่านั้น"
หะบีบี้ถึงกับกรีดร้องลั่นห้องก่อนจะสลบไปอีกครั้ง เพราะไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ว่า
ทุกอย่างทั้งหมดนั้น แค่ฝัน!
"เดี๋ยวทุกอย่างจะต้องดีขึ้น คุณอย่ากังวลไปเลย ทุกอย่างมีทางออก
มีทางรักษา ผมจะส่งลูกของเราไปหาเพื่อนผมที่เป็นหมอทางด้านนี้ เขาน่าจะรักษาลูกของเราได้"
ดานีสกุมมือภรรยาคู่ชีวิตเอาไว้ขณะทอดสายตามองลูกสาวคนสุดท้อง
ที่หลังจากค้นพบซากเครื่องบินเมื่อห้าเดือนก่อน ก็พบว่าร่างของลูกสาวไม่ได้อยู่ห่างไกล
จากตัวเครื่องนัก บาดแผลภายนอกแทบไม่พบอะไร หากแต่กลับสลบไม่ฟื้น
จนกระทั่งวันนี้ ที่ฟื้นขึ้นมาก็ยังคงเพ้อหาชายหนุ่มที่ชื่อ มุสตอฟา กับ ชื่อเด็กน้อยทั้งสอง
ที่เธอเรียกหาราวกับเป็นลูกที่พลัดพรากจากกัน เสียงร้องละเมอสะอึกสะอื้นนั้น
แสนเจ็บปวดรวดร้าวจนเขาผู้เป็นบิดามิอาจทนไหว
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวกันแน่ รู้แค่ว่า
มันเป็นไปได้ว่าเธอจะถูกรบกวนทางความฝัน
.............................โปรดติดตามตอนต่อไป............................
เป็นตอนที่คนเขียนเองเขียนไปก็สะเทือนใจไป พอไม่ไหวเลยพักๆหยุดๆ
กว่าจะนำมาส่งได้ ก็หมดน้ำตาไปเยอะเหมือนกันค่ะ เพราะเป็นไคลแม็กซ์ของเรื่อง
และได้นำบีบี้มาส่ง พร้อมกับส่งใบลานักอ่านค่ะ
วันอังคารนี้ ก็จะเข้าสู่เดือนรอมาฎอนแล้ว
เต่าโยเลยขอส่งใบลานักอ่าน แล้วจะกลับมาอีกครั้งหลังเดือนรอมาฎอนค่ะ
อินชาอัลลอฮ์
มีอะไรสงสัยอยากจะสอบถาม ทิ้งข้อความไว้ได้ตลอดเลยนะคะ
ขอให้ทุกคนได้รับความสุขความสงบ สันติ ในเดือนอันประเสริฐนี้ อามีนๆ
ด้วยรัก
"เต่าโย"
บรรดาบุรุษทั้งหมดในดินแดนออกมารวมกันที่มัสยิดเพื่อละหมาดญุมอะห์ในวันศุกร์
ซึ่งเป็นเช่นนี้ในทุกๆ สัปดาห์ หากแต่วันนี้ อัลฮาบีบ มุสตอฟา ชัยนุลอาบิดีน ผู้นำแห่งดินแดน
ได้ขึ้นกล่าวคุตบะห์ได้จับหัวใจ จนคนนับพันนับหมื่นที่มารวมกันถึงกับเงียบกริบ
ไม่มีเสียงอื่นใดราวกับไม่ได้มีผู้คนมากมายมารวมกัน ณ ที่ตรงนั้น และด้วยความเงียบสนิทเช่นนี้
ทำให้เสียงของเขาดังไปถึงหูและหัวใจผู้คน
"ข้ามีเรื่องราวของซอฮาบะห์ท่านหนึ่ง ชื่อ อับดุลลอฮ์ บิน มูฆอฟัล
เขาคือ ผู้ที่ทำให้ท่านนบีของพวกเราถึงกับร่ำไห้สะอื้น เนื่องจากเรื่องราวที่ได้เล่าให้ท่านนบีฟัง
อับดุลลอฮ์ บิน มูฆอฟัล เป็นชายคนหนึ่งที่เข้ารับอิสลาม เป็นผู้ที่มีใบหน้าเศร้าหมอง
ไร้รอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา จนท่านนบีเริ่มสงสัยและได้เรียกตัวเขาเพื่อมาสอบถาม "อะไรทำให้ท่าน
ดูเศร้าอยู่เสมอ มันคือ เรื่องอะไรกัน บอกฉันได้หรือไม่" เมื่อท่านอับดุลลอฮ์ บิน มูฆอฟัล
ได้ยินสิ่งที่ท่านนบีถาม ยิ่งเพิ่มความเศร้าของเขาขึ้นไปอีก เขาได้เล่าให้ท่านนบีฟังว่า
"ฉันได้ทิ้งภรรยาของฉันตอนนางตั้งครรภ์อยู่ เพื่อไปค้าขายเป็นเวลาหลายปี และได้ทราบข่าวว่า
ภรรยาของฉันได้คลอดบุตรสาว เธอน่ารัก ฉลาด พูดเก่งมากเลยครับ แต่เสียดายที่เธอเป็นสตรี
ฉันต้องถูกเย้ยหยันและดูถูกจากชาวบ้านในชนเผ่าของฉันมาตลอด และด้วยความเห็นแก่ตัว
และความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของฉัน ฉันไม่สามารถที่จะทนต่อคำพูดถากถางเหล่านั้นได้อีกต่อไป
ฉันจึงสั่งให้ภรรยาแต่งกายบุตรสาวอย่างงดงาม นางจึงรู้ได้ทันทีทันใดว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นางจึงร่ำไห้อ้อนวอนขอว่าอย่าได้ทำแบบนั้นเลย แต่เพราะนางกลัว นางจึงทำตามที่ฉันบอก
เมื่อนางแต่งกายให้บุตรสาวเสร็จ นางจึงสอนคำพูดหนึ่งให้แก่เธอ
ฉันพาบุตรสาวไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเธอไม่ได้รู้เรื่องอันใดด้วยซ้ำ
ฉันเริ่มขุดดิน จนดินกระเด็นมาติดที่เคราของฉัน บุตรสาวของฉันจึงช่วยปัดออกให้
ตอนนั้น จิตใต้สำนึกได้บอกว่า อย่าทำลูกเลย สงสารเธอ แต่ทว่า
ทุกครั้งที่ฉันสงสารลูก ฉันจะตัดความรู้สึกนั้นทิ้งเสีย เพราะความเห็นแก่ตัวของฉัน
ที่ไม่อยากถูกเย้ยหยัน ถากถาง ฉันจึงดึงแขนบุตรสาว
ทันใดนั้น เธอเริ่มร้องไห้และได้ตะโกนออกมาว่า
"พ่อจ๋า อย่าทำหนูเลย หนูคือ อามานะห์ของพ่อ" เธอพูดซ้ำๆ กันหลายรอบ
ฉันไม่ฟังเสียงขอร้องจากบุตรสาว ฉันรีบยัดเธอลงหลุมพร้อมกับปิดหลุมทันที
เธอร้องไห้จนเสียงค่อยๆ เงียบไป
อับดุลลอฮ์กล่าวว่า โอ้ ยาร่อซูลลุ้ลลอฮ์ เรื่องนี้มันผุดขึ้นในใจฉันเสมอ
มันทำให้ฉันไม่สามารถยิ้มได้ แล้วนับประสาอะไรกับเสียงหัวเราะเล่า
จากนั้นเขาก็ก้มหัวร้องไห้หลังจากที่เล่าจบ
ท่านนบีกลับนิ่งเงียบ เขาคิดในใจว่าท่านนบีคงจะปลอบเขาเป็นแน่
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขากลับพบว่า ท่านนบีกำลังร้องไห้สะอื้นจนผ้าใต้คางของท่านเปียกชื้น
ทำให้อับดุลลอฮ์ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก ท่านนบีจึงกล่าวกับเขาว่า
"หากในเวลานั้น ฉันเป็นศาสนทูตแล้ว ฉันจะฝังท่านทั้งเป็นเหมือนที่ท่านทำกับบุตรสาวของท่าน"
มุสตอฟาหยุดไว้ตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง หันไปทางสาวน้อยที่นั่งอยู่บนตักของน้าชายของเขา
ผู้เป็นน้องชายของบิดาของเขาโดยที่ข้างๆ นั้นมีเด็กผู้ชายวัยสามขวบนั่งอยู่ด้วยตัวติดกัน
แล้วกล่าวสืบไปว่า
"ท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมถูกแต่งตั้งเป็นศาสนทูตในยุคญาฮิลิยะห์
ที่บุตรสาวต้องถูกฝัง ผู้หญิงไม่มีค่าใดในสายตา ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี
ท่านต้องพยายามมากเพียงใดที่จะทำให้มุสลิมะห์มีเกียรติดั่งราชินี
โอ้ ผู้ปกครองสตรีทั้งหลาย ณ ที่แห่งนี้ พวกนั้นจงดูแลสตรีในปกครองของพวกท่าน
ด้วยความรักและให้เกียรติแก่พวกนาง อย่าได้ตบตีทำร้ายจิตใจพวกนาง
จงปฏิบัติต่อพวกนางด้วยดี เพราะพวกนางนั้นคือ อามานะห์ของพวกท่าน"
กล่าวปิดจบ มุสตอฟาก็อ้าแขนรับร่างเด็กสาวตัวน้อยที่ลุกมาหาเขาทันที
เขาสวมกอดร่างน้อยเอาไว้อย่างสุดรักสุดหวง ทุกคนมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม
การกระทำของท่านผู้นำแห่งดินแดนก็มากเกินพอที่จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
ที่ถูกเล่าออกมาเมื่อสักครู่ น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาเมื่อครู่ของผู้คนมากมาย
จึงถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มแห่งความประทับใจ
จากนั้นร่างของเด็กชายตัวน้อยก็เดินไปหาท่านผู้นำ เรียกด้วยถ้อยคำอันแสนไพเราะ
สำหรับมุสตอฟายิ่งนัก
"ท่านพ่อ กอดด้วยๆ" มุสตอฟารับร่างบุตรชายเข้าสู่อ้อมกอด หอมและจูบหน้าผากลูกน้อย
ทั้งสอง ผู้เป็นของขวัญที่เขาได้รับมาในช่วงเวลาสี่ปีนี้
...................................................................
ณ ท้องทุ่งกว้าง มีม้าสีขาวกับสีดำกำลังควบเหยาะๆ ม้าสีขาวมีเจ้าของเป็นบุรุษรูปงามที่มีลูกชาย
วัยสามขวบนั่งอยู่ด้านหน้า ในขณะที่ม้าสีดำมีสตรีร่างบอบบางนั่งพร้อมด้วยลูกสาวในวัยสองขวบ
โดยมีผ้าพันรัดไว้กับร่างกายของผู้เป็นมารดา กันลูกสาวตกจากหลังม้า เสียงพูดคุยสลับเสียงหัวเราะ
น้อยๆ ของเด็กๆ ดังไปทั่วท้องทุ่งแห่งนี้ สร้างรอยยิ้มให้ผู้พานพบและได้รับเสียงทักทายไปตลอดเส้นทาง
จนกระทั่งม้าของทั้งสองได้หยุดลงตรงเนินเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกมาจากผู้คน
สองสามีภรรยาลงจากหลังม้า แล้วปล่อยให้เท้าของลูกทั้งสองได้สัมผัสกับผืนหญ้า
เสียงน้อยๆ ร้องด้วยความดีใจ จูงมือกันวิ่งเล่นในทุ่งหญ้าอันกว้างสุดลูกหูลูกตา
สักพักก็วิ่งมาหาบิดามารดาที่นั่งคลอเคลียตรงใต้ร่มไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขากว้างขวาง
เสียงบุรุษรูปงามแว่วดังเมื่อลูกทั้งสองกลับมานอนบนตักของตนและภรรยา
"ลูกเอ๋ย เจ้าจงอย่าไปเป็นหนี้ใคร อย่าทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพลูกหนี้
เพราะมันเป็นความต่ำต้อยในยามกลางวัน และเป็นความกลัดกลุ้มในยามค่ำคืน"
"ลูกเอ๋ย เมื่อมีใครมาฟ้องว่า ชายผู้หนึ่งควักดวงตาของเขาออกทั้งสองข้าง
ถึงแม้จะเป็นจริงตามนั้น เจ้าก็จงอย่าได้ออกความเห็นใดๆ ตราบที่เจ้ายังไม่ได้ฟังความของอีกฝ่าย
เพราะผู้ที่เสียดวงตาทั้งสองข้างไปนั้น อาจเป็นผู้เริ่มควักดวงตาของผู้อื่นก่อนถึงสี่ดวงก็เป็นได"
"ครับ"
"ค่ะ"
ทั้งสองตอบรับคำสอนของบิดา ซึ่งหะบีบี้รู้ดีว่า ลูกทั้งสองยังไม่ได้เข้าใจมันมากนัก
แต่ทั้งสองนั้นมีความจำเป็นเลิศ ในวัยเท่านี้ก็จริง แต่กลับสามารถท่องจำกุรอานได้ทั้งหมดแล้ว
ทั้งสองคน เพราะผู้เป็นบิดารักในการอ่านกุรอาน จึงอ่านให้ลูกๆ ทั้งสองที่อายุครรภ์ห่างกันแค่หนึ่งปี
ได้ฟังเสียงกุรอานจากผู้เป็นบิดาตั้งแต่ทั้งสองยังอยู่ในครรภ์ของเธอ เมื่อลูกเพิ่งคลอดได้ไม่กี่วัน
ก็พาลูกไปอยู่ในวงล้อมของผู้คนที่มานั่งร่วมวงมัจลิซซิกรุลลอฮ์และวงอาลาเกาะห์ที่คนจำนวน
นับร้อยนับพันมาร่วมกันอ่านกุรอานและซอลาวาตนบี ลูกทั้งสองของเธอจึงเป็นหนึ่งในเด็ก
จำนวนไม่มากนักที่ท่องจำอัลกุรอานได้ทั้งหมดในวัยอันน้อยนิดเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นที่รัก
ของผู้คนในดินแดนนี้ เป็นขวัญและกำลังใจของพ่อและแม่ รวมไปถึงย่าที่ทั้งรักทั้งเอ็นดู
"ท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ได้สอนบรรดามุสลิมไว้ว่า
เหล่าบรรดาผู้ศรัทธาที่เปี่ยมล้นด้วยแสงศรัทธาอย่างสมบูรณ์ คือ เหล่าบรรดาผู้ศรัทธาที่มี
มารยาทอันงดงาม และผู้ที่ดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาพวกเจ้าคือ ผู้ที่มีอุปนิสัยต่อภรรยาของเขาดีเยี่ยม
ในบรรดาพวกเจ้า"
พูดจบก็หันไปยิ้มให้หะบีบี้ ผู้เป็นภรรยา ก่อนจะโอบไหล่เธอมาเอียงซบไหล่เขาไว้
"เหมือนที่ท่านพ่อทำดีต่อท่านแม่ใช่หรือไม่" ลูกชายวัยสามขวบเป็นผู้เอ่ยถาม และแม่คือ ผู้ยืนยัน
"ใช่แล้วลูกรัก ท่านพ่อของลูกไม่เคยหยาบคายต่อแม่ของเจ้าทั้งสองเลยแม้จนครั้งเดียว
และท่านพ่อของลูกก็ใจดีกับแม่ของเจ้าทั้งสองในทุกๆ เรื่อง สอนสิ่งดีๆ มากมายให้แก่แม่ของเจ้าทั้งสอง
อีกทั้งยังปกป้องคุ้มครองแม่ของเจ้าทั้งสองนับตั้งแต่วันแรกที่พบเจอจนกระทั่งวันนี้
เป็นความรักที่มีความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่เคยขาดตอน แม่มีความสุขมากที่สุดที่มีท่านพ่อของลูก
อยู่ด้วยกันแบบนี้ ยิ่งมีลูกทั้งสองเพิ่มเข้ามา แม่ก็ยิ่งพบว่า ท่านพ่อของลูกมีความเป็นพ่อ
ที่ดีมากๆ มากเท่าที่ชีวิตนี้แม่ของลูกคงหาจากที่ใดไม่ได้อีกแล้ว"
เด็กน้อยทั้งสองจึงลุกขึ้นโผเข้ากอดผู้เป็นบิดาก่อนจะหอมแก้มนั้นด้วยความรัก แล้วหันมา
กอดผู้เป็นมารดา หอมแก้มทั้งสอง หะบีบี้ยกสองมือขึ้นสัมผัสแก้มลูกชายด้วยแววตาเป็นประกาย
แล้วเรียกขานชื่อลูกชายด้วยน้ำเสียงที่ละมุนละไม อ่อนหวาน จนผู้เป็นสามีชอบฟังน้ำเสียงนี้
ของเธอยิ่งนัก หะบีบี้ในวันที่เป็นแม่คนยิ่งอ่อนหวานและยิ่งอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นแม่ในตัวเธอ
เป็นเสน่ห์ที่ชวนให้รักและหลงใหล
"บุรฮานนุดดีนของแม่"
"ครับท่านแม่"
"ลูกรู้ใช่มั้ยว่า ชื่อของลูกหมายความว่าอย่างไร และใครเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้"
"รู้ครับ ท่านพ่อตั้งให้ หมายความว่า ความชัดเจนแจ่มแจ้งแห่งศาสนา"
"ลูกต้องดูแลปกป้องอุลยาน้องสาวของลูกตลอดไปนะลูกรัก"
"ครับท่านแม่" หะบีบี้รู้สึกโล่งโปร่งสบาย สามีและลูกทั้งสองล้วนเป็นความรื่นรมย์แก่สายตา
และเป็นความสงบมั่นคงแก่หัวใจเธอยิ่งนัก
เธอตัดสินใจถูกต้องแล้ว ที่เลือกจะแต่งงานกับบุรุษผู้นี้และยินยอมพร้อมใจมีบุตรด้วยกันกับเขา
ความหวาดกลัวและหวาดระแวงเกือบทำให้เธอพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไป
ขากลับ ทั้งสี่ชีวิตได้เดินทางผ่านกระท่อมหลังเล็กที่มีหญิงชราคนหนึ่งอาศัยอยู่
ในฐานะที่เป็นผู้นำแห่งดินแดนนี้ มุสตอฟา มักจะสอบถามเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในดินแดนนี้
อยู่เสมอ โดยที่ไม่เปิดเผยตนเองว่าเป็นผู้นำหรืออัลฮาบีบที่ปกครองดินแดนนี้
มุสตอฟาจึงหยุดการเดินทางลง แล้วสนทนาพูดคุยกับหญิงชรา โดยที่นางไม่รู้ว่าผู้ที่สนทนาด้วยนั้น
เป็นผู้ปกครองดินแดนนี้
หญิงชราได้ถามมุสตอฟาว่า
"โอ้เจ้าหนุ่มเอ๋ย ท่านอัลฮาบีบ มุสตอฟา ชัยนุลอาบิดีน เป็นอย่างไรบ้าง?"
มุสตอฟาจึงตอบไปว่า
"เขากำลังเดินทางกลับที่พักของเขา"
หญิงชราจึงกล่าวสืบไปว่า
"หวังว่า อัลลอฮ์จะไม่ทรงประทานความดีงามให้กับเขา"
มุสตอฟาถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ พร้อมกับถามว่า
"ทำไมละยาย?"
หญิงชราตอบว่า
"ตั้งแต่เขาได้เป็นอัลฮาบีบ ผู้นำแห่งดินแดนนี้ ข้ายังไม่เคยได้รับการช่วยเหลืออะไรจากเขาเลย"
มุสตอฟาจึงได้กล่าวขึ้นว่า
"บางทีเขาอาจจะไม่รู้จักบ้านของยายที่อยู่ห่างไกลออกมาเช่นนี้ก็ได้?"
หญิงชราก็ได้กล่าวว่า
"ข้าไม่เคยคิดว่า มีผู้นำคนใดที่จะไม่รู้จักบ้านของราษฎรของเขาทั้งหมด"
ในขณะนั้นเอง มุสตอฟาถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลพร้อมกับกล่าวว่า
"ช่างแย่เหลือเกินสำหรับมุสตอฟา แล้วเจ้าจะตอบคำถามของสตรีผู้นี้ในอาคิเราะห์ได้อย่างไร?"
มุสตอฟาจากบ้านหญิงชรามาโดยที่ได้มอบสิ่งของมีค่าที่ติดตัวมาให้กับหญิงชราทั้งหมด
โดยสัญญากับหญิงชราว่า จะนำเรื่องความทุกข์ร้อนของหญิงชราไปบอกแก่ผู้นำแห่งดินแดน
หญิงชราเพียงพูดขอบคุณเขา และชื่นชมในความมีน้ำใจที่เขาและครอบครัวมีต่อนาง
หากก็ยังคงมีความคับแค้นใจต่อผู้นำแห่งดินแดนอยู่เช่นนั้น
"ทุกคนล้วนบกพร่องและผิดพลาดกันได้ ท่านอย่าเศร้าเสียใจไปเลยท่านพี่"
หะบีบี้ปลอบใจสามีที่กำลังเสียใจและสำนึกผิด เขามักเป็นเช่นนี้เสมอ
ถ่อมตนและสำนึกผิด
"ท่านพี่ของเจ้ายังทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ"
"ท่านคือ มนุษย์ธรรมดา ได้โปรดให้อภัยตนเองเถิด แล้วเริ่มต้นปรับปรุงแก้ไขในส่วนนี้ต่อไป
ท่านพี่ต้องทำได้ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน"
เมื่อทั้งสี่ชีวิตกลับถึงบ้าน ย่าของเด็กน้อยทั้งสองก็รีบเข้ามารับร่างของหลานรักแล้วจูงไป
กินขนมที่ตนได้เตรียมเอาไว้ให้ ส่วนมุสตอฟาก็เข้าไปยังห้องส่วนตัวกับหะบีบี้เพื่อจัดการชำระล้าง
ร่างกายตน เสร็จแล้วจึงออกมาร่วมรับประทานอาหารเย็นกับมารดาของตน
ทุกอย่างสงบราบรื่นมาหลายปี เหมือนทะเลที่สงบมาเนิ่นนาน แต่ทว่าไม่กี่วันถัดจากนั้น
ก็มีข้าศึกพยายามบุกโจมตีเป้าหมายครั้งนี้ก็เพื่อทำลายดินแดนแห่งนี้ให้ราบคาบ
ผู้นำแห่งดินแดนจึงเรียกทุกคนในดินแดนเข้าประชุมปรึกษาหารือกันในที่ประชุมใหญ่
ที่เป็นลานกว้าง เขาขึ้นยืนบนฐานไม้ที่ยกสูง ก่อนจะกล่าวเรื่องราวของ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
ที่ถูกกล่าวถึงในมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งหะบีบี้และลูกๆ รวมทั้งมารดาของเขาก็เข้าร่วมรับฟังด้วย
"ในวันนี้ ข้าจะพูดถูกเรื่องราวของจดหมายซุลก๊อรนัยน์ที่เขียนถึงมารดา
ในอัลกุรอานกล่าวถึงบุคคลผู้นี้ในบทซูเราะห์อัล-กะห์ฟี ความว่า "และพวกเขาถามเจ้า (มุฮัมหมัด)
เกี่ยวกับซุลก๊อรนัยน์ จงกล่าวเถิด ฉันจะเล่าเรื่องราวของเขาให้พวกท่านฟัง"
ซุลก๊อรนัยน์ เป็นลูกคนเดียวของมารดาของท่าน ทุกคนคงเคยทราบประวัติของท่านมาบ้างแล้ว
เขาเป็นผู้ปกครองและเป็นผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ เขาสามารถพิชิตดินแดนตั้งแต่ตะวันออกไปจนถึงตะวันตก
และด้านที่สามไปจนถึงทางเหนือหรือทางใต้ และเมื่อเขาเดินทางถึงบาบิโลน เขาก็ล้มป่วยหนัก
ด้วยอาการป่วยที่รุนแรง
เขารู้สึกว่า ความตายของเขากำลังใกล้เข้ามาแล้ว ในเวลานั้นไม่มีอะไรอยู่ในใจของเขา
นอกจากความโศกเศร้าที่จะเกิดขึ้นกับมารดาของเขาหากเขาเสียชีวิตลง
เขาจึงคิดทำบางอย่างเพื่อไม่ให้มารดาของเขาโศกเศร้าหากเขาเสียชีวิตไป
เขาจึงส่งแกะผู้ตัวใหญ่ตัวหนึ่งและเขียนจดหมายฝากถึงมารดา
ในจดหมายเขียนว่า
โอ้แม่ของฉัน โลกนี้มีเวลาที่ถูกลิขิตไว้แล้ว และมีอายุขัยของมันแล้ว
หากแม่ทราบข่าวการตายของฉัน จงเชือดแกะตัวนี้แล้วปรุงเป็นอาหาร
แล้วเชิญผู้คนให้มารร่วมงานเลี้ยง ยกเว้น ห้ามเชิญคนที่สูญเสียคนที่รัก
เมื่อข่าวการเสียชีวิตของลูกชายไปถึงมารดา นางตัดสินใจทำตามประสงค์ของลูกชาย
นางนำแกะตัวนั้นทำตามที่ลูกชายขอ เตรียมอาหารและเชิญผู้คนตามที่ลูกชายสั่ง
แต่นางก็แปลกใจที่ไม่มีใครมาทานอาหารที่บ้านของนางเลย
นางจึงรู้ว่า ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยสูญเสียคนที่รักไป
จากนั้นไม่นาน นางจึงรู้ว่าลูกชายของนางหมายถึงอะไรจากพินัยกรรมของเขา
นางกล่าวว่า
ลูกเอ๋ย ขอพระเจ้าทรงเมตตาเจ้า เจ้าเป็นทั้งผู้เทศนาให้แม่ ทั้งที่เจ้าตายไปแล้ว
เหมือนที่เจ้าเคยเทศนาให้แม่ขณะที่เจ้ามีชีวิตอยู่"
มุสตอฟาหยุดเพื่อกลืนก้อนบางอย่างลงไปข้างในหัวอก ขณะที่สายตาทอดมองไปยังทุกคน
ในดินแดนนี้ ซึ่งทุกคนต่างมีน้ำตาไหลออกมาเปื้อนสองแก้ม บางคนก้มหน้าพยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้
เขาจึงกล่าวสืบไปว่า
"แน่แท้ ทุกชีวิตต่างต้องลิ้มรสการสูญเสียผู้อันเป็นที่รักไป
โลกแห่งนี้ไม่ใช่ที่อยู่อันถาวร เป็นเพียงสถานีส่งผ่าน และความตายไม่ได้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
กับการมีชีวิต หากแต่ความตายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิต
ทั้งความตายและการมีชีวิตเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน หรือต่างเป็นสิ่งที่นิยามซึ่งกันและกัน
ในขณะที่การมีชีวิตก็นิยามความหมายของความตายเช่นเดียวกัน"
แต่ละคนต่างสวมกอดกันเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว พวกเขาล้วนเข้าใจว่าผู้นำดินแดน
นำเรื่องนี้ออกมาพูดในสถานการณ์นี้เพื่อต้องการสื่อสารอะไรแก่พวกเขา
เพราะทุกคนต่างเชื่อมั่นต่อผู้นำของตนที่มักจะมองการณ์ไกล เห็นอะไรเกินมนุษย์ทั่วไป
แม้แต่หะบีบี้ก็สวมกอดลูกทั้งสองเอาไว้แนบแน่น มารดาของสามีก็สวมกอดเธอและลูกๆ ของเธอ
เอาไว้แน่น ราวกับเป็นสัญญาณบางอย่างที่หลายคนต่างสัมผัสได้ผ่านการสื่อสาร
ของท่านผู้นำ
"เราจงลุกขึ้นต่อสู้ อย่าหวั่นเกรงหวาดกลัวต่อศัตรูทั้งภายนอก และศัตรูที่อยู่ภายในใจของเรา
ขอทุกคนจงร่วมกันละหมาดด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง"
จากนั้นทุกคนก็ร่วมกันละหมาดรวมกัน เสร็จจากการละหมาด ภัยพิบัติแห่งสงครามใหญ่ก็เกิดขึ้น
กองทัพใหญ่บุกเข้าโจมตีดินแดนที่มุสตอฟาปกครอง บดขยี้ทั้งผู้คน อาคารบ้านเรือนจนแหลกลาญ
กองเพลิงมหึมาครอบคลุมดินแดน เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วแผ่นดิน
หะบีบี้มองภาพที่มุสตอฟาอุ้มกระเตงลูกทั้งสองไว้ ลูกชายขี่หลังสองแขนเกาะเกี่ยวคอบิดา
ส่วนลูกสาวเขาอุ้มไว้ในอ้อมกอดโดยมีมารดาของเขาเกาะแขนเขาไว้แน่น
กับภาพกองเพลิงที่เข้าปกคลุม ภาพดินแดนที่เคยสงบ และมีธรรมชาติอันงดงาม
มลายหายไปชั่วพริบตา หะบีบี้กรีดร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวเกินจะทานทนไหว
หัวใจเธอเหมือนจะดับสิ้นลง ณ ที่ตรงนั้น
"ไม่จริง ไม่จริง ม่ายยยยยย" เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้นยังคงดังไม่ขาดสาย
พร้อมด้วยน้ำตา
"อย่า ได้โปรด ยาร็อบบี" สองมือไขว่คว้า หากกลับคว้าไว้ได้เพียงอากาศธาตุ
"นาตาวัซซัล บิล ฮูบาบาห์
วัล บาตูลิล มุสตาตอบาห์
วัล นาบี ซุมมะ ซอฮาบาห์
ฟาอาซา ดาวะห์ มุจาบาห์"
เสียงใสๆ ของสตรีที่กำลังขับขานกอซิดะห์ดังกล่าวที่แสนคุ้นเคยนั้นเรียกให้ดวงตาทั้งสอง
ของหะบีบี้ค่อยๆ เปิดออก ก็เห็นเพดานห้องที่คุ้นตา หันไปด้านข้างก็พบว่าคือ ห้องนอนของตน
และเสียงของสตรีที่กำลังขับขานท่วงทำนองอันแสนไพเราะนั้นอยู่ ก็คือ เสียงของมารดา
ผู้ให้กำเนิดเธอมา หะบีบี้ร้องไห้แล้วโผเข้าสวมกอดมารดาราวกับเด็กน้อยที่กำลังหลงทาง
นาดาลูบหลังลูกสาว ลูบหัวนั้นด้วยรักและเอ็นดู
ไม่ว่า เวลาจะผ่านมานานแค่ไหน ลูกของเธอจะเติบโตขึ้นและตัวโตขนาดไหน
แต่สำหรับเธอแล้ว ลูกยังคงเป็นเด็กน้อยของเธออยู่เสมอ โดยเฉพาะลูกสาวสุดท้องคนนี้
"แม่ขา เขาจากหนูไปแล้ว เขากับลูกๆ จากหนูไปแล้ว"
"มันคือ ความฝัน แค่ความฝัน หะบีบี้ของแม่แค่หลับแล้วฝันไปเท่านั้น" หะบีบี้ผละจากมารดา
แล้วมองใบหน้าของมารดาก่อนจะส่ายหน้า
"ไม่จริงอ่ะ บีบี้ไม่ได้ฝัน จะฝันได้อย่างไรคะ เป็นไปไม่ได้"
"ลูกแค่เป็นเจ้าหญิงนิทราจากเหตุการณ์เครื่องบินตก ลูกแค่หลับไปนานถึงสี่เดือน"
นาดาพยายามอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ลูกสาวค่อยๆ ฟัง แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ยอมเชื่อ
"ไม่จริง ไม่ใช่ฝัน ไม่จริง"
"ลูกละเมอถึงแต่ชายหนุ่มที่ชื่อ มุสตอฟา บ่อยๆ
และก็เรียกหา บุรฮานนุดดีนกับอุลยา พวกเขาคือ คนในความฝันของลูก
ไม่ใช่ความจริง หะบีบี้ของแม่เพียงฝันไปเท่านั้น"
หะบีบี้ถึงกับกรีดร้องลั่นห้องก่อนจะสลบไปอีกครั้ง เพราะไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ว่า
ทุกอย่างทั้งหมดนั้น แค่ฝัน!
"เดี๋ยวทุกอย่างจะต้องดีขึ้น คุณอย่ากังวลไปเลย ทุกอย่างมีทางออก
มีทางรักษา ผมจะส่งลูกของเราไปหาเพื่อนผมที่เป็นหมอทางด้านนี้ เขาน่าจะรักษาลูกของเราได้"
ดานีสกุมมือภรรยาคู่ชีวิตเอาไว้ขณะทอดสายตามองลูกสาวคนสุดท้อง
ที่หลังจากค้นพบซากเครื่องบินเมื่อห้าเดือนก่อน ก็พบว่าร่างของลูกสาวไม่ได้อยู่ห่างไกล
จากตัวเครื่องนัก บาดแผลภายนอกแทบไม่พบอะไร หากแต่กลับสลบไม่ฟื้น
จนกระทั่งวันนี้ ที่ฟื้นขึ้นมาก็ยังคงเพ้อหาชายหนุ่มที่ชื่อ มุสตอฟา กับ ชื่อเด็กน้อยทั้งสอง
ที่เธอเรียกหาราวกับเป็นลูกที่พลัดพรากจากกัน เสียงร้องละเมอสะอึกสะอื้นนั้น
แสนเจ็บปวดรวดร้าวจนเขาผู้เป็นบิดามิอาจทนไหว
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวกันแน่ รู้แค่ว่า
มันเป็นไปได้ว่าเธอจะถูกรบกวนทางความฝัน
.............................โปรดติดตามตอนต่อไป............................
เป็นตอนที่คนเขียนเองเขียนไปก็สะเทือนใจไป พอไม่ไหวเลยพักๆหยุดๆ
กว่าจะนำมาส่งได้ ก็หมดน้ำตาไปเยอะเหมือนกันค่ะ เพราะเป็นไคลแม็กซ์ของเรื่อง
และได้นำบีบี้มาส่ง พร้อมกับส่งใบลานักอ่านค่ะ
วันอังคารนี้ ก็จะเข้าสู่เดือนรอมาฎอนแล้ว
เต่าโยเลยขอส่งใบลานักอ่าน แล้วจะกลับมาอีกครั้งหลังเดือนรอมาฎอนค่ะ
อินชาอัลลอฮ์
มีอะไรสงสัยอยากจะสอบถาม ทิ้งข้อความไว้ได้ตลอดเลยนะคะ
ขอให้ทุกคนได้รับความสุขความสงบ สันติ ในเดือนอันประเสริฐนี้ อามีนๆ
ด้วยรัก
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มี.ค. 2567, 00:35:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มี.ค. 2567, 00:35:57 น.
จำนวนการเข้าชม : 213
<< บทที่ 17 ดาวลึกลับ | บทที่ 19 : หัวใจที่ก้าวออกจากอดีตไม่ได้ >> |