จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๘

---- แวะคุยกันเล็กน้อย ----

ช่วงนี้คนเขียนอยู่โรงพยาบาลเลยอัพช้าหน่อยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นนะคะ

------------------

บทที่ ๑๘

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ปะปนในทุกอณูของอากาศผสานเข้ากับกระแสลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศปลุกให้หญิงวัยกลางคนบนเตียงผู้ป่วยในห้องพักพิเศษลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ

นางกระพริบตาหลายคราเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงสว่างจ้าบนเพดาน สติสัมปชัญญะยังไม่คืนมาเต็มที่ ยินเสียงของหญิงสาวที่เอ่ยถามอาการอยู่ข้างจึงขยับศีรษะตามจึงเห็นพยาบาลชุดขาวคนหนึ่งกำลังชะโงกหน้ามองอยู่เหนือร่างก็ทำให้ทราบได้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน

ทันใดนั้นเองในสมองก็ฉุกคิดถึงชายหนุ่มผู้นำเอกสารข้อมูลสำคัญมาให้อ่าน ริมฝีปากแห้งผากก็ขยับหลุดเรียกชื่อหลานชายออกมาเป็นคำแรก

“ คุณป้าไม่ต้องตกใจนะคะ ตอนนี้คุณป้าอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ พอดีคุณศิระไปทำงาน เลยจ้างหนูมาดูแลคุณป้าก่อน เดี๋ยวสักพักคุณศิระก็คงมานะคะ ” พยาบาลพิเศษว่าพร้อมหยิบรีโมทมากดปุ่มปรับหัวเตียงให้สูงขึ้นแล้วหันไปตรวจดูเครื่องควบคุมการไหลของสารน้ำและยา

“ เมื่อกี้นี้หลานสาวของคุณป้าก็เพิ่งกลับไปก่อนคุณป้าตื่นนิดเดียวเองค่ะ ” พูดพลางหมุนตัวกลับมา สังเกตเห็นสีหน้าหวาดระแวงของคนไข้เลยพยายามชวนคุยด้วยรอยยิ้ม “ ตอนนี้คุณป้ารู้สึกยังไงบ้างคะ หนูปรับเตียงให้จะได้นั่งสบาย ถ้าอยากเอนหลังก็บอกนะคะเดี๋ยวหนูปรับเตียงให้ใหม่ ”

กระนั้นคนบนเตียงกลับไม่มีอารมณ์สนใจฟังใครได้แต่กัดเล็บครุ่นคิดวกวนสับสนสารพัดเรื่อง ในใจกริ่งเกรงอยู่ตลอดเวลาว่าความลับที่เก็บซ่อนกับตนมาเนิ่นนานจะถูกเผยแพร่ส่งต่อจนกลายเป็นศรย้อนมาปักหลักนางรวมถึงทุกคนในตระกูล

...เพราะอยากปัดปัญหาไปให้ไกลตัวโดยแท้จึงรีบร้อนไม่ถี่ถ้วนจนพลาดพลั้งเสียท่าให้กับผู้ไม่ประสงค์ดี...

กายของนางสั่นเทาราวลูกนกเปียกน้ำ หน้าผากพราวเหงื่อทุกขณะที่คิดถึงผลตรวจดีเอ็นเอ หากตกอยู่ในมือของวิกานดาจริงแล้วล่ะก็จะทำอย่างไรดี

“ คุณป้ากลัวโรงพยาบาลหรือคะ ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ แค่นอนให้น้ำเกลือคืนสองคืนก็กลับบ้านได้แล้วค่ะ ” เมื่อเห็นอาการหวาดหวั่นของคนไข้ยังไม่มีท่าจะดีขึ้น ผู้อ่อนวัยกว่าจึงเริ่มปลอบขวัญให้คลายกังวลอีกรอบ

เสียงเคาะประตูที่ห้องห้องผู้ป่วยพิเศษทำให้มลธิกาพ้นจากภวังค์ความคิด จ้องมองพยาบาลสาวที่เอนหลังไปทางบานประตูพอได้ยินอีกฝ่ายบอกว่า น่าจะเป็นหลานชายของนางก็ใจชื้น ทว่าหลังประตูบานนั้นคนที่ปรากฏตัวให้เห็นกลับเป็นหญิงสาวร่างเพรียวระหง

วิกานดาสวมเดรสรัดรูปสีดำทับด้วยสูทเนื้อดีสีขาวหิ้วกระเช้ารังนกเดินนวยนายไปตามทาง ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีแดงฉ่ำแย้มกว้าง ส้นสูงจากรองเท้าสีขาวสลับดำส่งเสียงกังวานทั่วทุกครั้งที่ย่างก้าวราวกับเป็นสัญญาณแห่งหายนะ

“ สวัสดีค่ะคุณป้า ” หญิงสาวทักทายพร้อมยกมือไหว้ คนบนเตียงตากระตุกเม้มริมฝีปากสะกดอารมณ์มิให้พุ่งพล่าน รับไหว้แล้วยิ้มตอบให้เหมือนทุกคราที่พบหน้า จากนั้นจึงบอกพยาบาลให้ออกไปรอข้างนอกก่อน

“ ป้าไม่เห็นหนูวิหลายวัน หนูวิไปไหนมาหรือจ๊ะ แล้วนี่ หนูรู้ได้ยังไงว่าป้าอยู่ที่นี่ ” เอ่ยถามทันทีที่อยู่กันตามลำพัง ต้องการหยั่งเชิงอีกฝ่ายถึงจุดประสงค์ที่มาหา

“ วิบินกลับญี่ปุ่นนะคะ พอดีคุณแม่เรียกตัวให้ไปช่วยงานด่วนทางนู้น เลยไม่ทันได้บอกคุณป้าไว้ พอกลับมาวิก็เลยขับรถไปหาคุณป้าที่บ้านได้ยินคนใช้บอกว่า คุณป้าไม่สบายอยู่โรงพยาบาล วิก็เลยมาที่นี่แทนค่ะ ” หล่อนตอบด้วยรอยยิ้มกว้างอวดฟันที่เรียงตัวสวย “ แล้วคุณหมอบอกว่าคุณป้าเป็นอะไรมากไหมคะ ”

“ ก็ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ คนแก่ก็อย่างนี้แหละ เลือดลมไม่ดีก็เลยเป็นไม่สบายง่าย ”

“ แล้วนี่คุณใหญ่ไม่มาเฝ้าคุณป้าเหรอคะ ”

“ เมื่อกี้เล็กเขามาดูป้าแล้วล่ะจ๊ะ ส่วนตาใหญ่ก็กำลังจะมา ”

“ อ้อ ” หล่อนลากเสียงยาวแล้วเหยียดมุมปาก “ ความจริงคุณป้าไม่ต้องให้หลานสาวมาดูแลก็ได้นะคะ แม่ของเด็กคนนั้นดีหนีตามคนงานในบ้านไปแบบนั้น ถ้าใครรู้เข้าว่าเป็นหลาน คุณป้าจะเสียชื่อนะคะ ” แกล้งพูดเรื่อยทำราวกับว่าการเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาเพียงเพราะต้องการเตือนด้วยความหวังดี

“ ยังไงเล็กเขาก็เป็นหลาน จะมาเยี่ยมป้าก็ไม่ผิดหรอกจ๊ะ ” นางเอ่ยจ้องทุกอากัปกิริยาของคนตรงข้ามไว้ไม่วางวาย มือที่ซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มกำลังขยุ้มผ้าปูเตียงแน่นทุกขณะ

“ แหม ก็คุณป้าบอกเองไม่ใช่หรือคะว่า เด็กคนนั้นเป็นความอับอายของวงศ์ตระกูล แล้วคุณป้าก็ยังเล่าเรื่องชาติกำเนิดของเด็กคนนั้นให้ฟังอยู่เรื่อย เห็นเล่าได้เป็นฉากๆ วิก็เลยนึกว่าคุณป้าเกลียดเด็กคนนั้นมากถึงจำเรื่องพวกนั้นขึ้นใจเสียอีก ” แววน้ำเสียงหยันสะดุดหูประกาศให้ล่วงรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล

“ หนูวิคงเข้าใจผิดแล้วล่ะจ๊ะ ป้านะถึงจะเกลียดพ่อของเล็กเขาแต่ป้าไม่ได้เกลียดเล็กเขาหรอกนะ ” ยังข่มกลั้นความเคียดแค้นชิงชังที่แล่นประดังเข้ามา

“ จริงหรือคะที่ว่าไม่เกลียด ” หล่อนหยุดพ่นลมหายใจ นัยน์ตาโฉบเฉี่ยวพราวระยับสบประสานกับหญิงมากวัยกว่าไว้ปานกับจะแกล้งยั่วเย้าให้อารมณ์โกรธขึ้งปะทุถึงขีดสุด

ในนาทีนั้นเส้นสติของมลธิกาขาดผึงประหนึ่งถูกคมกรรไกรตัด ดวงหน้าระโหยล้าปราศจากความใจเย็นอ่อนโยน แววตาทั้งสองสะท้อนเพียงภาพของวิกานดาวาววาบ ปรารถนาให้นางอสรพิษแดดิ้นสิ้นชีพตรงหน้าเป็นยิ่งนัก

ต่างคนต่างจ้องมองกันท่ามกลางความเงียบงัน...ฝ่ายหนึ่งกอดอกแย้มยิ้มสดใส อีกฝ่ายเครียดหนักเสียจนเส้นเลือดปูดโปนเป็นเส้นตรงขมับชัด มือกระชากผ้าปูเตียงขาดติดมือ

“ ต้องการอะไรก็ว่ามา ”

สุดท้ายผู้สูงวัยก็พ่ายแพ้ต่อเพลิงพิโรธโพล่งขึ้นสุดเสียงใส่คู่หมั้นของหลานชาย ทว่าอีกฝ่ายเพียงนิ่วหน้ากระพริบตาอึ้งกับการกระทำของคนป่วย ริมฝีปากอิ่มสวยสั่นระริกผงะถอยหลังไปตั้งหลังห่างจากเตียงครู่เดียวก็เดินกลับมาเกาะเหล็กกั้นเตียงอีกหน รีบสวมมาดนางเอกรีบก้มลงกราบพลางกล่าวขอโทษ จึงโดนมือเรียวเย็นสะบัดปัดโดนเข้าข้างแก้มนวลส่งเสียงสนั่นห้อง

“ ออกไป ” นายหญิงแห่งอังคพิมานไล่เสียงแข็งพลางหอบหายใจหนักจนไหล่ไหวสะท้าน ฟันขบเข้าหากันแน่น ขย้ำเศษผ้าขาดวิ่นในมือดังกับจะให้มันแหลกเป็นผุยผง จ้องคนที่ยกมือลูบแก้มหันมามองเขม็ง

“ ทำไมคุณป้าต้องทำกับวิขนาดนี้ด้วยคะ มีอะไรก็พูดดีๆสิคะ ”

“ บอกให้ออกไป ไม่ได้ยินเหรอ ออกไป ออกไป้ ” นางกรีดเสียงร้องเยี่ยงทาสถูกโบยตีทารุณ มิอาจควบคุมจิตใจให้สงบนิ่งลงได้ คว้าหมอนหนุนปาใส่แล้วป่ายมือลนลานคว้าสายปุ่มติดต่อฉุกเฉินมาเตรียมกดหวังจะไล่หญิงแพศยาออกจากห้อง

หากเมื่อสายตาเหลือบเห็นซองจดหมายสีขาวสองฉบับแกว่งไกวอยู่ใต้นิ้วเรียวสวย ทุกสิ่งในมือถูกปล่อยทิ้งลงบนเตียงก่อนที่นางจะกระโจนลงจากเตียง เอื้อมมือไขว่คว้าหมายจะแย่งชิงของสำคัญกลับมา แต่ด้วยขาที่ไร้เรี่ยวแรงทำให้เท้าสัมผัสพื้นได้ก็ทรุดฮวบลงไปกอง

“ เธอต้องการอะไรจากฉัน ” คำถามลอดผ่านไรฟันที่กัดเข้าหากันแน่น

“ คุณป้าพูดเรื่องอะไรคะ วิฟังไม่เข้าใจ ” ผู้เป็นต่อกว่าแสร้งตีหน้าซื่อไม่ทราบในความหมายนั้น

“ นังชั่ว นางสบถใส่อย่างลืมตัว น้ำตาคลอจากแรงแค้นโดยไม่รู้ตัว แลรอยยิ้มแสยะปานแม่มดร้ายในเทพนิยายปรัมปราแล้วแค้นใจจนเผลอกัดปากเลือดซิบ

“ แหม ทำไมต้องด่ากันด้วยล่ะคะ วิแค่หยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋าเฉยๆเองนะคะ ” หล่อนว่าพลางหัวเราะเสียงกังวานใสเสียยิ่งกว่าระฆัง “ วินะไม่อยากได้อะไรมากหรอกคะ ขอแค่คุณป้ายอมขายหุ้นของอังคพิมานทั้งหมดของคุณป้าให้วิก็พอ ”

“ ไม่มีทาง ฉันไม่มีทางขายธุรกิจครอบครัวให้นังสารเลวอย่างแกหรอก ” นางประกาศกร้าวแม้นจะตกเป็นรองกว่า

วิกานดาเอียงคอพลางแย้มริมฝีปากกว้างกว่าเก่าอย่างอารมณ์ดี ถอดส้นสูงออกจากเท้าแล้วย่อตัวลงนั่งให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของคนบนพื้น ภารกิจบีบเค้นยามวิกฤตเป็นงานถนัดอันแสนสนุกนัก

“ เอาอย่างนั้นหรือคะ ” ว่าเพียงเท่านั้นหล่อนก็ยกมือกอดอก “ คุณป้าคิดว่าจะเป็นยังไงคะ ถ้าคนอื่นทราบเรื่องที่คุณป้าปลอมเอกสารการมอบอำนาจและสิทธิ์ขาดในการถือครองหุ้นของน้องสาวไปเป็นของตัวเองคนเดียว ” กล่าวเน้นทีละคำชัด ไล้สายตาสำรวจสีดำที่ทาเคลือบบนเล็บคมทั้งห้า

“ เรื่องโกหกอย่างนั้น คิดหรือว่าใครเขาจะเชื่อ ”

“ วิก็ไม่คิดว่าจะเชื่อเหมือนกัน แต่คุณสายเธอสงสัยเรื่องนี้เลยเอาฉบับจริงมาให้วิส่งไปพิสูจน์เองกับมือ วิถึงได้รู้ว่าคุณป้าปลอมลายเซ็นต์ของพ่อตัวเองได้เนียนขนาดไหน ” เสียงปรบมือดังจากมือขาวสามสามคราราวกับว่าจะสรรเสริญให้แด่ความเลวร้ายนั้นก่อนจะเอ่ยต่อ “ แล้วก็มีอีกเรื่องของคุณใหญ่กับเด็กคนนั้นด้วยนะคะ ตอนแรกวิเห็นผลของคุณป้ากับคุณใหญ่ก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกนะคะ แต่มาติดใจตรงผลเลือดคุณใหญ่กับเด็กคนนั้นมากกว่า ”

คนบนพื้นหน้าซีดขาวราวแผ่นกระดาษเมื่อได้ยินเรื่องราวที่เกริ่นนำมา

“ ก็ตลกดีนะคะ วิได้ยินคุณป้าด่าพ่อของหลานสาวตัวเองปาวๆ ใครจะคิดล่ะว่า ผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนเดียวกันกับพ่อของคุณใหญ่ด้วยเหมือนกัน ”

สิ้นคำเสียงหัวเราะสาแก่ใจก็ดังผสานไปกับเสียงกรีดร้องของมลธิกาที่ยกมือปิดหูทั้งสองส่ายสะบัดหน้าแรงไปมาดังกับว่าไม่อาจทนสดับเสียงใดได้อีกแล้ว

“ หยุด ฉันบอกให้หยุด ”

“ หยุดทำไมคะ เรื่องสนุกแบบนี้ วิหยุดพูดไม่ได้หรอกคะ นี่คุณป้าทราบเรื่องที่คุณใหญ่แอบรักเด็กคนนั้นไหมคะ แหม ทีแรกที่วิไม่รู้ว่าเขาสองคนมีสายเลือดครึ่งหนึ่งเหมือนกัน วิก็ว่ามันแย่มากแล้วนะคะ แต่พอรู้ว่าเขาสองคนมีพ่อคนเดียวกัน ถ้าเกิดรักกันแล้วมีใครรู้ คุณป้านึกดูสินะคะ ว่าเรื่องฉาวๆคาวๆในครอบครัวไฮโซแบบนี้มันกระจายเร็วขนาดไหน ”

“ นังสารเลว แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ ” ตวาดสนั่นชี้นิ้วสั่นเทามาทางใบหน้างามอาฆาตรุนแรง

“ โถ คุณป้าขา ถ้าวิเลวคุณป้าก็ไม่ต่างจากวิเท่าไหร่หรอก เพราะเราสองคนก็ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเหมือนกันนี่คะ ”

“ แก... ”

“ ไม่เอาคะอย่าเรียกจิกวิอย่างนั้น ช่วยไม่ได้ที่คุณป้าไม่ระวังตัวเอง วิก็แค่ใช้ความถนัดเรื่องแบล็กเมล์คนอื่นมาหาประโยชน์เหมือนที่เคยทำกับนิปปอนรอยัลจนได้เป็นเจ้าของก็เท่านั้นเอง เอาล่ะ คราวนี้คุณป้าลองคิดดูสิคะ ว่าระหว่างยอมขายหุ้นให้วิกับปล่อยให้เรื่องนี้ถูกแฉออกไป อะไรมันแย่กว่ากัน ” เจ้าหล่อนแย้มปากกว้างอย่างสุมสมอารมณ์หมาย หากเพียงวินาทีเดียวเสียงหัวเราะนั้นพลันเงียบลงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของศิระดังข้างหู

“ เราจะไม่ยอมขายหุ้นอะไรให้คุณทั้งนั้น ”

ร่างระหงเหลียวหลังแล้วผงะถอยทันทีที่สบเข้ากับนัยน์ตาคมกล้าที่ฉายชัดถึงความแข็งกร้าวไม่ยอมใคร

“ ถ้าคุณคิดว่าเราแคร์ เรื่องที่คุณจะแฉก็เอาเลย เดี๋ยวผมโทรเรียกสื่อให้มาสัมภาษณ์คุณถึงที่นี่ด้วยเลยดีไหม ” เขาเอ่ยเสียงเข้มทว่าสงบเยือกเย็นมากจนน่ากลัว

“ คุณใหญ่ไม่เชื่อหรือคะว่าที่วิพูดเป็นเรื่องจริง ” หล่อนย้อนถามเสียงสูง

“ แล้วคุณวิเชื่อได้ยังไงล่ะครับว่าเรื่องนั้นเป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องที่ผมสร้างขึ้นมาเอง ” แย้งกลับทันท่วงที ฝ่ายที่ผยองว่าตนเตรียมตัวมาดีถึงกับหน้าเสียซีด

“ คุณใหญ่หมายความว่ายังไงคะ ” ละล่ำละลักถาม ใจหายวาบทุกคราที่ริมฝีปากหยักของเขาคลายออก

“ พูดแค่นี้คุณวิน่าจะเข้าใจนะครับ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมบอกให้ฟัง ” เขาหยุดพูดก้าวผ่านคู่หมั้นสาวไปพยุงร่างของมลธิกาให้ลุกขึ้นจากพื้นช้าๆ ท่าทางแข็งขึ้งปกป้องทำให้นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก

“ ผมทราบมานานแล้วว่าคุณวิมีจุดประสงค์ยังไงกับที่นี่ รวมทั้งเรื่องที่คุณติดเครื่องดักฟังแล้วก็เรื่องที่คนของคุณแฝงตัวเข้ามาทำงานในโรงแรมผม ” เขาว่าพลางยิ้มน้อยๆก่อนจะต่อ “ คุณวิดูไม่ออกจริงๆหรือครับว่า ผมขุดหลุมพรางล่อให้คุณวิตกลงมาอยู่ ”

ศิระมองวิกานดาที่ยืนตะลึงถือเอกสารสำคัญด้วยแววตาพราวระยับ กลั้นเสียงหัวเราะจนตัวสั่นเหมือนได้เห็นตัวตลกแสดงโชว์โง่ๆเรียกเสียงสรวลเสเฮฮาจากผู้ชม

“ คุณใหญ่คิดเหรอคะ ว่าพูดแบบนี้แล้ววิจะเชื่อ ในเมื่อวิพิสูจน์แล้วว่ามันเป็นหลักฐานจริง ” แม้จะใจเสียไปมากหากหล่อนก็ยังทำใจดีสู้เสือไม่ยอมเชื่อในคำพูดเขาโดยง่ายจึงได้เห็นเขายักไหล่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด

“ ก็ไม่ต้องเชื่อหรอกครับ แต่ผมอยากให้คุณวิลองคิดดูนะครับว่าทำไมทองดอกนั้นถึงได้ไปซ่อนอยู่ตรงนั้น ทำไมผลดีเอ็นเอที่ผมอุตส่าห์ลงทุนเสียเงินจ้างคนในโรงพยาบาลนั้นทำขึ้นถึงหาง่ายขนาดนั้น แล้วไหนจะเรื่องเอกสารฉบับจริงนั้นอีก ทำไมคนของผมถึงเอาเอกสารฉบับนั้นไปให้คุณวิไปง่ายๆ กับดักตื้นๆแค่นี้คุณวิคิดไม่ถึงจริงๆเหรอครับ ”

“ ไม่จริง...ฉันตรวจสอบมาหมดแล้ว คุณอย่ามาทำให้ฉันเขว้เลยค่ะ มันไม่มีประโยชน์ "

" ผมก็บอกแล้วไงครับว่า คุณวิเตรียมตัวมาดีขนาดไหน ผมก็รับมือดีขนาดนั้นแหละครับ "

" ถ้าเรื่องนี้คุณทำขึ้นมาเอง ทำไมพอฉันเอามาถาม คุณป้าถึงต้องออกอาการขนาดนั้นด้วย ” ยังหาเหตุผลมาอ้างในความเชื่อของตนเองต่อ

“ อ้าว...ก็ผมไม่ได้บอกแม่ไว้นี่ครับ พอคุณมาพูดกดดันกันขนาดนี้ แม่ผมป่วยอยู่ก็เครียดสติแตกกันได้เป็นเรื่องธรรมดา จริงไหมครับ ” มือเรียวโอบไหล่พร้อมหันมายิ้ม ผู้เป็นป้าแสร้งพยักหน้าเห็นด้วย

เจ้าหล่อนอ้าปากค้างมองเอกสารในมือสลับกับใบหน้าของผู้บริหารหนุ่มที่แย้มยิ้มสดใสไม่ทุกข์ร้อน ในใจที่ลังเลสงสัยถูกถ้อยคำของศิระมีน้ำหนักให้ตราชั่งความเชื่อเอียงลงมาหาก่อนจะสะดุ้งโหย่งทันทีที่เห็นเขาหยิบเครื่องบันทึกเสียงกับเครื่องดักฟังที่หล่อนใช้มาอวดให้เห็น

“ ต้องขอบคุณเครื่องดักฟังของคุณวิที่ทำให้ผมมาทันอัดไฟล์เสียงคำสารภาพของคุณทัน...ทีนี้คุณวิลองคิดดูนะครับว่าถ้าผมเอาเรื่องนี้ส่งไปให้ทางตำรวจญี่ปุ่นแล้วแจ้งดำเนินคดีกับคุณข้อหาลักทรัพย์กับขู่กรรโชกทรัพย์ เจ้านายคุณวิจะทำยังไงกับคุณวิต่อไป อาจจะถึงขั้นตัดตอนไม่ให้สาวมาถึงตัวเองก็ได้ ” ท่าทางสบายใจทั้งที่ใช้น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมข่มขู่ทำให้คนที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นต่อแข้งขาอ่อน ครุ่นคิดถึงชะตากรรมของตนด้วยกายสั่นเทิ้ม

“ คุณ...คุณ ” หล่อนพร่ำคำนั้นหลายต่อหลายครั้งส่งกระแสเคียดแค้นชิงชังสู่ชายหนุ่มที่แย้มยิ้มขยับเข้าหา

วิกานดาทิ้งซองจดหมายเดินถอยหลังทีละก้าวหนีเขาอย่างช้าๆ โดยไม่ทันรู้ตัวแผ่นหลังบางก็กระแทกเข้ากับประตูห้อง แต่ศิระก็ยังย่างมาใกล้ยกแขนเหนือศีรษะของหล่อนไว้แล้วแนบหน้ามาใกล้

“ คุณต้องการอะไร ” ร้องถามอย่างตื่นตระหนกเปรียบดังกระต่ายน้อยตื่นกลัวกรงเล็บอินทรีย์

“ ทุกอย่างที่คุณเอาไปจากเรา...คุณต้องคืนผมให้หมด ” แววตาเอาจริงยืนยันให้แน่แท้แก่ใจว่ามิใช่เพียงขู่

“ ถ้าคุณหมายถึงหุ้นสองเปอร์เซ็นต์ที่คุณป้าให้มาล่ะก็ วิจะคืนให้คุณก็ได้ ”

แม้จะตอบรับความประสงค์แล้ว หากเขากลับส่ายหน้าดูเหมือนยังไม่พอใจในสิ่งที่กำลังจะได้กลับคืน ชี้นิ้วไปที่กระเป๋าสะพายหนังใบหรูพร้อมกระดิกเบา เจ้าหล่อนเม้มริมฝีปากส่งให้เขาไปอย่างเสียมิได้

ศิระเปิดกระเป๋าสำรวจข้าวของภายในเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลก็หยิบออกมาเปิดดูเอกสารภายในแล้วหยิบมันมาหนีบไว้ใต้แขน คว้านหาอะไรอีกพักใหญ่ก็ได้โทรศัพท์มือถือลองไล่เบอร์ที่โทรออกล่าสุดดูจนเจอชื่อคนหนึ่งซึ่งเป็นคณะกรรมการบริหารของอังคพิมาน โฮเต็ลก็กดโทรออกจากนั้นจึงยื่นกลับไปให้

“ บอกให้เขามารอพบคุณที่ล็อบบี้โรงแรมซะ ” บังคับเจ้าของเครื่องให้พูดตามคำสั่งจากนั้นก็คว้ามากดปุ่มวางสาย คว้าหาอุปกรณ์อื่นที่อาจทำอันตรายต่อกันได้แล้วโยนทิ้งพื้น

“ คราวนี้ผมคงต้องให้คุณไปกับผมหน่อยนะ ” เขาคว้าแขนของหญิงสาวด้วยมือข้างที่หิ้วกระเป๋าสะพาย เปิดประตูดันหลังให้ออกไปข้างนอกส่งตัวให้ชายฉกรรจ์สองคนที่ยืนรออยู่

“ ขอเวลาห้านาที ” ฝากแล้วจึงกลับเข้ามาในห้องอีกหนเฝ้ามองหญิงวัยกลางคนที่ยังมึนงงสับสนกับเหตุการณ์ที่ศิระรับสมอ้างเรื่องทุกอย่างให้กลายเป็นแผนการแยบยลตลบหลังผู้หญิงคนนั้นไปได้อย่างไร โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นคนที่ก้มลงเก็บซองจดหมายผลการตรวจขึ้นจากพื้นมาปัดฝุ่นช้าๆก่อนจะรวบมันเข้ากับเอกสารสำคัญจากในกระเป๋าของคู่หมั้นสาวมาวางไว้แทบตัก

มลธิกาทอดสายตายังของทั้งหมดนั้นแล้วแหงนยังดวงหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า แลเห็นแววตาเจ็บช้ำผิดหวังระคนชิงชังกระจ่างชัดเสียจนต้องหลบซ่อนหน้า สัมผัสรับเอาความรู้สึกทั้งปวงของเขามาไว้เต็มกำลัง

“ ไว้ผมจัดการกับผู้หญิงคนนั้นเสร็จเมื่อไหร่...ผมกับคุณมีเรื่องต้องคุยกัน ” เขาเอ่ยเสียงเศร้ายิ่งนักนัยน์ตาคมสั่นระริกต้องสูดลมหายใจยาวทุกขณะที่เค้นคำพูดทุกคำออกมาอย่างยากลำบาก ฝ่ามือกำเข้าหากันจนเส้นเลือดตรงลำแขนขึ้นเป็นเส้นเด่นชัดแล้วเหลียวกลับไปทางเก่า

คนป่วยล้มทั้งยืนลงบนเตียงหมดสิ้นแรงพลังทั้งกายและใจไปโดยพลัน น้ำตาหยดลงบนหลังมือที่กำอยู่บนหน้าตักด้วยเพราะตระหนักได้แน่แท้แล้วว่า ทุกความลับที่นางมีอยู่มิอาจซ่อนรอดพ้นจากชายหนุ่มผู้นั้นได้อีกต่อไปแล้ว...
*************************************

กระเป๋าสะพายหลังขนาดไม่ใหญ่นักบรรจุด้วยเสื้อผ้าและข้าวของจำเป็นถูกศศิวิมลยกลงมาวางไว้ข้างชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังดึงชายเสื้อยืดพอดีตัวสีดำลงมาปิดทับเข็ดขัดหนังที่ร้อยบนกางเกงยีนส์สีเดียวกันแล้วยืนรอเตรียมไปส่งเขาที่รถด้วยสีหน้าหม่นเศร้า

ภาควัฒน์ใช้นิ้วสางผมปัดให้เข้าทรงอยู่หน้ากระจกตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองอีกรอบก็ก้มลงหยิบกระเป๋ามาสะพายหลังปรายตายังผู้ร่วมห้องเล็กน้อยก็ผละไปเปิดตู้หยิบแว่นกัดแดดสีดำสวมบนใบหน้าปกปิดดวงตาให้รอดพ้นจากการแสดงความรู้สึก

“ เล็กไปส่งพี่ภาคที่สนามบินได้ไหมคะ ” หลังจากอ้ำอึ้งอยู่นานหญิงสาวก็ร้องถามออกไปได้ในที่สุด

“ ไปส่งทำไม ฉันไปแค่ไม่กี่วัน ” เขาตอบอย่างเย็นชาแล้วเปิดประตูเดินลงไปข้างล่างโดยมีคนตัวเล็กเดินตามหลังไปในใจรู้สึกคิดกังวลถึงการลาจากที่กำลังจะเกิด เพราะกลัวเหลือเกินว่าเขาจะหายไปจากชีวิตอีกเป็นรอบที่สอง

รถยนต์สีดำแล่นมาจอดรถท่าอยู่หน้าคฤหาสน์โดยมีคนสวนรับหน้าที่สารถี เหล่าคนใช้สูงวัยยืนออรอส่งคุณหนูของตนเองกันเต็มหน้าประตูก่อนจะแหวกทางให้ชายหนุ่มผ่านไปเปิดประตูถอดกระเป๋าเดินทางจากบนหลังโยนเข้าไปตรงเบาะหลังแต่ที่ยังละล้าละลังไม่เข้าไปนั่งก็ด้วยยายช้อยที่จับมือไว้น้ำตานองวอนขอสัญญาว่าจะกลับคืนมาอยู่เช่นนั้น

“ จะร้องไห้ทำไมครับ ผมไปแค่สองสามวันก็กลับแล้ว ” พูดพลางลูบหลังปลอบใจแม่นมของตนเองไว้

“ ก็ยายกลัวคุณภาคจะทิ้งเราไปอีกนะสิคะ ” นางร้องครวญยังจับมือใหญ่ของอีกฝ่ายไว้แน่น

“ อย่างห่วงเลย เดี๋ยวผมก็กลับ ”

“ แน่นะคะ...คุณภาคสัญญากับยายแล้วนะคะ ”

ชายหนุ่มคลี่ริมฝีปากพยักหน้าให้แทนคำตอบปล่อยให้แม่นมกอดรัดอย่างอาลัยรักกระทั่งปล่อยก็พร้อมจะออกเดินทางพาดแจ็ตแก็ตหนังไว้บนบ่า หากเมื่อเท้าก้าวเข้าไปในรถได้ข้างหนึ่งเขากลับถอยหลังเหลียวมาหาหญิงสาวที่ยืนตาปรอยก้มมองพื้นอยู่เงียบๆ

“ พี่ไปแล้วนะคะ ” เขากล่าวคำอำลา เห็นคนตัวเล็กชำเลืองมาก็ยิ้มบางเป็นรอยยิ้มต่อหน้าผู้คนที่ไม่อาจล่วงได้ว่าเกิดจากใจหรือจากบทบาทการแสดง

“ ค่ะ ” หล่อนรับคำสั้นพลางยิ้มตอบอย่างอ่อนล้า

“ พี่คงกลับมาทันจัดงานสวดศพแม่ ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ” ยังฝากถ้อยคำห่วงใยมาให้อีกฝ่ายได้ชื่นใจแม้จะรู้ว่าเขาอาจทำเพียงเพื่อให้คนอื่นไม่รู้สึกถึงสายสัมพันธ์ลวง ยกมือโบกไปมาคล้ายจะส่งสัญญาณเร่งให้ออกเดินทาง ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมไป

หล่อนเหลือบแลคนตรงหน้า...แว่นกันแดดนั้นทำให้ไม่อาจสังเกตเห็นจุดประสงค์ในดวงตาเห็นเขาเอื้อมมือมาเหนือศีรษะเลยก้มหน้ารู้สึกได้ถึงแรงสัมผัสแล้วเรือนผมที่ม้วนเป็นมวยนั้นก็คลายสยายลงมา หน้าผากนวลแนบสนิทด้วยริมฝีปากและลมหายใจอุ่น

“ พี่ฝากเล็กดูแลบ้านของเราด้วย แล้วเจอกันนะ ” วาจาอ่อนโยนทิ้งฝากไว้เป็นประโยคสุดท้าย คำว่าบ้านของเรามีความหมายอบอุ่นหนักหนา ปิ่นปักผมรูปดอกไม้ของหญิงสาวนั้นถูกนำไปเสียบไว้ในกระเป๋าเสื้อที่พาดอยู่บนบ่ากว้างแล้วกลับขึ้นรถที่สตาร์ทเครื่องรออยู่ ทันทีที่ประตูกระแทกปิดรถก็เคลื่อนตัวห่างออกจากคฤหาสน์ทีละน้อย

ศศิวิมลเม้มริมฝีปากโบกมือส่งแข็งขันจนกระทั่งทุกอย่างหายลับจากสายตาจึงหันมายิ้มให้กับบรรดาคนรับใช้สูงวัยที่ยังหวั่นเกรงว่านายผู้ชายคนใหม่ของวิสุทธิ์สุนทรจะทอดทิ้งพวกตนไปสุดเอื้อมมืออีก

“ เข้าบ้านเถอะคะ เดี๋ยวพี่ภาคก็กลับ ” ตัวแทนเจ้าของบ้านเอ่ยนุ่มนวล หัวใจบังเกิดความปลอดโปร่งขึ้นมาเสียตั้งแต่เขาให้คำสัญญาว่าจะคืนมาหาโอบกอดคนใกล้ตัวชวนทุกคนให้กลับเข้าไปในบ้าน

ภาควัฒน์เอนหลังลงบนเบาะนุ่มขณะที่รถยนต์ออกท้องถนนใหญ่มุ่งหน้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ หยิบแจ็ตแก็ตมาสวมทับเตรียมตัวรับสภาพอากาศ ในมือยังถือปิ่นปักผมราคาถูกชิ้นนั้นไว้ไม่ห่าง จรดมันไว้ที่ริมฝีปากสูดซับกลิ่นหอมละมุนหวนให้คิดถึงผู้เป็นเจ้าของ ช่างยากเหลือเกินกับการซ่อนงำความจริงของหัวใจไว้กับตัว

...ยามเผชิญหน้ากับความรัก มนุษย์มักจะยอมพ่ายแพ้ต่อมัน...

คำของปู่ที่เอ่ยสอนยามนั้นเคยเรียกเสียงหัวเราะเย้ยหยันจากเขาได้เป็นอย่างดี ทว่าในเมื่อถึงคราวต้องประจันหน้ากันอยู่นี้ ต่อให้หัวใจแข็งแกร่งปานหินผาก็มีอันทลายพังพาบลงมา

ชายหนุ่มแหงนหน้าทอดสายตาไกลออกไปยังฟากฟ้าสีครามเบื้องบนแล้วปิดเปลือกตาลงช้าๆ...ไม่กล้าคิดอีกแล้วว่าจะลงมือเดินหน้าภารกิจให้ลุล่วงโดยไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไร






ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ส.ค. 2554, 14:49:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ส.ค. 2554, 20:35:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 2001





<< บทที่ 17   บทที่ 19 >>
violette 31 ส.ค. 2554, 17:28:29 น.
ไรเตอร์ป่วยเหรอคะ หายไวๆนะคะ อย่าหักโหมมากค่ะ
คนอ่านรอได้เสมอ
แต่อ่านไปอ่านมาชักงง สรุปแล้วหนูเล็กกับตาใหญ่เป็นพี่น้องแท้ๆหรือไม่แท้คะเนี่ย
หรือว่าพี่ใหญ่เป็นลูกมลธิกา กับสามีน้องสาวตัวเอง แว้กกก สงสารเกินไปแล้วนะคะเนี่ย


anOO 31 ส.ค. 2554, 17:32:47 น.
หายป่วยไวๆ นะค่ะ
มนุษย์มักจะยอมพ่ายแพ้ต่อความรัก
แต่มีมนุษย์จำนวนมากนัก ที่ต่อสู้เพื่อความรักเช่นกัน


ling 1 ก.ย. 2554, 12:28:35 น.
พี่ภาคจะทำยังงัยน๊อ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account