Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้
วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้
ตอน: บทที่ 18 สถาปนา
"คุณหมอครับ ท่านเรียกให้เข้าพบครับ"
วาลองโซลกระตุกมุมปากเพียงนิดเมื่อคนสนิทของกษัตริย์อุบัยดะห์เดินทางมาหาเขา
เพื่อให้เขาเข้าพบตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ อีกทั้งยังเลือกจะพบเจอเขา ก่อนจะเรียกพบลูกสาวแท้ ๆ ของตน
ช่างเป็นพ่อที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาได้พบเจอมา
แววตาคมกริบส่องประกายเจิดจ้าก่อนจะเดินตามคนสนิทของประมุขแห่งดินแดนนี้ไปยัง 'ห้องลับ'
"อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮิ วะบารอกาตุ" เป็นองค์กษัตริย์ในชุดลำลองเรียบง่ายทักทายขึ้น
เมื่อแขกที่ได้รับเชิญมายืนอยู่เบื้องหน้า
"วะอะลัยกุมุสลาม วะเราะมาตุลลอฮิ วะบารอกาตุ" วาลองโซลตอบรับคำทักทายกลับด้วยท่าทีสุขุมและสุภาพนอบน้อม
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะหลาน เชิญนั่งสิ" กษัตริย์อุบัยดะห์ผายมือเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงตรงที่นั่ง ยังฝั่งตรงข้าม
และเน้นคำว่า 'หลาน' ออกมาด้วยรอยยิ้มที่ยากจะอ่านออกว่าหมายความถึงอะไร
"ขอบพระทัย" วาลองโซลเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ คงความสุขุมและนิ่งสงบ
ทำให้อีกฝ่ายถึงกับพยักหน้าด้วยสีหน้าพออกพอใจ
"ขอบคุณหลานนะที่เลือกลูกสาวน้า" วาลองโซลกระตุกหัวคิ้วเพียงนิดที่อีกฝ่ายดูจะเข้าเรื่องอย่างไว
จนเขาอดทึ่งไม่ได้ นี่สินะ ผู้นำแห่งดินแดนนี้ ที่มาพร้อมกับความเด็ดขาดและฉับไว
"มิบังอาจขอรับ" เขาเอ่ยด้วยท่าทีถ่อมตน
"ทำไมจึงต้องพูดจาอย่างห่างเหินกันเช่นนี้เล่า เราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล"
"ทำไมพระองค์ถึงรู้เรื่องนี้" วาลองโซลค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายมีความลับมากมายซ่อนเร้น
"หลานไม่เคยส่องกระจกหรือ? ในนั้นไม่ได้บอกอะไรเลยหรือ?" วาลองโซลกระตุกยิ้มตรงมุมปาก
เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย ก่อนจะรับมันไว้เมื่อมันถูกยื่นมาให้กับเขา ชายหนุ่มมองภาพภ่าย ในกรอบรูปเล็กๆ
เป็นภาพคู่กันของสองหนุ่มสาวในชุดแต่งงานซึ่งเป็นชุดประจำชาติของประเทศนี้
"น้าได้สั่งตัดชุดที่เหมือนชุดของทั้งสองให้กับเราสองคนได้สวมใส่ในพิธีนิกะห์เอาไว้นานแล้ว
รอวันที่หลานจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากสู่ขอองค์หญิงลัยลาลิณด้วยตัวเอง และในที่สุด วันนี้ที่รอคอยก็มาถึง"
กษัตริย์อุบัยดะห์มองว่าที่ราชบุตรเขยตรงหน้าด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อวาลองโซลเงยหน้าขึ้นมามอง เขาจึงส่งยิ้มให้อย่างละมุน
"มารีอานน์อาจจะปกปิดและตบตาอะไรเอาไว้ก็จริง แต่ดีเอ็นเอน่ะ มันไม่จำเป็นต้องเอาเลือดไปตรวจเสมอไป
ถึงจะรู้ได้หรอกนะ เพราะมันคือ ทั้งเนื้อทั้งตัวของคนคนนึงที่ถูกถ่ายทอดรหัสพันธุกรรมมา
ทำไมน้าจะดูไม่ออก หลานเองก็ย่อมต้องรู้ตัวมานานมากแล้ว ยิ่งเป็นหมอยิ่งยากที่จะไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นใครกันแน่"
วาลองโซลพยักหน้า ใช่ เขาสงสัยเกี่ยวกับตัวเองมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ
และเริ่มสืบหาตัวตนของตัวเองมาตลอดตั้งแต่นั้น ในเมื่อเขาสืบจนรู้ว่าลาเวนเดอร์คือ ใคร
ทำไมเขาจะสืบไม่รู้ว่า ตัวเองคือ ใคร
"น้าไม่รู้นะว่าหลานคิดและวางแผนอะไรเอาไว้ในใจบ้าง แต่น้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก
และสมปรารถนาอย่างที่สุดที่หลานกับลูกสาวของน้าได้แต่งงานเป็นคู่ชีวิตกัน
และน้าก็เต็มใจที่จะยก ราชบัลลังก์นี้ให้หลานนั่งบริหารจัดการเป็นคนถัดไป
น้าจะคืนในสิ่งที่พ่อของหลานควรจะได้รับ ให้กับทายาทของเขา"
วาลองโซลถึงกับสะดุดลมหายใจกับประโยคสุดท้ายนั่น เขาไม่คาดคิดว่า สิ่งนี้จะหลุดออกมาจากปากของคนตรงหน้า
ที่เขามั่นใจมาโดยตลอดว่าคือ คนที่แย่งชิงบัลลังก์นี้ไปจาก บิดาของเขาและอาจอยู่เบื้องหลัง
การเสียชีวิตอย่างปริศนาของใครหลาย ๆ คนในอดีต จนเผลอพูดออกมาว่า
"ทำไม?" กษัตริย์อุบัยดะห์ยิ้มบางก่อนจะผ่อนลมหายใจ เอนกายพิงพนักอย่างผ่อนคลาย
แล้วคลี่คลายความข้องใจนั้นของอีกฝ่ายว่า
"อาณาจักรแห่งนี้ เป็นของสองตระกูลผู้ก่อตั้ง ซึ่งต่างสลับสับเปลี่ยนประมุขกันมาโดยตลอด
ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้ความขัดแย้งและความบาดหมางใด ๆ พวกเราสองตระกูล ล้วนปรองดองรักใคร่
เชื่อมสัมพันธ์กันด้วยการให้ลูกหลานจากทั้งสองตระกูลได้แต่งงานกัน
นี่คือ พันธสัญญาที่ทั้งสองตระกูลได้ร่วมให้สัตยาบันกันเอาไว้ เพราะทั้งสองผู้นำจากสองตระกูลผู้ก่อตั้ง อาณาจักรแห่งนี้
คือ สหายที่รักใคร่สนิทสนมกัน ร่วมเป็นร่วมตายกันมา หวังให้อาณาจักรแห่งนี้เป็น อาณาจักรแห่งรัก"
น้ำเสียงนั้นหยุดลงพร้อมรอยยิ้มและแววตาที่ลึกล้ำ ยากจะหยั่งถึง ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมายามทอดสายตา
ไปยังภาพถ่ายในมือของวาลองโซล
"น้ารู้ตัวตั้งแต่ถือกำเนิดแล้วว่าตนเองไม่ใช่รัชทายาทที่จะขึ้นเป็นประมุขคนต่อไป จึงไม่เคยคิดหรือวางแผนอะไร
เพื่อเตรียมตัวขึ้นเป็นประมุขของดินแดนนี้เลย น้าคิดหวังแค่อยากจะใช้ชีวิตคู่อย่างสงบสุขกับสตรีที่น้ารักและพึงใจ
ได้มีลูกกับนางและช่วยนางดูแลเลี้ยงดูลูก ๆ ด้วยกัน วันที่ต้องขึ้นมานั่งตรงตำแหน่งนี้ คือ วันที่น้าเจ็บปวดอย่างที่สุด
น้าสูญเสียทั้งหญิงที่น้ารักไปพร้อมๆ กับลูกที่เกิดจากนางอันเป็นที่รัก ไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนรักและลูกสาว
ซึ่งเป็นสายเลือดของน้าเพียงคนเดียวได้ และยังประสบอุบัติเหตุจนเป็นหมันในเวลาต่อมา
ทำให้น้าไม่สามารถมีทายาทคนต่อไป ได้อีกแล้ว มีเพียงลัยลาลิณเท่านั้นที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของน้าแต่เพียงผู้เดียว
ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงไม่ได้ยึดติดกับอำนาจและลาภยศสรรเสริญหรอกนะหลาน เมื่อยามต้องสละ
น้าก็พร้อมยินดีจะสละ ซึ่งหลานคือ รัชทายาทคนถัดไปแห่งอาณาจักรของเรา
มิใช่ลูกสาวของน้าอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจกันหรอกนะ เพราะแผ่นดินนี้ สตรีถูกห้ามขึ้นเป็นประมุขของแผ่นดิน
และหลานคือ ทายาทคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ จากอีกสายตระกูลที่ต้องสลับกันมาปกครองดินแดนนี้ต่อจากตระกูลของน้า"
วาลองโซลรู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เขาไม่คาดคิดว่า
ข้อตกลงและเงื่อนไขต่าง ๆ จะเป็นเช่นนี้มาก่อน เขาเพียงต้องการจะทวงคืนความเป็นธรรมให้กับบิดาและมารดาที่แท้จริงของเขา
เพียงเท่านั้น แม้ทั้งสองจะไม่เคยเลี้ยงดูอุ้มชูเขา หรือแม้แต่น้ำนมสักหยดก็ไม่เคยได้รับจากอกมารดา
หากเขาก็คือ ลูกชายของทั้งสอง เขาจะไม่ยอมให้ทั้งสองจากไปโดยไม่ได้รับความยุติธรรม
"หลานไม่มีอะไรจะพูดหรือถามอะไรหรือ?" เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเงียบ กษัตริย์อุบัยดะห์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
เพื่อทำลายความเงียบนี้ลง
"องค์หญิงซาฟียะห์ผู้เป็นมารดาที่แท้จริงของผมนั้นเป็นพี่สาวร่วมบิดาของท่านน้า
เป็นองค์หญิงใหญ่ของกษัตริย์บัดรอน แม้จะคนละมารดากัน ไม่ได้คลอดมาจากท้องเดียวกันก็ตาม
แต่ก็มีบิดาคนเดียวกัน ผมแค่อยากรู้ว่าที่ผ่านมาท่านน้าเคยมีความคิดที่จะทวงคืนความยุติธรรม
ให้พี่สาวแท้ ๆ ของตัวเองบ้างหรือไม่? เคยรู้สึกเจ็บปวดบ้างหรือไม่กับการจากไปของพี่สาวเพียงคนเดียว
พี่สาวที่จะต้องขึ้นเป็นองค์ราชินีคนต่อไป ท่านน้าเคยคิดถึงบ้างหรือไม่"
น้ำเสียงตอนท้ายนั้นทำให้คนฟังสัมผัสได้ถึงความเจ็บลึกของคนพูด
"น้ากับพี่หญิงสนิทกันมาก ไม่มีสักวันที่น้าจะลืมพี่สาวคนนี้ของน้าหรอกนะหลาน"
แววตาของคนพูดเริ่มมีน้ำใส ๆ เอ่อคลอ แต่ก็เพียงไม่นาน น้ำใส ๆ นั่นก็พลันหายไป ก่อนจะลุกขึ้นยืดตัวตรง
จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ราวกับจะบอกอีกฝ่ายว่า หมดเวลาสนทนาแล้ว ไม่วายทิ้งท้ายเอาไว้
"ลัยลาลิณ ต้องรับผลกระทบมากมายจากการที่บิดาตัวเองขึ้นเป็นประมุข หลานคิดว่า
คนเป็นพ่อควรต้องรู้สึกอย่างไรกับการเฝ้ามองดูชะตากรรมอันเลวร้ายมากมาย ที่ลูกสาวตัวเองต้องเผชิญ
โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่าที่เป็นมาและกำลังทำอยู่ แล้วจะไถ่โทษอย่างไร จึงจะสาสม
น้ารอคอยวันเวลานี้มาตลอด วันที่ลัยลาลิณเดินทางกลับสู่อ้อมกอด ของแผ่นดินพ่อของตัวเอง"
กับประโยคต่อมา ที่เอ่ยออกมาขณะหันหลังให้วาลองโซล
"หลานค่อยถามตัวเองเถิดว่า หลานจะทำอย่างไร ในวันที่ได้รู้ความจริงทั้งหมด
ซึ่งวันนั้นน้าอาจจะไม่ได้มีลมหายใจอยู่เพื่อที่จะเป็นที่ปรึกษาได้อีกเหมือนครั้งนี้ น้าเอง ไม่ได้อยากเกิดมาในสายเลือดขัตติยา
ไม่ได้อยากเกิดในราชวงศ์ หรือเป็นลูกหลานของราชวงศ์ และยิ่งไม่ต้องการดึงให้ลูกสาวของตัวเองต้องมาอยู่ในราชวงศ์
แต่ น้าเลือกตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะชีวิตและหัวใจก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าการได้ค้ำจุนบ้านเมือง
ให้สงบร่มเย็นและเป็นปึกแผ่น น้าหวังว่าเมื่อถึงวันนั้น หลานจะไม่ทอดทิ้งลูกสาวของน้าเหมือนที่น้าต้องทอดทิ้งลูกเมียของตัวเอง
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น หลานก็จะอยู่โดยไม่เหลือใครแบบเดียวกับน้าไปทั้งชีวิต ไม่เหลือใครเลยสักคน"
หากวาลองโซลได้เห็นใบหน้าของคนพูดที่ยืนหันหลังให้ก่อนเดินจากไปเพียงสักนิด
เขาก็คงจะได้เห็นน้ำตาของนักโทษคนนึงที่รอวันขึ้นแท่นประหาร
......
ข่าวเรื่องที่กษัตริย์อุบัยดะห์รับตัวลูกสาวที่หายตัวไปตั้งแต่แรกเกิดคืนกลับสู่วังหลวง
ถูกแพร่กระจายไปทั่วประเทศภายในพริบตา และผู้คนมากมายต่างก็เฝ้ารอจะยลโฉมขององค์หญิงลัยลาลิณ
ที่หายไปตัวไปร่วมยี่สิบปีในพิธีสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพิธีนิกะห์ที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ลาเวนเดอร์หรือองค์หญิงลัยลาลิณที่วันนี้อยู่ในชุดแต่งงานประจำชาติ เป็นสีขาวสะอาด ปักด้วยลูกไม้สีทองทั้งชุด
การตัดเย็บที่ประณีตและการปักลวดลายด้วยมือนั้นเป็นการสืบทอดภูมิปัญญาของชาวเมืองแห่งนี้
ทำให้ชุดแต่งงานประจำชาติที่สวยสง่า งดงาม สูงส่งยิ่งหาใดเทียบเมื่อถูกสวมด้วยสตรีผู้มีความงาม ที่ไร้ที่ติ
ผ้าคลุมฮิญาบสีเดียวกับชุดถูกคลุมบนศีรษะที่เกล้ามวยผมไว้อย่างงดงาม
เธอมองชุดอย่างพินิจพิจารณาแล้วได้แต่ยิ้ม เพราะได้รู้มาว่า บิดาของตนเป็นผู้ตระเตรียมทุกอย่างนี้ไว้
สำหรับตนมาเนิ่นนานแล้ว ซึ่งบ่งบอกว่า พ่อไม่เคยลืมเธอ ไม่เคยเห็นเธอไร้ตัวตน
และยังคงรอวัน ที่เธอจะกลับมาอยู่กับท่าน แค่นี้หัวใจน้อยๆ ของเจ้าหญิงแห่งนาตูเซียก็เต็มตื้นจนล้นปรี่
"สวยเหลือเกินค่ะ สวยจนไร้ที่ติเลย" ซันนีที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของเจ้าสาวที่ยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ตรงหน้ากระจก
ใบหน้าที่อิ่มเอิบ เปล่งประกายความสุขออกมา ทำให้โลกดูสว่างไสวไปด้วย
"หันมาสิคะ เดี๋ยวซันนีจะปิดหน้าให้" พูดพลางนำผ้าไหมสีขาวขึ้นมาคาดปิดหน้าที่งดงามไร้ที่ตินั้นไว้
"ขนาดผ้าก็ยังปิดความสวยงามนี้ไว้ไม่มิดเลยค่ะ ช่างเกินบรรยาย คุณหมอต้องตะลึงเป็นแน่ถ้าได้เห็น"
เหมือนจะอดแซวให้อีกฝ่ายเขินไม่ได้ขึ้นมา ซึ่งได้ผล สองแก้มที่อยู่ภายใต้ผ้าไหมสีขาวแดงระเรื่อทันที
"กษัตริย์อุบัยดะห์ช่างเอาใจใส่เหลือเกิน ชุดเจ้าสาวนี้เกินจะบรรยายจริง ๆ ค่ะ เหมาะสม ลงตัว
และสง่างามไม่มีใครเทียบเทียม" คนชมก็ยังชมไม่หยุดปาก ชมทั้งปากทั้งตา
จนคนฟังเริ่มส่ายหน้าไหว ๆ ให้ด้วยความเอ็นดูอีกฝ่าย
"คุณซันนีก็รีบ ๆ แต่งสิคะ เดี๋ยวฉันน่ะจะสั่งทำชุดแบบนี้ให้สักชุดให้สวมดีไหมคะ?"
"อุ๊ย มิบังอาจ ชุดแบบนี้ถูกสงวนแค่คนในราชวงศ์ของนาตูเซียสวมใส่ในพิธีเสกสมรสเท่านั้น
ตอนนี้คงไม่มีเจ้าชายแห่งนาตูเซียเหลือให้ซันนีได้แต่งงานแล้วล่ะค่ะ ฮ่าๆๆๆ"
"ใครว่าละคะ ฉันน่ะได้ยินมาว่า ลูกบุญธรรมของท่านพ่อน่ะ ยังโสดอยู่เลย อิอิ" ลาเวนเดอร์แซวอีกฝ่ายกลับ
อยากเห็นซันนีหน้าแดง แต่กลับไม่เป็นผล แทนจะเขินกลับขำเสียนี่
"มิอาจเอื้อมเจ้าค่ะ" ก่อนจะกระซิบเบา ๆ ข้าง ๆ หูลาเวนเดอร์อย่างหยอกเย้าว่า
"เจ้าชายยังละอ่อนนัก ไม่ไหวหรอกกระมังเจ้าคะองค์หญิงหญ่าย" ลาเวนเดอร์หัวเราะเบา ๆ
เมื่อนึกถึง น้องชายบุญธรรมในวัย 15 ปี ซึ่งอายุน้อยกว่าเธอ 5 ปี เธอเองก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไป ของน้องชายบุญธรรมนัก
แต่อีกไม่นานคงได้รู้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีไม่ปลื้มเธอสักเท่าไหร่ก็ตาม ก็นะ จากที่เป็นศูนย์กลางของทุกคนในวัง
ตอนนี้กลับมีเธอมาแย่งซีน เป็นใครก็ต้องไม่ปลื้ม คนที่มาแย่งซีนตนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
แต่ก็นั่นแหละ เธอที่เป็นลูกแท้ ๆ พ่อของเธอยังไม่ยอมพบเธอเลย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
ถึงกระนั้น วันนี้ อีกไม่กี่อึดใจ เธอก็จะได้เผชิญหน้ากับพ่อบังเกิดเกล้าของตนเองแล้วล่ะ ยิ่งกว่าการอยากเห็นหน้าเจ้าบ่าว
ก็คือ การได้เห็นหน้าพ่อผู้ให้กำเนิดที่เธอรอคอยเวลานี้มาตลอดชีวิต
"มือเย็นจังเลยค่ะ ตื่นเต้นหรือคะ?" ลาเวนเดอร์พยักหน้าเมื่ออีกฝ่ายถามขึ้นขณะกุมมือเธอเอาไว้ ก่อนจะสวมถุงมือสีขาวให้
"เป็นซันนีก็ตื่นเต้นค่ะ จะได้พบพ่อ ไหนจะได้เจอคู่ชีวิตที่รออยู่ข้างนอกอีก"
รอยยิ้มของซันนี ทำให้ลาเวนเดอร์ยิ้มตาม หากก็อดไม่ได้ที่จะบีบมือของซันนีไว้
"หวังว่าวันนี้ ทุกอย่างจะราบรื่นนะคะ"
"อย่ากังวลไปเลยค่ะ มีคุณหมออยู่ทั้งคน" ลาเวนเดอร์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงแววตานิ่งสงบของวาลองโซล
ที่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ก็ยากเหลือเกินที่จะดึงใจตัวเองออกมาได้โดยง่าย
ราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาลจับหัวใจเธอเหวี่ยงเข้าไปติดกับดักหลุมพรางนั้น
"คุณซันนีคิดว่า มีผู้ชายธรรมดาคนไหนบ้างหรือคะ ที่กล้าสู่ขอบุตรีของกษัตริย์แห่งดินแดนหนึ่ง
โดยไม่มีแม้แต่ความประหม่า ยังคงสงบนิ่ง มั่นคง ไม่ไหวติงเลย"
ลาเวนเดอร์อดกังขากับท่าทางของว่าที่สามีไม่ได้
"แม้แต่วันแต่งงาน เขาก็ยังคงนิ่ง ไม่เห็นแววตาตื่นเต้นหรือทำตัวไม่ถูกแบบฉันเลยค่ะ"
"นั่นเพราะคุณหมอยังไม่เห็นเจ้าสาวของเขาในตอนนี้นี่คะ เลยยังเก็บทรงมาได้ตลอด
เดี๋ยวก็รู้ค่ะว่า จะหลุดมาดนิ่งๆ นั่นมั้ย จะเสียอาการขนาดไหน" ซันนีพูดจบก็ยิ้มออกมาด้วยแววตาซุกซน
"ฉันส่งผลต่อเขาด้วยหรือคะ"
"บอกเลยว่ามากค่ะ"
"แต่ฉันว่าไม่เลยค่ะ" ลาเวนเดอร์รู้สึกลึก ๆ ว่า วันนี้ต้องมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นแน่นอน
เธอเป็นคนมีความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงบางอย่างล่วงหน้า และเหมือนจะรู้สึกรุนแรงถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้
"เขาดูเป็นคนที่อยู่เหนือทุกคน เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่ยากจะเข้าใกล้ ดวงเดียว โดดเด่นอยู่บนนั้น
เป็นดวงอาทิตย์ที่สงบ ส่วนฉันคือ กลางคืนที่มืดมิด ฉันรู้สึกแบบนั้นค่ะ" ซันนีบีบมือลาเวนเดอร์เบาๆ ก่อนจะพูดว่า
"คุณชื่อลาเวนเดอร์ และคุณหมอชื่อ วาลองโซลซึ่งเป็นชื่อสถานที่ที่มีดอกลาเวนเดอร์ที่งดงามที่สุดในโลกอยู่ที่นั่นเลยนะคะ
ฉันว่าคนที่ตั้งชื่อสองชื่อนี้ให้กับคุณสองคนน่าจะคิดอะไร ๆ เอาไว้แล้วละคะ"
คำพูดนี้ทำเอาลาเวนเดอร์ถึงกับหัวใจกระตุก เพราะเธอรู้มาว่า คนที่ตั้งชื่อนี้ให้เธอกับคุณหมอ คือ มาดามมารีอานน์และสามี
ซึ่งเป็นบิดามารดาของคุณหมอ แล้วลาเวนเดอร์ก็พูดบางอย่างออกมา
ซึ่งทำให้ซันนียิ่งมองหญิงสาวตรงหน้าพิเศษจากเดิมขึ้นไปอีกขั้น
"มาดามมารีอานน์กับสามีชาวญี่ปุ่นของท่านไม่ใช่พ่อแม่ที่ให้กำเนิดคุณหมอมาใช่มั้ยคะ?
คุณหมอไม่ใช่ลูกแท้ของท่านทั้งสองใช่มั้ยคะ?"
"ทำไมถึงถามแบบนี้ละคะ? สงสัยในเชื้อสายคนอื่นแบบนี้ออกจะเสียมารยาทอยู่นะคะ"
เหมือนจะคอยปรามให้อีกฝ่ายหยุดความคิดความสงสัย ทว่า กลับไม่เป็นผล
"คุณหมอไม่มีเชื้อญี่ปุ่นอยู่บนใบหน้า เขาเหมือนมีเชื้อสายของชาวเซอร์คัสเซียนมากกว่าค่ะ
และมาดามมารีอานน์ไม่มีเชื้อของชาวเซอร์คัสเซียนให้เห็นเป็นเด่นชัดเลย ทั้งที่เชื้อสายเซอร์คัสเซียนนั้น
มีเอกลักษณ์โดดเด่น และคุณหมอก็ดูเย็นชาอย่างประหลาดกับครอบครัวตัวเองอีก"
"ช่างสังเกตนี่คะ แสดงว่าคุณสนใจคุณหมอมาตั้งนานแล้วจริง ๆ ด้วย"
"ก็ทำไมจะไม่สนใจละคะ คุณหมอออกจะหล่อขนาดนั้น" ซันนีอดส่ายหน้าอย่างเอ็นดูให้กับความตรงไป ตรงมานั้นไม่ได้
"ทำอะไรก็อร่อยทุกอย่าง แบบนั้นจะไม่ให้สนใจได้ยังไงกันละคะ" น้ำเสียงที่เจือปนความเขินอายนั้น ทำให้คนฟังถึงกับยิ้มกว้าง
"ยิ่งพอตัดสินใจจะแต่งงานกับฉัน ยิ่งไม่สนใจอีกว่ามาดามมารีอานน์จะคิดจะรู้สึกยังไง จะมาร่วมงานมั้ย
มันผิดวิสัยแม่ลูกที่รักใคร่ปรองดองกันอย่างดีแบบที่ถูกสร้างภาพให้ฉันเห็นมาค่ะ ฉันน่ะเจอคนมาหลายแบบ
ไม่ยากหรอกค่ะที่จะดูออกว่า อะไรเป็นธรรมชาติ อะไรคือ การปรุงแต่งและสร้างภาพ และดูไปแล้ว
คุณหมอจะอึดอัดกับการสร้างภาพครอบครัวอบอุ่นเอามาก ๆ ด้วย ยิ่งกับน้องสาว หน้าตาและนิสัยไปคนละทางเลย"
"เก็บรายละเอียดซะไม่ให้ร่วงตกหล่นบ้างเลยหรือคะเนี่ย" ซันนีแซว
"ถ้าวันใดคุณซันนีเจอคนที่คุณซันนีสนใจมาก ๆ คุณซันนีก็จะจับตาเขา จดจ้องเขา ส่องเขา
สอดแนม ไม่ใช่สิ สืบเกี่ยวกับชีวิตเขา ไม่อาจละสายตาจากเขาไปได้ แม้จะต้องแอบทำไม่ให้เขารู้ก็ตามค่ะ"
"นี่ยังคิดว่า แอบได้แนบเนียนจนคุณหมอไม่รู้จริง ๆ หรือคะนั่น" ซันนีอดไม่ได้ที่จะแซวไม่หยุด
"เขาไม่รู้หรอกค่ะ ฉันว่าฉันทำเนียนอยู่นะ"
"ถ้าซันนียังจับได้ คุณหมอก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้วค่ะ นั่นน่ะ มีสัมผัสพิเศษนะบอกไว้ก่อน"
"โห สัมผัสพิเศษเลยหรือคะ"
"เดี๋ยวแต่งงานและอยู่กันไปก็จะรู้เองค่ะ แต่ซันนีขอเตือนไว้อย่างนึงนะคะว่า อย่าทำให้คุณหมอหึง"
"ทำไมละคะ หึงแล้วจะเป็นยังไง?"
"มาดนิ่งๆ แบบนั้น ซันนีมั่นใจว่า หึงโหดแน่นอนค่ะ"
"อย่ามาขู่กันเลยค่ะ อีกอย่าง ฉันน่ะไม่มีใครให้เขามาหึงหรอกค่ะ หล่อซะขนาดนั้นฉันจะหันสายตาไปมองใครได้อีกละคะ
ไหนจะแสนดีทำของกินอร่อย ๆ มาให้กินตลอดอีก ไม่รอดจะไปสนใจชายใดแล้วค่ะ หยุดตรงนี้ที่คุณหมอคนเดียว
จอดสนิทแล้วแน่นอนค่ะ ไว้ใจได้"
"แน่นะ!" เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของซันนีนี่นะ และดังมาทางประตูห้องอีก หรือว่า...
ลาเวนเดอร์หันไปทางประตู พบร่างสูงสง่าของว่าที่สามีในชุดเจ้าบ่าวที่ดูดีดูสง่างามจนต้องรีบก้มหน้าลงต่ำ
กลัวว่า หัวใจจะถูกกระชากไป นี่ขนาดมีม่านโปร่งฉลุลายกั้นไว้ ก็ยังทำเอาใจเธอสั่นได้ขนาดนี้แล้ว
ไม่รู้มายืนอยู่นานแค่ไหนแล้ว คงได้ยินหมดแล้วแน่ ๆ เลย เขินอ่ะ ทำไงดี
"ผมเอานมอูฐผสมอินทผาลัมบดกับเค้กส้มมาให้คุณกินก่อน และห้ามกินหรือดื่มอะไรในงานเด็ดขาด
นอกจากของจากมือผมก็ห้ามรับของจากมือใครนำเข้าปากตัวเอง" พูดจบเขาก็วางถาดไว้ตรงโต๊ะใกล้กับประตูทางเข้า
แล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ
"ใจคอเขาจะให้ฉันหิวตายคางานแต่งหรือคะนั่น ของที่เขาเอามาให้มันไม่พอให้ฉันอิ่มด้วยซ้ำ"
ลาเวนเดอร์แอบบ่นเมื่อซันนีนำถาดมาวางไว้ด้านในตรงหน้าตน ก่อนจะทำจมูกฟุตฟิตไปมา แล้วก็ยิ้มออกมา
เพราะเค้กส้มนั่นมันของชอบเธอเลย ทำไมถึงรู้ใจกันขนาดนี้ด้วยนะ เธอไม่เห็นจะเคยบอกเขาสักหน่อยว่าชอบเค้กส้ม
"ดูก็รู้ว่า คุณหมอทำเองกับมือ กินแล้วอิ่มไปถึงใจแน่นอนค่ะ" ซันนีแซวอย่างนึกขำกับท่าทาง
จ้องของกินตรงหน้าที่ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่เห็นของชอบแล้วตักกินโดยไม่กลัวเสียมาดหรือเสียสวย
"ห้ามเลอะนะคะ ซันนีใช้เวลานานมากกว่าจะแต่งออกมาได้ขนาดนี้"
"ถ้าเลอะก็ไม่มีใครเห็นสักหน่อย ปิดหน้าซะขนาดนี้ ฮ่าๆๆๆ" ลาเวนเดอร์ที่ตอนนี้เปิดหน้า
นั่งกินของโปรดอย่างสบายใจถึงกับอารมณ์ดี ก็จะไม่ให้อารมณ์ดีได้อย่างไร ได้กินของชอบที่แสนอร่อย
"นี่ถ้าคุณหมอไม่กลัวจะรวยละก็ ฉันว่าชวนเขาเปิดร้านอาหารน่าจะดี อร่อยขนาดนี้ จะเก็บไว้กินคนเดียว ก็ยังไงอยู่
คนอื่นๆ ควรได้กินไปด้วย"
"อวดเจ้าบ่าวเกินไปมั้ยคะ ช่วยนึกถึงใจคนฟังที่ยังโสดอยู่บ้างค่ะ"
ลาเวนเดอร์ยิ้มกว้างให้กับคนโสด ที่ไม่มีทีท่าจะยอมสละโสดไปกับใคร ทั้งที่ก็ทั้งสวยและเก่ง แถมยังฉลาดล้ำเลิศขนาดนี้
"อวดอะไรกันคะ แค่ชมไปตามความจริงก็เท่านั้นเอง ก็อร่อยจริง ๆ นี่นา หล่อก็หล่อจริง ๆ ด้วย ไม่มีอะไรให้ติได้เลยสักข้อ"
ไม่วายหันไปฉีกยิ้มให้ซันนีอย่างสบายใจ
"แถมชมไปก็ไม่เห็นจะเขิน ไม่เห็นจะเคลิ้มเลย ไม่บ้ายอด้วยอีก ชมได้สบายค่ะแบบนี้"
"รักษาความรู้สึกนี้เอาไว้นะคะ ซันนีอยากให้คุณเก็บรักษาไว้ให้ดี" ซันนีมองคนที่ตักเค้กคำสุดท้ายเข้าปากไปอย่างนึกเอ็นดู
ท่าทางการกินช่างน่ามอง ชวนให้มองเพลิน ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคุณหมอถึงทำอะไร ๆ มาเสิร์ฟให้น้องนางผู้นี้ได้กินตลอด
ทั้งที่ไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร แม้แต่มาดามมารีอานน์กับน้องสาวก็ยังไม่เคยทำให้ถึงขนาดนี้
"ก็ถ้าได้กินของอร่อย ๆ แบบนี้จากคุณหมอตลอดไป ฉันก็จะรักษาความรู้สึกนี้ไปตลอดค่ะ"
คนงามวางส้อมลงแล้วดื่มนมอูฐที่ผสมกับอินทผาลัมด้วยสีหน้าสดชื่น
"อร่อยจังเลย ลงตัวที่สุด อิ่มเลยค่ะ"
"เห็นมั้ยคะ คุณหมอกะปริมาณแม่นจะตาย จะไม่รู้ได้ไงว่าคุณจะกินอิ่มพอดี"
"คุณซันนีก็ชมเขาเกินไปมั้ยคะ" คราวนี้ซันนีถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อเจอคนสวนกลับ
"ว่าแต่ ใส่ชุดจัดเต็มซะขนาดนี้ ถ้าฉันเกิดปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา จะปลดทุกข์ยังไงละคะ"
ว่าพลางก็ลุกขึ้นมองสำรวจตัวเองไปก็คิดไปว่าจะเข้าห้องน้ำได้อย่างไรในสภาพเช่นนี้
"ตอนใส่อาจจะใส่ยุ่งยากนิดหน่อย แต่มันถอดออกง่ายมาก ๆ ค่ะ อย่ากังวลไปเลยค่ะ
เรื่องถอดให้เป็นหน้าที่เจ้าบ่าวเขาค่ะ หน้าที่ซันนีแค่ช่วยใส่ให้เท่านั้น"
ไม่พูดเปล่า คนพูดแอบยิ้มขัน สีหน้าเจ้าสาวในชุดใส่ยากแต่ถอดง่าย ที่ตอนนี้แก้มแดงเป็นลูกเชอร์รี่คู่ไปแล้ว
ก่อนจะขยี้ให้แก้มนั้น ยิ่งแดงเข้าไปอีกด้วยคำพูดถัดมา
"ถ้าอยากปลดทุกข์ ก็แค่กระซิบบอกคุณหมอ คุณหมอรู้งานอยู่แล้วค่ะ หายห่วง"
"พูดแบบนี้ ฉันก็หน้าแดงสิคะ ไม่เอาไม่พูด"
"อย่ามัวเขินอยู่เลยค่ะ มาค่ะ ปิดหน้า จะได้เวลาเข้าพิธีแล้ว" พูดแล้วก็จัดการตรวจตราใบหน้าของเจ้าสาว
แล้วใช้ผ้าปิดหน้าให้ดุจเดิม ก่อนจะยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้กับผลงานตรงหน้าที่มีเพียงตนที่คอยจัดการแต่เพียงผู้เดียว
เพราะคุณหมอไม่ไว้ใจใครให้เข้ามายุ่มย่าม เลยทูลขอให้ทางกษัตริย์ผู้เป็นบิดาของเจ้าสาวเป็นการส่วนตัว
ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยว นับว่า นอกจากจะทรงอิทธิพลแล้ว ยังสุขุมรอบคอบอย่างมาก แบบนี้
คงไม่พ้นเป็นราชบุตรเขยอันเป็นที่รักที่โปรดปรานได้ไม่ยากเย็น แต่...
"คุณซันนียังไม่ตอบฉันเลยว่า สรุปแล้ว คุณหมอเป็นลูกแท้ ๆ ของมาดามมารีอานน์กับสามีชาวญี่ปุ่น หรือเปล่า"
นั่นไง เธอไม่ลืม แม้ว่าจะถูกพาวนไปไกลแค่ไหนก็ยังจะวกกลับสู่เรื่องนี้อีกจนได้
"เอาไว้ถามราชบุตรเขยจะดีกว่ามั้ยคะ"
"แบบนี้ก็ได้หรือคะ เลี่ยงตลอดเลย" ลาเวนเดอร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะ ก่อนจะหันไปทางประตู
เมื่อมีคนสนิทของบิดาส่งสัญญาณให้เธอออกไปสู่พิธีกรรมทางศาสนาได้แล้ว
"ตื่นเต้นจังเลยค่ะ" ลาเวนเดอร์กระชับบีบมือซันนีไว้แน่น อีกฝ่ายหันมาสบตาพร้อมกับส่งกำลังใจ
"ทุกอย่างจะต้องราบรื่นค่ะ วันนี้เป็นวันของคุณ คุณทำมันได้ดีอย่างแน่นอนค่ะ"
"ขอบคุณค่ะ" ลาเวนเดอร์สวมกอดซันนีไว้แล้วกุมมือนั้น ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเก็บตัว
เดินไปตามเส้นทางที่ปูพรมแดงกับซันนีเพียงสองคน ฝั่งซ้ายจะเป็นที่นั่งของบรรดาสตรีที่มาเป็นแขกในงาน
ส่วนฝั่งขวาเป็นที่นั่งของบรรดาบุรุษที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน ใจกลางตรงสุดปลายของพรมแดง คือ บัลลังก์อันงดงาม
และยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งมีกษัตริย์ผู้ครองเมืองนั่งเด่นเป็นสง่าโดยมีองค์ราชินีนั่งเคียงข้างกัน
ที่นั่งถัดลงมามีวาลองโซลที่บัดนี้ได้ทำพิธีอากัตนิกะห์เรียบร้อยแล้วนั่งรอเธออยู่ตรงนั้น รอให้เธอตอบรับคำนิกะห์
ซึ่งเมื่อไปถึงยังหน้าบัลลังก์ ผู้ทำพิธีก็ถามว่าจะรับเจ้าบ่าวผู้นี้เป็นสวามีหรือไม่ ลาเวนเดอร์จึงตอบรับ
แล้วก้าวไปนั่งยังตำแหน่งของตนข้าง ๆ ราชบุตรเขย เขาที่ผสานมือไว้บนหน้าตักหันมาสบตากับเธอแล้ววางมือลงบนมือเธอเบาๆ
ก่อนจะกุมมันเอาไว้ แล้วสวมแหวนแต่งงานให้กับเธอ จากนั้นก็สวมสร้อยข้อมือ
ซึ่งทั้งหมดล้วนเข้าชุดกับสร้อยคอโอปอลไฟ ที่เธอสวมใส่อยู่อย่างไม่น่าเชื่อ
จากนั้น กษัตริย์อุบัยดะห์ก็ประกาศสถาปนาลูกสาวขึ้นสู่ฐานันดรศักดิ์เป็น 'องค์หญิงลัยลาลิณ' แห่ง นาตูเซีย
แล้วสวมมงกุฎเพชรที่ยอดมงกุฎคือ โอปอลไฟเม็ดสวยที่หาได้ยากยิ่ง ลาเวนเดอร์ถึงกับน้ำตาซึมออกมา
เมื่อได้สบตากับบิดาผู้ให้กำเนิดขณะที่ท่านกำลังสวมมงกุฎให้กับเธอ และยังรั้งร่างของเธอเข้าสู่อ้อมกอด
มีเสียงกระซิบเบา ๆ ข้างหูเธอว่า
"พ่อรักลูกนะลัยลาลิณ พ่อรักลูกตลอดมาและตลอดไป ลูกคือ แก้วตาดวงใจของพ่อ
สร้อยคอที่ลูกสวมใส่อยู่นี้ คือ ของหมั้นที่พ่อเคยได้ใช้หมั้นหมายแม่ของลูก แม่ของลูกสวมมันติดตัวไปเพียงสิ่งเดียว
ทิ้งที่เหลือไว้กับพ่อ วันนี้มันคือ ของลูกทั้งหมดแล้ว"
ในที่สุดเธอก็ได้รู้สักทีว่า สร้อยเส้นนี้ที่อยู่ในมือสาวชุดดำที่ตกตึกลงมาตายตรงหน้าเธอก็คือ สร้อยคอของมารดาของเธอ
"มีเพียงมงกุฎนี้ ที่พ่อตั้งใจทำมันเพื่อลูก พ่อออกแบบเองและคุมการผลิตเองทั้งหมด
เพื่อรอวันที่ลูกจะกลับมาหาพ่อ รอวันที่พ่อจะได้สวมมันให้กับลูก ลูกรักของพ่อ พ่อขอโทษสำหรับทุกอย่าง"
ลาเวนเดอร์น้ำตาร่วงพรู ส่ายหน้าเบาๆ กระชับอ้อมกอดนั้นไว้แน่น ซบหน้าลงตรงบ่ากว้าง
นี่สินะ อ้อมอกที่อบอุ่นของพ่อ เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าได้กอดแม่พร้อมกัน มันจะดีสักแค่ไหนนะ
"ยินดีด้วยนะจ๊ะลัยลาลิณ หลานรักของอา" เสียงนั้นดังมาจากองค์ราชินี ที่ก้าวเข้ามายืนอยู่เคียงข้าง
ลาเวนเดอร์ผละจากอกอันแสนอบอุ่น หันไปทางเจ้าของน้ำเสียงนุ่มหวานละมุนนั้น
แล้วเจ้าของร่างอันสง่างามและสูงส่งก็รั้งร่างเธอเข้าสวมกอดเบา ๆ ลาเวนเดอร์ยกสองมือขึ้นสวมกอดตอบ
"กลับมาสักทีนะจ๊ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับหนูนะจ๊ะ"
"ขอบคุณค่ะ" ลาเวนเดอร์ไม่รู้จะเอ่ยคำใด นอกจากคำขอบคุณ ก่อนจะเหลือบหันไปทางสวามีของตน
ที่ตอนนี้ลุกขึ้นมายืนข้าง ๆ ตน ราวกับบอดีการ์ดก็มิปาน สายตาเขาคมกริบราวกับเหยี่ยวที่คอยกวาดสายตาไปทั่วอยู่ตลอดเวลา
เมื่อลาเวนเดอร์ผละจากองค์ราชินี จึงเป็นเขาที่รั้งแขนของเธอเข้าไปชิดใกล้ แล้วหันหน้าไปยังแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน
จากนั้น ทุกคนก็ต้องประหลาดใจ เมื่อมีเสียงประกาศก้อง จากกษัตริย์อุบัยดะห์ว่า
"วันนี้เป็นวันที่เรารอคอยมาตลอดชีวิต วันที่ได้ธิดาคืนกลับสู่อ้อมกอดพร้อมด้วยบุตรเขย
ผู้เป็นราชบุตรหรือโอรสเพียงผู้เดียวของท่านพี่ อิคติยารุดดีน บิน บะฮฺรุดดีน อัลอะรูมี อดีตองค์รัชทายาท
ที่เสียชีวิตไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เขาผู้นี่ก็คือ ราชปนัดดา (เหลน) ขององค์ปฐมกษัตริย์แห่งนาตูเซีย กษัตริย์อะมีนุดดีน
ผู้ก่อตั้งประเทศนาตูเซียแห่งราชวงศ์อัลอะรูมี"
นั่นทำให้เกิดเสียงอื้ออึ้งดังไปทั่วท้องพระโรงยิ่งกว่าข่าวการสถาปนาองค์หญิงลัยลาลิณ
ที่ผู้คนได้ทราบข่าวล่วงหน้ามาบ้างแล้ว แม้แต่องค์ราชินีเองก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
มีเพียงกษัตริย์อุบัยดะห์เท่านั้นที่รู้ในเรื่องนี้ ซึ่งผู้คนทั่วประเทศต่างรู้มาโดยตลอดว่า อดีตองค์รัชทายาท อิคติยารุดดีน
และชายาเอกนั้นได้ให้กำเนิดโอรส แต่โอรสก็ได้สิ้นชีพลงในเวลาต่อมา พร้อมพระมารดาหลังจากคลอดบุตร
จากนั้นเพียงไม่กี่วัน อดีตองค์รัชทายาทก็สิ้นชีพลง มีเพียงองค์ราชินีคนปัจจุบันซึ่งเป็นน้องสาวที่เป็นเชื้อสายของราชวงศ์อัลอะรู
มีเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ จึงเป็นสิ่งที่ยากจะคาดคิดว่าโอรสที่สิ้นชีพไปแล้วในครานั้นจะยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
"บัดนี้ เรา กษัตริย์อุบัยดะห์ แห่งราชวงศ์อัลฮาลา ขอสถาปนา องค์ชายนาศิรุดดีน บิน อิคติยารุดดีน อัลอะรูมี
แห่งราชวงศ์อัลอะรูมีขึ้นเป็นรัชทายาท ผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งนาตูเซียคนถัดไป"
เมื่อกล่าวจบก็ก้าวไปยังด้านหลังของบัลลังก์ แหวกม่านออก แล้วก้าวออกมาพร้อมกับมงกุฎของราชกุมารแห่งราชวงศ์อัลอะรูมี
ที่องค์ปฐมกษัตริย์อะมีนุดดีนเป็นผู้สวมให้แก่รัชทายาทผู้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แล้วถอดผ้าสารบั่นที่วาลองโซลสวมอยู่ออก
จากนั้นจึงสวมมงกุฎของราชกุมารครอบศีรษะให้กับวาลองโซล มงกุฎที่มีลักษณะคล้ายกับสารบั่น เพียงแต่หล่อขึ้นมาจากแร่เงิน
มีเพชรและอัญมณีประดับ โดยเฉพาะยอดมงกุฎที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์นั่น ประมุขที่ได้ทำหน้าที่ส่งต่อตำแหน่งที่รอเจ้าของ
มาตลอดเผยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขความภาคภูมิใจ สร้างเสียงฮือฮาและความตื่นตกใจให้แก่ผู้มาร่วมงานในท้องพระโรง
แม้แต่วาลองโซลเอง ก็ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่า กษัตริย์อุบัยดะห์จะทำการเช่นนี้
ไม่มีใครเลยที่ล่วงรู้แผนการนี้ของประมุขผู้ปกครอง แผ่นดินมาอย่างยาวนานนับยี่สิบกว่าปี
"ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาลัยลาลิณ ธิดาของบ่าวที่ต่ำต้อยผู้นี้กับนาศิรุดดีน บุตรเขยได้ครองคู่กัน ด้วยความรัก ความเอ็นดู
เอื้ออาทรต่อกัน รักใคร่กลมเกลียวกัน อภัยซึ่งกันและกัน ขอพระองค์ทรงผสานหัวใจของทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน
และรวมทั้งสองไว้บนความดีงาม เพราะความรักที่อยู่บนความดีงาม จะนำพาชีวิตคู่ไปจนถึงสวรรค์ของพระองค์
ขอให้ทั้งสองครองคู่กันตลอดไปทั้งโลกนี้และโลกหน้า อามีน ยาร็อบ"
"อามีน ยาร็อบ" เสียงตอบรับคำอวยพรหรือดุอาอ์ดังไปทั่วทั้งท้องพระโรง
ลาเวนเดอร์ที่กำลังตกตะลึง ถึงกับได้สติกลับคืน กล่าวคำว่า
"อามีน ยาร็อบ" จากนั้นก็หันไปมองสวามีของตนที่ตอนนี้ดูจะนิ่งเหมือนหุ่น ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
จนกลั่นออกมาเป็นน้ำตาที่ร่วงพรูลงมายากจะหยุดยั้งได้ ส่งผลให้ผ้าปิดหน้าถึงกับเปียกปอนไปด้วยน้ำตา
ซันนีที่เห็นท่าไม่สู้ดีนัก จึงแอบย่างไปทางด้านหลัง รั้งแขนของลาเวนเดอร์แล้วคาดผ้าปิดหน้าอีกผืนทับลงบนผ้าปิดผ้าผืนเดิม
แล้วถอดผืนเดิมที่อยู่ด้านในออก เพื่อเก็บรักษารูปโฉมขององค์หญิงไม่ให้เป็นที่รู้จักของผู้คน
ตามคำสั่งของกษัตริย์อุบัยดะห์และคุณหมอวาลองโซลที่บัดนี้ได้กลายเป็นองค์รัชทายาทไปเสียแล้ว
แล้วต่อไป เธอจะเรียกเขาว่าอย่างไรเล่า ทำไมเรื่องราวมันถึงได้ยุ่งเหยิงได้ถึงเพียงนี้ได้
ซึ่งดูไปแล้ว คุณหมอ ในตอนนี้กำลังตกใจจนนิ่งไม่ต่างจากหุ่นขี้ผึ้ง บ่งบอกให้รู้ว่า เจ้าตัวก็ไม่ได้รับรู้อะไรมาก่อน
ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ในวันแต่งงาน
แต่เมื่อมองไปยังองค์หญิงและองค์รัชทายาทที่ยืนเคียงกันในเวลานี้ก็ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก
โดยเฉพาะมงกุฎที่สวมอยู่บนศีรษะของทั้งสองนั้นมีความเข้ากันและลงตัวกันมียอดมงกุฎเป็นอัญมณีชนิดเดียวกัน
ราวกับนี่ไม่ใช่ 'เรื่องบังเอิญ' แต่ถูกจัดวางและเตรียมการเอาไว้มาอย่างดี และแยบยลตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้
และคงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากแผนการทั้งหมดนี้เป็นของกษัตริย์อุบัยดะห์ที่อยู่เหนือทุก ๆ แผนการ
และวันนี้ได้ทำให้เธอรู้ว่า 'โอปอลไฟ' คือ อัญมณีมหารัตนมณีคู่บัลลังก์แห่งนาตูเซีย
.........................โปรดติดตามตอนต่อไป.........................
ฝากติชมกันด้วยนะคะ
รักษาสุขภาพนะคะทุกคน
"เต่าโย"
ท่านใดที่รออ่านหะบีบี้ อีกสักแป๊บนะคะ อิอิ
วาลองโซลกระตุกมุมปากเพียงนิดเมื่อคนสนิทของกษัตริย์อุบัยดะห์เดินทางมาหาเขา
เพื่อให้เขาเข้าพบตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ อีกทั้งยังเลือกจะพบเจอเขา ก่อนจะเรียกพบลูกสาวแท้ ๆ ของตน
ช่างเป็นพ่อที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาได้พบเจอมา
แววตาคมกริบส่องประกายเจิดจ้าก่อนจะเดินตามคนสนิทของประมุขแห่งดินแดนนี้ไปยัง 'ห้องลับ'
"อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮิ วะบารอกาตุ" เป็นองค์กษัตริย์ในชุดลำลองเรียบง่ายทักทายขึ้น
เมื่อแขกที่ได้รับเชิญมายืนอยู่เบื้องหน้า
"วะอะลัยกุมุสลาม วะเราะมาตุลลอฮิ วะบารอกาตุ" วาลองโซลตอบรับคำทักทายกลับด้วยท่าทีสุขุมและสุภาพนอบน้อม
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะหลาน เชิญนั่งสิ" กษัตริย์อุบัยดะห์ผายมือเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงตรงที่นั่ง ยังฝั่งตรงข้าม
และเน้นคำว่า 'หลาน' ออกมาด้วยรอยยิ้มที่ยากจะอ่านออกว่าหมายความถึงอะไร
"ขอบพระทัย" วาลองโซลเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ คงความสุขุมและนิ่งสงบ
ทำให้อีกฝ่ายถึงกับพยักหน้าด้วยสีหน้าพออกพอใจ
"ขอบคุณหลานนะที่เลือกลูกสาวน้า" วาลองโซลกระตุกหัวคิ้วเพียงนิดที่อีกฝ่ายดูจะเข้าเรื่องอย่างไว
จนเขาอดทึ่งไม่ได้ นี่สินะ ผู้นำแห่งดินแดนนี้ ที่มาพร้อมกับความเด็ดขาดและฉับไว
"มิบังอาจขอรับ" เขาเอ่ยด้วยท่าทีถ่อมตน
"ทำไมจึงต้องพูดจาอย่างห่างเหินกันเช่นนี้เล่า เราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล"
"ทำไมพระองค์ถึงรู้เรื่องนี้" วาลองโซลค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายมีความลับมากมายซ่อนเร้น
"หลานไม่เคยส่องกระจกหรือ? ในนั้นไม่ได้บอกอะไรเลยหรือ?" วาลองโซลกระตุกยิ้มตรงมุมปาก
เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย ก่อนจะรับมันไว้เมื่อมันถูกยื่นมาให้กับเขา ชายหนุ่มมองภาพภ่าย ในกรอบรูปเล็กๆ
เป็นภาพคู่กันของสองหนุ่มสาวในชุดแต่งงานซึ่งเป็นชุดประจำชาติของประเทศนี้
"น้าได้สั่งตัดชุดที่เหมือนชุดของทั้งสองให้กับเราสองคนได้สวมใส่ในพิธีนิกะห์เอาไว้นานแล้ว
รอวันที่หลานจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากสู่ขอองค์หญิงลัยลาลิณด้วยตัวเอง และในที่สุด วันนี้ที่รอคอยก็มาถึง"
กษัตริย์อุบัยดะห์มองว่าที่ราชบุตรเขยตรงหน้าด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อวาลองโซลเงยหน้าขึ้นมามอง เขาจึงส่งยิ้มให้อย่างละมุน
"มารีอานน์อาจจะปกปิดและตบตาอะไรเอาไว้ก็จริง แต่ดีเอ็นเอน่ะ มันไม่จำเป็นต้องเอาเลือดไปตรวจเสมอไป
ถึงจะรู้ได้หรอกนะ เพราะมันคือ ทั้งเนื้อทั้งตัวของคนคนนึงที่ถูกถ่ายทอดรหัสพันธุกรรมมา
ทำไมน้าจะดูไม่ออก หลานเองก็ย่อมต้องรู้ตัวมานานมากแล้ว ยิ่งเป็นหมอยิ่งยากที่จะไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นใครกันแน่"
วาลองโซลพยักหน้า ใช่ เขาสงสัยเกี่ยวกับตัวเองมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ
และเริ่มสืบหาตัวตนของตัวเองมาตลอดตั้งแต่นั้น ในเมื่อเขาสืบจนรู้ว่าลาเวนเดอร์คือ ใคร
ทำไมเขาจะสืบไม่รู้ว่า ตัวเองคือ ใคร
"น้าไม่รู้นะว่าหลานคิดและวางแผนอะไรเอาไว้ในใจบ้าง แต่น้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก
และสมปรารถนาอย่างที่สุดที่หลานกับลูกสาวของน้าได้แต่งงานเป็นคู่ชีวิตกัน
และน้าก็เต็มใจที่จะยก ราชบัลลังก์นี้ให้หลานนั่งบริหารจัดการเป็นคนถัดไป
น้าจะคืนในสิ่งที่พ่อของหลานควรจะได้รับ ให้กับทายาทของเขา"
วาลองโซลถึงกับสะดุดลมหายใจกับประโยคสุดท้ายนั่น เขาไม่คาดคิดว่า สิ่งนี้จะหลุดออกมาจากปากของคนตรงหน้า
ที่เขามั่นใจมาโดยตลอดว่าคือ คนที่แย่งชิงบัลลังก์นี้ไปจาก บิดาของเขาและอาจอยู่เบื้องหลัง
การเสียชีวิตอย่างปริศนาของใครหลาย ๆ คนในอดีต จนเผลอพูดออกมาว่า
"ทำไม?" กษัตริย์อุบัยดะห์ยิ้มบางก่อนจะผ่อนลมหายใจ เอนกายพิงพนักอย่างผ่อนคลาย
แล้วคลี่คลายความข้องใจนั้นของอีกฝ่ายว่า
"อาณาจักรแห่งนี้ เป็นของสองตระกูลผู้ก่อตั้ง ซึ่งต่างสลับสับเปลี่ยนประมุขกันมาโดยตลอด
ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้ความขัดแย้งและความบาดหมางใด ๆ พวกเราสองตระกูล ล้วนปรองดองรักใคร่
เชื่อมสัมพันธ์กันด้วยการให้ลูกหลานจากทั้งสองตระกูลได้แต่งงานกัน
นี่คือ พันธสัญญาที่ทั้งสองตระกูลได้ร่วมให้สัตยาบันกันเอาไว้ เพราะทั้งสองผู้นำจากสองตระกูลผู้ก่อตั้ง อาณาจักรแห่งนี้
คือ สหายที่รักใคร่สนิทสนมกัน ร่วมเป็นร่วมตายกันมา หวังให้อาณาจักรแห่งนี้เป็น อาณาจักรแห่งรัก"
น้ำเสียงนั้นหยุดลงพร้อมรอยยิ้มและแววตาที่ลึกล้ำ ยากจะหยั่งถึง ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมายามทอดสายตา
ไปยังภาพถ่ายในมือของวาลองโซล
"น้ารู้ตัวตั้งแต่ถือกำเนิดแล้วว่าตนเองไม่ใช่รัชทายาทที่จะขึ้นเป็นประมุขคนต่อไป จึงไม่เคยคิดหรือวางแผนอะไร
เพื่อเตรียมตัวขึ้นเป็นประมุขของดินแดนนี้เลย น้าคิดหวังแค่อยากจะใช้ชีวิตคู่อย่างสงบสุขกับสตรีที่น้ารักและพึงใจ
ได้มีลูกกับนางและช่วยนางดูแลเลี้ยงดูลูก ๆ ด้วยกัน วันที่ต้องขึ้นมานั่งตรงตำแหน่งนี้ คือ วันที่น้าเจ็บปวดอย่างที่สุด
น้าสูญเสียทั้งหญิงที่น้ารักไปพร้อมๆ กับลูกที่เกิดจากนางอันเป็นที่รัก ไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนรักและลูกสาว
ซึ่งเป็นสายเลือดของน้าเพียงคนเดียวได้ และยังประสบอุบัติเหตุจนเป็นหมันในเวลาต่อมา
ทำให้น้าไม่สามารถมีทายาทคนต่อไป ได้อีกแล้ว มีเพียงลัยลาลิณเท่านั้นที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของน้าแต่เพียงผู้เดียว
ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงไม่ได้ยึดติดกับอำนาจและลาภยศสรรเสริญหรอกนะหลาน เมื่อยามต้องสละ
น้าก็พร้อมยินดีจะสละ ซึ่งหลานคือ รัชทายาทคนถัดไปแห่งอาณาจักรของเรา
มิใช่ลูกสาวของน้าอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจกันหรอกนะ เพราะแผ่นดินนี้ สตรีถูกห้ามขึ้นเป็นประมุขของแผ่นดิน
และหลานคือ ทายาทคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ จากอีกสายตระกูลที่ต้องสลับกันมาปกครองดินแดนนี้ต่อจากตระกูลของน้า"
วาลองโซลรู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เขาไม่คาดคิดว่า
ข้อตกลงและเงื่อนไขต่าง ๆ จะเป็นเช่นนี้มาก่อน เขาเพียงต้องการจะทวงคืนความเป็นธรรมให้กับบิดาและมารดาที่แท้จริงของเขา
เพียงเท่านั้น แม้ทั้งสองจะไม่เคยเลี้ยงดูอุ้มชูเขา หรือแม้แต่น้ำนมสักหยดก็ไม่เคยได้รับจากอกมารดา
หากเขาก็คือ ลูกชายของทั้งสอง เขาจะไม่ยอมให้ทั้งสองจากไปโดยไม่ได้รับความยุติธรรม
"หลานไม่มีอะไรจะพูดหรือถามอะไรหรือ?" เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเงียบ กษัตริย์อุบัยดะห์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
เพื่อทำลายความเงียบนี้ลง
"องค์หญิงซาฟียะห์ผู้เป็นมารดาที่แท้จริงของผมนั้นเป็นพี่สาวร่วมบิดาของท่านน้า
เป็นองค์หญิงใหญ่ของกษัตริย์บัดรอน แม้จะคนละมารดากัน ไม่ได้คลอดมาจากท้องเดียวกันก็ตาม
แต่ก็มีบิดาคนเดียวกัน ผมแค่อยากรู้ว่าที่ผ่านมาท่านน้าเคยมีความคิดที่จะทวงคืนความยุติธรรม
ให้พี่สาวแท้ ๆ ของตัวเองบ้างหรือไม่? เคยรู้สึกเจ็บปวดบ้างหรือไม่กับการจากไปของพี่สาวเพียงคนเดียว
พี่สาวที่จะต้องขึ้นเป็นองค์ราชินีคนต่อไป ท่านน้าเคยคิดถึงบ้างหรือไม่"
น้ำเสียงตอนท้ายนั้นทำให้คนฟังสัมผัสได้ถึงความเจ็บลึกของคนพูด
"น้ากับพี่หญิงสนิทกันมาก ไม่มีสักวันที่น้าจะลืมพี่สาวคนนี้ของน้าหรอกนะหลาน"
แววตาของคนพูดเริ่มมีน้ำใส ๆ เอ่อคลอ แต่ก็เพียงไม่นาน น้ำใส ๆ นั่นก็พลันหายไป ก่อนจะลุกขึ้นยืดตัวตรง
จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ราวกับจะบอกอีกฝ่ายว่า หมดเวลาสนทนาแล้ว ไม่วายทิ้งท้ายเอาไว้
"ลัยลาลิณ ต้องรับผลกระทบมากมายจากการที่บิดาตัวเองขึ้นเป็นประมุข หลานคิดว่า
คนเป็นพ่อควรต้องรู้สึกอย่างไรกับการเฝ้ามองดูชะตากรรมอันเลวร้ายมากมาย ที่ลูกสาวตัวเองต้องเผชิญ
โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่าที่เป็นมาและกำลังทำอยู่ แล้วจะไถ่โทษอย่างไร จึงจะสาสม
น้ารอคอยวันเวลานี้มาตลอด วันที่ลัยลาลิณเดินทางกลับสู่อ้อมกอด ของแผ่นดินพ่อของตัวเอง"
กับประโยคต่อมา ที่เอ่ยออกมาขณะหันหลังให้วาลองโซล
"หลานค่อยถามตัวเองเถิดว่า หลานจะทำอย่างไร ในวันที่ได้รู้ความจริงทั้งหมด
ซึ่งวันนั้นน้าอาจจะไม่ได้มีลมหายใจอยู่เพื่อที่จะเป็นที่ปรึกษาได้อีกเหมือนครั้งนี้ น้าเอง ไม่ได้อยากเกิดมาในสายเลือดขัตติยา
ไม่ได้อยากเกิดในราชวงศ์ หรือเป็นลูกหลานของราชวงศ์ และยิ่งไม่ต้องการดึงให้ลูกสาวของตัวเองต้องมาอยู่ในราชวงศ์
แต่ น้าเลือกตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะชีวิตและหัวใจก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าการได้ค้ำจุนบ้านเมือง
ให้สงบร่มเย็นและเป็นปึกแผ่น น้าหวังว่าเมื่อถึงวันนั้น หลานจะไม่ทอดทิ้งลูกสาวของน้าเหมือนที่น้าต้องทอดทิ้งลูกเมียของตัวเอง
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น หลานก็จะอยู่โดยไม่เหลือใครแบบเดียวกับน้าไปทั้งชีวิต ไม่เหลือใครเลยสักคน"
หากวาลองโซลได้เห็นใบหน้าของคนพูดที่ยืนหันหลังให้ก่อนเดินจากไปเพียงสักนิด
เขาก็คงจะได้เห็นน้ำตาของนักโทษคนนึงที่รอวันขึ้นแท่นประหาร
......
ข่าวเรื่องที่กษัตริย์อุบัยดะห์รับตัวลูกสาวที่หายตัวไปตั้งแต่แรกเกิดคืนกลับสู่วังหลวง
ถูกแพร่กระจายไปทั่วประเทศภายในพริบตา และผู้คนมากมายต่างก็เฝ้ารอจะยลโฉมขององค์หญิงลัยลาลิณ
ที่หายไปตัวไปร่วมยี่สิบปีในพิธีสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพิธีนิกะห์ที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ลาเวนเดอร์หรือองค์หญิงลัยลาลิณที่วันนี้อยู่ในชุดแต่งงานประจำชาติ เป็นสีขาวสะอาด ปักด้วยลูกไม้สีทองทั้งชุด
การตัดเย็บที่ประณีตและการปักลวดลายด้วยมือนั้นเป็นการสืบทอดภูมิปัญญาของชาวเมืองแห่งนี้
ทำให้ชุดแต่งงานประจำชาติที่สวยสง่า งดงาม สูงส่งยิ่งหาใดเทียบเมื่อถูกสวมด้วยสตรีผู้มีความงาม ที่ไร้ที่ติ
ผ้าคลุมฮิญาบสีเดียวกับชุดถูกคลุมบนศีรษะที่เกล้ามวยผมไว้อย่างงดงาม
เธอมองชุดอย่างพินิจพิจารณาแล้วได้แต่ยิ้ม เพราะได้รู้มาว่า บิดาของตนเป็นผู้ตระเตรียมทุกอย่างนี้ไว้
สำหรับตนมาเนิ่นนานแล้ว ซึ่งบ่งบอกว่า พ่อไม่เคยลืมเธอ ไม่เคยเห็นเธอไร้ตัวตน
และยังคงรอวัน ที่เธอจะกลับมาอยู่กับท่าน แค่นี้หัวใจน้อยๆ ของเจ้าหญิงแห่งนาตูเซียก็เต็มตื้นจนล้นปรี่
"สวยเหลือเกินค่ะ สวยจนไร้ที่ติเลย" ซันนีที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของเจ้าสาวที่ยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ตรงหน้ากระจก
ใบหน้าที่อิ่มเอิบ เปล่งประกายความสุขออกมา ทำให้โลกดูสว่างไสวไปด้วย
"หันมาสิคะ เดี๋ยวซันนีจะปิดหน้าให้" พูดพลางนำผ้าไหมสีขาวขึ้นมาคาดปิดหน้าที่งดงามไร้ที่ตินั้นไว้
"ขนาดผ้าก็ยังปิดความสวยงามนี้ไว้ไม่มิดเลยค่ะ ช่างเกินบรรยาย คุณหมอต้องตะลึงเป็นแน่ถ้าได้เห็น"
เหมือนจะอดแซวให้อีกฝ่ายเขินไม่ได้ขึ้นมา ซึ่งได้ผล สองแก้มที่อยู่ภายใต้ผ้าไหมสีขาวแดงระเรื่อทันที
"กษัตริย์อุบัยดะห์ช่างเอาใจใส่เหลือเกิน ชุดเจ้าสาวนี้เกินจะบรรยายจริง ๆ ค่ะ เหมาะสม ลงตัว
และสง่างามไม่มีใครเทียบเทียม" คนชมก็ยังชมไม่หยุดปาก ชมทั้งปากทั้งตา
จนคนฟังเริ่มส่ายหน้าไหว ๆ ให้ด้วยความเอ็นดูอีกฝ่าย
"คุณซันนีก็รีบ ๆ แต่งสิคะ เดี๋ยวฉันน่ะจะสั่งทำชุดแบบนี้ให้สักชุดให้สวมดีไหมคะ?"
"อุ๊ย มิบังอาจ ชุดแบบนี้ถูกสงวนแค่คนในราชวงศ์ของนาตูเซียสวมใส่ในพิธีเสกสมรสเท่านั้น
ตอนนี้คงไม่มีเจ้าชายแห่งนาตูเซียเหลือให้ซันนีได้แต่งงานแล้วล่ะค่ะ ฮ่าๆๆๆ"
"ใครว่าละคะ ฉันน่ะได้ยินมาว่า ลูกบุญธรรมของท่านพ่อน่ะ ยังโสดอยู่เลย อิอิ" ลาเวนเดอร์แซวอีกฝ่ายกลับ
อยากเห็นซันนีหน้าแดง แต่กลับไม่เป็นผล แทนจะเขินกลับขำเสียนี่
"มิอาจเอื้อมเจ้าค่ะ" ก่อนจะกระซิบเบา ๆ ข้าง ๆ หูลาเวนเดอร์อย่างหยอกเย้าว่า
"เจ้าชายยังละอ่อนนัก ไม่ไหวหรอกกระมังเจ้าคะองค์หญิงหญ่าย" ลาเวนเดอร์หัวเราะเบา ๆ
เมื่อนึกถึง น้องชายบุญธรรมในวัย 15 ปี ซึ่งอายุน้อยกว่าเธอ 5 ปี เธอเองก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไป ของน้องชายบุญธรรมนัก
แต่อีกไม่นานคงได้รู้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีไม่ปลื้มเธอสักเท่าไหร่ก็ตาม ก็นะ จากที่เป็นศูนย์กลางของทุกคนในวัง
ตอนนี้กลับมีเธอมาแย่งซีน เป็นใครก็ต้องไม่ปลื้ม คนที่มาแย่งซีนตนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
แต่ก็นั่นแหละ เธอที่เป็นลูกแท้ ๆ พ่อของเธอยังไม่ยอมพบเธอเลย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
ถึงกระนั้น วันนี้ อีกไม่กี่อึดใจ เธอก็จะได้เผชิญหน้ากับพ่อบังเกิดเกล้าของตนเองแล้วล่ะ ยิ่งกว่าการอยากเห็นหน้าเจ้าบ่าว
ก็คือ การได้เห็นหน้าพ่อผู้ให้กำเนิดที่เธอรอคอยเวลานี้มาตลอดชีวิต
"มือเย็นจังเลยค่ะ ตื่นเต้นหรือคะ?" ลาเวนเดอร์พยักหน้าเมื่ออีกฝ่ายถามขึ้นขณะกุมมือเธอเอาไว้ ก่อนจะสวมถุงมือสีขาวให้
"เป็นซันนีก็ตื่นเต้นค่ะ จะได้พบพ่อ ไหนจะได้เจอคู่ชีวิตที่รออยู่ข้างนอกอีก"
รอยยิ้มของซันนี ทำให้ลาเวนเดอร์ยิ้มตาม หากก็อดไม่ได้ที่จะบีบมือของซันนีไว้
"หวังว่าวันนี้ ทุกอย่างจะราบรื่นนะคะ"
"อย่ากังวลไปเลยค่ะ มีคุณหมออยู่ทั้งคน" ลาเวนเดอร์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงแววตานิ่งสงบของวาลองโซล
ที่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ก็ยากเหลือเกินที่จะดึงใจตัวเองออกมาได้โดยง่าย
ราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาลจับหัวใจเธอเหวี่ยงเข้าไปติดกับดักหลุมพรางนั้น
"คุณซันนีคิดว่า มีผู้ชายธรรมดาคนไหนบ้างหรือคะ ที่กล้าสู่ขอบุตรีของกษัตริย์แห่งดินแดนหนึ่ง
โดยไม่มีแม้แต่ความประหม่า ยังคงสงบนิ่ง มั่นคง ไม่ไหวติงเลย"
ลาเวนเดอร์อดกังขากับท่าทางของว่าที่สามีไม่ได้
"แม้แต่วันแต่งงาน เขาก็ยังคงนิ่ง ไม่เห็นแววตาตื่นเต้นหรือทำตัวไม่ถูกแบบฉันเลยค่ะ"
"นั่นเพราะคุณหมอยังไม่เห็นเจ้าสาวของเขาในตอนนี้นี่คะ เลยยังเก็บทรงมาได้ตลอด
เดี๋ยวก็รู้ค่ะว่า จะหลุดมาดนิ่งๆ นั่นมั้ย จะเสียอาการขนาดไหน" ซันนีพูดจบก็ยิ้มออกมาด้วยแววตาซุกซน
"ฉันส่งผลต่อเขาด้วยหรือคะ"
"บอกเลยว่ามากค่ะ"
"แต่ฉันว่าไม่เลยค่ะ" ลาเวนเดอร์รู้สึกลึก ๆ ว่า วันนี้ต้องมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นแน่นอน
เธอเป็นคนมีความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงบางอย่างล่วงหน้า และเหมือนจะรู้สึกรุนแรงถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้
"เขาดูเป็นคนที่อยู่เหนือทุกคน เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่ยากจะเข้าใกล้ ดวงเดียว โดดเด่นอยู่บนนั้น
เป็นดวงอาทิตย์ที่สงบ ส่วนฉันคือ กลางคืนที่มืดมิด ฉันรู้สึกแบบนั้นค่ะ" ซันนีบีบมือลาเวนเดอร์เบาๆ ก่อนจะพูดว่า
"คุณชื่อลาเวนเดอร์ และคุณหมอชื่อ วาลองโซลซึ่งเป็นชื่อสถานที่ที่มีดอกลาเวนเดอร์ที่งดงามที่สุดในโลกอยู่ที่นั่นเลยนะคะ
ฉันว่าคนที่ตั้งชื่อสองชื่อนี้ให้กับคุณสองคนน่าจะคิดอะไร ๆ เอาไว้แล้วละคะ"
คำพูดนี้ทำเอาลาเวนเดอร์ถึงกับหัวใจกระตุก เพราะเธอรู้มาว่า คนที่ตั้งชื่อนี้ให้เธอกับคุณหมอ คือ มาดามมารีอานน์และสามี
ซึ่งเป็นบิดามารดาของคุณหมอ แล้วลาเวนเดอร์ก็พูดบางอย่างออกมา
ซึ่งทำให้ซันนียิ่งมองหญิงสาวตรงหน้าพิเศษจากเดิมขึ้นไปอีกขั้น
"มาดามมารีอานน์กับสามีชาวญี่ปุ่นของท่านไม่ใช่พ่อแม่ที่ให้กำเนิดคุณหมอมาใช่มั้ยคะ?
คุณหมอไม่ใช่ลูกแท้ของท่านทั้งสองใช่มั้ยคะ?"
"ทำไมถึงถามแบบนี้ละคะ? สงสัยในเชื้อสายคนอื่นแบบนี้ออกจะเสียมารยาทอยู่นะคะ"
เหมือนจะคอยปรามให้อีกฝ่ายหยุดความคิดความสงสัย ทว่า กลับไม่เป็นผล
"คุณหมอไม่มีเชื้อญี่ปุ่นอยู่บนใบหน้า เขาเหมือนมีเชื้อสายของชาวเซอร์คัสเซียนมากกว่าค่ะ
และมาดามมารีอานน์ไม่มีเชื้อของชาวเซอร์คัสเซียนให้เห็นเป็นเด่นชัดเลย ทั้งที่เชื้อสายเซอร์คัสเซียนนั้น
มีเอกลักษณ์โดดเด่น และคุณหมอก็ดูเย็นชาอย่างประหลาดกับครอบครัวตัวเองอีก"
"ช่างสังเกตนี่คะ แสดงว่าคุณสนใจคุณหมอมาตั้งนานแล้วจริง ๆ ด้วย"
"ก็ทำไมจะไม่สนใจละคะ คุณหมอออกจะหล่อขนาดนั้น" ซันนีอดส่ายหน้าอย่างเอ็นดูให้กับความตรงไป ตรงมานั้นไม่ได้
"ทำอะไรก็อร่อยทุกอย่าง แบบนั้นจะไม่ให้สนใจได้ยังไงกันละคะ" น้ำเสียงที่เจือปนความเขินอายนั้น ทำให้คนฟังถึงกับยิ้มกว้าง
"ยิ่งพอตัดสินใจจะแต่งงานกับฉัน ยิ่งไม่สนใจอีกว่ามาดามมารีอานน์จะคิดจะรู้สึกยังไง จะมาร่วมงานมั้ย
มันผิดวิสัยแม่ลูกที่รักใคร่ปรองดองกันอย่างดีแบบที่ถูกสร้างภาพให้ฉันเห็นมาค่ะ ฉันน่ะเจอคนมาหลายแบบ
ไม่ยากหรอกค่ะที่จะดูออกว่า อะไรเป็นธรรมชาติ อะไรคือ การปรุงแต่งและสร้างภาพ และดูไปแล้ว
คุณหมอจะอึดอัดกับการสร้างภาพครอบครัวอบอุ่นเอามาก ๆ ด้วย ยิ่งกับน้องสาว หน้าตาและนิสัยไปคนละทางเลย"
"เก็บรายละเอียดซะไม่ให้ร่วงตกหล่นบ้างเลยหรือคะเนี่ย" ซันนีแซว
"ถ้าวันใดคุณซันนีเจอคนที่คุณซันนีสนใจมาก ๆ คุณซันนีก็จะจับตาเขา จดจ้องเขา ส่องเขา
สอดแนม ไม่ใช่สิ สืบเกี่ยวกับชีวิตเขา ไม่อาจละสายตาจากเขาไปได้ แม้จะต้องแอบทำไม่ให้เขารู้ก็ตามค่ะ"
"นี่ยังคิดว่า แอบได้แนบเนียนจนคุณหมอไม่รู้จริง ๆ หรือคะนั่น" ซันนีอดไม่ได้ที่จะแซวไม่หยุด
"เขาไม่รู้หรอกค่ะ ฉันว่าฉันทำเนียนอยู่นะ"
"ถ้าซันนียังจับได้ คุณหมอก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้วค่ะ นั่นน่ะ มีสัมผัสพิเศษนะบอกไว้ก่อน"
"โห สัมผัสพิเศษเลยหรือคะ"
"เดี๋ยวแต่งงานและอยู่กันไปก็จะรู้เองค่ะ แต่ซันนีขอเตือนไว้อย่างนึงนะคะว่า อย่าทำให้คุณหมอหึง"
"ทำไมละคะ หึงแล้วจะเป็นยังไง?"
"มาดนิ่งๆ แบบนั้น ซันนีมั่นใจว่า หึงโหดแน่นอนค่ะ"
"อย่ามาขู่กันเลยค่ะ อีกอย่าง ฉันน่ะไม่มีใครให้เขามาหึงหรอกค่ะ หล่อซะขนาดนั้นฉันจะหันสายตาไปมองใครได้อีกละคะ
ไหนจะแสนดีทำของกินอร่อย ๆ มาให้กินตลอดอีก ไม่รอดจะไปสนใจชายใดแล้วค่ะ หยุดตรงนี้ที่คุณหมอคนเดียว
จอดสนิทแล้วแน่นอนค่ะ ไว้ใจได้"
"แน่นะ!" เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของซันนีนี่นะ และดังมาทางประตูห้องอีก หรือว่า...
ลาเวนเดอร์หันไปทางประตู พบร่างสูงสง่าของว่าที่สามีในชุดเจ้าบ่าวที่ดูดีดูสง่างามจนต้องรีบก้มหน้าลงต่ำ
กลัวว่า หัวใจจะถูกกระชากไป นี่ขนาดมีม่านโปร่งฉลุลายกั้นไว้ ก็ยังทำเอาใจเธอสั่นได้ขนาดนี้แล้ว
ไม่รู้มายืนอยู่นานแค่ไหนแล้ว คงได้ยินหมดแล้วแน่ ๆ เลย เขินอ่ะ ทำไงดี
"ผมเอานมอูฐผสมอินทผาลัมบดกับเค้กส้มมาให้คุณกินก่อน และห้ามกินหรือดื่มอะไรในงานเด็ดขาด
นอกจากของจากมือผมก็ห้ามรับของจากมือใครนำเข้าปากตัวเอง" พูดจบเขาก็วางถาดไว้ตรงโต๊ะใกล้กับประตูทางเข้า
แล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ
"ใจคอเขาจะให้ฉันหิวตายคางานแต่งหรือคะนั่น ของที่เขาเอามาให้มันไม่พอให้ฉันอิ่มด้วยซ้ำ"
ลาเวนเดอร์แอบบ่นเมื่อซันนีนำถาดมาวางไว้ด้านในตรงหน้าตน ก่อนจะทำจมูกฟุตฟิตไปมา แล้วก็ยิ้มออกมา
เพราะเค้กส้มนั่นมันของชอบเธอเลย ทำไมถึงรู้ใจกันขนาดนี้ด้วยนะ เธอไม่เห็นจะเคยบอกเขาสักหน่อยว่าชอบเค้กส้ม
"ดูก็รู้ว่า คุณหมอทำเองกับมือ กินแล้วอิ่มไปถึงใจแน่นอนค่ะ" ซันนีแซวอย่างนึกขำกับท่าทาง
จ้องของกินตรงหน้าที่ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่เห็นของชอบแล้วตักกินโดยไม่กลัวเสียมาดหรือเสียสวย
"ห้ามเลอะนะคะ ซันนีใช้เวลานานมากกว่าจะแต่งออกมาได้ขนาดนี้"
"ถ้าเลอะก็ไม่มีใครเห็นสักหน่อย ปิดหน้าซะขนาดนี้ ฮ่าๆๆๆ" ลาเวนเดอร์ที่ตอนนี้เปิดหน้า
นั่งกินของโปรดอย่างสบายใจถึงกับอารมณ์ดี ก็จะไม่ให้อารมณ์ดีได้อย่างไร ได้กินของชอบที่แสนอร่อย
"นี่ถ้าคุณหมอไม่กลัวจะรวยละก็ ฉันว่าชวนเขาเปิดร้านอาหารน่าจะดี อร่อยขนาดนี้ จะเก็บไว้กินคนเดียว ก็ยังไงอยู่
คนอื่นๆ ควรได้กินไปด้วย"
"อวดเจ้าบ่าวเกินไปมั้ยคะ ช่วยนึกถึงใจคนฟังที่ยังโสดอยู่บ้างค่ะ"
ลาเวนเดอร์ยิ้มกว้างให้กับคนโสด ที่ไม่มีทีท่าจะยอมสละโสดไปกับใคร ทั้งที่ก็ทั้งสวยและเก่ง แถมยังฉลาดล้ำเลิศขนาดนี้
"อวดอะไรกันคะ แค่ชมไปตามความจริงก็เท่านั้นเอง ก็อร่อยจริง ๆ นี่นา หล่อก็หล่อจริง ๆ ด้วย ไม่มีอะไรให้ติได้เลยสักข้อ"
ไม่วายหันไปฉีกยิ้มให้ซันนีอย่างสบายใจ
"แถมชมไปก็ไม่เห็นจะเขิน ไม่เห็นจะเคลิ้มเลย ไม่บ้ายอด้วยอีก ชมได้สบายค่ะแบบนี้"
"รักษาความรู้สึกนี้เอาไว้นะคะ ซันนีอยากให้คุณเก็บรักษาไว้ให้ดี" ซันนีมองคนที่ตักเค้กคำสุดท้ายเข้าปากไปอย่างนึกเอ็นดู
ท่าทางการกินช่างน่ามอง ชวนให้มองเพลิน ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคุณหมอถึงทำอะไร ๆ มาเสิร์ฟให้น้องนางผู้นี้ได้กินตลอด
ทั้งที่ไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร แม้แต่มาดามมารีอานน์กับน้องสาวก็ยังไม่เคยทำให้ถึงขนาดนี้
"ก็ถ้าได้กินของอร่อย ๆ แบบนี้จากคุณหมอตลอดไป ฉันก็จะรักษาความรู้สึกนี้ไปตลอดค่ะ"
คนงามวางส้อมลงแล้วดื่มนมอูฐที่ผสมกับอินทผาลัมด้วยสีหน้าสดชื่น
"อร่อยจังเลย ลงตัวที่สุด อิ่มเลยค่ะ"
"เห็นมั้ยคะ คุณหมอกะปริมาณแม่นจะตาย จะไม่รู้ได้ไงว่าคุณจะกินอิ่มพอดี"
"คุณซันนีก็ชมเขาเกินไปมั้ยคะ" คราวนี้ซันนีถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อเจอคนสวนกลับ
"ว่าแต่ ใส่ชุดจัดเต็มซะขนาดนี้ ถ้าฉันเกิดปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา จะปลดทุกข์ยังไงละคะ"
ว่าพลางก็ลุกขึ้นมองสำรวจตัวเองไปก็คิดไปว่าจะเข้าห้องน้ำได้อย่างไรในสภาพเช่นนี้
"ตอนใส่อาจจะใส่ยุ่งยากนิดหน่อย แต่มันถอดออกง่ายมาก ๆ ค่ะ อย่ากังวลไปเลยค่ะ
เรื่องถอดให้เป็นหน้าที่เจ้าบ่าวเขาค่ะ หน้าที่ซันนีแค่ช่วยใส่ให้เท่านั้น"
ไม่พูดเปล่า คนพูดแอบยิ้มขัน สีหน้าเจ้าสาวในชุดใส่ยากแต่ถอดง่าย ที่ตอนนี้แก้มแดงเป็นลูกเชอร์รี่คู่ไปแล้ว
ก่อนจะขยี้ให้แก้มนั้น ยิ่งแดงเข้าไปอีกด้วยคำพูดถัดมา
"ถ้าอยากปลดทุกข์ ก็แค่กระซิบบอกคุณหมอ คุณหมอรู้งานอยู่แล้วค่ะ หายห่วง"
"พูดแบบนี้ ฉันก็หน้าแดงสิคะ ไม่เอาไม่พูด"
"อย่ามัวเขินอยู่เลยค่ะ มาค่ะ ปิดหน้า จะได้เวลาเข้าพิธีแล้ว" พูดแล้วก็จัดการตรวจตราใบหน้าของเจ้าสาว
แล้วใช้ผ้าปิดหน้าให้ดุจเดิม ก่อนจะยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้กับผลงานตรงหน้าที่มีเพียงตนที่คอยจัดการแต่เพียงผู้เดียว
เพราะคุณหมอไม่ไว้ใจใครให้เข้ามายุ่มย่าม เลยทูลขอให้ทางกษัตริย์ผู้เป็นบิดาของเจ้าสาวเป็นการส่วนตัว
ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยว นับว่า นอกจากจะทรงอิทธิพลแล้ว ยังสุขุมรอบคอบอย่างมาก แบบนี้
คงไม่พ้นเป็นราชบุตรเขยอันเป็นที่รักที่โปรดปรานได้ไม่ยากเย็น แต่...
"คุณซันนียังไม่ตอบฉันเลยว่า สรุปแล้ว คุณหมอเป็นลูกแท้ ๆ ของมาดามมารีอานน์กับสามีชาวญี่ปุ่น หรือเปล่า"
นั่นไง เธอไม่ลืม แม้ว่าจะถูกพาวนไปไกลแค่ไหนก็ยังจะวกกลับสู่เรื่องนี้อีกจนได้
"เอาไว้ถามราชบุตรเขยจะดีกว่ามั้ยคะ"
"แบบนี้ก็ได้หรือคะ เลี่ยงตลอดเลย" ลาเวนเดอร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะ ก่อนจะหันไปทางประตู
เมื่อมีคนสนิทของบิดาส่งสัญญาณให้เธอออกไปสู่พิธีกรรมทางศาสนาได้แล้ว
"ตื่นเต้นจังเลยค่ะ" ลาเวนเดอร์กระชับบีบมือซันนีไว้แน่น อีกฝ่ายหันมาสบตาพร้อมกับส่งกำลังใจ
"ทุกอย่างจะต้องราบรื่นค่ะ วันนี้เป็นวันของคุณ คุณทำมันได้ดีอย่างแน่นอนค่ะ"
"ขอบคุณค่ะ" ลาเวนเดอร์สวมกอดซันนีไว้แล้วกุมมือนั้น ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเก็บตัว
เดินไปตามเส้นทางที่ปูพรมแดงกับซันนีเพียงสองคน ฝั่งซ้ายจะเป็นที่นั่งของบรรดาสตรีที่มาเป็นแขกในงาน
ส่วนฝั่งขวาเป็นที่นั่งของบรรดาบุรุษที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน ใจกลางตรงสุดปลายของพรมแดง คือ บัลลังก์อันงดงาม
และยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งมีกษัตริย์ผู้ครองเมืองนั่งเด่นเป็นสง่าโดยมีองค์ราชินีนั่งเคียงข้างกัน
ที่นั่งถัดลงมามีวาลองโซลที่บัดนี้ได้ทำพิธีอากัตนิกะห์เรียบร้อยแล้วนั่งรอเธออยู่ตรงนั้น รอให้เธอตอบรับคำนิกะห์
ซึ่งเมื่อไปถึงยังหน้าบัลลังก์ ผู้ทำพิธีก็ถามว่าจะรับเจ้าบ่าวผู้นี้เป็นสวามีหรือไม่ ลาเวนเดอร์จึงตอบรับ
แล้วก้าวไปนั่งยังตำแหน่งของตนข้าง ๆ ราชบุตรเขย เขาที่ผสานมือไว้บนหน้าตักหันมาสบตากับเธอแล้ววางมือลงบนมือเธอเบาๆ
ก่อนจะกุมมันเอาไว้ แล้วสวมแหวนแต่งงานให้กับเธอ จากนั้นก็สวมสร้อยข้อมือ
ซึ่งทั้งหมดล้วนเข้าชุดกับสร้อยคอโอปอลไฟ ที่เธอสวมใส่อยู่อย่างไม่น่าเชื่อ
จากนั้น กษัตริย์อุบัยดะห์ก็ประกาศสถาปนาลูกสาวขึ้นสู่ฐานันดรศักดิ์เป็น 'องค์หญิงลัยลาลิณ' แห่ง นาตูเซีย
แล้วสวมมงกุฎเพชรที่ยอดมงกุฎคือ โอปอลไฟเม็ดสวยที่หาได้ยากยิ่ง ลาเวนเดอร์ถึงกับน้ำตาซึมออกมา
เมื่อได้สบตากับบิดาผู้ให้กำเนิดขณะที่ท่านกำลังสวมมงกุฎให้กับเธอ และยังรั้งร่างของเธอเข้าสู่อ้อมกอด
มีเสียงกระซิบเบา ๆ ข้างหูเธอว่า
"พ่อรักลูกนะลัยลาลิณ พ่อรักลูกตลอดมาและตลอดไป ลูกคือ แก้วตาดวงใจของพ่อ
สร้อยคอที่ลูกสวมใส่อยู่นี้ คือ ของหมั้นที่พ่อเคยได้ใช้หมั้นหมายแม่ของลูก แม่ของลูกสวมมันติดตัวไปเพียงสิ่งเดียว
ทิ้งที่เหลือไว้กับพ่อ วันนี้มันคือ ของลูกทั้งหมดแล้ว"
ในที่สุดเธอก็ได้รู้สักทีว่า สร้อยเส้นนี้ที่อยู่ในมือสาวชุดดำที่ตกตึกลงมาตายตรงหน้าเธอก็คือ สร้อยคอของมารดาของเธอ
"มีเพียงมงกุฎนี้ ที่พ่อตั้งใจทำมันเพื่อลูก พ่อออกแบบเองและคุมการผลิตเองทั้งหมด
เพื่อรอวันที่ลูกจะกลับมาหาพ่อ รอวันที่พ่อจะได้สวมมันให้กับลูก ลูกรักของพ่อ พ่อขอโทษสำหรับทุกอย่าง"
ลาเวนเดอร์น้ำตาร่วงพรู ส่ายหน้าเบาๆ กระชับอ้อมกอดนั้นไว้แน่น ซบหน้าลงตรงบ่ากว้าง
นี่สินะ อ้อมอกที่อบอุ่นของพ่อ เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าได้กอดแม่พร้อมกัน มันจะดีสักแค่ไหนนะ
"ยินดีด้วยนะจ๊ะลัยลาลิณ หลานรักของอา" เสียงนั้นดังมาจากองค์ราชินี ที่ก้าวเข้ามายืนอยู่เคียงข้าง
ลาเวนเดอร์ผละจากอกอันแสนอบอุ่น หันไปทางเจ้าของน้ำเสียงนุ่มหวานละมุนนั้น
แล้วเจ้าของร่างอันสง่างามและสูงส่งก็รั้งร่างเธอเข้าสวมกอดเบา ๆ ลาเวนเดอร์ยกสองมือขึ้นสวมกอดตอบ
"กลับมาสักทีนะจ๊ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับหนูนะจ๊ะ"
"ขอบคุณค่ะ" ลาเวนเดอร์ไม่รู้จะเอ่ยคำใด นอกจากคำขอบคุณ ก่อนจะเหลือบหันไปทางสวามีของตน
ที่ตอนนี้ลุกขึ้นมายืนข้าง ๆ ตน ราวกับบอดีการ์ดก็มิปาน สายตาเขาคมกริบราวกับเหยี่ยวที่คอยกวาดสายตาไปทั่วอยู่ตลอดเวลา
เมื่อลาเวนเดอร์ผละจากองค์ราชินี จึงเป็นเขาที่รั้งแขนของเธอเข้าไปชิดใกล้ แล้วหันหน้าไปยังแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน
จากนั้น ทุกคนก็ต้องประหลาดใจ เมื่อมีเสียงประกาศก้อง จากกษัตริย์อุบัยดะห์ว่า
"วันนี้เป็นวันที่เรารอคอยมาตลอดชีวิต วันที่ได้ธิดาคืนกลับสู่อ้อมกอดพร้อมด้วยบุตรเขย
ผู้เป็นราชบุตรหรือโอรสเพียงผู้เดียวของท่านพี่ อิคติยารุดดีน บิน บะฮฺรุดดีน อัลอะรูมี อดีตองค์รัชทายาท
ที่เสียชีวิตไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เขาผู้นี่ก็คือ ราชปนัดดา (เหลน) ขององค์ปฐมกษัตริย์แห่งนาตูเซีย กษัตริย์อะมีนุดดีน
ผู้ก่อตั้งประเทศนาตูเซียแห่งราชวงศ์อัลอะรูมี"
นั่นทำให้เกิดเสียงอื้ออึ้งดังไปทั่วท้องพระโรงยิ่งกว่าข่าวการสถาปนาองค์หญิงลัยลาลิณ
ที่ผู้คนได้ทราบข่าวล่วงหน้ามาบ้างแล้ว แม้แต่องค์ราชินีเองก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
มีเพียงกษัตริย์อุบัยดะห์เท่านั้นที่รู้ในเรื่องนี้ ซึ่งผู้คนทั่วประเทศต่างรู้มาโดยตลอดว่า อดีตองค์รัชทายาท อิคติยารุดดีน
และชายาเอกนั้นได้ให้กำเนิดโอรส แต่โอรสก็ได้สิ้นชีพลงในเวลาต่อมา พร้อมพระมารดาหลังจากคลอดบุตร
จากนั้นเพียงไม่กี่วัน อดีตองค์รัชทายาทก็สิ้นชีพลง มีเพียงองค์ราชินีคนปัจจุบันซึ่งเป็นน้องสาวที่เป็นเชื้อสายของราชวงศ์อัลอะรู
มีเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ จึงเป็นสิ่งที่ยากจะคาดคิดว่าโอรสที่สิ้นชีพไปแล้วในครานั้นจะยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
"บัดนี้ เรา กษัตริย์อุบัยดะห์ แห่งราชวงศ์อัลฮาลา ขอสถาปนา องค์ชายนาศิรุดดีน บิน อิคติยารุดดีน อัลอะรูมี
แห่งราชวงศ์อัลอะรูมีขึ้นเป็นรัชทายาท ผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งนาตูเซียคนถัดไป"
เมื่อกล่าวจบก็ก้าวไปยังด้านหลังของบัลลังก์ แหวกม่านออก แล้วก้าวออกมาพร้อมกับมงกุฎของราชกุมารแห่งราชวงศ์อัลอะรูมี
ที่องค์ปฐมกษัตริย์อะมีนุดดีนเป็นผู้สวมให้แก่รัชทายาทผู้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แล้วถอดผ้าสารบั่นที่วาลองโซลสวมอยู่ออก
จากนั้นจึงสวมมงกุฎของราชกุมารครอบศีรษะให้กับวาลองโซล มงกุฎที่มีลักษณะคล้ายกับสารบั่น เพียงแต่หล่อขึ้นมาจากแร่เงิน
มีเพชรและอัญมณีประดับ โดยเฉพาะยอดมงกุฎที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์นั่น ประมุขที่ได้ทำหน้าที่ส่งต่อตำแหน่งที่รอเจ้าของ
มาตลอดเผยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขความภาคภูมิใจ สร้างเสียงฮือฮาและความตื่นตกใจให้แก่ผู้มาร่วมงานในท้องพระโรง
แม้แต่วาลองโซลเอง ก็ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่า กษัตริย์อุบัยดะห์จะทำการเช่นนี้
ไม่มีใครเลยที่ล่วงรู้แผนการนี้ของประมุขผู้ปกครอง แผ่นดินมาอย่างยาวนานนับยี่สิบกว่าปี
"ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาลัยลาลิณ ธิดาของบ่าวที่ต่ำต้อยผู้นี้กับนาศิรุดดีน บุตรเขยได้ครองคู่กัน ด้วยความรัก ความเอ็นดู
เอื้ออาทรต่อกัน รักใคร่กลมเกลียวกัน อภัยซึ่งกันและกัน ขอพระองค์ทรงผสานหัวใจของทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน
และรวมทั้งสองไว้บนความดีงาม เพราะความรักที่อยู่บนความดีงาม จะนำพาชีวิตคู่ไปจนถึงสวรรค์ของพระองค์
ขอให้ทั้งสองครองคู่กันตลอดไปทั้งโลกนี้และโลกหน้า อามีน ยาร็อบ"
"อามีน ยาร็อบ" เสียงตอบรับคำอวยพรหรือดุอาอ์ดังไปทั่วทั้งท้องพระโรง
ลาเวนเดอร์ที่กำลังตกตะลึง ถึงกับได้สติกลับคืน กล่าวคำว่า
"อามีน ยาร็อบ" จากนั้นก็หันไปมองสวามีของตนที่ตอนนี้ดูจะนิ่งเหมือนหุ่น ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
จนกลั่นออกมาเป็นน้ำตาที่ร่วงพรูลงมายากจะหยุดยั้งได้ ส่งผลให้ผ้าปิดหน้าถึงกับเปียกปอนไปด้วยน้ำตา
ซันนีที่เห็นท่าไม่สู้ดีนัก จึงแอบย่างไปทางด้านหลัง รั้งแขนของลาเวนเดอร์แล้วคาดผ้าปิดหน้าอีกผืนทับลงบนผ้าปิดผ้าผืนเดิม
แล้วถอดผืนเดิมที่อยู่ด้านในออก เพื่อเก็บรักษารูปโฉมขององค์หญิงไม่ให้เป็นที่รู้จักของผู้คน
ตามคำสั่งของกษัตริย์อุบัยดะห์และคุณหมอวาลองโซลที่บัดนี้ได้กลายเป็นองค์รัชทายาทไปเสียแล้ว
แล้วต่อไป เธอจะเรียกเขาว่าอย่างไรเล่า ทำไมเรื่องราวมันถึงได้ยุ่งเหยิงได้ถึงเพียงนี้ได้
ซึ่งดูไปแล้ว คุณหมอ ในตอนนี้กำลังตกใจจนนิ่งไม่ต่างจากหุ่นขี้ผึ้ง บ่งบอกให้รู้ว่า เจ้าตัวก็ไม่ได้รับรู้อะไรมาก่อน
ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ในวันแต่งงาน
แต่เมื่อมองไปยังองค์หญิงและองค์รัชทายาทที่ยืนเคียงกันในเวลานี้ก็ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก
โดยเฉพาะมงกุฎที่สวมอยู่บนศีรษะของทั้งสองนั้นมีความเข้ากันและลงตัวกันมียอดมงกุฎเป็นอัญมณีชนิดเดียวกัน
ราวกับนี่ไม่ใช่ 'เรื่องบังเอิญ' แต่ถูกจัดวางและเตรียมการเอาไว้มาอย่างดี และแยบยลตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้
และคงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากแผนการทั้งหมดนี้เป็นของกษัตริย์อุบัยดะห์ที่อยู่เหนือทุก ๆ แผนการ
และวันนี้ได้ทำให้เธอรู้ว่า 'โอปอลไฟ' คือ อัญมณีมหารัตนมณีคู่บัลลังก์แห่งนาตูเซีย
.........................โปรดติดตามตอนต่อไป.........................
ฝากติชมกันด้วยนะคะ
รักษาสุขภาพนะคะทุกคน
"เต่าโย"
ท่านใดที่รออ่านหะบีบี้ อีกสักแป๊บนะคะ อิอิ
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ต.ค. 2567, 18:49:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ต.ค. 2567, 18:49:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 62
<< บทที่ 17 ปิตุภูมิ (แผ่นดินพ่อ) |