Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้

วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้

ตอน: บทที่ 17 ปิตุภูมิ (แผ่นดินพ่อ)

ณ ประเทศนาตูเซีย ประเทศเล็กๆ ดินแดนที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ
มีแร่สำคัญเป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ และมีน้ำมันเป็นทรัพยากรสำคัญรองลงมา
ทำให้ประเทศเล็กๆ แห่งนี้มีความสงบสันติ ประชาชนกินดีอยู่ดี คนจนคนยากลำบากแทบไม่มี
เพราะมีรัฐสวัสดิการที่ครอบคลุมความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชน
ส่งผลให้ผู้นำประเทศได้รับความรักความเคารพจากประชาชนภายใต้การปกครองมาโดยตลอด

สมเด็จพระราชาธิบดีอุบัยดะห์ บิน บัดรอน อัลฮาลา และสมเด็จพระราชินีนาฟีซา บินติ บะฮ์รุดดีน อัลอะรูมี
กำลังออกว่าราชการพร้อมกันกับบรรดาผู้รู้หรืออุลามะห์ที่คอยให้คำปรึกษาในประเด็นต่างๆ
ที่เป็นที่ถกกันในสังคมโดยมีพันตำรวจโท ชนายุส มีชัยชนะ หรือสารวัตรจ้า
ซึ่งถูกรับเชิญเป็นการพิเศษได้เดินทางมาจากประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย

เมื่อเสร็จสิ้นการประชุม ทุกฝ่ายต่างแยกย้ายกัน กษัตริย์อุบัยดะห์กับองค์ราชินีนาฟีซา
จึงขอพบสารวัตรจ้าเป็นการส่วนตัวในสวนกลางพระราชวังอันร่มรื่น กษัตริย์อุบัยดะห์ในชุดโตปสีขาว
นั่งลงในท่วงท่าสบายและผ่อนคลาย ข้างกายมีคู่ชีวิตที่อยู่เคียงข้างเป็นคู่คิดมานานเกือบยี่สิบปี
คอยปรนนิบัติพัดวี เป็นดินแดนที่ทุกคนต่างใช้ชีวิตเรียบง่ายธรรมดาไม่เว้นแม้กระทั่งองค์กษัตริย์
ซึ่งกษัตริย์อุบัยดะห์มีความสามารถในการสื่อสารได้หลากหลายภาษาซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ภาษาไทย

"ได้ข่าวว่า ลาเวนเดอร์ถูกวาลองโซลนำตัวกลับไปอีกครั้งหรือจ้า" ถ้อยคำที่บ่งบอกถึงความสนิทสนมนี้
ทำให้คนฟังรู้สึกเบาใจ เพราะที่ผ่านมาเขาติดต่อกษัตริย์อุบัยดะห์ผ่านทางคนสนิทเสียส่วนใหญ่
นานทีปีหนจึงจะมีโอกาสได้เข้าพบเช่นนี้ เลยอดประหม่ามิได้

แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำตนเยี่ยงคนธรรมดาสามัญทั่วไปก็ตาม

หากแต่ตำแหน่งที่มาพร้อมกับอำนาจนั้น ทำให้เขาวางใจมิได้ เพราะเขาพอจะรู้จักนิสัยใจคอ
ของกษัตริย์ผู้นี้ค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง ว่าเป็นคนดุ และเด็ดขาด อีกทั้งยังสุขุมรอบคอบ

"ขอครับ หมอวาลองโซลนำตัวองค์หญิงไปซ่อนตัวไว้ ตอนนี้ยังตามหาพิกัดไม่เจอเลยขอรับ
เขามีวิธีตัดสัญญาณต่าง ๆ จากโลกภายนอก จึงไม่ใช่เรื่องยากหากเขาต้องการจะซ่อนใครสักคน
จากสายตาผู้คนขอรับ"

"ไม่ธรรมดาจริงๆ หรือว่าเราต้องไปเจอเขาเสียหน่อย ดีมั้ยจ้า" รอยยิ้มนั้นแม้ดูเปิดเผย หากชนายุสรู้ดีว่า
คนที่ยิ้มไม่ได้จะยิ้มจริง ๆ อย่างที่เห็น เพราะแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความกดดันมหาศาล แม้ท่าทีจะดู
ผ่อนคลายก็ตาม

"เกรงว่าจะเสี่ยงเกินไปขอรับ กระผมขอเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ จะนำตัวองค์หญิงกลับนาตูเซียให้จงได้"

"เห็นทีจะไม่จำเป็นเสียแล้วละสารวัตร" เสียงหวานละมุนดังแทรกขึ้นจากองค์ราชินี ผู้มีใบหน้างดงาม
ราวภาพวาด แม้จะล่วงสู่วัยสี่สิบเก้าชันษา ทว่า ยังคงแลดูอ่อนเยาว์ราวกับสาววัยสามสิบ

"เราได้รับข้อมูลเมื่อครู่นี้มาว่า วาลองโซลได้ทำหนังสือยื่นเรื่องมาทางนี้
เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดพระราชพิธีเสกสมรสให้องค์หญิงลัยลาลิณกับตนเอง"
หนังสือเอกสารสำคัญถูกยื่นส่งให้กับกษัตริย์อุบัยดะห์ ทำเอาชนายุสถึงกับตกใจด้วยคาดไม่ถึง
ว่าวาลองโซลสหายเก่าจะลงดาบไวเช่นนี้ ไวจนเขาตั้งรับไม่ทัน แม้แต่กษัตริย์อุบัยดะห์ก็ดูจะตั้งตัวไม่ทัน
ก่อนจะยกมุมปากแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าท่าทางถูกอกถูกใจขึ้นว่า

"ฮึ ๆๆๆๆ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว เช่นนี้แลที่เราต้องการ" เป็นองค์ราชินีที่คาดไม่ถึง ส่งผลให้มือเรียวสวย
ถึงกับขยับก่อนจะจิกผ้าคลุมกายด้วยความลืมตัว

"ท่านพี่ยินยอมให้ทั้งสองเสกสมรสหรือเจ้าคะ"

"แน่นอนสิน้องหญิง วาลองโซลก็มิใช่ใครอื่น เคยมาวิ่งเล่นที่สวนแห่งนี้บ่อยครั้งเมื่อยามเยาว์"
มือเรียวเริ่มกำผ้าในมือแน่น ดวงตาวูบไหว ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลงเมื่อยามเอื้อนเอ่ยว่า

"ท่านพี่เห็นว่าอย่างไร น้องก็เห็นเป็นอย่างนั้นเจ้าค่ะ"

"เช่นนั้นก็เรียกตัวเขามาพบเราเถอะจ้า สหายของเจ้ามิใช่รึ" แววตานั่นเป็นประกายเจิดจ้าแฝงแววขี้เล่น
จนทำให้คนที่นั่งใจลอยอยู่ถึงกับสะดุ้งตกใจ

"เจ้าไม่ยินดีรึจ้า ที่ทั้งสองจะได้ครองคู่กัน"

"มิบังอาจขอรับ"

"เช่นนั้น ก็ช่วยนำตัวสหายของเจ้ามายังสวนแห่งนี้ด้วยล่ะ เราอยากเลี้ยงน้ำชาเขา"

"แล้วองค์หญิงเล่า?"

"นำลูกสาวของเรามาด้วย เราอยากพบแล้ว อยากเห็นใกล้ ๆ ชัด ๆ ว่าจะงดงามเช่นท่านย่าลัยลาหรือไม่"

"น้อมรับพระบัญชาขอรับ"

"ขอบใจมาก"


ชนายุสถึงกับเดินคอตกออกมาจากสวนดังกล่าว ก่อนจะต่อสายทางไกลกลับไปยังประเทศไทย
เพียงไม่นานเสียงปลายสายก็ดังทักทายขึ้น ดูเหมือนว่าทางนั้นจะเปิดสัญญาณการติดต่อแล้วสินะ
เขาถึงสามารถติดต่อได้เช่นนี้ ช่างร้ายกาจยิ่งนัก

"กษัตริย์อุบัยดะห์ต้องการเลี้ยงน้ำชาแก ได้สั่งความให้ฉันไปรับตัวแกมาที่นาตูเซียพร้อมด้วยลูกสาว"

"แสดงว่าท่านตอบตกลงจะจัดพิธีนิกะห์ให้ฉันกับบุตรีของท่านใช่มั้ย?"

"ยินดีด้วย บอรอกัลลอฮ์ฯล่วงหน้าเลยแล้วกัน"

"ทำไมน้ำเสียงขัดแย้งกับคำพูดนักล่ะ?" วาลองโซลสัพยอก

"ยกนี้ฉันยอมให้แก แต่ยกต่อไป อย่ากะพริบตาแล้วกัน ฉันยังมีไม้ตาย รอชมได้เลยเซริว"

แล้วสายก็ถูกตัดไป วาลองโซลหันไปมองลาเวนเดอร์ที่ตอนนี้กำลังนั่งเล่นอยู่กับซันนีในสวนดอกไม้
ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงทางตอนเหนือของประเทศไทยติดกับแนวตะเข็บชายแดน
ก่อนจะเดินไปหาหญิงสาวด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขสมหวัง แล้วแจ้งข่าวดีให้ว่าที่เจ้าสาวของเขาได้รับรู้

"กษัตริย์อุบัยดะห์เชิญเราสองคนไปร่วมดื่มน้ำชาด้วยกันที่พระราชวังหลวงนาตูเซีย"
ลาเวนเดอร์ยิ้มกว้างทีเดียวเมื่อได้ยินเช่นนั้น

"แสดงว่า...."

"ใช่แล้ว ท่านตกลงให้เราสองคนแต่งงานกัน" ลาเวนเดอร์ยิ้มกว้างอย่างสดใสก่อนจะหันไปสวมกอดซันนี
ที่ตอนนี้ได้อ้าแขนรอรับร่างของเธอเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะหันมาถามวาลองโซลว่า

"แล้วแม่ของคุณหมอละคะ"

"ในพิธีนิกะห์นั้น คนที่สำคัญในพิธีคือ พ่อของเจ้าสาวหรือวาลีของเจ้าสาว
ส่วนพ่อแม่เจ้าบ่าว จะมีหรือไม่มีก็ไม่ส่งผลต่อพิธีกรรมว่าจะเป็นโมฆะหรือไม่ ดังนั้น อย่ากังวลไปเลย
ยังไง งานแต่งงานก็ต้องเกิดขึ้น"

"ได้อย่างไรล่ะ แบบนี้ก็เท่ากับว่า ข้ามหัวพ่อกับแม่ของคุณหมอเลยนะ" ลาเวนเดอร์ไม่คิดแบบนั้น
จึงคัดค้านเสียงอ่อน

"เปล่าประโยชน์จะเจรจา เพราะคำตอบของมาดามมารีอานน์ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง" วาลองโซลยังคง
มีสีหน้าราบเรียบดุจเดิม จนยากจะหยั่งถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขาได้

"งั้นก็เท่ากับว่าคุณหมอยอมให้ถูกตัดออกจากกองมรดกมหาศาลเลยนะคะ"

"ผมสนซะที่ไหนละ หรือคุณสน?" ลาเวนเดอร์ส่ายหน้า แววตาแฝงความขี้เล่น

"เดี๋ยวฉันจะเป็นคนเลี้ยงดูปูเสื่อคุณหมอเองก็ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย" ลาเวนเดอร์ยิ้มกว้างจนเห็นแก้มบุ๋ม

"ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะผมคงยากจนไปอีกนานเลย อยู่ ๆ ก็มีดวงนารีอุปถัมภ์"

"นารีอุปถัมภ์ คืออะไรคะ?"

"ก็ผู้ชายที่มีเสน่ห์ ผู้ใหญ่รักและเอ็นดูเมตตา ผู้หญิงหลงใหล ได้รับการดูแลอุปถัมภ์ค้ำจุน
เกื้อหนุนจากผู้หญิงเป็นอย่างดี ยังไงละ" พูดจบก็ยิ้มทั้งปากทั้งตา ทำเอาคนมองถึงกับใจสั่นวูบ
เลยต้องรีบก้มหน้ามองพื้น กลัวหัวใจจะหลุดปลิวไป

"งั้นคุณหมอก็เตรียมตัวเป็นมหาวีรบุรุษได้เลยค่ะ เพราะสตรีผู้นี้แลหนาที่จะอุ้มชูอุปถัมภ์ค้ำจุน
ให้คุณหมอเอง" วาลองโซลขำด้วยความเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้าที่แสนจะน่ารักเหลือเกิน
อยู่กับเธอแล้วเขาสบายใจ ผ่อนคลาย จนอยากมองเธอให้เต็มตากว่านี้ หากก็ยังไม่มีสิทธิ์จะทำอย่างที่ใจ
ปรารถนาได้

"แล้วอย่างนี้ คุณหมอจะเอามะฮัรฺจากไหนมาให้ฉันละคะ?" ว่าไม่ได้นะ นี่คือเงื่อนไขสำคัญเชียวหนา

"ผมเตรียมเอาไว้ให้คุณตั้งนานแล้ว" ลาเวนเดอร์ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่ทันได้เก็บทรง
ทำให้อีกฝ่ายที่เห็นท่าทางโก๊ะ ๆ นั่นถึงกับขำขัน

"นานแล้วหรือคะ?"

"ก็นานนับสิบปีแล้วละ" เป็นอีกครั้งที่ลาเวนเดอร์อ้าปากค้างก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง

"ตอนนั้นฉันเพิ่งจะสิบขวบเองนะคะ"

"ก็ใช่นะสิ ก็สวยตั้งแต่เด็ก ผมจองคุณในใจมาตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้วไม่รู้รึไง"

คนหน้าตายก็ช่างพูดให้หัวใจเธอหวั่นไหวได้ไม่หยุดจริง ๆ

"เห็นครั้งแรกเนี่ย ตอนกี่ขวบคะ?"

"1 ขวบ" เป็นซันนีที่อยากจะกรี๊ดออกมาเมื่อได้ยินประโยคนี้

"อะไรกันเนี่ยคุณหมอ" ซันนีถึงกับอุทานออกมา โดยที่ลาเวนเดอร์เหมือนจะช็อกไปแล้ว

"คุณหมอน่ากลัวมากอ่ะ กลับห้องกันเถอะค่ะ ตรงนี้มดเยอะ ซันนีกลัวโดนมดกัด ฮ่าๆๆๆ"

ว่าแล้วก็รีบจูงคนที่เหมือนจะยืนตัวแข็งทื่อไปแล้วให้เดินตามตนไปยังห้องพัก
ทำเอาวาลองโซลถึงกับอมยิ้มพร้อมส่ายหน้าให้กับท่าทางโก๊ะไม่หายนั่นของสองคน
ที่นับวันนิสัยจะกลืนกันเป็นเนื้อเดียว

เช้าวันใหม่ อากาศมืดฟ้ามัวดิน วาลองโซลที่เห็นลาเวนเดอร์ยืนมองไปนอกหน้าต่างเป็นนานสองนาน
ตรงระเบียงบ้านมาจากห้องนอนของตนก็ขมวดคิ้ว

เดินออกไปทางซันนีที่กำลังนั่งจัดการกับงานตรงหน้าจอมือถือ ก่อนจะถามเสียงเบาว่า

"เธอเป็นอะไร ทำไมถึงยืนตรงนั้นนานขนาดนั้นไม่ยอมขยับไปไหนเลย"

ซันนียิ้มบาง อธิบายอย่างใจเย็นว่า

"เห็นบอกว่า ชอบสายฝนเมืองไทย สายฝนเมืองไทยไม่เหมือนที่ญี่ปุ่น และดูเหมือนจะชอบเอามาก ๆ
จริง ๆ ค่ะ เพราะยืนมองสายฝน ไม่ยอมขยับไปไหนเลยเป็นชั่วโมงแล้ว" วาลองโซลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
แค่ไม่คิดว่าจะเจอคนที่เหมือนกัน ซึ่งอีกไม่เท่าไหร่ก็จะกลายมาเป็นภรรยาของเขาแล้ว

"งั้นก็ปล่อยเธอไว้อย่างนั้นก็แล้วกัน เพราะนี่อาจเป็นฝนครั้งสุดท้าย ถัดจากนี้ไปก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว"
ว่าจบก็เดินกลับห้องไป แล้วก็กลับไปยังจุดเดิมของตนยืนมองสายฝนสลับกับมองคนที่ยืนมองสายฝน
ตรงระเบียงไปด้วยรอยยิ้มบางที่นานๆ จะผุดออกมา แม้ว่าลึก ๆ แล้วจะมีบางอย่างเคลือบแคลง

ก่อนจะออกเดินทางไกลอีกครั้ง ลาเวนเดอร์ชวนให้วาลองโซลตามเธอขึ้นไปยังบนเนินสูง
ที่ห่างไกลออกไปจากบ้านเรือนหลังน้อยที่เธอกับเขาและซันนีพักอาศัยในช่วงหลายวันมานี้
บนเนินเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ไร้ต้นไม้ มีเพียงต้นไม้ต้นหนึ่งที่ยืนต้นเพียงโดดเดี่ยวมาอย่างยาวนานนับร้อยปี

บนเนินนี้ไม่ใช้ที่ดินในครอบครองของใครคนใดคนหนึ่ง ทำให้จุดตรงนี้เป็นจุดที่ลาเวนเดอร์ได้เลือก
เอาไว้แล้วให้เป็น 'ฐานทัพลับ'

หญิงสาวจึงวิ่งอย่างสบายใจไปยังต้นไม้ต้นนั้น โดยมีวาลองโซลและซันนีเดินตามไป

"คุณซันนีต้องเป็นพยานให้กับเราสองคนนะคะ" ซันนีเลิกคิ้ว ยังไม่เข้าใจว่า หญิงสาวผู้นี้พาเธอ
กับคุณหมอมาทำอะไรที่ตรงนี้

"สิบปีต่อจากนี้ เราจะกลับมาที่นี่อีกครั้งค่ะ ฉันจะฝังขวดโหลแห่งความฝันและความปรารถนาทั้งหมดที่ฉัน
ปรารถนาในตอนนี้เอาไว้ที่ใต้ต้นไม้ต้นนี้ คุณหมอก็เช่นกันนะคะ คุณหมอก็ต้องฝังขวดโหลแห่งความฝัน
และความปรารถนาของคุณหมอเอาไว้ที่นี่ด้วยกันกับฉัน แล้วสิบปีต่อจากนี้ เราจะมาเจอกันที่นี่
แล้วมาเปิดอ่านมันด้วยกันใต้ต้นไม้นี้"

พูดแล้วก็ยื่นขวดโหลที่หยิบจากถุงผ้าพร้อมกระดาษและปากกาส่งให้วาลองโซล

ส่วนเธอเอง เขียนทุกอย่างใส่ไว้ในขวดโหลอีกใบไว้เรียบร้อยแล้ว
จึงได้นั่งลงเพื่อขุดหลุมฝังขวดโหล ในขณะที่วาลองโซลเขียนอะไรบางอย่างสั้นๆ แล้วหย่อนลงไป
ในขวดโหลแล้วปิดผนึก นั่งลงอีกฝั่งตรงข้ามกับลาเวนเดอร์ ช่วยเธอขุดหลุม แล้วฝังขวดโหล
สองใบที่วางคู่กัน ก่อนจะกลบจนมิด จากนั้น ลาเวนเดอร์ก็นำต้นกล้าสองต้นออกมา
มันยังเป็นต้นกล้าอ่อนๆ เธอบอกเขาพร้อมรอยยิ้มสดใสว่า

"ต้นนี้ชื่อว่า ลาเวนเดอร์ ส่วนอีกต้นชื่อว่า forget me not ค่ะ"

เธอบอกแล้วก็ก้มหน้ามองด้วยความเขินอายก่อนจะยื่นต้น forget me not ไปให้วาลองโซล

"อันนี้คุณหมอปลูกลงดินนะคะ ส่วนต้นนี้ฉันจะเป็นคนปลูกลงดินเอง" วาลองโซลพยักหน้า
แล้วก็ปลูกต้นดอกไม้ดังกล่าวลงใกล้ๆ หลุมที่ขุดฝังขวดโหล เคียงข้างกับต้นลาเวนเดอร์ของหญิงสาว
ก่อนจะมองมันทั้งสองต้นด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

"หวังว่ามันจะเติบโตอย่างดีและรอจนกว่าเราจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในอีกสิบปีข้างหน้านะคะ"

"เพราะอะไร?" เขาถามลาเวนเดอร์

"เพราะว่า ฉันอยากให้ที่นี่เป็น ฐานทัพลับของเราสองคนยังไงละคะ"

ก่อนจะเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวว่า

"การเกิดมาเป็นเชื้อราชวงศ์นั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการเลยค่ะ คุณหมอคงจะรู้ว่าฉันไม่ได้
ดีใจกับการได้รู้ว่าตัวเองมีฐานันดรเช่นไร บางทีการไร้ราก ไร้ตัวตนก็อาจจะดีกว่าการเป็นเชื้อราชวงศ์
เป็นไหน ๆ ก็ได้ค่ะ" วาลองโซลอยากจะกอดและปลอบโยนเธอ เพียงแต่สถานะของเขาในตอนนี้
ยังทำเช่นนั้นไม่ได้ เลยได้แต่รับฟังอย่างเงียบ ๆ

"ต่อไป ฉันกับคุณหมออาจจะต้องหันกระบอกปืนเข้าหากันก็ได้ ใครจะไปรู้ ว่ามั้ยคะ"

ลาเวนเดอร์พยายามสกัดกั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา

"ที่นี่อาจจะเป็นที่สุดท้ายที่ฉันจะได้ใช้ชีวิตอย่างที่ฉันอยากจะใช้จริง ๆ
ได้แสดงความรู้สึกต่างๆ ออกไปอย่างตรงไปตรงมาจริง ๆ เพราะจากวันนี้ไป
ฉันคงไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการอีกแล้ว ฉันแค่หวัง หวังว่า..." 

ลาเวนเดอร์พยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้น้ำเสียงสั่น เมื่อต้องเอ่ยประโยคให้สมบูรณ์ว่า

"หวังว่า อีกสิบปีข้างหน้า เราจะมีโอกาสได้กลับมาอยู่ตรงนี้ อีกครั้ง หวังว่า เราจะยังมีชีวิตอยู่
จนถึงตอนนั้น" แล้วเธอก็ไม่สามารถสกัดกั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้อีกต่อไป น้ำตาหยดแล้วหยดเล่า
ร่วงลงเป็นหยดน้ำรดให้กับต้นไม้ที่เพิ่งปลูกลงดิน วาลองโซลเองก็รู้สึกสะท้านไปทั้งใจ
ในขณะที่ซันนีที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป ได้ยินทุกอย่าง ถึงกับยกแขนเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา

"ผมรู้ว่า ผมไม่ควรดึงคุณเข้ามาในสมรภูมินี้ เป็นผมเองที่ดึงคุณมา" ลาเวนเดอร์พ่นลมออกมา
ก่อนจะหันไปทางเขา ยกมือขึ้นซับน้ำตาตน

"ฉันรู้ค่ะ รู้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่า คุณหมอไม่ได้จะพาฉันมาที่นี่อย่างไร้แผนการใด ๆ
และฉันก็เต็มใจตามคุณหมอมาเอง เพราะฉัน ฉันยังมีความมั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่า คุณหมอหวังดี
ใช่ค่ะ ฉันอาจจะมั่นใจเกินไปก็ได้ แต่นี่ก็เป็นเรื่องเดียวในชีวิตที่ฉันเลือกด้วยความสมัครใจ"
ก่อนจะบอกเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

"ดังนั้น ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันจะไม่เสียใจที่ตัดสินใจแบบนี้ค่ะ คุณหมอก็ไม่ต้องเสียใจอะไรทั้งนั้น
เพราะว่า ฉันตัดสินใจของฉันเอง" พูดจบก็ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นดินออกจากมือ แล้วยื่นมือออกไปลูบต้นไม้
อายุนับร้อยปีที่ยังยืนต้นอย่างเดียวดายต้นเดียวมาได้ตั้งนาน

"แล้วเจอกันอีกสิบปีข้างหน้านะ" เธอบอกพร้อมรอยยิ้มสดใส ก่อนจะผละจากแล้วเดินจากไป
ทิ้งให้วาลองโซลและซันนีมองตามร่างงามและท่วงท่าสง่างามนั้นไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

"เรื่องโรคที่เธอเป็น อาการต่าง ๆ ที่เธอเป็น คุณหมอจะจัดการยังไงต่อจากนี้คะ?"

ซันนีเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าแววตาเป็นกังวล เมื่อเธอรู้ว่า ลาเวนเดอร์จะยิ่งอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ

หากไม่ได้รับการขจัดสิ่งนั้นออกไปให้หมดจด

"หลังจากแต่งงาน ผมก็จะเป็นสามีเธอ ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่ผมจะทำการรักษาเธอโดยตรง
นี่คือ เหตุผลหลักที่ผมต้องการแต่งงานกับเธอให้เร็วที่สุด เพราะว่า โรคที่เธอเป็นนั้นรอนานไม่ได้อีกแล้ว"

"แล้วคุณหมอจะบอกรายละเอียดทั้งหมดกับเธอเมื่อไหร่คะ?"

"ก็ต้องดูความพร้อมของร่างกายและจิตใจของเธอด้วย อีกอย่าง จำเป็นต้องหาของให้เจอ
ไม่งั้นก็แก้ไม่ได้"

"แล้วคุณหมอคิดว่า มันอยู่ที่ไหนคะ?"

"คนที่ผูกปมไว้ย่อมรู้ดีที่สุด"

"แล้วใครกันแน่หรือคะ?"

"ผมยังไม่แน่ใจ แต่หลังจากคืนเข้าหอ อาจจะรู้ ดังนั้น ผมจึงต้องการแต่งงานในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง
ของเดือนถัดไป"

"ขอให้ทุกอย่างสะดวกง่ายดายและราบรื่นนะคะ" วาลองโซลลอบถอนใจเบา ๆ
การมุ่งสู่ถ้ำเสือเพื่อหวังลูกเสือนั้น เขาเองก็ไม่แน่ใจว่า จะสามารถรักษาชีวิตทั้งของเขาและของเธอ
ไว้ได้หรือไม่ แต่เพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากนี้

...............................................

เมื่อเดินทางจาก 'มาตุภูมิ' เหยียบย่างเข้าสู่ 'ปิตุภูมิ' ลาเวนเดอร์กับวาลองโซลและซันนีได้เข้าพักยัง
บ้านพักที่ถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี เพื่อเตรียมตัวเข้าพบประมุขแห่งดินแดนนี้ในอีกสองวันถัดไป
การรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ค่อนข้างเข้มงวดจนลาเวนเดอร์เองก็ไม่สามารถขยับตัวไปไหนมาไหน
ได้สะดวก แม้ใจจะอยากออกไปสำรวจบ้านเมืองมากแค่ไหน แต่ก็ต้องหักห้ามตัวเองไว้
บอกตัวเองว่า ยังมีเวลาอีกมากมายให้สำรวจ

"ผมมีเรื่องจะทำข้อตกลงกับคุณ" วาลองโซลเอ่ยขึ้นเมื่อรับประทานอาหารร่วมโต๊ะด้วยกัน
โดยที่เขานั่งตรงหัวโต๊ะ ส่วนลาเวนเดอร์นั่งตรงปลายโต๊ะ มีซันนีนั่งตรงกึ่งกลางของทั้งสอง
ซึ่งโต๊ะนี้เป็นโต๊ะขนาดใหญ่และยาวสี่เมตร แต่เพราะความเงียบสงบ ไร้เสียงรบกวน
จึงทำให้สามารถได้ยินการสนทนาได้อย่างชัดเจน

"อย่าลืมรหัสที่ผมให้คุณไว้ก่อนจะเดินทางมาที่นี่ จำรหัสนั้นเอาไว้ และเข้าไปในห้องแชทลับนั้น
ซึ่งจะมีแค่คุณกับผมเท่านั้นที่เข้าถึงห้องแชทลับนั้นได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใด ก็สามารถติดต่อผม
ผ่านทางช่องทางนั้นได้" ลาเวนเดอร์พยักหน้าก่อนจะตักอาหารที่คนที่นั่งตรงหัวโต๊ะเป็นคนทำ
ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ได้พบเจอกับเขา ก็ไม่มีสักมื้อที่เธอจะกินอาหารฝีมือคนอื่น เขาคือ คนทำอาหารให้เธอกิน
ทุกมื้อจนกระทั่งมื้อล่าสุดนี้ก็เป็นอาหารฝีมือเขาอีกเช่นกัน

เธอไม่รู้หรอกว่า ทำไมเขาถึงไม่ให้เธอกินอาหารหรือเครื่องดื่มของใคร นอกจากมันจะมาจากมือเขาเท่านั้น
เธอแค่สัมผัสได้ถึงความห่วงใย และความใส่ใจจากเขามาโดยตลอด แม้เขาจะไม่ใช่คนพูดเยอะ
ไม่ค่อยอธิบายอะไร ๆ ค่อนข้างเป็นคนนิ่งเงียบ แต่หลาย ๆ การกระทำของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
อบอุ่นใจ เธอจึงสยบยอมเชื่อฟังเขาแต่โดยดี

"ในนั้นมีข้อตกลงที่ว่าใช่มั้ยคะ"

"ใช่ ต่อไป มีเรื่องสำคัญอะไรก็ให้คุณติดต่อผมผ่านช่องทางนี้เท่านั้นนะ" น้ำเสียงนั้นไม่ใช่คำขอร้อง
แต่ฟังดูเหมือนจะเป็นคำสั่งเสียมากกว่า

"ฉันเข้าใจค่ะ"

"ดีแล้ว ที่คุณเข้าใจอะไรง่าย ๆ แบบนี้ ผมขอให้คุณรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดไปนะ" แม้คำพูดจะไม่ได้ฟังดูนุ่มนวล
รื่นหู แต่เธอก็สัมผัสถึงความจริงใจอยู่ในนั้น

"ค่ะ"

"อาหารเป็นอย่างไรบ้าง" เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ น้อยนักจะได้ยินน้ำเสียงที่หวานละมุนจากเขา

"อร่อยเสมอต้นเสมอปลายค่ะ อร่อยมาก ๆ" ลาเวนเดอร์ตอบไปตามตรงพร้อมรอยยิ้มจริงใจ ใสซื่อ
หากนั่นก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าเรียบ ๆ ของเขาเกิดแรงกระเพื่อม ๆ ใด ๆ ยังคงเรียบสนิทดุจเดิม

เธอก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่า ต่อไปจะใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายเช่นเขาอย่างไร
เขาเป็นคนดูยาก เข้าถึงยาก และคาดเดาอะไรไม่ได้เลย แต่ก็มีเพียงเขาที่ยอมช่วยเหลือเธอนี่นะ
ไหนจะซันนีอีก ตอนนี้เธอเริ่มสนิทกับซันนีไปแล้ว แต่กับเขายังมีระยะห่างระหว่างกันอีกกว้างไกล
และลึกเกินจะหยั่งถึง

ยิ่งเมื่อมองไปยังตัวเขาก็เหมือนมีรัศมีอันสูงส่งแผ่ออกมา จนทำให้เธอที่ตอนนี้มีสถานะเป็นเจ้าหญิง
ยังรู้สึกว่าต้องแหงนหน้าขึ้นมองเขา เขาที่ดูสูงส่งเกินเอื้อมถึง อีกทั้งยังแผ่พลังอำนาจบางอย่างออกมา
จนเธอต้องยำเกรงและนบนอบให้กับเขาโดยไม่อาจต้านกระแสนี้ได้เลย

เมื่อรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ลาเวนเดอร์ก็ลุกขึ้นเดินไปหาเขาที่ตอนนี้ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
ที่คงจะสูง 190 เซนติเมตรขึ้นไปเป็นแน่ เพราะขนาดว่าส่วนสูงของเธอ 175 เซนติเมตรแล้ว
ก็ยังสูงแค่บ่าของเขาเท่านั้น ทำให้ต้องแหงนหน้าเพื่อคุยกับเขาเช่นเดิม เขาเองก็ไม่ได้ก้มลงมามองเธอ
ดวงตาก็หันเหไปทางอื่น

"ฉันขอถามคุณหมอสักข้อได้มั้ยคะ และขอคำตอบที่ตรงไปตรงมาด้วย" เขาพยักหน้าเพียงนิด
ลาเวนเดอร์ลอบผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปว่า

"คุณหมอเป็นใครกันแน่คะ? และเกี่ยวข้องกับนาตูเซียรึเปล่า?" เขาหันมามองเธอเพียงนิด
ก่อนจะหันไปอีกทาง ไม่ยอมขยับปากตอบคำใด ๆ ออกมา

"หรือว่าฉันที่จะเข้าพิธีแต่งงานกับคุณหมอไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้?"

"วันแต่งงาน คุณก็จะได้รู้คำตอบนี้อย่างแน่นอน" เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินจากไป ทำเอาคนถาม
ถึงกับหน้าเหวอ หันไปทางซันนี ที่ก็ยืนส่ายหน้าไปมาด้วยสีหน้าแววตาไม่ได้แตกต่างไปจากเธอ

"ยิ่งวันเขาก็ยิ่งดูลึกลับขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามั้ยคะคุณซันนี" ลาเวนเดอร์เปรยออกมาด้วยสีหน้ากังวล

"คุณหมอเป็นคนแบบนี้มานานแล้วค่ะ คนที่ยากจะเข้าถึง และยากจะคาดเดา" ลาเวนเดอร์เห็นด้วยสุด ๆ
ทว่า สิ่งที่ซันนีเอ่ยออกมาหลังจากนั้น ทำเอาลาเวนเดอร์ถึงกับสะดุดลมหายใจ

"ก็ไม่ได้ต่างกันกับคุณค่ะ คุณน่ะเหมือนดินแดนอันลี้ลับที่ยากจะเข้าใจได้"

"ฉันน่ะหรือคะ?" ซันนีพยักหน้าหนัก ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง

"นับว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากที่สุดแล้วค่ะ เพราะคงมีเพียงคนแบบคุณหมอที่จะแก้ปริศนาอย่างคุณได้
คุณเองก็คงมีอะไรหลายอย่างที่เปิดเผยไม่ได้ และเป็นความลับอยู่ ไม่งั้น คุณในวัยเท่านี้คงไม่มีความกล้าหาญ
มากถึงเพียงนี้ ว่ามั้ยคะ?" ว่าพลางสายตาของซันนีก็มองไปยังสร้อยคอที่มีจี้โอปอลไฟซึ่งลาเวนเดอร์
สวมใส่มันไว้นอกอาภรณ์ ทั้งที่ปกติจะไม่หยิบมาใส่ แต่ก็นำมันมาสวมใส่ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ดินแดนนี้

"คุณกำลังตามหาอะไรกันแน่คะ? คงไม่ใช่แค่สาวน้อยใสซื่อตามหาพ่อกับแม่หรอกใช่มั้ยคะ?"
คำพูดนี้ของซันนีทำเอาใบหน้าที่สว่างไสวถึงกับครึ้มลงทันที


........................โปรดติดตามตอนต่อไป..................................



หายไปนานเลยค่ะ

ขอโทษนักอ่านทุกๆท่านที่กำลังติดตามอ่านเรื่องนี้ด้วยมากๆนะคะ

เพราะมีภารกิจมากมายให้ต้องสะสางและยุ่งมากจริง ๆ 

ขอกำลังใจด้วยนะคะ 

คิดถึงเสมอค่ะ

 













yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.ย. 2567, 17:35:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.ย. 2567, 17:35:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 78





<< บทที่ 16 เพราะคุณคือ ความสงบ   บทที่ 18 สถาปนา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account