Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้
ตอน: บทที่ 14 แต่จันทร์ดูคล้ายลำเอียง
สองสัปดาห์ต่อมา
ลาเวนเดอร์ที่หายสนิทแล้วก็ถึงแก่เวลาเดินทางไปพบมารดาของตนตามความตั้งใจโดยมีวาลองโซลเป็นผู้นำทาง
เธอมั่นใจสูงว่า เจ้าของสร้อยเส้นที่เธอถืออยู่ในมือนั้นคือ มารดาของเธอ
ซึ่งมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของหญิงปริศนาคนนั้นที่ตกจากอาคารดังกล่าว โดยไม่แม้แต่จะมีการ
ออกข่าวตามสื่อใดๆ ทุกอย่างเงียบกริบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่นั่นเป็นชีวิตทั้งชีวิตของคนคนนึงด้วยซ้ำ
"ฉันต้องรู้ให้ได้ค่ะว่าผู้หญิงที่ตกอาคารลงมาตายตอนนั้นเป็นใครกันแน่ และเกี่ยวอะไรกับสร้อยเส้นนี้
สร้อยเส้นนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ" ลาเวนเดอร์มองสร้อยคอในมือที่มีสร้อยที่ทำจากอัญมณีประหลาดตา
ดูลึกลับ
"โอปอลไฟน่ะ เป็นชนิดที่หาได้ยากมากๆ คนที่ถือครองก็คงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วๆ ไป"
วาลองโซลที่เป็นคนขับรถให้เอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
"เราจะได้เจอเจ้าของมันในวันนี้แน่ๆ ใช่มั้ยคะ"
"ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรมาแทรกกลาง ก็คงจะได้เจอกันแน่นอน" เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
แววตาที่จ้องมองถนนหนทางไม่หันเหไปทิศใดนั่นทำเอาคนที่นั่งข้างถึงกับลอบถอนใจ
หันไปทางซันนีที่นั่งตรงที่นั่งด้านหลังแล้วถามด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ ว่า
"คุณซันนีอยู่ข้างๆ ฉันนะคะ อย่าไปไหนนะคะ"
"แน่นอนค่ะ วางใจได้ ถ้าไม่เจอเงาดำๆ ที่คุณเห็นบ่อยๆ ซันนีก็จะอยู่ข้างๆ ไม่วิ่งหนีไปไหนค่ะ"
หญิงสาวพูดทีเล่นทีจริง ทำเอาคนฟังถึงกับทอดถอนใจ
"ฉันก็รู้สึกว่า ไอ้ดำเขาทำหน้าที่หนักเกินไปแล้วช่วงนี้ เหมือนว่าอยากมีบทบาทอะไรบางอย่าง"
"คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงนะ" เสียงคนขับนั้นย้ำหนักแน่นให้ลาเวนเดอร์ได้ตระหนักให้ระมัดระวัง
อารมณ์และพฤติกรรมตัวเอง
"ก็มัดแขนมัดขาไว้เลยสิคะ เผื่ออาการจะออกเหมือนครั้งก่อน"
"ผมเตรียมห้องเอาไว้ขังคุณอย่างแน่นหนาแล้วล่ะ" เขาตอบด้วยน้ำเสียงปนขันนิดๆ ทำให้คนฟังถึงกับหมั่นไส้
แต่มันก็จริงของเขา คราวก่อนเธอควบคุมอะไรตัวเองไม่ได้เลยสักนิด
ภายในตึกที่ถูกตกแต่งสีสันต่างๆ เอาไว้อย่างสวยงามตระการตา
ลาเวนเดอร์เดินไปก็มองไปรอบๆ ตัวอย่างนิยมชมชอบ รสนิยมคนที่ตกแต่งภายในช่างถูกจริตของเธอโดยแท้
ไม่ว่าจะหันไปทางไหน มุมไหน ก็ดูถูกอกถูกใจเธอไปเสียหมด
"นี่คือ สปาหรือคะ" ลาเวนเดอร์ถามวาลองโซลกับซันนี
"ใช่ค่ะ ที่นี่คือ สปาและนวดเพื่อสุขภาพค่ะ"
ซันนีเป็นคนตอบ ระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาเป็นประกาย
สดใสของคนตรงหน้าที่ดูจะตื่นตาตื่นใจไปกับการตกแต่งภายในที่เธอรู้ดีว่าเป็นฝีมือของใคร
"สวยจังเลยค่ะ ดูสดชื่น น่าพักผ่อนมากๆ เลย ใครทำให้มันเป็นแบบนี้หรือคะ?"
"คุณศศิ แห่ง SASI Group เจ้าของสถานที่แห่งนี้ค่ะ"
"เจ้าของเป็นคนออกแบบและรังสรรค์มันออกมาเองเลยหรือคะ?"
"ค่ะ เธอมีพรสวรรค์ด้านนี้มากๆ เป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้" ลาเวนเดอร์หันไปมองรอบๆ ตัว
แล้วก็อดยอมรับไม่ได้ว่าที่ซันนีพูดนั้นก็ไม่เกินจริง เพราะพยานหลักฐานรอบตัวเธอก็บ่งชี้ถึง
ความสามารถของคนออกแบบและรังสรรค์มันออกมา
"ภูมิใจล่ะสิ" ซันนีอดหยอกอดแซวไม่ได้ ลาเวนเดอร์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใสภายใต้ผ้าปิดหน้า
แต่อีกฝ่ายรู้ว่าดวงตาแบบนั้นต้องกำลังยิ้มส่งมาให้อย่างสดใสแน่นอน
"ค่ะ ก็มันน่าภูมิใจนี่นา" ลาเวนเดอร์พูดแล้วก็หันไปมองวาลองโซลที่ดูจะขรึมลงเรื่อยๆ จนตอนนี้
ดูจะขรึมจัดจนดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้สิ จึงอดไม่ได้ที่จะถามไถ่
"เป็นอะไรรึเปล่าคะคุณเซริว ทำไมขรึมจัง ขรึมจนน่ากลัวมากๆ" เขาไม่ตอบ
แต่เดินนำหน้าเธอไปจนทิ้งห่างหลายก้าว หญิงสาวอดแปลกใจไม่ได้ จึงหันไปขอความเห็นจากซันนี
ฝ่ายนั้นได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้ไม่ชี้และไม่เปิดช่องให้ได้ถามอะไรอีก จนกระทั่งถึงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
"ได้นัดไว้รึเปล่าคะ"
"เปล่าครับ ไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า"
"เดี๋ยวดิฉันจะโทรบอกท่านนะคะว่าคุณหมอวาลองโซลมาขอพบ"
"ครับ ขอบคุณ" เขาพูดสั้นๆ ด้วยสีหน้าตึงเรียบ ไร้ความรู้สึกใดๆ ทำเอาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับทำตัวไม่ถูก
ไม่ชอบบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัดเช่นนี้เลย ทั้งๆ ที่สถานที่แห่งนี้ก็แสนจะสวยงามและผ่อนคลาย
"ท่านบอกว่า ให้ไปรอที่ห้องรับรองค่ะ อีกสักครู่ท่านจะลงมาพบ เชิญทางนี้ค่ะ" แล้วพนักงานต้อนรับ
ก็ผายมือพร้อมนำทางไปยังห้องรับรองแขกที่อยู่อีกฟากซึ่งให้ความสงบและเป็นส่วนตัว
ก่อนจะบริการขนมและเครื่องดื่มที่ทำให้ลาเวนเดอร์ให้ความสนใจไม่น้อย
"อร่อยจังเลยค่ะ หน้าตาก็น่ารักจิ้มลิ้ม ขนาดพอดีคำเป๊ะๆ เลย
แถมเป็นรูปดอกไม้สีสันสวยจัง เขาเรียกว่าขนมอะไรหรือคะ"
หญิงสาวถามอย่างซื่อๆ ขณะกินขนมตรงหน้าไปหลายชิ้น จนมุมปากของวาลองโซลถึงกับกระตุก
"ขนมชั้น"
"ชื่อมันหรือคะ?"
"ใช่ครับ"
"ชื่อไม่เห็นน่ารักเหมือนตัวของมันเลย"
"ถ้าเป็นคุณจะตั้งชื่อมันว่ายังไงล่ะ?"
"อืม..." หญิงสาวกินไปก็คิดไป มองขนมไป แล้วก็ยิ้มออกมา
"ชื่อ ขนมเพลินตาค่ะ เพราะดูเพลินตามากๆ เลย" เสียงใดๆ เจื้อยแจ้วไปเรื่อย ทำเอาซันนีถึงกับส่ายหัว
ด้วยความเอ็นดู ท่าทางจะอร่อยจนลืมไปว่ากำลังรอจะเจอใครอยู่เป็นแน่
"คงจะเพลินจริงๆ แหละค่ะคุณหมอ" วาลองโซลได้แต่มองคนที่สนอกสนใจขนมและเครื่องดื่มตรงหน้า
แล้วลอบถอนใจ หวังว่าเธอจะไม่ผิดหวังและจะไม่มีสิ่งใดมาพรากความสุขของเธอในตอนนี้ไป
"อร่อยมั้ย?" เสียงหวานๆ นั้นดังมาจากผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าลาเวนเดอร์
"ทางร้านออกแบบแม่พิมพ์ขนมนี้เองทั้งหมด ไม่มีลวดลายสีสันแบบนี้ที่ใด นอกจากที่นี่
รสชาติแบบนี้ก็มีเพียงที่นี่ที่เดียวเช่นกัน" เสียงนั้นยังคงกล่าวสืบไป โดยที่ขณะนี้ลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้
ปิดใบหน้าด้วยผ้าผืนน้อยไว้กำลังจ้องมองคนตรงหน้าด้วยดวงตาที่แทบจะไม่กะพริบ
"ลูกสาวทั้งสองของฉันชื่นชอบขนมนี้เป็นพิเศษ" เท่านั้น ขนมที่กำลังกลืนลงคอก็เหมือนจะติดคอขึ้นมา
จนลาเวนเดอร์สำลักหน้าดำหน้าแดง เดือดร้อนซันนีต้องคอยช่วยเหลือ ในขณะที่ผู้มาใหม่ได้แต่ยิ้มบางๆ
แล้วนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม ดวงตาจับนิ่งอยู่ที่ลาเวนเดอร์ไม่วางตา
"ยัยปุณเค้าเป็นคนออกแบบแม่พิมพ์พวกนี้ และเป็นเจ้าของสูตรขนมนี้ ฉันหมายถึง ปุณณมาส
ลูกสาวคนโตของฉันน่ะ" ลาเวนเดอร์ที่ฟังเงียบๆ และตอนนี้ก็คอโล่งแล้ว จึงเอ่ยออกไปดังใจคิดว่า
"ไม่ใช่หนูหรอกหรือคะที่เป็นลูกสาวคนโตของคุณ หนูไม่ใช่หรือคะที่คุณคลอดออกมาเป็นคนแรก"
ทุกคนในที่นี้ถึงกับอึ้งและมองคนพูดเป็นสายตาเดียวกัน เพราะไม่คาดคิดว่าลาเวนเดอร์จะพูด
ประโยคเช่นนี้ออกมาอย่างง่ายดายโดยไม่ติดขัด สีหน้าท่าทางก็เหมือนจะปกติสุขดีทุกอย่าง
"หรือว่าจันทร์จะลืมหนูไปแล้วจริงๆ เหมือนจะมีแค่หนูคนเดียวที่หมอกเมฆบัง"
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบจนไม่ยอมเอ่ยคำใดออกมา ลาเวนเดอร์ก็เลยถือโอกาสยื่นสร้อยที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุให้
สตรีที่แสนสวยตรงหน้า ความสวยงามชนิดที่หาตัวจับยาก เป็นสาวงามที่งามล่มเมืองสินะ
แต่ทว่า ความงามบนใบหน้านี้หาได้ส่งต่อมาถึงเธอเลย เธอกับสตรีตรงหน้าไม่ได้มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน
แม้จนนิดเดียว มือเรียวยื่นมารับมันไปด้วยแววตาที่หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
"ผิดที่หนูหรือว่าจันทร์ลำเอียงกันแน่คะ?" ก่อนจะจี้ใจด้วยประโยคต่อมา
"หนูจะไม่ถามว่าสร้อยเส้นนี้ไปอยู่ในมือคนที่ตกตึกลงมาตายตรงหน้าหนูได้ยังไงก็ได้ค่ะ
แค่เพียงจันทร์จะเซ็นรับรองบุตรให้กับหนู หนูจะได้มีแม่ ไม่ไร้ราก ไม่ไร้ตัวตนเหมือนผีน้อยล่องหนอีกต่อไป"
"เห็นจะไม่ได้หรอกจ่ะ เพราะฉันน่ะมีลูกแค่สามคนเท่านั้น หนูเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงพูดอะไร
ที่เข้าใจได้ยากแบบนี้" เป็นซันนีที่ยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง หันไปมองท่าทีของลาเวนเดอร์
ก็ยิ่งประหลาดใจ เพราะใบหน้านั้นดูนิ่งสงบมากๆ มากจนเธอคาดไม่ถึงว่าจะนิ่งได้ยิ่งกว่าคนหน้านิ่ง
เป็นปกติอย่างคุณหมอวาลองโซล ซ้ำยังเอ่ยประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ด้วยรอยยิ้มบาง
ที่ดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก
"มันยากมากเลยหรือคะกับการยอมรับว่าหนูเป็นลูกสาวคนโตของคุณกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้"
คนฟังกำมือแน่นเมื่อได้ยินตรงประโยคสุดท้ายนั่น เด็กคนนี้แสบพอตัวจริงเชียว
"พ่อหนูคงจะหน้าตาดีมากๆ เลยใช่มั้ยคะ หนูถึงได้หน้าตาไม่เหมือนคุณในตอนนี้เลยสักนิด
ความสวยของคุณในตอนนี้ ไม่มีอะไรคล้ายหนูเลย มันยืนยันได้ว่า ความสวยที่หนูเห็นตอนนี้
มันคือ ภาพลวงตา ซึ่งคุณคงผ่านมีดหมอมานับครั้งไม่ถ้วน แลดูเป็นการหนีจากการเป็นแม่ของหนู
ได้อย่างแนบเนียนเหลือเกิน ใครมาเห็นเข้าก็คงคิดว่า หนูไม่มีทางที่จะเป็นลูกของคุณได้
เพราะเราไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย"
น้ำเสียงลาเวนเดอร์ยังคงนิ่งและมั่นคง วาลองโซลได้แต่นิ่งฟังและเฝ้ามองสีหน้าท่าทางของสองแม่ลูก
ที่คนเป็นแม่พยายามจะเก็บอาการไว้ ส่วนคนเป็นลูกก็จี้หัวใจอีกฝ่ายอย่างไม่หยุดยั้ง
ราวกับรอเวลาจะรัวกระสุนใส่แม่ตัวเองมานานแสนนาน จนเมื่อสบโอกาสก็ไม่รอที่จะจัดการอย่างเต็มที่ ไม่มียั้ง
"ฉันไม่รู้ว่าคุณหมอพาใครมา แต่คงไม่ใช่คนไข้ในความดูแลของคุณหมอหรอกใช่มั้ยคะ?"
"เธอไม่ได้ป่วยครับ ตอนนี้เธอปกติดีทุกอย่าง และผมเป็นจักษุแพทย์ ไม่ใช่จิตแพทย์"
วาลองโซลกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าตึงจัด
"แต่ก็ไม่ควรให้คนที่คุณพามาพูดจาจาบจ้วงล่วงเกินฉันแบบนี้นะคะ"
"ผมขอโทษครับ หากนั่นคือ ความผิดของผม"
"คุณแม่คะ" เสียงใสๆ ดังแทรกขึ้นพร้อมกับการมาถึงของสาวสวยร่างบางอ้อนแอ้นในชุดเรียบร้อย
น่ารักน่าทะนุถนอม รอยยิ้มนั้นสดใสเบิกบานเหมือนดอกไม้ยามเช้า
"พี่กุ๊กบอกว่า พี่หมอมาหาคุณแม่ ปุณเลยตามมาที่นี่ คงไม่ได้เสียมารยาทกับแขกท่านอื่นใช่มั้ยคะ"
"ไม่หรอกจ่ะ ดีซะอีก นานๆ จะได้เจอกัน" ว่าพลางหันไปจับมือลูกสาวให้นั่งลงข้างๆ ตน
ท่าทางแลดูอ่อนโยนและอ่อนหวาน น่าชื่นชม
"พี่หมอสบายดีใช่มั้ยคะ" สาวหน้าหวานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หวานสมกับหน้าตาด้วยแววตาเป็นประกายเจิดจ้า
"ครับ สบายดีครับ" เสียงเรียบๆ ที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ตอบรับในขณะที่สายตาได้มองไปทางอื่น
"แล้ว นี่พาใครมาด้วยหรือคะ?" แววตาสงสัยใคร่รู้นั้นไม่คิดปิดบัง เนื่องด้วยสนิทกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก
"เธอชื่อ ลาเวนเดอร์ครับ เป็นคนสนิทของผม"
"คนสนิทหรือคะ ไม่เห็นปุณจะเคยเห็นเลยสักครั้ง ไปสนิทกันตอนไหนหรือคะ?"
"ฮึอื้อ" มารดาสะกิดลูกสาวที่ดูจะอยากรู้อยากเห็นจนเกินงาม
"เรารู้จักกันที่ญี่ปุ่นครับ ตอนนี้เธอพักอยู่ที่บ้านผม" แล้วก็หันไปทางลาเวนเดอร์ที่เหมือนกำลังโดนแช่แข็ง
จนตัวแข็งทื่อไปแล้ว
"รู้จักกันซะสิลาเวนเดอร์ นี่คือ ปุณณมาส ลูกสาวของคุณศศิ เจ้าของสูตรขนมที่คุณบอกว่าอร่อย"
ลาเวนเดอร์ยื่นมือไปสัมผัสและให้สลามกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
"เรียกสั้นๆ ว่าปุณก็ได้ค่ะ ชื่อปุณณมาสน่ะแปลว่า ดวงจันทร์ เหมือนชื่อคุณแม่ค่ะ
เราสามคนพี่น้องมีชื่อที่แปลว่า ดวงจันทร์กันหมดเลยค่ะ" ลาเวนเดอร์หุบยิ้มก่อนจะเบี่ยงหน้าหลบไป
อีกทาง
"อีกสองคนชื่อ ศศิน กับ ศศิรัศมิ์ คุณแม่เป็นคนตั้งชื่อให้พวกเรา หลายคนเลยเรียกพวกเราว่า
เป็นครอบครัวดวงจันทร์ค่ะ" ความสดใสร่าเริงของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ลาเวนเดอร์รู้สึกผ่อนคลายลงได้
แม้ว่ายามเมื่อหันไปทางสตรีที่นั่งคอตั้งหลังตรงจะรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อยก็ตาม
"ยินดีที่ได้พบเจอกันนะคะ" ลาเวนเดอร์ยิ้มให้น้องสาวของตนที่เธอมั่นใจว่าใช่น้องสาวของเธอ
อย่างแน่นอน
"ยินดีที่ได้รู้จักด้วยเช่นกันค่ะ คุณลาเวนเดอร์สวยมากเลยนะคะ สวยกว่าคุณแม่อีก
เนี่ย ปุณเคยคิดมาตลอดว่า ไม่น่าจะมีใครสวยแซงหน้าคุณแม่ได้อีกแล้ว แต่พอมาเจอคุณ
ความรู้สึกปุณก็เปลี่ยนไปเลยค่ะ สวยจนอยากมองไปนานๆ ไม่อยากหันไปทางอื่นเลยค่ะ"
ลาเวนเดอร์ยิ้มให้กับคำชมที่ไม่มีความรู้สึกเสแสร้งแกล้งชมปนเข้ามาให้สัมผัสได้
เพราะดวงตาคู่นั้นสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมาจนไม่สามารถปิดบังอำพรางสิ่งใดไว้ได้
"คงไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ"
"อย่าถ่อมตัวไปเลยค่ะ เนี่ย ปุณชักจะหวั่นๆ ว่าพี่หมอจะหลงเสน่ห์คุณลาเวนเดอร์เข้าสักวัน
แล้วถึงตอนนั้นปุณคงอกหักรักสลาย"
"ยัยปุณ" เสียงดุๆ นั่นดังมาจากผู้เป็นมารดา เมื่อเห็นว่าลูกสาวเริ่มจะทำเกินเลยขอบเขตอันดีงาม
มากไปแล้ว
"ทำไมละคะคุณแม่ มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าปุณน่ะรักพี่หมอ จับจองพี่หมอมาตั้งแต่เด็ก
ติดตรงที่พี่หมอมีคู่หมั้นมาตั้งแต่ยังไม่ถือกำเนิด ปุณเลยต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่แบบนี้"
"ดูพูดเข้าสิ" คนเป็นแม่เอ็ดลูกสาวให้พอเป็นพิธี ไม่ได้จริงจังอะไรนัก
"ฉันคงต้องขอโทษแทนลูกสาวด้วยนะคะ เธอยังไม่ยอมโตสักที ทั้งที่เข้าเรียนมหาลัยแล้วแท้ๆ
เขาอยากเรียนสายคหกรรม ฉันเองก็ไม่อยากขัดใจ ปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่รักไป"
เจ้าของสถานที่หันไปขอโทษแขกที่ตอนนี้นั่งหน้าตึงยิ่งกว่าเดิม ซึ่งมองยังไงก็รู้ว่ากำลังโกรธขึ้ง
"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ" แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่แววตากลับไม่ใช่เลย
"เอ่อ ฉันขอตัวกลับก่อนดีกว่าค่ะ พอดีรู้สึกไม่ค่อยสบาย" ลาเวนเดอร์รีบออกตัวเพื่อความอยู่รอด
เธอไม่ชอบบรรยากาศที่แสนอึดอัดเช่นนี้ ถ้าอยู่ต่ออีกนิดเดียว เธออาจจะหายใจไม่ออก
"น่าจะอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะคะ" ปุณณมาสเอ่ยอย่างเสียดายโอกาสที่จะได้อยู่กับคนที่ตนหลงรักมานาน
"เอาไว้วันหลังดีกว่าครับ วันนี้คงจะไม่สะดวกแล้ว"
"งั้น เดี๋ยววันหลัง ปุณขอไปบ้านพี่หมอได้ใช่มั้ยคะ"
"ยัยปุณ พูดอะไรออกมา" โดนมารดาเอ็ดแค่ไหนก็ไม่เคยสะทกสะท้าน เพราะรู้ว่ามารดาก็แค่เอ็ดไปงั้นๆ
"ก็ปุณไม่ได้ไปบ้านพี่หมอนานแล้วนี่คะ ก็คุณแม่ห้ามไม่ให้ไป แต่ปุณอยากไปนี่คะ"
"ได้ครับ อยากไปวันไหนก็โทรบอก ผมจะให้คนมารับ" เขาบอกอย่างใจดีจนคนฟังถึงกับปลื้มปริ่ม
"พี่หมอใจดีที่สุดเลยค่ะ"
"งั้นผมลานะครับ" พูดจบก็รีบลุกขึ้นยืดตัวตรง หันไปทางลาเวนเดอร์ที่ยกผ้ามาปิดหน้าตัวเอง
แล้วลุกขึ้นยืนตัวตรงเต็มความสูงเคียงบ่าของวาลองโซล เป็นความสง่างามที่แม้แต่เจ้าของสถานที่
ที่ทั้งสวยสง่าระดับตัวท็อปของวงการก็ไม่อาจเทียบได้ วาลองโซลหันหลังแล้วเดินนำหน้าไป
ทว่า สองเท้าที่กำลังเยื้องย่างต้องสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงของลาเวนเดอร์ดังจากข้างหลัง
"การกำพร้าที่น่าหดหู่ที่สุดของผู้เป็นลูก คงไม่ใช่การตายจากกันไป แต่คือ การขาดซึ่งความเอาใจใส่
ดูแลทางเรือนกายภายนอกและจิตวิญญาณความรู้สึกภายในจากผู้เป็นแม่และพ่อของเขา
ทั้งที่แม่และพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ แต่กลับเหมือนว่าแม่และพ่อของเขาไม่มีอยู่จริง"
เสียงนั้นเงียบลง พร้อมกับร่างบางระหงที่ก้าวย่างอย่างมั่นคงทุกก้าวได้ก้าวนำหน้าของเขาไป
โดยไม่หันหลังกลับมาอีก วาลองโซลหมายจะเดินตามหญิงสาวออกไปจากสถานที่ที่เขา
แทบไม่อยากจะมาเหยียบด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะลาเวนเดอร์ เขาก็ไม่คิดจะมาที่นี่อีก
ทว่า ต้องหยุดขาเอาไว้อีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงของสตรีเจ้าของสถานที่เอ่ยขึ้นว่า
"คุณหมอ ถ้าวันใดวันนึงทุกคนต่างก็ทอดทิ้งเธอหรือหันปลายกระบอกปืนไปยังเธอ ต่างก็ไล่ล่าเธอ
แม้แต่ฉันที่เป็นแม่แท้ๆ ของเธอ ฉันหวังว่าคุณจะอยู่เคียงข้างเธอ แม้ทุกคนในโลกต่างพากันหันหลัง
ให้กับเธอ ทอดทิ้งเธอ ก็ช่วยอยู่เคียงข้างเธอ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ช่วยปกป้องเธอด้วยนะคะ"
วาลองโซลไม่ได้หันหลังกลับไปมองคนพูดขณะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทว่า
"การที่คนคนหนึ่งได้หมดรักอีกคนหนึ่ง และต้องการไปเริ่มต้นชีวิตใหม่
ไม่มีเหตุผลหรือความชอบธรรมใดๆ เลยที่จะทำลายชีวิตของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้"
พูดจบก็ก้าวเดินตามลาเวนเดอร์ไป โดยมีซันนีเดินตามไปติดๆ ด้วยสีหน้างุนงงกับประโยคเหล่านั้น
"เมื่อกี้ที่คุณแม่พูด หมายความว่ายังไงคะ?" ปุณณมาศถามมารดาด้วยแววตาเคลือบแคลงใจ
หลังจากเหลือเพียงเธอกับมารดาแค่สองคน
"ก็หมายความว่า ลาเวนเดอร์คือ ลูกสาวคนโตของแม่ที่แม่ไม่สามารถนำมาไว้ข้างกายได้ชั่วชีวิตนี้"
ไม่เพียงแค่คำพูด แต่ทว่า แววตากลับบอกเล่าความเจ็บปวดของสตรีผู้นี้ได้อย่างน่าเศร้าไม่แพ้กัน
"เธอคนเมื่อกี้นี้หรือคะคือ พี่สาวของปุณ"
"ใช่ แม่ตั้งชื่อให้เธอว่า ลัยลาลิณ ที่แปลว่า ค่ำคืนอันสวยงาม มีเพียงเธอที่ทำให้พวกเราสวยงามโดดเด่น
อย่างที่แล้วมาจนถึงตอนนี้ เพราะเธอ เราถึงมีกันและกันอย่างดีมาโดยตลอด"
"ปุณไม่เข้าใจค่ะแม่"
"การไม่รู้ย่อมทำให้ลูกมีความสุขมากกว่านะปุณ"
"แต่ปุณยินดีมีความทุกข์ ปุณอยากรู้ค่ะแม่" ผู้เป็นมารดาไม่เอ่ยคำใด นอกจากเดินจากไปอีกคน
ทิ้งให้ปุณณมาศยืนน้ำตาคลอเบ้าด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ยากจะบรรยาย
.......................โปรดติดตามตอนต่อไป...........................................
หายไปหลายวัน กลับมาอัพหนูลาให้กันแล้วนะคะ
ตอนนี้ตัวละครเพิ่มเข้ามาอีกแล้วค่ะ และก็จะมีมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ฝากพวกเขาไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
รักษาสุขภาพค่ะ
"เต่าโย"
ลาเวนเดอร์ที่หายสนิทแล้วก็ถึงแก่เวลาเดินทางไปพบมารดาของตนตามความตั้งใจโดยมีวาลองโซลเป็นผู้นำทาง
เธอมั่นใจสูงว่า เจ้าของสร้อยเส้นที่เธอถืออยู่ในมือนั้นคือ มารดาของเธอ
ซึ่งมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของหญิงปริศนาคนนั้นที่ตกจากอาคารดังกล่าว โดยไม่แม้แต่จะมีการ
ออกข่าวตามสื่อใดๆ ทุกอย่างเงียบกริบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่นั่นเป็นชีวิตทั้งชีวิตของคนคนนึงด้วยซ้ำ
"ฉันต้องรู้ให้ได้ค่ะว่าผู้หญิงที่ตกอาคารลงมาตายตอนนั้นเป็นใครกันแน่ และเกี่ยวอะไรกับสร้อยเส้นนี้
สร้อยเส้นนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ" ลาเวนเดอร์มองสร้อยคอในมือที่มีสร้อยที่ทำจากอัญมณีประหลาดตา
ดูลึกลับ
"โอปอลไฟน่ะ เป็นชนิดที่หาได้ยากมากๆ คนที่ถือครองก็คงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วๆ ไป"
วาลองโซลที่เป็นคนขับรถให้เอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
"เราจะได้เจอเจ้าของมันในวันนี้แน่ๆ ใช่มั้ยคะ"
"ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรมาแทรกกลาง ก็คงจะได้เจอกันแน่นอน" เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
แววตาที่จ้องมองถนนหนทางไม่หันเหไปทิศใดนั่นทำเอาคนที่นั่งข้างถึงกับลอบถอนใจ
หันไปทางซันนีที่นั่งตรงที่นั่งด้านหลังแล้วถามด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ ว่า
"คุณซันนีอยู่ข้างๆ ฉันนะคะ อย่าไปไหนนะคะ"
"แน่นอนค่ะ วางใจได้ ถ้าไม่เจอเงาดำๆ ที่คุณเห็นบ่อยๆ ซันนีก็จะอยู่ข้างๆ ไม่วิ่งหนีไปไหนค่ะ"
หญิงสาวพูดทีเล่นทีจริง ทำเอาคนฟังถึงกับทอดถอนใจ
"ฉันก็รู้สึกว่า ไอ้ดำเขาทำหน้าที่หนักเกินไปแล้วช่วงนี้ เหมือนว่าอยากมีบทบาทอะไรบางอย่าง"
"คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงนะ" เสียงคนขับนั้นย้ำหนักแน่นให้ลาเวนเดอร์ได้ตระหนักให้ระมัดระวัง
อารมณ์และพฤติกรรมตัวเอง
"ก็มัดแขนมัดขาไว้เลยสิคะ เผื่ออาการจะออกเหมือนครั้งก่อน"
"ผมเตรียมห้องเอาไว้ขังคุณอย่างแน่นหนาแล้วล่ะ" เขาตอบด้วยน้ำเสียงปนขันนิดๆ ทำให้คนฟังถึงกับหมั่นไส้
แต่มันก็จริงของเขา คราวก่อนเธอควบคุมอะไรตัวเองไม่ได้เลยสักนิด
ภายในตึกที่ถูกตกแต่งสีสันต่างๆ เอาไว้อย่างสวยงามตระการตา
ลาเวนเดอร์เดินไปก็มองไปรอบๆ ตัวอย่างนิยมชมชอบ รสนิยมคนที่ตกแต่งภายในช่างถูกจริตของเธอโดยแท้
ไม่ว่าจะหันไปทางไหน มุมไหน ก็ดูถูกอกถูกใจเธอไปเสียหมด
"นี่คือ สปาหรือคะ" ลาเวนเดอร์ถามวาลองโซลกับซันนี
"ใช่ค่ะ ที่นี่คือ สปาและนวดเพื่อสุขภาพค่ะ"
ซันนีเป็นคนตอบ ระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาเป็นประกาย
สดใสของคนตรงหน้าที่ดูจะตื่นตาตื่นใจไปกับการตกแต่งภายในที่เธอรู้ดีว่าเป็นฝีมือของใคร
"สวยจังเลยค่ะ ดูสดชื่น น่าพักผ่อนมากๆ เลย ใครทำให้มันเป็นแบบนี้หรือคะ?"
"คุณศศิ แห่ง SASI Group เจ้าของสถานที่แห่งนี้ค่ะ"
"เจ้าของเป็นคนออกแบบและรังสรรค์มันออกมาเองเลยหรือคะ?"
"ค่ะ เธอมีพรสวรรค์ด้านนี้มากๆ เป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้" ลาเวนเดอร์หันไปมองรอบๆ ตัว
แล้วก็อดยอมรับไม่ได้ว่าที่ซันนีพูดนั้นก็ไม่เกินจริง เพราะพยานหลักฐานรอบตัวเธอก็บ่งชี้ถึง
ความสามารถของคนออกแบบและรังสรรค์มันออกมา
"ภูมิใจล่ะสิ" ซันนีอดหยอกอดแซวไม่ได้ ลาเวนเดอร์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใสภายใต้ผ้าปิดหน้า
แต่อีกฝ่ายรู้ว่าดวงตาแบบนั้นต้องกำลังยิ้มส่งมาให้อย่างสดใสแน่นอน
"ค่ะ ก็มันน่าภูมิใจนี่นา" ลาเวนเดอร์พูดแล้วก็หันไปมองวาลองโซลที่ดูจะขรึมลงเรื่อยๆ จนตอนนี้
ดูจะขรึมจัดจนดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้สิ จึงอดไม่ได้ที่จะถามไถ่
"เป็นอะไรรึเปล่าคะคุณเซริว ทำไมขรึมจัง ขรึมจนน่ากลัวมากๆ" เขาไม่ตอบ
แต่เดินนำหน้าเธอไปจนทิ้งห่างหลายก้าว หญิงสาวอดแปลกใจไม่ได้ จึงหันไปขอความเห็นจากซันนี
ฝ่ายนั้นได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้ไม่ชี้และไม่เปิดช่องให้ได้ถามอะไรอีก จนกระทั่งถึงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
"ได้นัดไว้รึเปล่าคะ"
"เปล่าครับ ไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า"
"เดี๋ยวดิฉันจะโทรบอกท่านนะคะว่าคุณหมอวาลองโซลมาขอพบ"
"ครับ ขอบคุณ" เขาพูดสั้นๆ ด้วยสีหน้าตึงเรียบ ไร้ความรู้สึกใดๆ ทำเอาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับทำตัวไม่ถูก
ไม่ชอบบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัดเช่นนี้เลย ทั้งๆ ที่สถานที่แห่งนี้ก็แสนจะสวยงามและผ่อนคลาย
"ท่านบอกว่า ให้ไปรอที่ห้องรับรองค่ะ อีกสักครู่ท่านจะลงมาพบ เชิญทางนี้ค่ะ" แล้วพนักงานต้อนรับ
ก็ผายมือพร้อมนำทางไปยังห้องรับรองแขกที่อยู่อีกฟากซึ่งให้ความสงบและเป็นส่วนตัว
ก่อนจะบริการขนมและเครื่องดื่มที่ทำให้ลาเวนเดอร์ให้ความสนใจไม่น้อย
"อร่อยจังเลยค่ะ หน้าตาก็น่ารักจิ้มลิ้ม ขนาดพอดีคำเป๊ะๆ เลย
แถมเป็นรูปดอกไม้สีสันสวยจัง เขาเรียกว่าขนมอะไรหรือคะ"
หญิงสาวถามอย่างซื่อๆ ขณะกินขนมตรงหน้าไปหลายชิ้น จนมุมปากของวาลองโซลถึงกับกระตุก
"ขนมชั้น"
"ชื่อมันหรือคะ?"
"ใช่ครับ"
"ชื่อไม่เห็นน่ารักเหมือนตัวของมันเลย"
"ถ้าเป็นคุณจะตั้งชื่อมันว่ายังไงล่ะ?"
"อืม..." หญิงสาวกินไปก็คิดไป มองขนมไป แล้วก็ยิ้มออกมา
"ชื่อ ขนมเพลินตาค่ะ เพราะดูเพลินตามากๆ เลย" เสียงใดๆ เจื้อยแจ้วไปเรื่อย ทำเอาซันนีถึงกับส่ายหัว
ด้วยความเอ็นดู ท่าทางจะอร่อยจนลืมไปว่ากำลังรอจะเจอใครอยู่เป็นแน่
"คงจะเพลินจริงๆ แหละค่ะคุณหมอ" วาลองโซลได้แต่มองคนที่สนอกสนใจขนมและเครื่องดื่มตรงหน้า
แล้วลอบถอนใจ หวังว่าเธอจะไม่ผิดหวังและจะไม่มีสิ่งใดมาพรากความสุขของเธอในตอนนี้ไป
"อร่อยมั้ย?" เสียงหวานๆ นั้นดังมาจากผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าลาเวนเดอร์
"ทางร้านออกแบบแม่พิมพ์ขนมนี้เองทั้งหมด ไม่มีลวดลายสีสันแบบนี้ที่ใด นอกจากที่นี่
รสชาติแบบนี้ก็มีเพียงที่นี่ที่เดียวเช่นกัน" เสียงนั้นยังคงกล่าวสืบไป โดยที่ขณะนี้ลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้
ปิดใบหน้าด้วยผ้าผืนน้อยไว้กำลังจ้องมองคนตรงหน้าด้วยดวงตาที่แทบจะไม่กะพริบ
"ลูกสาวทั้งสองของฉันชื่นชอบขนมนี้เป็นพิเศษ" เท่านั้น ขนมที่กำลังกลืนลงคอก็เหมือนจะติดคอขึ้นมา
จนลาเวนเดอร์สำลักหน้าดำหน้าแดง เดือดร้อนซันนีต้องคอยช่วยเหลือ ในขณะที่ผู้มาใหม่ได้แต่ยิ้มบางๆ
แล้วนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม ดวงตาจับนิ่งอยู่ที่ลาเวนเดอร์ไม่วางตา
"ยัยปุณเค้าเป็นคนออกแบบแม่พิมพ์พวกนี้ และเป็นเจ้าของสูตรขนมนี้ ฉันหมายถึง ปุณณมาส
ลูกสาวคนโตของฉันน่ะ" ลาเวนเดอร์ที่ฟังเงียบๆ และตอนนี้ก็คอโล่งแล้ว จึงเอ่ยออกไปดังใจคิดว่า
"ไม่ใช่หนูหรอกหรือคะที่เป็นลูกสาวคนโตของคุณ หนูไม่ใช่หรือคะที่คุณคลอดออกมาเป็นคนแรก"
ทุกคนในที่นี้ถึงกับอึ้งและมองคนพูดเป็นสายตาเดียวกัน เพราะไม่คาดคิดว่าลาเวนเดอร์จะพูด
ประโยคเช่นนี้ออกมาอย่างง่ายดายโดยไม่ติดขัด สีหน้าท่าทางก็เหมือนจะปกติสุขดีทุกอย่าง
"หรือว่าจันทร์จะลืมหนูไปแล้วจริงๆ เหมือนจะมีแค่หนูคนเดียวที่หมอกเมฆบัง"
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบจนไม่ยอมเอ่ยคำใดออกมา ลาเวนเดอร์ก็เลยถือโอกาสยื่นสร้อยที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุให้
สตรีที่แสนสวยตรงหน้า ความสวยงามชนิดที่หาตัวจับยาก เป็นสาวงามที่งามล่มเมืองสินะ
แต่ทว่า ความงามบนใบหน้านี้หาได้ส่งต่อมาถึงเธอเลย เธอกับสตรีตรงหน้าไม่ได้มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน
แม้จนนิดเดียว มือเรียวยื่นมารับมันไปด้วยแววตาที่หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
"ผิดที่หนูหรือว่าจันทร์ลำเอียงกันแน่คะ?" ก่อนจะจี้ใจด้วยประโยคต่อมา
"หนูจะไม่ถามว่าสร้อยเส้นนี้ไปอยู่ในมือคนที่ตกตึกลงมาตายตรงหน้าหนูได้ยังไงก็ได้ค่ะ
แค่เพียงจันทร์จะเซ็นรับรองบุตรให้กับหนู หนูจะได้มีแม่ ไม่ไร้ราก ไม่ไร้ตัวตนเหมือนผีน้อยล่องหนอีกต่อไป"
"เห็นจะไม่ได้หรอกจ่ะ เพราะฉันน่ะมีลูกแค่สามคนเท่านั้น หนูเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงพูดอะไร
ที่เข้าใจได้ยากแบบนี้" เป็นซันนีที่ยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง หันไปมองท่าทีของลาเวนเดอร์
ก็ยิ่งประหลาดใจ เพราะใบหน้านั้นดูนิ่งสงบมากๆ มากจนเธอคาดไม่ถึงว่าจะนิ่งได้ยิ่งกว่าคนหน้านิ่ง
เป็นปกติอย่างคุณหมอวาลองโซล ซ้ำยังเอ่ยประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ด้วยรอยยิ้มบาง
ที่ดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก
"มันยากมากเลยหรือคะกับการยอมรับว่าหนูเป็นลูกสาวคนโตของคุณกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้"
คนฟังกำมือแน่นเมื่อได้ยินตรงประโยคสุดท้ายนั่น เด็กคนนี้แสบพอตัวจริงเชียว
"พ่อหนูคงจะหน้าตาดีมากๆ เลยใช่มั้ยคะ หนูถึงได้หน้าตาไม่เหมือนคุณในตอนนี้เลยสักนิด
ความสวยของคุณในตอนนี้ ไม่มีอะไรคล้ายหนูเลย มันยืนยันได้ว่า ความสวยที่หนูเห็นตอนนี้
มันคือ ภาพลวงตา ซึ่งคุณคงผ่านมีดหมอมานับครั้งไม่ถ้วน แลดูเป็นการหนีจากการเป็นแม่ของหนู
ได้อย่างแนบเนียนเหลือเกิน ใครมาเห็นเข้าก็คงคิดว่า หนูไม่มีทางที่จะเป็นลูกของคุณได้
เพราะเราไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย"
น้ำเสียงลาเวนเดอร์ยังคงนิ่งและมั่นคง วาลองโซลได้แต่นิ่งฟังและเฝ้ามองสีหน้าท่าทางของสองแม่ลูก
ที่คนเป็นแม่พยายามจะเก็บอาการไว้ ส่วนคนเป็นลูกก็จี้หัวใจอีกฝ่ายอย่างไม่หยุดยั้ง
ราวกับรอเวลาจะรัวกระสุนใส่แม่ตัวเองมานานแสนนาน จนเมื่อสบโอกาสก็ไม่รอที่จะจัดการอย่างเต็มที่ ไม่มียั้ง
"ฉันไม่รู้ว่าคุณหมอพาใครมา แต่คงไม่ใช่คนไข้ในความดูแลของคุณหมอหรอกใช่มั้ยคะ?"
"เธอไม่ได้ป่วยครับ ตอนนี้เธอปกติดีทุกอย่าง และผมเป็นจักษุแพทย์ ไม่ใช่จิตแพทย์"
วาลองโซลกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าตึงจัด
"แต่ก็ไม่ควรให้คนที่คุณพามาพูดจาจาบจ้วงล่วงเกินฉันแบบนี้นะคะ"
"ผมขอโทษครับ หากนั่นคือ ความผิดของผม"
"คุณแม่คะ" เสียงใสๆ ดังแทรกขึ้นพร้อมกับการมาถึงของสาวสวยร่างบางอ้อนแอ้นในชุดเรียบร้อย
น่ารักน่าทะนุถนอม รอยยิ้มนั้นสดใสเบิกบานเหมือนดอกไม้ยามเช้า
"พี่กุ๊กบอกว่า พี่หมอมาหาคุณแม่ ปุณเลยตามมาที่นี่ คงไม่ได้เสียมารยาทกับแขกท่านอื่นใช่มั้ยคะ"
"ไม่หรอกจ่ะ ดีซะอีก นานๆ จะได้เจอกัน" ว่าพลางหันไปจับมือลูกสาวให้นั่งลงข้างๆ ตน
ท่าทางแลดูอ่อนโยนและอ่อนหวาน น่าชื่นชม
"พี่หมอสบายดีใช่มั้ยคะ" สาวหน้าหวานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หวานสมกับหน้าตาด้วยแววตาเป็นประกายเจิดจ้า
"ครับ สบายดีครับ" เสียงเรียบๆ ที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ตอบรับในขณะที่สายตาได้มองไปทางอื่น
"แล้ว นี่พาใครมาด้วยหรือคะ?" แววตาสงสัยใคร่รู้นั้นไม่คิดปิดบัง เนื่องด้วยสนิทกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก
"เธอชื่อ ลาเวนเดอร์ครับ เป็นคนสนิทของผม"
"คนสนิทหรือคะ ไม่เห็นปุณจะเคยเห็นเลยสักครั้ง ไปสนิทกันตอนไหนหรือคะ?"
"ฮึอื้อ" มารดาสะกิดลูกสาวที่ดูจะอยากรู้อยากเห็นจนเกินงาม
"เรารู้จักกันที่ญี่ปุ่นครับ ตอนนี้เธอพักอยู่ที่บ้านผม" แล้วก็หันไปทางลาเวนเดอร์ที่เหมือนกำลังโดนแช่แข็ง
จนตัวแข็งทื่อไปแล้ว
"รู้จักกันซะสิลาเวนเดอร์ นี่คือ ปุณณมาส ลูกสาวของคุณศศิ เจ้าของสูตรขนมที่คุณบอกว่าอร่อย"
ลาเวนเดอร์ยื่นมือไปสัมผัสและให้สลามกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
"เรียกสั้นๆ ว่าปุณก็ได้ค่ะ ชื่อปุณณมาสน่ะแปลว่า ดวงจันทร์ เหมือนชื่อคุณแม่ค่ะ
เราสามคนพี่น้องมีชื่อที่แปลว่า ดวงจันทร์กันหมดเลยค่ะ" ลาเวนเดอร์หุบยิ้มก่อนจะเบี่ยงหน้าหลบไป
อีกทาง
"อีกสองคนชื่อ ศศิน กับ ศศิรัศมิ์ คุณแม่เป็นคนตั้งชื่อให้พวกเรา หลายคนเลยเรียกพวกเราว่า
เป็นครอบครัวดวงจันทร์ค่ะ" ความสดใสร่าเริงของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ลาเวนเดอร์รู้สึกผ่อนคลายลงได้
แม้ว่ายามเมื่อหันไปทางสตรีที่นั่งคอตั้งหลังตรงจะรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อยก็ตาม
"ยินดีที่ได้พบเจอกันนะคะ" ลาเวนเดอร์ยิ้มให้น้องสาวของตนที่เธอมั่นใจว่าใช่น้องสาวของเธอ
อย่างแน่นอน
"ยินดีที่ได้รู้จักด้วยเช่นกันค่ะ คุณลาเวนเดอร์สวยมากเลยนะคะ สวยกว่าคุณแม่อีก
เนี่ย ปุณเคยคิดมาตลอดว่า ไม่น่าจะมีใครสวยแซงหน้าคุณแม่ได้อีกแล้ว แต่พอมาเจอคุณ
ความรู้สึกปุณก็เปลี่ยนไปเลยค่ะ สวยจนอยากมองไปนานๆ ไม่อยากหันไปทางอื่นเลยค่ะ"
ลาเวนเดอร์ยิ้มให้กับคำชมที่ไม่มีความรู้สึกเสแสร้งแกล้งชมปนเข้ามาให้สัมผัสได้
เพราะดวงตาคู่นั้นสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมาจนไม่สามารถปิดบังอำพรางสิ่งใดไว้ได้
"คงไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ"
"อย่าถ่อมตัวไปเลยค่ะ เนี่ย ปุณชักจะหวั่นๆ ว่าพี่หมอจะหลงเสน่ห์คุณลาเวนเดอร์เข้าสักวัน
แล้วถึงตอนนั้นปุณคงอกหักรักสลาย"
"ยัยปุณ" เสียงดุๆ นั่นดังมาจากผู้เป็นมารดา เมื่อเห็นว่าลูกสาวเริ่มจะทำเกินเลยขอบเขตอันดีงาม
มากไปแล้ว
"ทำไมละคะคุณแม่ มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าปุณน่ะรักพี่หมอ จับจองพี่หมอมาตั้งแต่เด็ก
ติดตรงที่พี่หมอมีคู่หมั้นมาตั้งแต่ยังไม่ถือกำเนิด ปุณเลยต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่แบบนี้"
"ดูพูดเข้าสิ" คนเป็นแม่เอ็ดลูกสาวให้พอเป็นพิธี ไม่ได้จริงจังอะไรนัก
"ฉันคงต้องขอโทษแทนลูกสาวด้วยนะคะ เธอยังไม่ยอมโตสักที ทั้งที่เข้าเรียนมหาลัยแล้วแท้ๆ
เขาอยากเรียนสายคหกรรม ฉันเองก็ไม่อยากขัดใจ ปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่รักไป"
เจ้าของสถานที่หันไปขอโทษแขกที่ตอนนี้นั่งหน้าตึงยิ่งกว่าเดิม ซึ่งมองยังไงก็รู้ว่ากำลังโกรธขึ้ง
"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ" แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่แววตากลับไม่ใช่เลย
"เอ่อ ฉันขอตัวกลับก่อนดีกว่าค่ะ พอดีรู้สึกไม่ค่อยสบาย" ลาเวนเดอร์รีบออกตัวเพื่อความอยู่รอด
เธอไม่ชอบบรรยากาศที่แสนอึดอัดเช่นนี้ ถ้าอยู่ต่ออีกนิดเดียว เธออาจจะหายใจไม่ออก
"น่าจะอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะคะ" ปุณณมาสเอ่ยอย่างเสียดายโอกาสที่จะได้อยู่กับคนที่ตนหลงรักมานาน
"เอาไว้วันหลังดีกว่าครับ วันนี้คงจะไม่สะดวกแล้ว"
"งั้น เดี๋ยววันหลัง ปุณขอไปบ้านพี่หมอได้ใช่มั้ยคะ"
"ยัยปุณ พูดอะไรออกมา" โดนมารดาเอ็ดแค่ไหนก็ไม่เคยสะทกสะท้าน เพราะรู้ว่ามารดาก็แค่เอ็ดไปงั้นๆ
"ก็ปุณไม่ได้ไปบ้านพี่หมอนานแล้วนี่คะ ก็คุณแม่ห้ามไม่ให้ไป แต่ปุณอยากไปนี่คะ"
"ได้ครับ อยากไปวันไหนก็โทรบอก ผมจะให้คนมารับ" เขาบอกอย่างใจดีจนคนฟังถึงกับปลื้มปริ่ม
"พี่หมอใจดีที่สุดเลยค่ะ"
"งั้นผมลานะครับ" พูดจบก็รีบลุกขึ้นยืดตัวตรง หันไปทางลาเวนเดอร์ที่ยกผ้ามาปิดหน้าตัวเอง
แล้วลุกขึ้นยืนตัวตรงเต็มความสูงเคียงบ่าของวาลองโซล เป็นความสง่างามที่แม้แต่เจ้าของสถานที่
ที่ทั้งสวยสง่าระดับตัวท็อปของวงการก็ไม่อาจเทียบได้ วาลองโซลหันหลังแล้วเดินนำหน้าไป
ทว่า สองเท้าที่กำลังเยื้องย่างต้องสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงของลาเวนเดอร์ดังจากข้างหลัง
"การกำพร้าที่น่าหดหู่ที่สุดของผู้เป็นลูก คงไม่ใช่การตายจากกันไป แต่คือ การขาดซึ่งความเอาใจใส่
ดูแลทางเรือนกายภายนอกและจิตวิญญาณความรู้สึกภายในจากผู้เป็นแม่และพ่อของเขา
ทั้งที่แม่และพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ แต่กลับเหมือนว่าแม่และพ่อของเขาไม่มีอยู่จริง"
เสียงนั้นเงียบลง พร้อมกับร่างบางระหงที่ก้าวย่างอย่างมั่นคงทุกก้าวได้ก้าวนำหน้าของเขาไป
โดยไม่หันหลังกลับมาอีก วาลองโซลหมายจะเดินตามหญิงสาวออกไปจากสถานที่ที่เขา
แทบไม่อยากจะมาเหยียบด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะลาเวนเดอร์ เขาก็ไม่คิดจะมาที่นี่อีก
ทว่า ต้องหยุดขาเอาไว้อีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงของสตรีเจ้าของสถานที่เอ่ยขึ้นว่า
"คุณหมอ ถ้าวันใดวันนึงทุกคนต่างก็ทอดทิ้งเธอหรือหันปลายกระบอกปืนไปยังเธอ ต่างก็ไล่ล่าเธอ
แม้แต่ฉันที่เป็นแม่แท้ๆ ของเธอ ฉันหวังว่าคุณจะอยู่เคียงข้างเธอ แม้ทุกคนในโลกต่างพากันหันหลัง
ให้กับเธอ ทอดทิ้งเธอ ก็ช่วยอยู่เคียงข้างเธอ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ช่วยปกป้องเธอด้วยนะคะ"
วาลองโซลไม่ได้หันหลังกลับไปมองคนพูดขณะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทว่า
"การที่คนคนหนึ่งได้หมดรักอีกคนหนึ่ง และต้องการไปเริ่มต้นชีวิตใหม่
ไม่มีเหตุผลหรือความชอบธรรมใดๆ เลยที่จะทำลายชีวิตของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้"
พูดจบก็ก้าวเดินตามลาเวนเดอร์ไป โดยมีซันนีเดินตามไปติดๆ ด้วยสีหน้างุนงงกับประโยคเหล่านั้น
"เมื่อกี้ที่คุณแม่พูด หมายความว่ายังไงคะ?" ปุณณมาศถามมารดาด้วยแววตาเคลือบแคลงใจ
หลังจากเหลือเพียงเธอกับมารดาแค่สองคน
"ก็หมายความว่า ลาเวนเดอร์คือ ลูกสาวคนโตของแม่ที่แม่ไม่สามารถนำมาไว้ข้างกายได้ชั่วชีวิตนี้"
ไม่เพียงแค่คำพูด แต่ทว่า แววตากลับบอกเล่าความเจ็บปวดของสตรีผู้นี้ได้อย่างน่าเศร้าไม่แพ้กัน
"เธอคนเมื่อกี้นี้หรือคะคือ พี่สาวของปุณ"
"ใช่ แม่ตั้งชื่อให้เธอว่า ลัยลาลิณ ที่แปลว่า ค่ำคืนอันสวยงาม มีเพียงเธอที่ทำให้พวกเราสวยงามโดดเด่น
อย่างที่แล้วมาจนถึงตอนนี้ เพราะเธอ เราถึงมีกันและกันอย่างดีมาโดยตลอด"
"ปุณไม่เข้าใจค่ะแม่"
"การไม่รู้ย่อมทำให้ลูกมีความสุขมากกว่านะปุณ"
"แต่ปุณยินดีมีความทุกข์ ปุณอยากรู้ค่ะแม่" ผู้เป็นมารดาไม่เอ่ยคำใด นอกจากเดินจากไปอีกคน
ทิ้งให้ปุณณมาศยืนน้ำตาคลอเบ้าด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ยากจะบรรยาย
.......................โปรดติดตามตอนต่อไป...........................................
หายไปหลายวัน กลับมาอัพหนูลาให้กันแล้วนะคะ
ตอนนี้ตัวละครเพิ่มเข้ามาอีกแล้วค่ะ และก็จะมีมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ฝากพวกเขาไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
รักษาสุขภาพค่ะ
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2567, 09:55:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2567, 09:55:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 156
<< บทที่ 13 คุณค่าของเธอ | บทที่ 15 สารวัตรจ้า >> |