Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้
ตอน: บทที่ 15 สารวัตรจ้า
วาลองโซลที่ก้าวยาวๆ ตามร่างระหงของลาเวนเดอร์ที่เดินอยู่เบื้องหน้าอย่างว่องไวเหลือเกินถึงกับ
กระตุกหัวคิ้วด้วยความกังขา หันไปทางซันนีครู่หนึ่งก็ยิ่งแปลกใจเมื่อคนที่เดินนำในชุดสีดำ
เดินไปอีกเส้นทางที่วกวนไปมา จนกระทั่งตรงมุมแยกทางเดิน อยู่ๆ ร่างในชุดดำดังกล่าวก็หายวับไป
ตามหาอย่างไรก็ไม่เจอ
"แย่แล้ว รีบตามหาตัวเธอให้เจอ" วาลองโซลหันไปออกคำสั่งกับซันนี และโทรเรียกคนของตน
ให้ออกค้นหาลาเวนเดอร์ที่หายตัวไปให้เจอ ก่อนจะกำหมัดแน่น
เป็นเขาเองที่พลาดพลั้ง ไม่ควรพาเธอมาสู่กับดักนี้ ไม่ควรพาเธอมายังถ้ำของนางเสือ
กว่าเขาจะได้ตัวเธอมาอยู่ข้างกายมิใช่เรื่องง่ายเลย แล้วดูตอนนี้สิ เธอกลับหายไปจากเขาได้อย่างง่ายดาย
เพียงเพราะเขาเผลอเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
"คุณหมอคิดว่าเป็นใครกันคะที่พาตัวเธอไป" ซันนีเอ่ยขึ้นเมื่อมาอยู่ในรถยนต์เรียบร้อยแล้ว
"เธอคิดว่าจะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่แม่ของเขา"
"ซันนีไม่คิดแบบนั้นนะคะ เพราะถ้าเป็นแม่ของเขา ก็ไม่จำเป็นเลยที่ต้องใช้วิธีนี้ เรื่องนี้ซับซ้อนกว่านั้นค่ะ"
"แล้วเธอคิดว่าใคร"
"ตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น มีคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามขัดขวางพวกเรา แต่ไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายหรือหมายจะ
กำจัดเธอ ซันนีคิดว่า น่าจะเป็นคนที่พ่อของเธอส่งมาตามหาลูกสาวค่ะ"
"พ่อของเธอหรือ?" แววตาของชายหนุ่มไหววูบเพียงนิดก่อนจะกลับมานิ่งดุจเดิม
"แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คุณฮิโรกิ พ่อของคุณหมอแน่นอน" พูดจบก็ยิ้มบางที่มุมปากอย่างมีเลศนัย
"เธอมีพ่อนี่คะ ไม่ได้เกิดมาจากกอไผ่สักหน่อย คุณหมอเองก็เคยเห็นพ่อของเธอแล้วนี่คะ"
"แล้วมีใครบ้างที่ไม่รู้จักพ่อของเธอ ยกเว้นตัวเธอเอง" เขาพูดด้วยใบหน้าตึงจัด และด้วยแววตาดุดัน
แล้วเสียงโทรศัพท์ของวาลองโซลก็ดังขึ้น จากหมายเลขที่ไม่รู้จัก วาลองโซลจ้องหน้าจอมือถือ
ก่อนจะปัดหน้าจอเพื่อรับสาย
"ว่าไงคุณหมอวาลองโซลคนเก่ง คงจะยังจำเสียงกันได้อยู่ใช่มั้ย?"
"ฮึ ว่าไง สารวัตรจ้า ตอนนี้ได้ข่าวว่าคุณอยู่ในช่วงถูกพักงานนี่"
"ถูกพักงานที่ไหน คุณยังไม่เห็นผลงานล่าสุดของผมอีกหรอว่าเด็ดแค่ไหน
อยากได้ยินเสียงของน้องสาวนอกไส้ของคุณเป็นการยืนยันมั้ยล่ะ"
แล้วเสียงเล็กๆ ใสๆ ก็ดังขึ้น วาลองโซลกำหมัด กัดฟันกรอด แววตาวาวโรจน์ไปด้วยความโกรธแค้น
"ขอบคุณนะที่ทำให้ผมถูกพักงานหนึ่งปี โอ้ ไม่สิ จะให้ถูกก็คือ เป็นเราสองคนที่ถูกพักงานทั้งคู่ ฮ่าๆๆๆ
มันทำให้ผมมีเวลาจัดการเรื่องส่วนตัวที่คาราคาซังให้สิ้นซากไปเสียที เป็นการแก้แค้นที่สมน้ำสมเนื้อจริงๆ
ฮ่าๆๆๆๆ" เสียงหัวเราะนั้นทำให้วาลองโซลถึงกับหน้าตึง แต่พยายามกักเก็บอารมณ์พลุกพล่านนั้นเอาไว้
เค้นเสียงออกไปว่า
"ถ้าเธอเป็นไรไปแม้แต่นิดเดียว ฉันสัญญาว่าจะแล่เนื้อเถือหนังแกแน่"
"เผอิญว่าฉันไม่ใช่คนที่ขี้ขลาด ที่จะกลัวคำขู่ลมๆ แล้งๆ ด้วยสิ ฮึๆๆๆ"
"เดี๋ยวก็รู้ว่าแค่ขู่หรือจริงจัง"
"แกกับฉัน ไม่ควรเลยที่จะเดินกันคนละเส้นทางแบบนี้นะเซริว และฉันแค่อยากช่วยให้แกออกมาจาก
เส้นทางนั้น ออกมาจากสิ่งที่ไม่ใช่ของของแก ไม่ใช่ที่ของแก พอแกได้ออกมาจากตรงนั้น
แกก็ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ด้วยการพาตัวคนที่ฉันต้องการมาส่งให้ฉัน
แต่แกกลับแก้แค้นฉันโดยให้ฉันถูกพักงาน มันก็ช่วยไม่ได้ ที่ฉันจะทำให้แกเห็นว่า คนอย่างฉัน
ไม่ใช่คนที่แกจะมาจับจูงได้ง่ายๆ ฮึ ความจริงคนที่แกควรโกรธคือ แม่แกไม่ใช่ฉันด้วยซ้ำ"
"แม่ฉันทำไม?"
"แกคิดหรือว่าแม่แกไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องต่างๆ แกคิดว่าแม่แกใสซื่อบริสุทธิ์ ไร้พิษสง?
แกแน่ใจหรือว่า แม่เลี้ยงฉันคือ คนชั่วคนเลว ส่วนแม่แกคือ นางฟ้านางสวรรค์ แกคงไม่คิดแบบนั้นหรอก
เพราะแกฉลาดเกินกว่าจะคิดได้แค่นั้น และฉันจะไม่ยอมให้เธอไปถูกแม่แกใช้ประโยชน์หรอกนะ
ฉันมีมโนธรรมพอที่จะไม่ทำแบบที่แกทำก็แล้วกัน" แล้วสายก็ตัดจบไป ทิ้งให้วาลองโซลกำหมัด
จนเล็บฝังเข้าไปในเนื้อ ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่น้อยคนจะได้เห็นมันในดวงตาคู่นี้
ซันนีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เรียกสติอีกฝ่ายให้กลับมา
"อย่าไปสนใจคำพูดของสารวัตรแกเลยค่ะ ตอนนี้เราแค่ต้องไปตามตัวเธอกลับมา
แล้วพาไปซ่อนไว้ที่อื่นที่ไม่มีใครรู้จัก ซ่อนไว้จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม"
"คุณคิดว่า มีที่ไหนอีกหรือซันนีที่แม่ผมตามผมไปไม่ได้ มันมีมั้ยสักที่บนโลกนี้ที่มาดามมารีอานน์
ตามผมไปไม่ได้ และผมไม่ไว้ใจสารวัตรจ้า เค้าทำงานให้ใครก็ยังไม่แน่ เค้าจะรู้ทันคนที่สั่งการแค่ไหน
ก็ไม่รู้ เค้ากินอุดมการณ์เป็นอาหารจนบางทีก็หูตาพร่ามัว เหมือนขี่ม้าจับโจรในทุ่งลาเวนเดอร์อยู่"
"งั้นก็เหลือแค่ทางเดียวที่จะช่วยเธอได้ก็คือ คุณหมอต้องแต่งงานกับเธอค่ะ" รถหยุดกะทันหัน
เมื่อคนขับเหยียบเบรกทันทีที่คำพูดนั้นถูกพูดออกมา ทำเอาคนพูดถึงกับกระตุกยิ้มที่มุมปาก
ที่ไม่ใช่เรื่องปกติวิสัยนักกับการที่คนขับรถได้อย่างมั่นคงจะทำให้รถสั่นคลอนด้วยการแตะเบรกในสภาพนี้
ก่อนจะขับต่อไปด้วยท่าทีที่นิ่งดุจเดิม น้ำเสียงที่พูดก็เหมือนถูกคุมให้นิ่งเช่นกัน
"นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ คุณคิดว่าแม่ผมจะยอมให้สิ่งที่คุณพูดเกิดขึ้นหรือซันนี และผมไม่ต้องการ
บีบบังคับใครให้มาแต่งงานด้วย เรื่องการแต่งงานควรเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของทั้งสองคน"
"ก็ถ้าคุณหมอกับเธอแต่งงานและมีลูกด้วยกัน ก็จบปัญหาต่างๆ ไปได้เยอะเลยนะคะ
อีกอย่าง เธอก็ออกจะน่ารักน่าใคร่ ซันนีดูออกนะคะว่า คุณหมอก็พึงพอใจในตัวเธออยู่ไม่น้อย
ถึงกับลงทุนควานหาตัวเธอทั่วญี่ปุ่น แล้วนำตัวกลับมายังรังของนางพญาเหมือนไม่เกรงกลัวใคร
หรือกลัวว่าจะสูญเสียอะไรแบบที่ทำๆ อยู่" คนฟังลอบถอนใจ มองถนนนิ่ง
"คุณไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งลืมหรือซันนีว่า แท้จริงแล้วเธอคือใคร พ่อของเธอคือใคร และผมคือใคร?"
"รู้สิคะ และก็รู้ด้วยว่า ไม่ใช่พ่อคนเดียวกันกับคุณหมอ ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน
แค่นี้ก็แต่งงานมีลูกกันได้แล้วค่ะ หายห่วง" ซันนีกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง หาได้มีความเครียดหรือกังวลแต่อย่างใด
ตั้งแต่รู้แล้วว่า ตอนนี้ลาเวนเดอร์ถูกใครจับตัวไป เพราะถึงอย่างไร คนอย่างสารวัตรจ้าก็เป็นสุภาพบุรุษของแท้
ที่ไม่มีทางทำอะไรที่เสื่อมเสียอย่างแน่นอน และตัวประกันจะได้รับความปลอดภัย ไร้มลทินใดๆ
แถมยังได้รับการดูแลเอาใส่ใจเป็นอย่างดีโดยไม่ต้องกังวลอันใด ถ้าจะมีคนเดือดดาลกับเรื่องนี้
ก็คงจะเป็นคนตรงหน้าเธอ ที่คงยอมให้เจ้าหญิงในดวงใจหลุดไปอยู่ในมือของอดีตสหายเก่า
ที่ผันตัวมาเป็นศัตรูคู่อริในปัจจุบันไม่ได้
"ถ้ามัวชักช้า สารวัตรจ้าเอาไป จะหาว่าซันนีไม่เตือนไม่ได้นะคะ เพราะสารวัตรจ้าเอง
ก็ต้องการเธอมาเป็นเกราะกำบังภัยให้ เกราะที่ทั้งสวยและมีเสน่ห์ดึงดูดแบบนั้น ใครบ้างที่เห็นเข้า
แล้วจะไม่สนใจละคะ ขนาดซันนีที่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังรู้สึกถอนสายตาออกไปไม่ได้เวลามองเธอ"
ซันนีรู้ว่า ถ้าไม่ถูกกระตุ้น คนที่ทั้งใจเย็นและติดไปทางเย็นชาแบบนี้ก็คงยังไม่กระตือรือร้นสักที
เธอแค่อยากให้สองคนนี้ลงเอยกันไวๆ อะไรๆ จะได้ง่ายขึ้นกว่านี้ แม้ว่าจะมีอุปสรรค
แต่ปัญหาอีนุงตุงนังก็คงจะปลิวหายไปไม่น้อย ถ้าสองคนนี้เป็นสามีภรรยากัน และถ้ายิ่งมีลูกด้วยกัน
ก็ยิ่งดีต่อตัวคุณหมอเอง
"คุณพูดมากเกินไปแล้วจริงๆ ซันนี และผมไม่ต้องการได้ยินอะไรแบบนี้อีก" วาลองโซลเดือดดาล
ซึ่งนับว่านานมากทีเดียวถึงจะได้เห็นคนหน้านิ่งหน้าเดียวจะออกท่าทางได้มากขนาดนี้
"ก็ได้ค่ะ ซันนีจะไม่พูดอีกก็ได้ แต่ยังไง ซันนีก็อยากเห็นคุณหมอกับเธอแต่งงานมีทายาทด้วยกัน
และซันนีไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมกับเธอมากไปกว่าคุณหมอกับสารวัตรจ้าอีกแล้ว ทำให้ซันนี
ลดความกังวลลงไปเยอะมากเมื่อได้รู้ว่าคนที่ลักพาตัวเธอไปคือ สารวัตรจ้า"
"ตกลงคุณจะเข้าข้างสารวัตรจ้างั้นหรอซันนี" น้ำเสียงดุๆ นั่น สร้างรอยยิ้มให้คนโดนดุได้ดีนักแล
"ก็ซันนีมั่นใจได้ว่า เจ้าหญิงของคุณหมอจะปลอดภัย และได้รับการดูแลอย่างดีถ้าคนคนนั้น
คือ สารวัตรจ้าอย่างไรละคะ"
"คุณรู้จักเขาแค่ไหนกันหรือ?"
"ก็คนที่เป็นสหายกับคุณหมอได้ ย่อมไม่แตกต่างกับคุณหมอมากนักหรอกค่ะ
แค่ตอนนี้ยืนกันคนละข้างเท่านั้นเอง"
คำตอบคือ ความเงียบ วาลองโซลกำลังกระวนกระวายใจ หากก็พยายามปรับจูนอารมณ์ตัวเองให้คงที่
และมั่นคง
อีกฟากหนึ่งของเมืองหลวง
"คุณสองคนจับฉันมาทำไม" ลาเวนเดอร์หันไปถามสองสาวที่จับตัวเธอมายังบ้านหลังหรูแห่งนี้
มิได้เอาเธอมากักขังในห้องอับๆ มืดสลัวๆ แต่กลับเป็นบ้านหลังงาม ที่ได้รับการตกแต่งอย่างประณีตงดงาม
มีไฟประดับสีส้มอ่อนของแสงดวงจันทร์ ลาเวนเดอร์มองสำรวจทุกอย่างรอบๆ ตัวมาพักหนึ่งแล้ว
เธอเองก็ไม่ได้ถูกมัดมือมัดเท้าแต่อย่างไร แถมถูกจับให้นั่งบนโซฟานุ่มน่านั่งอีก
"เราสองคนทำตามคำสั่งของเจ้านายค่ะ" หนึ่งสาวที่สวมชุดดำและปกปิดใบหน้าไว้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
ไร้อารมณ์
"แล้วเจ้านายของคุณสองคนไปไหนเสียล่ะ ทำไมไม่เห็นมาดูสัตว์ที่พวกคุณล่ามาได้" คำพูดนั้นราวกับขยี้
ให้คนฟังได้รับรู้ว่า การกระทำของพวกเขานั้นไม่ต่างกับพรานป่า ที่ไม่ได้เห็นเธอเป็นคน
"พูดได้ดีนี่ครับ ยินดีที่ได้พบกัน" เสียงทุ้มกังวานดังขัดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของชายร่างสูงใหญ่
ท่าทางทะมัดทะแมงในชุดกางเกงยีนสีซีดกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ใบหน้าสวมหน้ากากอนามัยสีดำเอาไว้
ทำให้บดบังใบหน้า เห็นเพียงดวงตาที่คมกริบดุจดวงตาของเหยี่ยว
"แต่ฉันคงไม่ยินดีด้วยค่ะ" แววตาคนฟังมีประกายขึ้นมาทันที พร้อมกับมองไปยังใบหน้าของตัวประกัน
ล้ำค่าตรงหน้าที่บัดนี้สวมชุดปกปิดมิดชิดปิดทั้งใบหน้าและดวงตายังสวมแว่นดำอีก นับว่า วาลองโซลรอบคอบ
ถึงได้ให้คนตรงหน้าเขาสวมใส่อาภรณ์ที่มิดชิดเช่นนี้ ซึ่งถ้าไม่ได้หน่วยข่าวกรองช่วยสืบมาให้
เขาก็คงให้ลูกน้องสองคนนำตัวเธอมาไม่ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมสหายเก่าอยู่ในส่วนลึก
"แสดงว่าจับมาไม่ผิดตัวแล้วล่ะ" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ
"คุณอย่าอ้อมค้อมเลย คุณต้องการอะไรก็บอกมาเถอะค่ะ" ลาเวนเดอร์เบื่อหน่ายกับการเดินทางอ้อมโลก
ทำเอาคนฟังถึงกับอารมณ์ดีขึ้นมา
"คุณไม่นึกกลัวบ้างหรือไง"
"เด็กเสเพลเร่ร่อนอย่างฉัน มีอะไรให้ต้องสูญเสียอีกหรือคะ ชีวิตก็แขวนบนเส้นด้ายมาตลอด
ถ้าหนีได้ ใครก็อยากได้รับอิสรภาพในการใช้ชีวิต แต่ถ้าต้องถูกกักขัง ดูไปแล้วไร้หนทางหนี
อย่างน้อยกรงที่คุณพาฉันมา ก็น่าอยู่ สะดวกสบาย หรูหรา และคงไม่อดตายอยู่ในนี้"
คำตอบเช่นนี้สินะ ที่ทำให้คนฟังถึงกับลอบยิ้มออกมาอย่างถูกใจยิ่งนัก
"เหมือนจะปลงๆ กับชีวิตอยู่นะครับ"
"อย่าเรียกว่าปลงเลยค่ะ ฉันน่ะ ไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรได้มากกว่า แม้แต่สิ่งที่ฉันต้องการ ฉันก็ไม่มีโอกาส
ได้เลือกเลยด้วยซ้ำ"
"ฟังดูน่าเห็นใจอยู่นะครับ" เขายั่วและมีทักษะในการกวนประสาทอยู่ไม่น้อย
"แล้วฉันได้รับความเห็นใจมั้ยละคะ ก็ไม่ ดังนั้น พูดความต้องการของคุณมาซะดีๆ จะดีกว่าค่ะ
ถึงฉันจะมีเวลาที่พอจะเสียให้คนอื่นๆ ได้บ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้อยากเสียเวลามากกว่านี้กับคุณที่แม้แต่
หน้าตาก็กลัวจะถูกรู้จัก" คนฟังแทบหลุดขำออกมากับคำพูดนั้น
"ก็จะได้ยุติธรรมไงครับ คุณปิดหน้า ผมก็ปิดหน้า" เขายังไม่เลิกยั่ว
"ถ้าคุณเป็นตำรวจก็คงจะดีนะคะ เพราะดูจะรักในความยุติธรรมเอามากๆ"
"ยินดีด้วยนะครับ ผมเป็นตำรวจจริงๆ นั่นแหละ ฮ่าๆๆๆ" พูดแล้วก็หัวเราะลั่นห้องเลยทีเดียว
เขาไม่เคยคุยถูกคอถูกใจกับใครเท่านี้มาก่อนจริงๆ
"งั้นก็แจ้งข้อหาฉันมาเลยค่ะว่าฉันทำผิดข้อหาอะไรบ้าง จะได้ชดใช้กันไปให้จบๆ"
เป็นอีกครั้งที่เธอทำให้เขาหัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจ
"นี่ฉันคงเป็นนักโทษหญิงกิตติมศักดิ์เอามากๆ ถึงได้ถูกขังในเรือนจำที่แสนหรูหราขนาดนี้"
"ยินดีด้วยอีกครั้งครับ เพราะคุณคือ นักโทษหญิงกิตติมศักดิ์จริงตามนั้นเลย" เขายังคงไม่ยอมลดราวาศอก
"แล้วจะขังนานแค่ไหนคะถึงจะหมดโทษ"
"ก็จนกว่า จะมีคนมารับตัวกลับบ้านเกิดเมืองนอนยังไงละครับ"
"คุณว่าอะไรนะ?"
"ผมก็หมายความว่า คุณจะถูกจองจำอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีคนมารับคุณกลับบ้านของคุณ"
"ฮึ ฉันไม่มีบ้านให้กลับหรอกค่ะ ขนาดจะไปขออาศัยบ้านแม่ตัวเองอยู่ เขายังไล่ให้ออกมาเลย"
"แต่จากที่ดู คุณก็ไม่ได้ดูเศร้าเสียใจอะไรนี่"
"ฉันต้องเสียใจกับอะไรที่ฉันคาดการณ์ไว้หมดแล้วได้ยังไง ฉันได้คำตอบมาแล้วล่วงหน้า
แต่ที่ไปหาก็แค่อยากฟังคำตอบเท่านั้นเอง" น้ำเสียงนั้นหาได้มีความน้อยใจหรืออารมณ์ด้านลบใดๆ
เหมือนพูดเรื่องดิน ฟ้า อากาศทั่วไป
"น่ายินดีแทนพ่อแม่ของคุณจริงๆ ที่ให้กำเนิดคุณมา"
"ถ้าน่ายินดี เค้าจะขว้างฉันออกไปจากชีวิตเขาทำไม"
"ก็อาจจะเพื่อการเติบโตของคุณ เพราะการอยู่ด้วย อาจส่งผลให้คุณตายโดยไม่ได้เติบโตก็ได้นะ"
"เพิ่งรู้ว่า คุณสามารถเข้าไปนั่งในใจของพวกเขาได้"
"ผมทำได้มากกว่านั้นอีก" เขายังคงกวนอีกฝ่ายอย่างสบายใจ
"สรุปว่า คุณต้องการอะไรจากฉันหรือคะ?"
"คุณนี่ไม่เคยลืมเป้าหมายเลยจริงๆ"
"ฉันชัดเจนพอที่จะพุ่งสู่เป้าหมายค่ะ"
"งั้นผมจะบอกคุณก็ได้ว่า ผมต้องการพาคุณออกจากถ้ำของนางพญาเสือโคร่ง"
"จะบอกว่าคุณหวังดีต่อฉัน อยากช่วยให้ฉันได้รับความปลอดภัย เพราะคุณคือ ตำรวจที่รักความยุติธรรม
อย่างนั้นหรือคะ?" คนฟังลอบยิ้มกับการขยี้และกัดนั่น
"คงเหมือนกับหมอวาลองโซลที่ช่วยคุณให้ได้รับความปลอดภัย เพราะเขาคือ หมอที่มีจรรยาบรรณนั่นล่ะมั้ง"
เขากล่าวอย่างยียวนกวนประสาทได้เก่งเหลือร้าย ก่อนจะนั่งลงยังโซฟาอีกฟากหนึ่ง
"คุณกำลังจะบอกกับฉันว่า คุณพาฉันออกมาจากที่ที่อันตราย ซึ่งก็หมายถึง หมอวาลองโซล
อย่างนั้นหรือ?"
"หรือคุณคิดว่า หมอวาลองโซลไม่ได้มีอะไรปิดบังคุณอยู่ และเป็นคนที่ไว้ใจได้จริงๆ"
"คุณรู้อะไรหรืออยากบอกอะไรก็บอกมาเถอะค่ะ ยังไงวันนี้ฉันก็ไม่มีเวลาทำอย่างอื่น
นอกจากฟังคุณพูด แต่อย่าคาดหวังว่าฉันจะเชื่อคนที่ปิดหน้าคุยกับฉันนะคะ"
เขาลอบยิ้มกับคำพูดของอีกฝ่ายที่ดูตรงไปตรงมาเหลือเกิน ก่อนจะเปิดหน้ากากออก
พร้อมรอยยิ้มกว้างที่ดูจริงใจอย่างที่สุด ทำเอาลาเวนเดอร์ถึงกับเสหันไปทางอื่นทันที
"ผม พันตำรวจโทชนายุส มีชัยชนะ หรือที่ใครๆ เรียกกันว่า สารวัตรจ้า จ้าคือ ชื่อเล่นของผมครับ"
ไม่เพียงแค่เปิดหน้าแต่ยังเปิดนามให้อีกฝ่ายได้รู้อีกด้วย ทำให้ลาเวนเดอร์คลายความอึดอัดลงมาได้บ้าง
อาจเพราะสีหน้าท่าทาง รอยยิ้มที่ดูจริงใจนั่นละมั้งที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา ทว่า ประโยคต่อมา
ของเขาทำเอาลาเวนเดอร์ถึงกับเบิกตากว้าง
"ยินดีที่ได้รู้พบกันนะครับ คุณลัยลาลิณ ศศินพงษ์ หรือ เรราจัง" เขายิ้มเมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วย
ความฉงนนั้นของลาเวนเดอร์
"แม่ของคุณก็คือ ศศิธร ศศินพงษ์ ลูกสาวคนเดียวของ ท่านอัส พลเอกอัสนาวี ศศินพงษ์
อดีตนายทหารที่ทรงอิทธิพลในวงการทหารและการเมืองไทย ปัจจุบันก็คือ ศศิ ศศินาพัชร์
เจ้าของศศิกรุปที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของเอเชีย ภรรยาของ ท่านนายพลชยาพล มีชัยชนะ
หรือนายพลจ้าน ซึ่งเป็นพ่อของผมเอง" เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงเงียบงัน ไร้เสียงตอบกลับมา
ราวกับสมองกำลังประมวลผลอย่างหนักหน่วง ก็อดเอ็นดูไม่ได้
"ผมเป็นลูกติดของนายพลจ้านน่ะ ไม่ได้เป็นพี่ชายอะไรของคุณหรอก สบายใจได้" เขายังไม่วายเย้าแหย่
"และสบายใจได้อีกอย่างหนึ่งคือ ผมกับนายพลจ้านไม่ได้รักใคร่อะไรกันนักหรอก
ส่วนกับแม่ของคุณ ผมก็แทบไม่ค่อยได้เจอกัน อ้อ น้องสาวของคุณ สวยและน่ารักดีนะผมว่า
น่าเสียดายที่ไม่น่ามีใจให้พี่ชายตนเองเลย ฮ่าๆ"
"คุณหมายความว่าไงนะคะ" ลาเวนเดอร์อดรนทนฟังประโยคนี้ไม่ได้จริงๆ จึงรีบขัดตาทัพ
"ก็หมายความว่า ปุณณมาสน้องสาวคุณกับฝาแฝดของเขาน่ะ มีพ่อคนเดียวกันกับหมอวาลองโซล
แต่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่แม่คุณอับอายที่สุดในชีวิตก็ว่าได้"
"แล้วหมอวาลองโซลรู้มั้ยคะ?"
"ทำไมเขาจะไม่รู้ละครับ เค้ารู้แม้กระทั่งว่าคุณเป็นลูกของใคร" ลาเวนเดอร์ถึงกับจุกแน่นหน้าอก
ก่อนจะพยายามเค้นเสียงเพื่อถามออกไปอย่างหวั่นไหวโยกในหัวอกว่า
"ฉันกับเขาเป็นพี่น้องพ่อเดียวกันหรือคะ"
"ถ้าคุณเป็นน้องสาวในสายเลือดของเขาจริงๆ เขาจะพยายามจีบคุณให้ติดหรือครับ" ลาเวนเดอร์ถึงกับ
ไอออกมาเพราะสำลักลมหายใจเมื่อได้ยินประโยคนี้
"เค้ารู้ด้วยซ้ำว่า ถ้าเขาได้แต่งงานกับคุณ ปัญหาต่างๆ มากมายก็จะหมดไป"
"แล้วยังไงคะ เค้าจะอยากแต่งงานกับฉันเพราะอะไร"
"ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะอยากแต่งกับคุณเพราะอะไร แต่มันสำคัญตรงที่คุณจะยอมแต่งงาน
กับคนที่แม่ของเขาพยายามตามไล่ล่าฆ่าแม่ของคุณและลูกๆ มาตลอดรึเปล่า?"
"มาดามมารีอานน์น่ะหรือคะ?"
"ใช่ มาดามมารีอานน์เป็นภรรยาคนแรกของฮิโรกิ ทั้งสองมีลูกด้วยกันสองคนคือ วาลองโซล
และเวโรนิค จากนั้นก็มีแม่คุณเป็นภรรยาคนที่สอง ตอนนั้นคุณคลอดแล้วและอายุไม่กี่เดือน
แม่คุณก็ตกเป็นภรรยาคนที่สองของเขาแบบลับๆ โดยที่มาดามมารีอานน์ไม่รู้ พอรู้ก็เกิดเรื่องราว
ทำให้คุณต้องถูกทิ้งไว้ที่ญี่ปุ่น ส่วนแม่คุณก็อุ้มท้องลูกแฝดหนีตายกลับไทยโดยที่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่า
กำลังตั้งครรภ์ เธอได้รับการช่วยเหลือจากพ่อของผม โดยที่พ่อผมในตอนนั้นเป็นรุ่นน้องของ
ท่านอัส พ่อของแม่คุณ ท่านอัสกับพ่อของผมช่วยกันเปลี่ยนแปลงประวัติและรูปโฉมของแม่คุณ
จนกลายเป็น ศศิ ศศินาพัชร์ มาจนถึงตอนนี้ และแม่คุณก็มีลูกสาวกับพ่อผม 1 คน
ซึ่งเกิดมาครบสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ได้รับอุบัติเหตุตอนอายุสามขวบ ทำให้หูหนวกและตาบอด"
ลาเวนเดอร์ยกมือขึ้นทาบอกเมื่อได้ยินเรื่องราวดังกล่าวที่สะเทือนหัวใจเธอขึ้นมา
"ถึงตอนนี้ คุณพ่อจะมองเห็นภาพบ้างหรือยังว่า ที่ที่หมอวาลองโซลพาคุณมาอยู่อาศัยนั้น
มันอันตรายต่อชีวิตคุณยังไง? และทั้งที่รู้ทั้งรู้ แต่หมอวาลองโซลก็ยังพาคุณไปใกล้ชิด
บุคคลอันตราย คุณคิดว่า ผมทำถูกมั้ยที่ช่วยคุณออกมาจากกรงเล็บของนางพญาเสือโคร่งตัวนั้น"
"และคุณอย่าคิดว่า ฮิโรกิจะช่วยคุณ เพราะถึงคุณจะเป็นลูกของแม่เลี้ยงผม แต่คุณก็ไม่ใช่ลูกของเขา
เค้าไม่มีความจำเป็นต้องปกป้องคุณด้วยซ้ำ"
"แต่พวกเขาช่วยฉันมาตลอด ฉันจำพวกเขาได้"
"เค้าน่ะหรือช่วยคุณจากใจ ผมจะบอกคุณให้นะว่า แม่ของคุณ คือ ทายาทสายตรงคนเดียวของตระกูลศศินพงษ์
เพราะท่านอัส ตาของคุณคือลูกชายคนเดียวของตระกูล ส่วนแม่ของมาดามมารีอานน์นั้นเป็นเพียง
บุตรสาวบุญธรรมเท่านั้น และมรดกทั้งหมดของตระกูลศศินพงษ์รวมทั้งโรงพยาบาลที่มาดามมารีอานน์
กับหมอวาลองโซลเป็นเจ้าของอยู่ในตอนนี้นั้นก็เป็นของท่านอัส คุณตาของคุณ ซึ่งย่อมต้องตกทอด
ไปสู่แม่ของคุณ ไม่ใช่มาดามมารีอานน์ แต่ท่านอัส เป็นอัลไซเมอร์ ตอนนี้จำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ
และศศิธร ศศินพงษ์ก็กลายเป็นบุคคลสาบสูญ แม่ของมาดามมารีอานน์กับมาดามมารีอานน์เลยเข้าถือครอง
มรดกทั้งหมด แบบนี้คุณยังคิดว่า มันมีอะไรทับซ้อนกันในเรื่องนี้ และการที่วาลองโซลจะอยากแต่งงาน
กับคุณ มันก็จะได้จบปัญหาเรื่องนี้ เป็นการควบรวมมรดกโดยสันติ ซึ่งสำหรับเขาแล้ว โรงพยาบาลนั่น
เป็นสิ่งที่เขาทั้งรักทั้งหวงแหน เขาคงไม่ต้องการสูญเสียมันไปให้คนอื่น การแต่งงานกับคุณ จึงเป็น
ทางออกที่ดีที่สุด ยิ่งมีทายาทด้วยกันยิ่งดี" ลาเวนเดอร์ที่นั่งฟังเงียบๆ ถึงกับก้มหน้ามองพื้นห้อง
พยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
"เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์จะทำไรไปโดยเห็นผลประโยชน์เป็นหลัก"
"ทำไมฉันต้องเชื่อในสิ่งที่คุณพูดด้วย" ลาเวนเดอร์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าหนักแน่นจริงจัง
"คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อผมก็ได้ เพราะสุดท้าย ก็จะต้องมีใครสักคนมาเล่าเรื่องที่ผมบอกคุณไปในสักวันอยู่ดี
รู้ช้ารู้เร็วก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้"
"ฉันขอโทรหาหมอวาลองโซลได้มั้ยคะ"
"ได้สิ" แล้วชนายุสก็โทรไปยังวาลองโซลแล้วคุยกัน แต่เขากลับไม่ยอมให้ลาเวนเดอร์ได้คุยกับอีกฝ่าย
เว้นแต่ให้ส่งเสียงยืนยันให้วาลองโซลรู้ว่าลาเวนเดอร์อยู่กับเขา แล้ววางสายไป
"คุณนี่มัน กะล่อน"
"ปล่อยให้พระเอกของคุณได้ขี่ม้าขาวมาช่วยคุณหน่อยไม่ดีกว่าหรือไง" เขายิ้มกว้าง
ทว่า ยิ้มแค่ปากเท่านั้น แววตากลับคมกริบ
"แค่คำพูด ไม่มีน้ำหนักอะไรให้ฉันเชื่อได้หรอกค่ะ" ลาเวนเดอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเป็นครั้งแรก
ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นไปหยิบเอกสารมาวางไว้ตรงหน้าของเธอพร้อมกับรูปถ่ายสี่ห้าใบ
"รูปถ่ายพวกนี้เกี่ยวอะไรกับฉันหรือคะ?" ลาเวนเดอร์หยิบรูปถ่ายสาวงามขึ้นมาแล้วถามด้วยความกังขา
"ชาวเซอร์คัสเซียน พวกเขาถือได้ว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อารยันอีกสายหนึ่งที่มีภาษาพูดเป็นของตนเอง
หลากหลายภาษา และถือได้ว่าเป็นชนชาติที่ได้รับขนานนามว่ามีใบหน้าที่สวยงามที่สุดในโลก"
คิ้วของลาเวนเดอร์เลิกขึ้นสูง มองรูปถ่ายอย่างใคร่ครวญ แล้วสะดุดใจกับภาพหนึ่งขึ้นมา
จึงหยิบขึ้นมาดู
"ชาวเซอร์คัสเซียนเคยผ่านเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างโหดร้ายครั้งใหญ่
ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กหรือผู้หญิงมาก่อน ทำให้ชาวเซอร์คัสเซียนเสียชีวิตไปเกือบ 2 ล้านคน
ที่รอดชีวิตก็อพยพไปยังดินแดนต่างๆ กระจัดกระจายไปทั่วโลก โดยส่วนมากของชาวเซอร์คัสเซียน
ที่หลงเหลืออยู่นั้นนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งก่อนหน้านั้นนับถือคริสต์นิกายออร์ธอดอกซ์เป็นหลัก"
"เพราะอะไรคะ ในภายหลังพวกเขาถึงเปลี่ยนศาสนา"
"พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากออตโตมัน ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามน่ะสิ"
"ฉันเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาน้อยนิดมากๆ แต่ก็สนใจมากๆ ที่อยากจะเรียนรู้ค่ะ" มุมปากชายหนุ่มยกขึ้น
"คุณควรจะได้เรียนรู้นะ เพราะสาวงามในภาพถ่ายที่คุณถืออยู่นั้น คือ ย่าทวดของคุณ
ชาวเซอร์คัสเซียนที่เป็นบรรพบุรุษของคุณทางฝั่งพ่อของคุณ"
"สาวงามที่มีมงกุฎอยู่บนหัวนี่หรือคะคือ ย่าทวดของฉัน เฮอะ คุณเพ้ออะไรของคุณ"
ลาเวนเดอร์อยากจะหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ หากชายหนุ่มกลับเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง
"คุณส่องกระจกดูสิ แล้วถามตัวเองว่า มีอะไรบนใบหน้าคุณที่แตกต่างจากสาวงามในภาพถ่ายนั้นบ้าง"
ลาเวนเดอร์ถึงกับรู้สึกหนาวขึ้นมาฉับพลัน ลุกเดินไปยังกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่ตรงฝาผนังห้อง
ดึงผ้าปิดหน้าออก มองภาพสะท้อนบนกระจกสลับกับภาพถ่ายในมือ ก่อนจะมือไม้สั่น น้ำในตา
ค่อยๆ เอ่อคลอ หัวเข่าแทบทรุด ทว่า เจ้าตัวพยายามเรียกสติ และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
หันไปทางคนที่ยังปักหลักนั่งบนโซฟาที่ห่างจากที่เธอยืนไปหลายเมตร แล้วค่อยๆ พยายาม
พาร่างของตัวยืนหยัดเดินไปนั่งยังที่เดิม ยกผ้าปิดหน้ามาปิดหน้าดุจเดิม หันไปทางสองสาวที่จับตัวเธอมา
แล้วถามเป็นการยืนยันเมื่อยื่นภาพถ่ายให้ทั้งสองดูว่า
"คนในภาพถ่ายเหมือนฉันมากเลยหรือคะ" สองสาวพยักหน้า พร้อมกับยืนยันว่า
"โดยเฉพาะดวงตาคู่นี้ค่ะ เหมือนมากๆ" ลาเวนเดอร์หันไปทางสารวัตรจ้า ถามเขาว่า
"คนในภาพคือใคร และชื่ออะไรคะ" ชายหนุ่มยิ้มบางก่อนจะเฉลยว่า
"อดีตองค์ราชินีลัยลา แห่งประเทศนาตูเซีย ดินแดนเล็กๆ ที่ปกครองตนเองทางแถบเปอร์เซีย"
ลาเวนเดอร์ถึงกับวูบ หน้ามืด จนต้องยกมือขึ้นแตะศีรษะตัวเอง สองสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างรีบเข้าไปหา
ถามอย่างห่วงใย
"ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ" ลาเวนเดอร์ส่ายหน้าไปมา
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันโอเค" พูดแล้วก็พยายามกลืนน้ำลายลงไปในลำคอที่แห้งผากแล้วค่อยๆ เปล่งวาจาออกไปว่า
"อาจจะบังเอิญที่หน้าตาและชื่อคล้ายกันก็ได้ค่ะ"
"ผลดีเอ็นเอ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะครับ หมอวาลองโซลคงไม่เคยบอกอะไรแบบนี้กับคุณเลย
ทั้งๆ ที่เขาเป็นหมอ และเขาย่อมต้องเคยเอาเลือดคุณไปตรวจหาแน่นอน แม้ว่าจะเป็นการทำผิดจรรยาบรรณ
ของแพทย์อยู่บ้าง แต่เพราะนั่น จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขาต้องถูกสั่งพักงาน" ลาเวนเดอร์ตกใจ
อย่างคาดไม่ถึงว่า นี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกพักงาน แล้วทำไมเขาไม่ยอมบอกอะไรกับเธอ
เขามีอะไรปกปิดเธอกันแน่
"คนที่ตั้งชื่อให้คุณว่า ลัยลาลิณ ก็คือ แม่ของคุณ และแน่นอนว่า แม่คุณย่อมรู้ดีว่าคุณมีสายเลือด
ของใครติดท้องมา และคงมีเหตุผลที่ต้องทอดทิ้งคุณไว้อย่างนั้น ไม่อาจนำคุณมาอยู่ข้างกายได้"
"เหมือนว่า คุณไม่ได้เกลียดชังแม่เลี้ยงตัวเองเหมือนใครหลายๆ คนนะคะ" ลาเวนเดอร์อดขยี้ตรงจุดนี้ไม่ได้ขึ้นมา
"ผมแยกแยะได้ว่า เรื่องไหนเป็นเรื่องงาน เรื่องไหนเป็นเรื่องส่วนตัว"
"จะบอกว่า นี่คือ งานของคุณหรือคะ?"
"ใช่ครับ ผมได้รับคำสั่งให้นำตัวคุณส่งกลับนาตูเซีย"
"ถ้าฉันไม่กลับไปที่นั่นละคะ คุณจะยังคิดที่จะส่งฉันกลับไปที่นั่นอีกมั้ย?"
"ทำไมคุณถึงต้องไม่อยากกลับบ้านเมืองของตัวเอง"
"คุณคงลืมไปรึเปล่า หรือว่า ไม่รู้ข้อมูลว่า ฉันน่ะเกิดในประเทศไทย แล้วไปโตที่ญี่ปุ่น
แผ่นดินเกิดฉันคือ ประเทศไทย เพราะฉันเกิดบนแผ่นดินนี้ และญี่ปุ่นก็เป็นแผ่นดินที่ฉันโตมา
นาตูเซียเป็นดินแดนที่ฉันไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ ทำไมฉันต้องอพยพไปอยู่ที่นั่น
อีกอย่าง ฉันต้องการคุยกับหมอวาลองโซล อยากพบเขา คุณช่วยพาเขามาที่นี่ หรือจะพาฉันไปพบเขาก็ได้
จะได้มั้ยคะ" ชายหนุ่มอยากจะหัวเราะออกมาให้โลกสั่นสะเทือน เขาพูดมาตั้งนานขนาดนี้
ก็ไม่สามารถสั่นคลอนความคิดของหญิงสาวคนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
"ผมพูดมาขนาดนี้ คุณก็ยังคงเชื่อใจหมอวาลองโซลไม่เปลี่ยนอย่างนั้นหรือ? เขาทำยังไงนะ
คุณถึงมั่นใจในตัวเขาขนาดนี้"
"มันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับเขา คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอกค่ะ"
"โอเค ผมไม่ควรแทรกแซงสินะ"
"ฉันไม่ได้เพิ่งจะรู้จักหมอวาลองโซลหรอกนะคะ"
"ได้ ผมจะติดต่อเขาให้ได้มาพบคุณตรงจุดนัดพบ และต่อจากนั้น คุณก็จะเข้าใจที่ผมพูดมาทั้งหมด
ว่า คนอย่างเขา จะต้องชิงตัวคุณไปเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง เขารักโรงพยาบาลนั่นกว่าอะไรทั้งหมด"
"ฉันก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะมีใครมารักฉันจากใจจริงหรอกค่ะ เพราะอย่างนี้ ฉันถึงไม่ผิดหวังเกี่ยวกับ
เรื่องราวของความรัก"
"ผมคิดว่าคุณจะดีใจเสียอีกที่ได้รับรู้ว่าตัวเองเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์"
"ถ้าคุณถูกทอดทิ้งมาตลอด 20 ปี หนีการถูกไล่ล่า แทบไม่มีที่ให้ซุกหัวนอน เร่ร่อนไปทั่ว
ไร้คนคอยอยู่เคียงข้าง คุณก็คงไม่ต่างจากฉันในตอนนี้หรอกค่ะ" เสียงต่ำและหวานนั้นทำให้คนฟัง
ถึงกับหัวใจวูบไหว
"งั้นคุณมีความใฝ่ฝันอะไรบ้างมั้ย?"
"มีสิคะ มีหลายอย่างเลยที่ฉันอยากจะทำแต่ยังไม่ได้ทำ"
"ดังนั้น การได้ขึ้นไปยืนอยู่บนตำแหน่งของเจ้าหญิงแห่งนาตูเซีย ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำในสิ่งที่อยากจะทำ
คุณว่ามั้ย?"
"ฉันเกรงว่า จะไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะจบชีวิตเสียก่อนน่ะสิคะ" ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง
"คุณบอกฉันเองว่า มีคนต้องการกำจัดฉัน ซึ่งบางที การแต่งงานกับหมอวาลองโซลอาจเป็นทางออก
ที่ดีที่สุดที่จะทำให้ฉันปลอดภัยและได้ทำในสิ่งที่ฉันอยากทำก็ได้นะคะ" สารวัตรหนุ่มถึงกับเบิกตาอ้าปากค้าง
เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวถูกพูดออกมาจากหญิงสาวที่เขาพยายามโน้มน้าวมาตลอดเพื่อให้ออกห่าง
จากวาลองโซล
"ต่อให้เขามีเจตนาไม่ดีแอบแฝง คุณก็ยินดีจะแต่งงานกับเขาอย่างนั้นหรือครับ"
"มันก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาที่จะเกิดขึ้นค่ะ" สารวัตรหนุ่มถึงกับต้องมองหญิงสาวตรงหน้าใหม่อีกครั้ง
หญิงสาวในวัยยี่สิบ ที่เขาไม่คาดคิดว่าจะมีความคิดความอ่านเช่นนี้ได้ เพราะในวัยนี้แล้ว
หญิงสาวทั่วไปย่อมคิดเพ้อฝันในสิ่งต่างๆ ที่แทบไม่ได้อ้างอิงกับความจริงของสังคมมนุษย์มากนัก
และส่วนใหญ่จะหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องราวความรักความใคร่เสียส่วนมาก แต่ประโยคถัดมาของเธอ
มันได้ทำให้เขาที่อายุห่างนับสิบปีถึงกับอึ้งงัน
"การเดินทางของฉัน มันได้เปลี่ยนแปลงตัวฉัน และฉันได้เรียนรู้ว่า ทุกอย่างที่ฉันรัก ย่อมมีแนวโน้ม
ที่จะต้องสูญเสียมันไป แต่ความรักจะมอบคืนให้ฉันในลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิม
ดังนั้น ฉันจึงเลือกแล้วที่จะรัก โดยไม่จำเป็นต้องถูกรักก็ได้ค่ะ ตราบใดที่ฉันยังคงรักจริง ฉันก็จะไม่มีวัน
หมดสิ้นศรัทธาในความรักของตัวเอง ความไม่จริงย่อมทำอะไรความจริงไม่ได้หรอกค่ะ
สุดท้ายแล้ว ความจริงเท่านั้นที่ไม่ถูกทำลาย"
......................................โปรดติดตามตอนต่อไป.........................................
อีด มูบาร็อกย้อนหลังนะคะทุกคน
สุขสันต์วันอีดอิดิลฮัฎฮาค่ะ
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2567, 18:08:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2567, 18:08:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 99
<< บทที่ 14 แต่จันทร์ดูคล้ายลำเอียง | บทที่ 16 เพราะคุณคือ ความสงบ >> |