Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้

วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้

ตอน: บทที่ 16 เพราะคุณคือ ความสงบ

"พายุลูกไหนหรือที่พัดเอาเธอมาถึงนี่ได้" ศศิยกมุมปากเมื่อเห็นสองสามีภรรยาแพ็คคู่กันมาเยือนถิ่นของเธอ

"บอกฉันมาว่าเอาหนูลาไปซ่อนไว้ที่ไหน ฉันมั่นใจว่าเธอรู้" น้ำเสียงและท่าทางแขกผู้มาเยือนดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย แถมยังไม่ให้เกียรติเจ้าของบ้านแม้แต่น้อย ทำให้ศศิต้องหันไปสั่งความให้ลูกจ้างยกเครื่องดื่ม
มาบริการแขกผู้มาเยือนจะเชิญให้ทั้งสองนั่งลงเสียก่อน

"นั่งก่อนสิ ยืนคุยมันเมื่อย เราก็ไม่ใช่สาวๆ กันแล้ว ข้อต่างๆ จะมีปัญหาเอาได้น่ะ" เมื่อทั้งสองนั่งลงเคียงกัน
เจ้าของสถานที่จึงผ่อนลมหายใจ ก่อนจะกล่าวถึงประเด็นที่อีกฝ่ายเปิดไว้ก่อนหน้านี้

"ลูกชายเธอทำให้คนของเธอหายไป แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันรึ"

"จะไม่เกี่ยวได้ยังไง นั่นมันลูกสาวคนโตของเธอนี่"

"ลูกสาวคนโตของฉันเค้าได้หายสาบสูญไปตั้งแต่แบเบาะแล้ว เธอจะยัดเยียดให้ใครต่อใคร
มาเป็นลูกสาวคนโตของฉันแบบนี้ ดูจะไม่เป็นธรรมเลยนะ" มารีอานน์จ้องตาคู่สนทนานิ่ง

"เธอนี่ปากแข็งเหลือเกินนะ"

"แล้วยังไง? วันนี้เธอกับสามีมาเพื่อจะทวงคืนคนที่ลูกชายของเธอทำหายกับฉันงั้นสิ
ทำไมไม่ไปต่อว่าลูกชายของเธอที่ทำให้คนหายไป จะมาโวยวายอะไรเอากับฉันล่ะ
ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าคนที่ลูกชายเธอทำหายนั้นหายไปที่ไหน และใครเป็นคนจับตัวไป"

"ดูเหมือนเธอจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยนะ เหลือเชื่อจริงๆ เธอนี่มันเป็นแม่แบบไหนกัน"

"เธอนี่พยายามยัดเยียดให้เด็กคนนั้นเป็นลูกสาวฉันให้ได้สินะ"

"ก็ฉันได้ตรวจดีเอ็นเอแล้ว มันใช่นี่"

"ฮึ ตรวจกันเอง ว่ากันเอาเองทั้งนั้น เธอน่ะไม่มีอะไรเหลือให้คนอย่างฉันเชื่อใจได้อีกแล้วล่ะ"

"งั้นถ้าฉันจะให้ลาเวนเดอร์แต่งงานกับใคร เธอก็คงไม่ว่าอะไรสินะ" แววตาคนฟังวูบไหวเพียงนิด
ก่อนจะปรับมาเป็นปกติดุจเดิม ซึ่งแม้เพียงนิดก็ไม่รอดพ้นจากสายตาที่กำลังจดจ้องอย่างเอาเป็นเอาตายนั่น

"ฉันมาคิดๆ ดู สารวัตรจ้า ลูกเลี้ยงของเธอก็เหมาะสมกับลาเวนเดอร์ดีนะ เธอว่ามั้ย?" ไม่พูดเปล่า
ยังหันไปทางสามีของตนที่นั่งข้างๆ เงียบๆ ราวกับไม่ได้พาปากมาด้วย แล้วเหยียดยิ้มเย้ยหยันออกมา

"หรือว่า จะให้แต่งงานกับสามีของฉันดีละ? ฉันไม่ติดหรอกนะที่ลาเวนเดอร์จะมาเป็นภรรยาอีกคน
ของสามีตัวเองน่ะ ในเมื่อเธอไม่ได้ยอมรับว่านั่นคือลูกสาวเธอนี่ ลาเวนเดอร์จะมีสามีเป็นฮิโรกิ
ก็คงไม่ผิดบาปอะไร เพราะไม่ได้มีสามีคนเดียวกันกับแม่ตัวเอง เธอว่ามั้ยละ?"
ศศิจิกเล็บฝังลงบนเนื้อตัวเอง จ้องตามารีอานน์คมกริบ เธอไม่เคยเต็มใจเป็นภรรยาของผู้ชายตรงนี้เลยด้วยซ้ำ
ไม่เคยรักแม้แต่เพียงเสี้ยวหัวใจ

"คุณเองก็คงจะไม่ติดใช่มั้ย เพราะว่า ลาเวนเดอร์ช่างเป็นหญิงสาวที่สวยสง่าหาใครเปรียบได้"
ไม่วายหันไปยิ้มให้สามี วางมือลงบนหลังมือของเขาแล้วบีบเบาๆ แววตาของชายกลางคนวูบไหว
ก่อนจะยิ้มเบาๆ

"พอเถอะมารี คุณล้ำเส้นเกินไปแล้ว" ศศิได้แต่กลืนความขยะแขยงสองสามีภรรยาคู่นี้ลงไปในคอ
แล้วยิ้มเย็นขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงยะเยือกว่า

"ถ้าไม่ใช่วาลองโซล ฉันไม่ก็เห็นด้วย และฉันก็จะไม่ยินยอมเซ็นรับลาเวนเดอร์เป็นลูก
อย่างที่พวกเธอต้องการหรอกนะ คนเดียวที่จะแต่งงานกับลาเวนเดอร์ได้ก็คือ วาลองโซลเท่านั้น
กลับไปถามลูกชายของเธอว่าจะเอายังไง ถ้าไม่ ฉันก็จะไม่ยินยอมเซ็นรับเด็กคนนั้นเป็นลูก
พวกเธอต้องการให้ลาเวนเดอร์ได้รับสถานะลูกสาวของฉันไม่ใช่รึไง ฉันจะให้สถานะนั้น
ก็ต่อเมื่อวาลองโซลและลาเวนเดอร์ตกลงจะแต่งงานกันเท่านั้น" มารีอานน์กำหมัด กัดฟันกรอด
จ้องศศิราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ศศิยิ้มเย็นก่อนจะหันไปเรียกลูกสาวที่กำลังเดินมาถึงพอดีว่า

"ปุณ ช่วยแม่ส่งแขกหน่อยสิลูก" ปุณณมาสงงไปหมด เธอเพิ่งจะมาถึง ไม่ทันได้ทักทายกับแขก
ที่มาเยือน แม่ก็ใช้ให้เธอส่งแขกเสียแล้ว เธอสู้ดีใจที่พ่อกับแม่ของพี่หมอของเธอมาที่บ้าน

"เอ่อ คุณลุงคุณป้าจะไม่อยู่กินข้าวด้วยกันกับพวกเราก่อนหรือคะแม่"

"ไม่แล้วล่ะ พวกเขารีบกลับไปทำธุระต่อน่ะ ไม่ว่างมานั่งกินข้าวกับพวกเราหรอก" ศศิตัดบท
ทำให้มารีอานน์ถึงกับฟิวขาดเมื่อถูกไล่ออกจากบ้านด้วยวิธีนี้ โดยที่ฮิโรกินั้นเอาแต่มองปุณณมาส
ไม่วางตา ทำให้ศศิเริ่มไม่พอใจ

"ฉันไม่มีทางยกลูกชายฉันให้กับลูกสาวของเธอหรอกนะ อย่าแม้แต่จะคิด"

"งั้นก็ดี เพราะเราก็ไม่มีอะไรให้ต้องเจรจากันอีก เชิญ"

เป็นอีกครั้งที่ถูกไล่ มารีอานน์หันไปทางสามีแล้วก็รีบคว้าแขนของเขาให้ลุกขึ้น
ไม่รอให้อีกฝ่ายเปิดปากไล่ซ้ำเป็นครั้งที่สามก็รีบก้าวอาดๆ ออกไปจากบ้านหลังงามอันโอ่อ่า
โดยมีปุณณมาสรีบเดินตามไปส่ง

เมื่อขึ้นมานั่งอยู่บนรถ ทั้งสองก็หันไปมองปุณณมาสที่มาส่ง
"ถ้าฉันไม่เกรงใจคุณ ฉันคงไม่ปล่อยให้รอดมาถึงตอนนี้หรอก" น้ำเสียงเย็นชานั้นเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสายตา
อาลัยอาวรณ์ของสามีเมื่อมองไปยังปุณณมาส บุตรสาวของศศิกับสามีของตน

"คุณน่าจะรู้ว่านายพลจ้านไม่ใช่คนที่ใครจะแตะต้องได้ง่ายๆ และผมก็ไม่คิดว่าคุณจะใจคอโหดเหี้ยม"

"มันก็ไม่แน่หรอกนะ ถ้าขวางหูขวางตาฉันมากจนเกินไป"

"ปล่อยพวกเขาไปเถอะมารี" น้ำเสียงนั้นมิใช่อ้อนวอน หากแต่เป็นคำสั่ง

"ถ้าไม่ใช่เพราะคุณไม่ยับยั้งชั่งใจ เรื่องวุ่นวายพวกนี้มันจะเกิดขึ้นได้ยังไง"

"ผมว่าเราทะเลาะกันเรื่องนี้มาจะยี่สิบปีแล้วนะ และผมไม่ชอบการที่ต้องพูดซ้ำๆ เรื่องเดิมๆ อีก
ในเมื่อมันจบไปแล้ว คุณจะรื้อฟื้นขุดขึ้นมาพูดอีกทำไม ทำทำไม"

น้ำเสียงนั้นดุดันจนทำให้คนฟังถึงกับหยุดพูดในฉับพลัน

"พวกเขาก็อยู่โดยไม่เคยมาสร้างความเดือดร้อนอะไรกับคุณเลย แม้แต่มรดกทรัพย์สมบัติต่างๆ
ศศิเค้าก็ไม่เคยเรียกร้องหรือคิดจะทวงคืนเอาอะไรจากคุณ คุณเองก็ได้ทุกอย่างของศศินพงษ์
มาทั้งหมด ศศิเป็นคนที่ไม่ได้อะไรไปเลย ที่เขามีทุกอย่างในทุกวันนี้เพราะฝีมือและน้ำพัก
น้ำแรงของเขากับนายพลจ้าน คุณเองก็มีทุกอย่าง ร่ำรวยทั้งจากทรัพย์มรดกทางพ่อของคุณ
ไหนจะสมบัติมรดกจากผมอีกล่ะ แค่นี้คุณก็ใช้จ่ายไม่หมดแล้ว คุณยังจะอยากได้อะไรอีก
เท่าที่มีอยู่นี้ยังไม่พออีกรึไง"

"นี่คุณกำลังจะบอกฉันว่า ยัยศศิอะไรนั่นมันเก่งมันมีความสามารถมากกว่าฉัน ส่วนฉันก็แค่พึ่งพา
อาศัยทรัพย์มรดกจึงได้ร่ำรวยขึ้นมางั้นสิ"

"ผมไม่ได้พูดแบบนั้น คุณเองก็เป็นหมอที่มีความสามารถ โรงพยาบาลนั่นตอนนี้ก็เป็นของคุณ
กับวาลองโซลคนละครึ่ง ยังจะกังวลอะไรอีก ไม่มีใครจะมาทวงคืนได้อีกแล้ว เพราะศศิเค้าได้
สละความเป็นศศินพงษ์ไปตั้งนานแล้ว ลูกๆ ของเขาก็ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าคือ ลูกหลาน
ของศศินพงษ์"

"แต่ฉันไม่ไว้ใจ ไม่มีทางไว้ใจได้หรอก"

"ถ้าเขาต้องการ เขาจะสละตัวตนทั้งหมดไปแบบนั้นทำไม"

"ก็แล้วทำไมถึงต้องเจาะจงจะให้ลาเวนเดอร์แต่งงานกับวาลองโซลล่ะ ทำไมต้องเป็นลูกชายของเราด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะอยากได้ทุกอย่างกลับคืนไปผ่านทางลาเวนเดอร์ ซึ่งฉันไม่มีวันยอมเด็ดขาด"

"แล้วคุณคิดว่าลาเวนเดอร์จะเอาทุกอย่างคืนไปได้ยังไง ในเมื่อทุกอย่างก็เป็นกรรมสิทธิ์ภายใต้
ชื่อคุณทั้งหมด หุ้นในโรงพยาบาลที่วาลองโซลถือครองอยู่ก็เป็นเงินของเขาเอง ไม่ได้เป็นหุ้นที่คุณ
ถ่ายโอนให้สักหน่อย แต่งงานไปก็ยังเป็นสินเดิม ไม่ใช่สินสมรส มีแต่วาลองโซลที่จะได้รับ
ประโยชน์จากการแต่งงานกับเจ้าหญิงแห่งนาตูเซียด้วยซ้ำ คุณก็รู้ว่า มรดกของย่าลาเวนเดอร์
ในไทยนั้นมากมายขนาดไหน รวมกับของพ่อเขาอีก ไม่อาจคำนวณนับได้ด้วยซ้ำ ต่อให้ศศิ
จะไม่ยกอะไรให้ลาเวนเดอร์ แต่แค่มรดกทางฝั่งพ่อของเธอก็มากจนชีวิตนี้คงใช้ไม่หมดแล้ว"
มารีอานน์กัดปากตัวเอง กล้ำกลืนก้อนแข็งลงไปในลำคอ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บใจในโชคชะตา

"ยังไงฉันก็ไม่มีทางยินยอมให้วาลองโซลแต่งงานกับลาเวนเดอร์เด็ดขาด"

"ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ นะมารี ลูกเราจะได้เป็นลูกเขยของกษัตริย์อุบัยดะห์
ต่อไปหลานชายของเราสองคนก็จะได้เป็นถึงองค์รัชทายาทคนต่อไปด้วยซ้ำ คุณไม่ต้องการหรือไง"

"ฉันไม่ต้องการ วาลองโซลมีคู่หมั้นแล้ว หนูนาซี่เท่านั้นที่ฉันยอมรับ" มารีอานน์พูดด้วยเสียงแข็งกร้าว
แววตาแข็งกระด้างจนฮิโรกิถึงกับขมวดคิ้ว

"คุณมีอะไรที่ปกปิดผมใช่มั้ยมารี" แววตาแข็งกระด้างเริ่มไหววูบก่อนจะกลับมาแข็งดุจเดิม

"ฉันแค่ไม่อยากผิดสัญญา เราทำข้อตกลงกับตระกูลอาทิตยาพันธุ์เอาไว้แล้วว่าจะให้ลูกหลาน
ของอาทิตยาพันธุ์กับศศินพงษ์แต่งงานกัน วาลองโซลกับนาซี่คือ คู่ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว"

"คุณลืมไปแล้วรึไงว่า หนูนาซี่มีพี่ชาย และ เราก็มีลูกสาว"

"นี่คุณจะให้เวโรนิคแต่งงานกับรพีพันธุ์หรือ? ฉันไม่ยอมหรอก"

"ก็ตอนนี้ลูกสาวเราถอนหมั้นกับชัชชนไปแล้ว การจะแต่งงานกับรพีพันธุ์ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เราเองก็จะได้ไม่ผิดคำสัญญาที่ให้กันไว้ และยังได้ลูกสะใภ้เป็นถึงองค์หญิงแห่งนาตูเซีย
ซึ่งคุณก็รู้ว่า กษัตริย์อุบัยดะห์ไม่สามารถมีบุตรได้อีกแล้วตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้น
จึงมีเพียงลาเวนเดอร์เท่านั้นที่เป็น ทายาทสายตรงเพียงคนเดียว" สำหรับเขาแล้ว นี่คือ แผนการ
ที่ลงตัวและยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ทว่า

"ไม่ ไม่เด็ดขาด ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้ลูกชายของเราแต่งงานไปกับลูกสาวของกษัตริย์อุบัยดะห์เด็ดขาด"

"ทำไมล่ะมารี คุณบอกเหตุผลผมมาว่าทำไม"

"ก็เพราะฉันเกลียดกษัตริย์อุบัยดะห์น่ะสิ เกลียดเข้ากระดูกดำด้วย ฉันจะไม่ยอมให้สายเลือดของฉัน
ไปปะปนกับสายเลือดของกษัตริย์อุบัยดะห์เด็ดขาด" พูดจบก็หันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง
ไม่ยอมพูดอะไรอีกต่อจากนั้น ฮิโรกิที่ทำหน้าที่คนขับถึงกับลอบถอนใจ


......................................

ตกดึก ลาเวนเดอร์มองไปยังดวงจันทร์ที่สว่างจ้าบนท้องฟ้าก็รีบปิดม่านลง
เมื่อเริ่มรู้สึกร้อนวูบๆ วาบๆ ภายใน ก่อนจะเรียกสองสาว ให้นำโซ่มาล่ามเธอเอาไว้ ทำเอาทั้งสองสาวถึงกับตกใจ

"ห้ามรายงานเรื่องนี้กับเจ้านายของเธอสองคนนะ"

"ไม่ได้หรอกค่ะ"

"ตอนนี้เขาอยู่ไหน ไม่ได้อยู่ที่นี่ใช่มั้ย"

"พวกเราบอกคุณเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ"

"งั้นก็ไปเอาโซ่มาให้ฉัน ไม่งั้นพวกเธอจะเป็นอันตรายเพราะฉัน" ลาเวนเดอร์รีบเตือนปนข่มขู่

"จะเอาจริงๆ หรือคะ"

"ยังไงเธอสองคนก็จับฉันมาขังไม่ใช่รึไง จะล่ามโซ่ฉันเพิ่มอีกสักนิด จะเป็นไรไป
ยังไงฉันก็เป็นนักโทษอยู่แล้วนี่" สองสาวได้ฟังก็รีบออกไปเอาโซ่มาล่ามลาเวนเดอร์เอาไว้
กับขาของเตียงแล้วรีบออกไปรายงานให้เจ้านายของตนทราบในเรื่องนี้ แต่ไม่ทันได้รายงาน
ก็พบว่า อยู่ๆ ไฟทุกดวงในบ้านก็ดับลง จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของลาเวนเดอร์ดังขึ้นลั่น
ก่อนจะกลายเป็นเสียงคำรามอันน่ากลัว เสียงกระทืบเท้าพร้อมด้วยเสียงดิ้นไปมาในห้อง
ของผู้ถูกคุมขัง สองสาวกระชับปืนไว้ในมือ ค่อยๆ ก้าวย่างไปยังห้องที่ขังลาเวนเดอร์ไว้
ก่อนจะตกใจแทบผวาเมื่อพบว่า ลาเวนเดอร์ได้ยืนอยู่บนเตียงโดยโซ่ที่ล่ามไว้ขาดเป็นสองท่อน
สภาพยุ่งเหยิง ผมเผ้ายับเยิน มีท่าทางราวกับเสือร้ายที่พร้อมจะจัดการกับทุกคนที่เข้าใกล้
และไวเท่าความคิด สองสาวที่ไม่ทันได้ทำอะไร ก็ถูกลาเวนเดอร์จัดการจนสลบลงไปนอนกองกับพื้นห้อง
ก่อนจะปีนกำแพงหนีออกไป บอดีการ์ดที่ถูกเรียกตัวมากะทันหันจึงไม่ทันได้จับตัวเอาไว้
เพราะหญิงสาวเคลื่อนไหวได้ว่องไวดุจชีตาร์ ใครขวางเธอทุ่มจนลงไปนอนกองกับพื้นโดยง่าย
ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลเกินต้าน

ขณะหนีไปยังป่าด้านหลังของบ้านหรูกลางหุบเขาโดยมีแสงจันทร์กระจ่างคอยส่องแสงนำทาง
ลาเวนเดอร์ที่กำลังคลุ้มคลั่งก็พบว่ามีเงาร่างหนึ่งยืนผงาดอยู่เบื้องหน้า ร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดดำ
สวมเสื้อที่มีฮู้ดปิดศีรษะและมีผ้าบังใบหน้าเอาไว้มิดชิดค่อยๆ เดินเข้ามาหาเธอทีละนิด ทีละนิด
ลาเวนเดอร์ที่กำลังหวาดระแวงทุกอย่างรอบตัวก็เข้าจู่โจมพุ่งใส่หมายจะขย้ำผู้มาเยือนไม่ยั้ง
ทว่า กลับพบกลิ่นสาบที่คุ้นเคยของเขา ทำให้เลือดในกายของเธอพลุกพล่านถึงขีดสุด
ทำให้ยกร่างใหญ่และแกร่งนั่นทุ่มลงกับพื้นแล้วคร่อมร่างนั้นเอาไว้ จับแขนทั้งสองขึงพรืดกับพื้นดิน
ท่ามกลางแสงจันทร์ในป่าลึก เธอพยายามจะถอดเสื้อผ้าอีกฝ่ายก่อนจะดึงผ้าปิดหน้านั้นออก
แล้วผวาตกใจเมื่อเห็นว่าร่างที่ตนคร่อมอยู่คือใคร?

"คุณหมอ"

"ใช่ ผมเอง ผมมาช่วยคุณ เรากลับบ้านกันเถอะนะลาเวนเดอร์" เขาพยายามลูบหัวเธอเบาๆ เพื่อเรียกสติ
ที่กระเจิดกระเจิงนั้นเอาไว้อย่างอ่อนโยนที่สุด ทำให้หญิงสาวค่อยๆ สงบลง

"บ้านหรือคะ?" เสียงหวานเอ่ยถามราวกับเด็กน้อยที่กำลังหลงทางกลางป่า

"ใช่ บ้าน ผมจะพาคุณกลับบ้านนะ" เขายังคงลูบหัวที่ผมยับยู่ยี่ไปหมดนั่นอย่างทะถนอม

"ฉันร้อนค่ะ ร้อนเหลือเกิน ช่วยฉันด้วย" น้ำเสียงหวานอ้อนวอนขอร้องในยามที่เรียกสติกลับมาได้
และรู้ว่าตนคงมิอาจต้านทานมันได้อีกในเวลาต่อมา

"ฉันจะไม่ไหวแล้วค่ะ ช่วยฉันที" หญิงสาวที่รุ่มร้อนจนเกินต้าน พยายามจะปล้ำจูบอีกฝ่าย
และจะฉีกทึ้งเสื้อผ้าตัวเองออกไปให้หมด ทว่า กลับถูกมือใหญ่คว้ามือบางเอาไว้ไม่ให้ทำเช่นนั้น
ก่อนจะโปะยาสลบที่เตรียมมา เมื่อเธอสูดเข้าไปแล้วก็สลบไสลลงในทันที
จากนั้นเขาจึงถอดเสื้อคลุมมีฮู้ดสวมให้หญิงสาว ใช้ฮู้ดยกขึ้นคลุมปิดศีรษะให้เธอ
แล้วยกร่างของเธอขึ้นแบกราวกับว่าร่างนั้นดั่งปุยนุ่นที่หาได้ทำให้เขารู้สึกหนักแต่อย่างใด
ค่อยๆ ก้าวอย่างหนักแน่นไปยังรถที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าแล้วขับออกไปอย่างชำนาญเส้นทาง
แม้ยามกลางดึกก็มิอาจขัดขวางศักยภาพในการขับขึ้นเขาลงเขาของเขาได้
เมื่อถึงที่หมาย เป็นกระท่อมหลังหนึ่ง ซันนีที่รออยู่ก็รีบออกมารับตัวลาเวนเดอร์เข้าไปยังที่พัก
จัดการล่ามเธอขึงเอาไว้กับเตียงทั้งสี่เสา จากนั้น วาลองโซลก็เปิดคัมภีร์อ่านจนถึงหัวรุ่ง
ลาเวนเดอร์ที่ฟื้นคืนสติในยามรุ่งสางก็ถึงกับมองไปรอบๆ จำเสียงที่อ่านกุรอานนั้นได้ดี

เป็นเขาที่ไปช่วยเธอเอาไว้ ไม่อย่างนั้น เธอคงจับใครไม่รู้ปล้ำไปแล้ว
และคงมีอีกหลายชีวิตที่ต้องเดือดร้อนเพราะความคลุ้มคลั่งควบคุมตัวเองไม่ได้ของเธอ

ซันนียกอาหารเข้ามาให้หญิงสาว แล้วค่อยๆ แกะเชือกที่มัดตรึงร่างของลาเวนเดอร์ไว้ออก

"ทานอาหารไหวมั้ยคะ ถ้าไม่ไหว เดี๋ยวซันนีป้อนให้นะคะ" ลาเวนเดอร์ยิ้มบาง น้ำตาเอ่อคลอ

"ตื่นมาก็ส่งสายตาแบบนี้ให้ จะร้องไห้ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวซันนีถูกคุณหมอหาว่ารังแกคุณ"

"ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันไว้อีกครั้ง ถ้าไม่ได้คุณหมอกับคุณซันนีช่วยเอาไว้
ไม่รู้ว่าฉันจะหลุดไปทำร้ายให้ใครเดือดร้อนอีก"

"คุณหมอรู้ค่ะว่า คืนนี้คุณจะกลายร่างเป็นแม่เสือสาว นัยน์ตาสวย อ่อนระทวยยามเธอยิ้ม
เสน่ห์แรง น่าลองลิ้ม ชิมได้มั้ย ฮ่าๆๆๆ" ซันนีร้องเป็นเพลงแล้วหัวเราะตบท้าย ทำให้ลาเวนเดอร์
รู้สึกผ่อนคลาย ยิ้มออกมาได้ แล้วค่อยๆ ตักอาหารเข้าปากไป

"คุณหมอก็เลยต้องรีบไปช่วยให้ทันไงคะ"

"แล้วคุณหมอรู้ได้ไงคะว่าฉันอยู่ที่นั่น"

"ไม่มีอะไรที่คุณหมอไม่รู้หรอกค่ะ ขนาดควานหาตัวคุณทั่วญี่ปุ่นยังทำสำเร็จมาแล้วเลย"
แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ซันนีจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู ร่างสูงใหญ่ในชุดดำก็เดินเข้ามา

"ยังรู้สึกมึนๆ อยู่รึเปล่า" น้ำเสียงที่ฟังดูห่วงใยนั้น ฟังไม่ออกเลยว่าจะเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ
ลาเวนเดอร์ส่ายศีรษะแล้วยิ้มกว้าง ทำเอาคนมองถึงกับต้องหันสายตาไปทางอื่น
เพราะแม้ขณะที่หน้าตาจะดูมอมแมมแค่ไหน แต่ความงามนั่นก็ไม่ได้จืดจางลงไปเลย
เป็นความงามที่เขย่าหัวใจเขาได้เสมอต้นเสมอปลาย ไม่แปรเปลี่ยน

"เราคงต้องอยู่ที่นี่อีกสักวันสองวัน"

"พวกเขาจะหาไม่เจอใช่มั้ยคะ" วาลองโซลส่ายหน้า

"ภายในวันสองวันคงหาไม่เจอ แต่คุณไม่อยากกลับไปประเทศนาตูเซียหรือ?" ลาเวนเดอร์ขมวดคิ้ว

"คุณหมอรู้เรื่องนี้ได้ยังไงคะ"

"ผมได้ยินบทสนทนาทั้งหมดระหว่างคุณกับสารวัตรจ้า" ลาเวนเดอร์ถึงกับเบิกตากว้าง ก่อนจะรู้สึก
ทำหน้าทำตาไม่ถูกขึ้นมา รีบก้มหน้างุด มองมือตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา

"ผมตกลงจะแต่งงานกับคุณนะ ถ้าคุณสมัครใจและเต็มใจจะแต่งงานกับผม" เขาไม่คิดจะพูดอ้อมค้อม
อ้อมโลกบ้างเลยรึไง นี่เข้ามาปุ๊บก็ยิงกระสุนรัวใส่เธอไม่ยั้งเลย ทำเอาหัวใจน้อยๆ ถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ
ขึ้นมาในฉับพลัน ตอนนี้มันเต้นรัวและเร็วยิ่งกว่ากลอง แถมรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรมากระพือปีก
ในท้องของเธออีก อาการแบบนี้มันเรียกว่าอะไรกันนะ ทำไมเธอถึงได้รู้สึกไม่เป็นตัวเองแบบนี้ล่ะ

"นี่คุณ คุณกำลัง ขอฉันแต่งงานหรือคะ?" เสียงที่ตะกุกตะกักนั้นทำเอามุมปากของคนฟังถึงกับยกขึ้น
ในขณะที่ซันนีกำลังลุ้นเงียบๆ ด้วยความตื่นเต้นอยู่ข้างริมหน้าต่างห้อง

"ใช่ ผมกำลังขอคุณแต่งงาน คุณได้คำตอบตอนไหนก็ค่อยบอกผมนะ ผมจะรอคำตอบจากคุณ"

ลาเวนเดอร์ยกมือขึ้นวางตรงตำแหน่งหัวใจที่เต้นแรง แอบชำเลืองมองเสี้ยวหน้าของเขาเพียงนิด
ก่อนจะก้มหน้างุด มองมือตัวเองอีกดุจเดิม แล้วพูดถามออกไปว่า

"เพราะ เพราะอะไรคะ?" นาน นานที่ต้องรอคำตอบจากเขา เขาเงียบ ทว่าก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับ
ไปไหนเลย แล้วเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังก็ดังขึ้น

"เพราะไม่มีใครแทนที่คุณได้เลย" ลาเวนเดอร์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา เธออยากมองเขาในตอนนี้
อยากเห็นแววตาของเขาในตอนนี้ว่ามันมีความจริงใจอยู่ในนั้นกี่เปอร์เซ็นต์ ก่อนจะรีบถอนสายตา
เพราะไม่อาจสู้สายตาคู่นั้นได้เลย

"ความจริงแล้ว ผมกับคุณ ไม่ง่ายที่จะลงเอยกัน แต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยคุณไปได้ ผมทำไม่ได้จริงๆ"

"ถ้าฉันไม่ใช่เจ้าหญิง ไม่ใช่ลูกสาวคนเดียวของกษัตริย์อุบัยดะห์ เป็นเพียงหญิงสาวเร่ร่อน
ไร้บ้าน ไร้พ่อแม่ เป็นแค่ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเลย คุณจะยังขอฉันแต่งงานมั้ยคะ"

น้ำตาของลาเวนเดอร์เอ่อคลออย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว และมันส่งผลต่อหัวใจของชายหนุ่มที่ได้เห็นน้ำตา
หยดหนึ่งร่วงลงจากดวงตาคู่นั้น เขาแทบอยากจะยื่นมือออกไปรับมันเอาไว้ แต่ก็ทำไม่ได้

"ถ้าคุณไม่ใช่เจ้าหญิง ไม่ใช่ลูกสาวของกษัตริย์ เป็นแค่หญิงสาวเร่ร่อน มันคงง่ายยิ่งกว่า
ที่ผมจะแต่งงานกับคุณ และง่ายยิ่งกว่าที่แม่ของผมจะยอมรับคุณในฐานะลูกสะใภ้
แต่เพราะคุณคือลูกสาวของกษัตริย์อุบัยดะห์ที่แม่ผมเกลียดชัง มันจึงไม่ง่ายเลยที่เราสองคน
จะลงเอยกัน" เขาหยุดเพียงนิด ก่อนจะกล่าวสืบไปว่า

"แต่ผมยังยืนยันคำเดิมว่า ถ้าคุณเต็มใจแต่งงานกับผม ผมก็จะแต่งงานกับคุณ
ต่อให้ยากแค่ไหนผมก็จะทำให้สำเร็จ" น้ำเสียงนั้นหนักแน่นสร้างความมั่นคงทางใจให้คนฟังอย่างที่สุด
ทว่า

"แล้วคู่หมั้นของคุณละคะ คุณนาซี่ละคะ?"

"ผมไม่เคยมีใจให้นาซี่ ไม่ว่าจะแต่ก่อนหรือในตอนนี้ ผมก็ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับนาซี่"

"แล้วกับฉัน เอ่อ คุณ มี..." ลาเวนเดอร์ลังเลใจขึ้นมาเมื่อจะพูดประโยคนี้ให้สมบูรณ์ เธอใจไม่กล้าพอ
จะถามมันออกไปขึ้นมา

"ผมไม่เคยโทษใครหรืออะไรที่พาให้เรามาพบกัน พอใจและยินดีที่ถูกกำหนดมาให้ผมรักคุณ
ได้เกิดมารักคุณ แม้จะมองไม่เห็นหนทางที่จะอยู่ด้วยกัน แต่ผมก็ไม่หวั่นไหวหรอกนะ
แค่คุณจะรู้สึกแบบเดียวกัน ผมก็ยินดีจะฝ่าฟันทุกอย่าง" แววตาของเขามาดมั่น ซื่อตรงจนลาเวนเดอร์
ถึงกับน้ำตาคลออีกครั้ง มันมีทั้งความตื้นตันใจและความอิ่มเอมใจ ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีใครมอบความรัก
ที่มั่นคงและซื่อตรงเช่นนี้ให้กับเธอ ไม่คาดคิดว่า เขาคนนี้จะจริงจังขนาดนี้

"ผมอยากจะดูแลคุณ ปกป้องคุ้มครองคุณ อยากเป็นคนที่คุณไว้วางใจ มั่นใจ และเชื่อใจ"

ลาเวนเดอร์น้ำตาไหลลงมา ก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่ลังเลใจอีกต่อไป

"ชีวิตฉันที่ผ่านมา มีแค่คุณที่เข้ามาดึงฉันออกจากเส้นทางที่ซับซ้อนวุ่นวาย ทำให้ฉันที่เร่ร่อน
หลงทางได้เจอทางออก มีแค่คุณที่ดึงฉันออกมาสู่ทางออกทุกครั้ง ฉันเชื่อค่ะ เชื่อว่าคุณหวังดีต่อฉัน
ฉันจะลองค่ะ จะลองรักคุณและลองใช้ชีวิตกับคุณดู" แล้วเธอก็พบว่ารอยยิ้มของเขานั้นน่ามองเหลือเกิน
เมื่อได้เห็นเขายิ้มออกมาทั้งปากทั้งตา ยิ้มไปทั้งใบหน้าจนเห็นเป็นรัศมีสีแสงส่องสว่างสาดส่อง
มาถึงหัวใจของเธอ ลาเวนเดอร์ยิ้มตอบรอยยิ้มนั้นอย่างจริงใจ อยากเดินเข้าไปสู่อ้อมกอดอันแข็งแกร่งนั้น
ของเขาแล้วอ้อยอิ่งพักพิง ออดอ้อนเขา เธอไม่เคยมองใบหน้าใครแล้วพบเจอกับ 'ความสงบสุข'
เช่นนี้มาก่อนเลย

"ผมจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้" เขาให้คำมั่นสัญญากับเธอ เป็นคำพูดที่เรียบง่าย
หากฟังแล้วกลับทำให้หัวใจมั่นคงหนักแน่นยิ่งนัก

มิใช่ 'คำรัก' ของเขาหรอกที่ทำให้เธอตัดสินใจแต่งงานกับเขา
แต่เป็น 'ความรู้สึกสงบสุข' ยามมองไปยังเขา ยามเมื่อมีเขาอยู่ไม่ห่างเช่นนี้
ทั้งสงบ และ มั่นคง ก่อเกิดเป็นความมั่นใจ

เมื่อได้คุยกับเขา เขาทำให้เธอใจเย็นลง เขาทำให้ความกังวลของเธอลดลง
เขาทำให้ความเครียดของเธอจางหาย เขาทำให้ความโกรธความคลุ้มคลั่งของเธอหายไป
และสงบลง ทำให้ปัญหาและมรสุมในชีวิตเธอถูกขจัดออกไป

เป็นเขาที่ทำให้เธอได้พบกับ 'ความสงบสุข' ที่เธอตามหามาตลอด

"ขอบคุณนะคะที่ทำให้ฉันพบกับความสงบสุข ฉันตัดสินใจแต่งงานกับคุณหมอ
เพราะคุณหมอคือ ความสงบของฉัน เป็นความสงบภายในใจและในชีวิตที่ฉันตามหามาตลอด
มันอยู่เหนือกว่ารัก มากกว่าคำว่า รัก ค่ะ และมากกว่าความดี เหนือกว่าความดี
เป้าหมายของฉัน คือ การตามหาความสงบ และคุณหมอทำให้ฉันค้นพบความสงบนั้น"

น้ำตาของลาเวนเดอร์หยดลงบนหลังมือพร้อมรอยยิ้มสดใสที่สุดเท่าที่จะยิ้มออกมาได้
เธออยากโอบกอดเขา อยากอยู่ในอ้อมกอดนั้น แต่ต้องยับยั้งหัวใจ ตอนนี้สถานะระหว่างเธอกับเขา
ยังทำเช่นนั้นไม่ได้ เธอยังมีสติดี ไม่ได้ขาดการควบคุม และเขาก็ให้เกียรติเธอมาตลอด

"ผมก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน" เขาสารภาพพร้อมรอยยิ้มที่น่ามองยิ่งนัก ก่อนจะมองไปยังสำรับอาหาร
แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง

"อาหารคงเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวผมเอาไปอุ่นให้คุณดีกว่านะ" ลาเวนเดอร์ส่ายหน้า

"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกินได้ หายห่วงค่ะ อย่าลำบากคุณหมอเลยค่ะ ฉันรู้ว่า คนที่ดับไฟในบ้านหลังนั้น
เป็นฝีมือของคุณหมอ และเป็นคุณหมอที่อำนวยทางสะดวกให้ฉันหลุดออกมาจากคุกขังนั้นได้
คุณหมอพักผ่อนเถอะค่ะ ฉันน่ะ จะทำตัวดีๆ เลย จะเชื่อฟัง ไม่ดื้อเลย" มุมปากคนฟังยกขึ้น
เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวในคืนเดือนหงาย

"ไม่ดื้อแน่นะ" ลาเวนเดอร์ยิ้มบางพร้อมกับส่ายหน้า

"ไม่ดื้อค่ะ จะเชื่อฟังทุกอย่างเลย" วาลองโซลอยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวนั้นเหลือเกิน หากก็จำต้องยั้งมือเอาไว้

"งั้นผมขอไปงีบก่อนนะครับ" หญิงสาวพยักหน้า รอยยิ้มยังคงไม่ขาดหายไปจากใบหน้า
และเมื่อเห็นเขาหันหลังให้ กำลังจะเดินออกจากห้องไป ลาเวนเดอร์ก็กัดริมฝีปาก
เขินจนหน้าแดงก่ำเมื่อเอ่ยประโยคนั้นให้เขาได้ยินอย่างแผ่วเบาออกไปว่า

"Let me inside. Make me stay right beside you.
(ปล่อยให้ฉันได้เข้าไปข้างใน ทำให้ฉันได้อยู่ข้างๆ คุณนะ)"

แล้วเขาก็หันกลับมาสัมผัสเธอด้วยรอยยิ้มของเขา เป็นการยืนยันกับหัวใจ ว่า
เขานี่แหละจะเป็นของเธอ และเจ้าของเธอก็คือ เขา

ลาเวนเดอร์ยิ้มหวานจับใจจนอีกฝ่ายแทบไม่อยากก้าวขาออกไป หากก็ต้องรีบหักห้ามใจตน
ฝืนก้าวจากไปอย่างอดทน ก็ใครใช้ให้เธอน่ารักขนาดนี้กัน จนเขาอยากจะแต่งงานกับเธอเสียตอนนี้เลย
หากก็ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องและเปิดเผย เป็นการให้เกียรติกับเธอและทุกๆ ฝ่าย

จนร่างสูงใหญ่หายไปจากสายตา จึงหันไปทางซันนี ยิ้มให้กับหญิงสาวที่ตอนนี้ยืนซับน้ำตากับชายแขนเสื้อ

"ในชีวิตซันนี รู้จักคุณหมอมาตั้งนาน ก็เพิ่งได้เห็นโหมดคิตตี้ของคุณหมอก็เมื่อกี้นี้แหละค่ะ
ช่างเป็นบุญตาของซันนีจริงๆ" ไม่วายยิ้มกว้างเมื่อพูดตบท้าย ทำเอาลาเวนเดอร์ถึงกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
แล้วยิ้มเขินเมื่อพูดออกมาว่า

"My pretty boy (ผู้ชายที่น่ารักของฉัน) "

ซันนีที่ได้ฟังถึงกับม้วนอายแทนแล้วยกมือขึ้นหยิกแก้มตัวเอง
ก่อนจะอุทานออกไปอย่างเก้อเขิน

"อุ๊ย คลื่นสีชมพูกำลังฟุ้งกระจายปกคลุมขนำหลังน้อยนี้ไว้หมดแล้ว"

แล้วสองสาวก็หันมายิ้มให้กัน หัวเราะต่อกระซิกกันสองคนอย่างมีความสุข
จนคนที่เพิ่งเดินจากไปได้ยินเสียงหัวเราะสดใสนั่นแล้วให้มีความสุขอย่างที่สุด

นี่สินะ ที่ว่า ความสุขของผู้ที่เรารักก็คือ ความสุขของเรา


...........................โปรดติดตามตอนต่อไป...............................





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2567, 21:38:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มิ.ย. 2567, 21:55:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 130





<< บทที่ 15 สารวัตรจ้า   บทที่ 17 ปิตุภูมิ (แผ่นดินพ่อ) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account