หะบีบี้...สุดที่รักของผม

หะบีบี้ น้องนุจสุดท้องแห่งตระกูลโสพณพสุธ
จะทำเช่นไร...

เมื่อการกลับสู่บ้านเกิดกลายกลับตาลปัตร
เป็นบ้านหลังอื่นที่ไม่เคยมีใครรู้ว่ามีอยู่จริงบนโลกนี้

"ดินแดนที่ไม่มีปรากฏบนแผนที่โลก"

ปรากฏแก่สายตา...



"คนแปลกหน้า" เธอคือคนแปลกหน้าสำหรับคนบนดินแดนนี้
และคนบนดินแดนนี้ก็คือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอเช่นกัน


คนแปลกหน้าอย่างเธอจะต้องทำเช่นไรในดินแดนใหม่...

เมื่อการกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้องกลายกลับเป็นความว่างเปล่า

และเขา...คือ 'ภัยคุกคาม!'

ที่กำลังก่อกวนหัวใจเธอนับแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ...

เขา...ผู้เป็น...อัศวินขี่ม้าขาวในฝันของเธอมาตลอด...
คนที่เธอเฝ้ารอคอยว่าจะได้เจอในความจริงสักครั้ง...

หากความจริงที่เจอ...กลับพลิกผันชีวิตเธอไปตลอดกาล...



Tags: รักโรแมนติก เพ้อฝัน ความลี้ลับ วิทยาศาสตร์ มุสตอฟา หะบีบี้ โสภณพสุธ

ตอน: บทที่ 19 : หัวใจที่ก้าวออกจากอดีตไม่ได้

สำหรับผู้ที่ไม่อาจปล่อยวางได้ ย่อมหวาดกลัวความทรงจำกันทั้งนั้น
และหัวใจที่อ้างว้างโดดเดี่ยว ก็ช่างแสนเปราะบางเหลือเกิน
เฉกเช่น หญิงสาวที่ไม่อาจพาตัวเองออกมาจากอดีตได้แม้สักวินาทีเดียว

ดานีสมองดูภาพลูกสาวคนสุดท้องของเขากับนาดาที่ทุกๆ เช้าจะตื่นมานั่งตรงระเบียงริมน้ำ
เอาสองเท้าจุ่มน้ำ แล้วใช้สองเท้าเขี่ยน้ำไปมาอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมงโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
แววตาเลื่อนลอย มีน้ำตาหลั่งออกมาจนไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าจะมีอีกไหมวันที่น้ำตาของลูกสาว
จะแห้งเหือดหายไปเสียที จะมีอีกไหมวันที่เขากับภรรยาจะได้เห็นรอยยิ้มสดใสจากลูกสาวคนเดิม
จะมีอีกไหมวันที่จะได้ฟังเสียงพูดเจื้อยแจ้วจากลูกสาวที่ขยันเล่าเรื่องราวต่างๆ
ที่ไปพบเจอมาให้เขาและภรรยาฟังด้วยสีหน้าแววตาเป็นประกายเจิดจ้า

นับตั้งแต่ลูกสาวฟื้น เขาก็พาเธอมาพักผ่อนบ้านพักโฮมสเตย์ริมแม่น้ำ
ซึ่งหนึ่งในธุรกิจเครือของตระกูลเขา เป็นเรือนไม้ซึ่งมีกระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำ
ได้แบบเพลินๆ มีระเบียงยื่นออกไปริมน้ำ สามารถไปนั่งจุ่มเท้าพร้อมกับดูพระอาทิตย์ตกดิน

ซึ่งลูกสาวของเขามักจะออกมานั่งตรงระเบียงริมน้ำยามเช้าและยามเย็นทุกๆ วัน
โดยไม่ยอมปริปากพูดจาอะไรกับใคร แววตาหม่นหมอง มีเพียงความโศกเศร้าในนั้นที่สะท้อนออกมา
ไม่มีหลงเหลือความสดใส ความสุขใดให้พบเห็นหรือสัมผัสได้

เขาที่เป็นหมอศัลยกรรมหัวใจยังไม่อาจแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ของลูกสาวได้
จนต้องร้องขอให้เพื่อนที่เป็นจิตแพทย์ชื่อดังระดับสากลมาช่วยตรวจดูอาการของลูกสาว
ที่ตอนนี้ทางกายดูทรุดลงเรื่อยๆ เพราะแม่ทัพเช่นหัวใจอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ หัวใจของลูกสาวเขาอ่อนแอ
อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และยากเหลือเกินสำหรับเขาที่จะทำให้มันกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง
เหมือนลูกสาวของเขาหมดอาลัยตายอยาก ไม่อยากมีชีวิตต่อไปก็มิปาน

เขายังจำได้ตอนลูกสาวพูดออกมาว่า

'บีบี้ไม่อยากหายใจอีกต่อไปแล้วค่ะ หัวใจบีบี้แหลกสลายไปแล้ว
บีบี้เจ็บปวดนับพันๆ ครั้งกับการดับสลายของหัวใจดวงนี้ บีบี้อยากพ้นไปจากความเจ็บปวดนี้
ความตายจะปลดปล่อยบีบี้ไปได้มั้ยคะ'

ในชั่วขณะที่ลูกสาวของเขากำลังจะปลิดชีพตัวเองด้วยภาวะหัวใจล้มละลาย ขาดสติสัมปชัญญะ
ราวกับถูกครอบงำจนไม่หลงเหลือศรัทธาใดๆ เขากลับได้รับเอกสารรายงานล่าสุดมาจาก
เพื่อนที่เป็นจิตแพทย์ ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาที่ตรวจร่างกายลูกสาวอย่างละเอียดแล้ว
แต่กลับไม่พบสิ่งนี้ นั่นคือ

ลูกสาวของเขากำลังตั้งครรภ์ได้ 38 สัปดาห์ หรือราวๆ เกือบๆ 6 เดือน
ซึ่งนั่นหมายความว่า หะบีบี้ตั้งครรภ์ก่อนที่เขาจะได้เจอร่างของลูกสาวที่หายตัวไปพร้อมกับ
เหตุการณ์เครื่องบินตก เป็นช่วงที่เขานำลูกสาวมาพักฟื้นโดยที่ลูกสาวหลับไปไม่ฟื้น
เพิ่งจะฟื้นและมีอาการประหลาดเช่นนี้ได้เพียงสัปดาห์กว่าๆ เท่านั้น

และนั่นคือ เหตุผลที่ลูกสาวของเขายังคงอยากหายใจต่อไป เพราะเมื่อรู้ว่าตนกำลังตั้งครรภ์ลูกน้อยอยู่
ลูกสาวของเขาก็เลิกล้มความคิดที่อยากจะตาย พยายามกินดื่มเพื่อลูกน้อยในครรภ์

หากก็ยังคงเศร้าโศกอย่างที่เขาและภรรยาไม่อาจทำอะไรให้ดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
เงินทองมากมายก่ายกองที่มี ไม่อาจทำอะไรได้ดีไปกว่านี้เลย

เขาไม่เคยสิ้นท่าจนปัญญาขนาดนี้มาก่อน

"เพื่อนผมคงใกล้จะมาถึงแล้ว เขาบอกว่าจะพาญาติของเขาที่ชำนาญในการบำบัดจิตมาด้วย"
ดานีสพึมพำออกมากับภรรยาที่กุมมือเขาเอาไว้แน่น

"นั่นไง มากันแล้ว" ดานีสหันไปทักทายเพื่อนสนิทด้วยการให้สลามและสัมผัสมือก่อนจะกอดกัน
หลวมๆ ดานาเพียงหันไปมองทั้งสองบุรุษ ที่ดูเหมือนว่า อีกคนที่ตามมาด้วยนั้นดูจะขรึมจัด
จนสัมผัสได้ จนเธอไม่อยากจะคิดว่า ท่าทางเช่นนี้จะเป็นผู้ชำนาญในการบำบัดจิต

"นี่คือ มุสตอฟา ฮาบีบุลลอฮ์" ดานีสหันไปสัมผัสมือกับแขกที่เพื่อนสนิทแนะนำแล้วให้กระตุกหัวคิ้ว
ก่อนจะถามยืนยันอีกครั้งด้วยภาษาอาหรับในความหมายที่ว่า

"ชื่อมุสตอฟาหรือครับ?"

"ครับ ผมมุสตอฟา ยินดีที่ได้พบกันนะครับ" ดูเขาใช้ประโยคนี้สิ ยินดีที่ได้พบกัน แทนที่จะพูดว่า
ยินดีที่ได้รู้จักกัน มันฟังดูแปลกๆ ในหัวใจอย่างไรก็ไม่รู้สินะ

"นี่ภรรยาผมครับ นาดา" นาดาที่ปิดหน้าโน้มศีรษะลงเพียงนิดเป็นการทักทายให้เกียรติอีกฝ่าย
เธอไม่ถนัดคุยกับเพศตรงข้าม จึงเลือกจะนิ่งเงียบ แล้วให้หน้าที่การสนทนาทั้งหมดตกเป็นของ
ผู้เป็นสามี โดยที่เธอเดินไปหาลูกสาวเพื่อบอกลูกสาวให้ทราบว่ามีแขกมาเยี่ยมเยือน
แล้วจัดการแต่งกายลูกสาวให้มิดชิด ปิดหน้าเอาไว้เมื่อต้องพบแขก
หะบีบี้ไม่ขัดข้องอันใด ยอมให้มารดาจัดการตนได้โดยไม่แม้จะสนใจว่าตัวเองจะอยู่ในชุดใด
หรือจะถูกจับจูงมือเธอไปยังสถานที่ใด ร่างที่เหมือนไร้จิตวิญญาณและไร้ความรู้สึกก็เดินตามมารดา
ไปอย่างเลื่อนลอย

จนกระทั่งได้ไปยืนตรงห้องโถงใหญ่ แล้วได้ยินบิดาแนะนำให้รู้จักคนคนนึง
ชื่อของเขาทำให้หะบีบี้ถึงกับเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังทิศทางที่เขาผู้นั้นนั่งอยู่
และ ชั่วขณะนั้นเอง ที่ได้สบประสานสายตาคู่นั้นของเขา เครื่องหน้าของเขา
ทุกอย่างบนใบหน้าของเขาทำเอาเลือดในกายของหะบีบี้สูบฉีดเหมือนเครื่องจักรทั้งหมด
ตื่นจากภวังค์หลับใหลกลับมาทำงานอีกครั้ง แววตาคู่สวยทอประกาย เบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด
ริมฝีปากแห้งผากขยับเรียกชื่อนึงออกมาอย่างเผลอไผล ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและแผ่วเบา

"ท่านพี่มุสตอฟา" แล้วร่างบางแทบปลิวลมก็ค่อยๆ พยายามอย่างสุดกำลังในการจะประคองร่าง
อันไร้เรี่ยวแรงเพื่อเดินไปยังบุรุษตรงหน้าด้วยดวงตาที่น้ำตาเอ่อคลอ
แล้วหมดสติลงก่อนจะเดินไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นคว้าร่างนั้นเอาไว้ได้ทัน
ก่อนที่เธอจะร่วงลงกระแทกพื้นห้อง แล้วประคองไว้ในอ้อมแขน ดานีสรีบรุดไปยังลูกสาว
แล้วรับร่างนั้นมาอุ้มไว้อย่างทะนุถนอมแล้วนำไปยังห้องพัก วางร่างลูกสาวที่ไร้สติลงบนเตียง
แล้วให้ภรรยาอยู่ดูแลจัดการต่อ ส่วนเขานั้น ขอตัวกลับไปยังห้องรับแขก

"ผมต้องขอโทษคุณมุสตอฟาด้วยนะครับ"

"ผมเองก็ต้องขอโทษคุณหมอดานีสด้วยเช่นกันครับที่ถือวิสาสะเข้าไปรับร่างลูกสาว
ของคุณหมอเมื่อครู่ ฝากขอโทษเธอด้วยครับ"

"มันเป็นเหตุสุดวิสัย ผมเข้าใจครับ" หากลึกลงไป ดานีสรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของแขกผู้นี้
ตอนที่เข้าไปรับร่างลูกสาวของตน ท่าทางแบบนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะมองข้ามได้ง่ายๆ
ผู้ชายด้วยกันมันสัมผัสอะไรบางอย่างจากท่าทางเช่นนั้นได้

"บีบี้ดูซูบไปเยอะเลยนะดานีส ขนาดอยู่ในชุดหลวมใหญ่ ยังดูออกว่าผอมลงไปมาก"
เพื่อนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางห่วงใย เพราะรู้จักและสนิทสนมกับลูกๆ ของดานีสทุกคน
จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเป็นใย

"บีบี้มีอาการแพ้ท้องหนัก กินอะไรก็อาเจียนออกมาหมด แต่ก็พยายามจะกิน"
ดานีสตอบพลางลอบมองไปทางชายหนุ่มอีกคนด้วยความกังขาบางอย่างในหัวใจ

สัญชาตญาณบางอย่างส่งเสียงบอกเขา

"เป็นเรื่องประหลาดเท่าที่ฉันเคยได้รับรู้มา เราไม่พบหมู่บ้านหรือสัญญาณชีพใดๆ
ว่ามีผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใดอาศัยตรงที่ซากเครื่องบินนั่นไปตกอยู่เลย ห่างออกไปรอบๆ นั้นก็ไม่มี
ที่นั่นเป็นแผ่นดินที่แห้งแล้งกันดารและไม่มีอะไรให้พอจะดำรงชีวิตได้เลยด้วยซ้ำ
แต่บีบี้กลับรอดชีวิตมาได้ ชุดที่สวมใส่ก็ถูกตัดเย็บอย่างประณีตอย่างที่หาได้ยากที่ช่างในยุคนี้
จะทำแบบนั้นได้ รองเท้าที่สวมใส่ก็ดูแปลกตามาก และยังตั้งครรภ์ได้อย่างประหลาด
ทั้งยังเป็นลูกแฝดชายหญิงอีก ประหลาดจนไม่รู้จะหาคำตอบนี้ได้ยังไงจริงๆ นะหมอนะ"

พูดพลางให้ไปทางอีกคนที่เขาพามาด้วยแล้วยิ้มบางให้ใบหน้าที่เขาติดตราตรึงใจตั้งแต่วันแรกที่ได้พบเจอ

ส่วนดานีสฟังประโยคนี้ของเพื่อนสนิทแล้วก็หันไปทางอีกคนที่นั่งเงียบ พูดน้อยคำ และเคร่งขรึม
ทว่า ออร่าความหล่อ ความใสนั้นดูผิดแผกไปจากคนทั่วไปในยุคนี้
หาได้น้อยคนที่จะมีใบหน้ากระจ่างใสสว่างไสวเช่นนี้ได้

"คุณล่ะครับ คิดเห็นเป็นอย่างไรกับเคสของลูกสาวผม" ดานีสถามหยั่งเชิงมากกว่าจะต้องการ
คำตอบจริงๆ จังๆ จากอีกฝ่าย

"พ่อของลูกในท้องของเธอคือ ยารักษาโรคนี้ให้แก่เธอครับ" คำตอบสั้นๆ ก็จริง หากกลับทำให้คนฟัง
ทั้งสองถึงกับชะงัก หันไปมองหน้ากัน เป็นดานีสที่ถามขึ้น

"คุณคิดว่าคุณรู้หรือว่า ใครคือ ผู้ที่จะรักษาลูกสาวของผมให้หายได้"

"ครับ" และเมื่อดานีสจะถามต่อ เขาก็พูดขึ้นว่า

"ผมขอพักที่นี่สักสองคืนได้หรือไม่ครับ" เป็นดานีสที่ชะงักไปอีกครั้ง ก่อนจะหันไปทางเพื่อนสนิท
เมื่อทางนั้นพยักหน้าเบาๆ เขาจึงตอบรับ

"ได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกให้ภรรยาจัดที่พักโฮมสเตย์ให้อีกหลังถัดไปจากหลังนี้นะครับ"

"ขอบคุณครับ" เขาพยักหน้า ดานีสจึงเชื้อเชิญให้ไปรับประทานอาหารด้วยกัน
หากกลับถูกปฏิเสธ

"ผมถือศีลอดทุกวันครับ" คำตอบนั้นทำเอาดานีสอึ้งไปอีกครั้ง มองบุรุษผู้นี้ราวกับมองมนุษย์ต่างดาว
ทำเอาเพื่อนสนิทถึงกับยิ้มขันกับสีหน้าท่าทางของเพื่อน ก่อนจะตบบ่าแล้วบอกว่า

"เขาชอบอ่านกุรอานน่ะ วันๆ นึงเขาอ่านจบเล่มหลายรอบด้วยนะดานีส" ดานีสจึงอดไม่ได้ที่จะถาม
บุรุษผู้นี้อย่างไม่สนใจมารยาทอันดีอีกต่อไป

"คุณมีภรรยารึยังครับ"

"มีแล้วครับ และยังมีลูกด้วยกันกับเธอด้วยครับ" เขาตอบแบบไม่ต้องคิดนานเลยสักนิด

"ยังไงก็ อย่าลืมพาพวกเขามาให้พวกเราได้ทำความรู้จักบ้างนะครับ"

"ครับ ผมต้องทำอย่างนั้นแน่นอน" เสียงที่ฟังหนักแน่นแบบนั้นทำเอาดานีสถึงกับไปไม่ถูก

"ถ้าผมยังมีลูกสาวที่ยังโสดอยู่ และคุณไม่มีพันธะอะไรกับใคร เราคงได้เกี่ยวดองกัน
เพราะผมเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงได้ถูกชะตากับคุณแบบนี้น่ะ" ดานีสวางมือบนบ่า
ของชายหนุ่มรุ่นลูกที่มองเขาแล้วยิ้มออกมาให้เขา ซึ่งเป็นยิ้มแรกที่เขาได้รับจากชายคนนี้
และนับเป็นยิ้มที่น่ามองมากจริงๆ มันทั้งจริงใจและเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด

"ผมก็หวังเช่นนั้นครับ" คำพูดกำกวมให้คิดได้หลายแง่แบบนี้มันฟังยังไงก็ดูแปลกๆ อยู่นะ
ดานีสมองอีกฝ่ายอย่างไม่หลบหลีก จึงเป็นมุสตอฟาที่ลุกขึ้น สัมผัสมือของดานีส
แล้วเอ่ยกับเขาเบาๆ ว่า

"ผมขอเข้าไปตรวจดูอาการลูกสาวของคุณหมอได้หรือไม่ครับ"

"ได้สิครับ เดี๋ยวผมพาไป" แล้วดานีสก็เดินนำหน้าไปยังห้องพักของลูกสาวที่เปิดหน้าต่างรอบๆ ห้อง
ให้ลมพัดเข้าออกได้ ม่านหน้าต่างสีขาวๆ เลยพริ้วไหวไปตามแรงลมที่พัดผ่าน ร่างผอมบางในชุดสีขาว
ปกปิดมิดชิดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้านั้นนอนอยู่ในท่าขดตัว ใบหน้าที่ไร้ผ้าปิดกั้นบดบังไว้
ทำให้เห็นชัดว่า ใต้ตานั้นบอบช้ำหนักขนาดไหน ดวงตาที่กำลังพริ้มหลับมีน้ำใสๆ ไหลรินออกมา
ตลอดเวลา แก้มตอบจนเห็นโหนกแก้มเด่นชัด ริมฝีปากที่แห้งกรังนั้นเหมือนแผ่นดินที่แห้ง
แตกระแหง ความงดงามที่เคยมีอย่างมากมายกลับมลายหายไปจากดวงหน้านี้
ความสดใสที่เคยมีก็จางหายไปจนหมด ทำให้แววตาของผู้มาเยือนถึงกับสั่นไหวสะท้าน
มองกลีบปากที่เคยอวบอิ่ม เคยมอบสัมผัสนุ่มนิ่มอ่อนหวานละมุนนั้นด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์
จนนาดาที่หันมามองถึงกับประหลาดใจ หันไปทางผู้เป็นสามีที่กำลังมองมาแล้วได้แต่สงสัย

"นานแค่ไหนครับ" เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาหวิว หากนาดากลับได้ยินชัดเจนอยากยืนยันอีกครั้ง
ว่าไม่ได้หูฝาดไป

"อะไรนะคะ"

"นานแค่ไหนแล้วครับที่เธอเป็นแบบนี้" แววตาที่ทอดมองลูกสาวของนางนั้นดูยังไงก็ไม่ใช่แววตาที่
ธรรมดาเลย นางรู้จักแววตาแบบนี้ดี เพราะมันไม่ได้แตกต่างจากแววตายามที่ผู้เป็นสามีของนาง
มองมายังนางเลย

"ตั้งแต่พวกเราเจอร่างของเธอก็เกือบหกเดือนแล้วล่ะค่ะที่เธอเป็นแบบนี้ นานวันก็ยิ่งอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ
เคยเกือบจะฆ่าตัวตายด้วยค่ะ แต่พอรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ก็พยายามจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ในสภาพที่คุณเห็นนี่แหละค่ะ ไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น น้ำตาก็ไม่เคยขาดหายไปจาก
ดวงตาของลูกสาวฉันเลย ฉันน่ะ ใจจะขาดแล้วจริงๆ" นาดาปาดน้ำตาแล้วเอ่ยต่อไปว่า

"พี่ๆ น้องๆ ของเขาก็พยายามจะปลอบโยน ให้กำลังใจ แต่ลูกสาวของฉันก็ไม่ยอมพูดกับใคร
เอาแต่ร้องไห้ จมอยู่กับน้ำตา เลือกจะเก็บตัว ไม่อยากพบเจอใครๆ เอาแต่หลับ
บอกแค่ว่า อยากหลับแล้วฝัน เพราะมันคือ หนทางเดียวที่ทำให้เขาได้พบเจอกับสามีและลูกๆ
ฉันน่ะ หัวอกคนเป็นแม่ ได้ยินแบบนี้แล้วฉันทุกข์จนไม่รู้จะเอาความทุกข์นี้ไปจากหัวอกได้ยังไง"

นาดาปาดน้ำตาตนอีกครั้ง นับตั้งแต่วันที่ลูกหายไปพร้อมกับเครื่องบินลำนั้น
ก็ไม่มีสักวันที่เธอจะหลับลงอย่างสบายใจได้ สภาพของเธอก็ไม่ต่างจากลูกสาวของเธอในตอนนี้
สักเท่าไหร่นัก เพียงแค่ เธอยังมีสามีและมีลูกๆ คนอื่นๆ คอยอยู่เคียงข้าง คอยให้กำลังใจ
แต่หะบีบี้นั้น หนักหนาสาหัสกว่าเธอยิ่งนัก

"หัวใจบีบี้ ช่างเปราะบางเหมือนแก้วร้าวที่รอวันแตกสลาย ไม่ต่างจากใจฉันในตอนนี้เลย"

นาดาทาบมือลงบนอกข้างซ้ายด้วยแววตาที่ทุกข์โศก

"คุณช่วยบีบี้ด้วยเถิด ช่วยเรา"

"ครับ ผมจะทำอย่างเต็มที่" เขารับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และยังคงนั่งมองหะบีบี้
อย่างเงียบเชียบ ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ดวงตาที่ทอดมองนั้นเปี่ยมไปด้วยความห่วงหา
ความรักความห่วงใย

"ห้องอาบน้ำละหมาดไปทางไหนครับ" เขาถามขึ้น ดานีสจึงนำแขกไปยังห้องอาบน้ำละหมาด
แล้วทำละหมาดพร้อมกัน เป็นครั้งแรกที่ดานีสได้ยินบุรุษผู้นี้นำละหมาดแล้วอ่านกุรอาน
ได้เพราะจับขั้วหัวใจ หลังจากละหมาดเสร็จเขาก็ขอคัมภีร์กุรอานไปยังห้องพักของเขา

หลังจากละศีลอดแล้ว มุสตอฟาก็ออกมายังระเบียงริมน้ำซึ่งติดกับหลังที่หะบีบี้พักอยู่
เมื่อเห็นร่างบางแทบจะปลิวลมนั่นเดินออกมาจากห้องพักแล้วมานั่งริมน้ำ
จุ่มเท้าลงไปในนั้นแล้วแกว่งเท้าไปมาอย่างเชื่องช้า ดวงหน้าแหงนมองฟ้า
โดยไม่สนใจใครหรืออะไรรอบตัว สักพักนาดาก็ออกมานั่งข้างๆ ลูกสาว ลูบหัวนั่นอย่างรักใคร่
และเป็นครั้งแรกที่ หะบีบี้ยอมเปิดปากพูดเรื่องราวระหว่างเธอกับชายในฝันคนนั้นที่ลูกสาวละเมอถึง

"เขาถูกพรากจากไปโดยที่ยังไม่ทันได้เอ่ยคำร่ำลากันเลยสักคำ
เขาถูกพรากจากไปไม่มีวันกลับ เหลือทิ้งบีบี้ไว้เพื่อใคร" น้ำเสียงคนพูดสั่นคลอ น้ำตาเอ่อไหล

"เราเคยขี่ม้าเคียงกันในทุ่งหญ้า เคยนอนดูดาวด้วยกัน นับดาวด้วยกัน
ต่างก็แทนความรักของเราด้วยกับดวงดาว" แล้วนิ้วผอมแทบไร้เนื้อหุ้มก็ชี้ไปยังดาวดวงหนึ่ง

"นั่นไงคะ ดวงดาวของเขา" หะบีบี้ปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลโดยไม่ปัดป้อง

"แต่ตอนนี้ ไม่มีเขาแล้ว มีแค่บีบี้ที่เฝ้านับดาว เฝ้ามองดูดวงดาวของเขาทุกคืน
เขาทิ้งบีบี้ไว้กับความฝันว่าเราจะอยู่ด้วยกัน" หะบีบี้สะอื้นไห้ตัวโยน นาดาจึงโอบไหล่นั่นเอาไว้

"ขอให้หยดน้ำตานี้ส่งไปถึงเขา ให้เขารู้ว่าบีบี้คิดถึงเขามากแค่ไหน
และเพื่อให้เขาได้รู้ว่า รักจะอยู่กับเราตลอดไป บีบี้จะซื่อสัตย์ตลอดไป"

"เขาและลูกๆ ได้จากบีบี้ไป บีบี้ต้องทำยังไงคะแม่ ถึงจะไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้
บีบี้เจ็บปวดเหลือเกิน มียาชนิดไหนบนโลกนี้มั้ยคะที่จะรักษาความเจ็บปวดนี้ได้"

หะบีบี้วางมือทาบอกข้างซ้ายแล้วหายใจเข้าลึกๆ น้ำตายังคงนองหน้า
ก่อนจะพร่ำเพ้อออกมาว่า

"ความคิดถึง ความลุ่มหลง สลักลึกฝังในหทัย
รอดวงดาวร่วงหล่น รอโชคชะตาแห่งรัก รอคอยทั้งชีวี
รอโดยมิสิ้นความคิดถึง รอโดยมิถึงวันนั้น
การรอคอยที่ไม่มีวันมาถึง
คือ รัก คือ ใคร่ คือ หาทุกข์ใส่ตัว
คือ คำมั่นสัญญา คือ เงียบงัน
คือ การจองจำ คือ ความโดดเดี่ยว"

"บีบี้ยังมีแม่ ยังมีพ่อ มีคุณย่า มีพี่ๆ และยังมีลูกน้อยในท้อง บีบี้ไม่ได้โดดเดี่ยวอ้างว้างเลยนะลูก"

นาดาดึงร่างที่เหมือนไร้วิญญาณมาโอบกอดเอาไว้ พยายามปลอบโยนลูกสาว
ที่เหมือนดวงจิตจะหลุดไปยังที่ใดก็สุดจะรู้ได้
หากยาก ยากเหลือเกินที่จะเรียกดวงจิตของลูกสาวกลับคืนมา

แล้วหะบีบี้ก็ร้องไห้คร่ำครวญจนหลับไปในอ้อมกอดมารดาผู้ให้กำเนิด
ดานีสเข้ามาอุ้มลูกสาวเข้านอนไม่ต่างจากการอุ้มลูกสาวในวัยเด็กเข้านอน
ที่ทั้งทะนุถนอมและห่วงใยเอื้ออาทร

ทำให้คนที่มองดูและรับรู้ทุกอย่างมาตลอดถึงกับปาดน้ำตา
แหงนหน้ามองฟ้าที่ประดับไปด้วยดวงดาวมากมาย

ผ่านพ้นมากี่คืนแล้วหนา ที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว โดยปราศจากเจ้า

เดินผ่านภูผา ข้ามมหานที ข้ามผ่านความเป็นและความตาย
เดินไปด้วยกัน แล้วก็แยกจากกัน
ข้ามผ่านฤดูหนาว ข้ามผ่านฤดูร้อน
หากกลับไม่สามารถเดินออกมาจากความทรงจำได้

มีเจ้าในหัวใจ แต่กลับไร้เจ้าในอ้อมกอด

......................................................................................

เช้าตรู่ก่อนแสงขาวจะโผล่พ้นขอบฟ้า มุสตอฟาลุกขึ้นมาทานข้าวซะฮุรฺเพื่อที่จะถือศีลอด
เมื่อเข้าสู่เวลาละหมาด เขาก็เป็นผู้นำละหมาดอีกเช่นเดิม
เสร็จจากละหมาด นาดาก็เข้ามาด้วยท่าทางตื่นตกใจพร้อมแจ้งกับสามีของตนว่า

"บีบี้ไม่ยอมตื่นค่ะ ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ช่วยไปดูหน่อยเถอะค่ะ ฉันกลัว
กลัวลูกจะทิ้งพวกเราไป" นาดาเอ่ยทั้งน้ำตาอาบสองแก้ม ดานีสหันไปทางแขกทั้งสอง
มุสตอฟาขอคัมภีร์อัลกุรอานจากดานีสแล้วนำไปวางในห้องของลูกสาวของเขา
แล้วเริ่มต้นอ่านอัลฟาติฮะห์ จากนั้นก็อ่านอัรเราะมาน อัลญิน
ซูเราะห์มัรยัม และปิดท้ายด้วยสามกุ้ล แล้วต่อด้วยการกล่าวซอลาวาตนบี
แล้วจึงยกสองมือขึ้นขอดุอาอ์ ก่อนจะลุกขึ้นแล้ววางฝ่ามือขวาของเขา
ลงบนกลางกระหม่อมของหะบีบี้ กล่าวถ้อยคำภาษาอาหรับโบราณออกมาโดยมีความหมายว่า

"โอ้ เจ้าคือเนื้อคู่ของข้า
ชื่อของเจ้าจะถูกจารึกไว้ตลอดชีวิต
ทุกย่างก้าวของข้า ได้แต่ขอดุอาอ์ (ขอพร) เสมอ
เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน

โอ้ เจ้าคือ หัวใจของข้า
ข้าได้ใส่ความรักของเจ้า ไว้ในชีวิตของข้า
ข้าอยากให้รู้ว่าข้านั้นคิดคะนึงถึงเจ้ามากเพียงใด
อยู่กับข้าเถิด

โปรดรับฟังข้าเถิด
ข้าได้ขอดุอาอ์ทั้งคืน
ข้าได้ก้มกราบและขอต่อพระองค์อยู่เสมอ
เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน

โปรดรับฟังข้าเถิด
ข้าได้ขอดุอาอ์ทั้งคืน
ความรักของข้ามีไว้เพื่อเจ้า
และจะรักษาจะซื่อสัตย์ตลอดไป

ข้าจะซื่อสัตย์"

น้ำตาชายหนุ่มร่วงลงบนเปลือกตาทั้งสองของหะบีบี้เมื่อคำพูดดังกล่าวจบลง
ดวงตาคู่สวยจึงค่อยๆ เปิดออก เปิดมองดูเจ้าของเสียงอันแสนคุ้นเคยนั้น
นิ้วเรียวของมุสตอฟาค่อยๆ เกลี่ยน้ำตาออกจากดวงตาคู่นั้นแล้วโน้มใบหน้าลงจุมพิตดวงตา
ทั้งสอง ไล่ลงมาที่สันจมูกก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนกลีบปากอันแห้งผากนั่น
แตะเบาๆ ราวกับผีเสื้อกระพือปีก สองมือลูบไล้แก้มที่ซีดเซียวนั้นอย่างรักใคร่
แล้วแย้มยิ้มขณะเอ่ยถ้อยคำอันนุ่มหวานละมุนว่า

"ข้าได้พัดพาสายลมเย็นจากดินแดนนั้นหวนคืนมายังเจ้าในดินแดนนี้
เพียงเท่านี้ เราสองก็ได้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกันเสียที"

.....................................โปรดติดตามตอนต่อไป........................

Eid Mubarak 1445
สุขสันต์วันอีดย้อนหลังนะคะทุกคน
ขอให้มีความสุขนะคะ

เต่าโยนำบีบี้มาส่งให้กันแล้วน้าาาา ขอกำลังใจหน่อยค่ะ อิอิ

รักษาสุขภาพนะคะ

"เต่าโย"







yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2567, 17:45:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 เม.ย. 2567, 17:45:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 74





<< บทที่ 18 แค่ฝัน   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account