เกี่ยวหัวใจ...ใส่ห้องรัก ~*My sweetest roommate*~
ดันต้องอยู่ใกล้แบบกำแพงห้องกั้นกับหนุ่มหล่อ ปากจัด กัดหนัก หน้าตายแบบ"ทฤษฎี"...สาวน้อยหน้ามน"สุนทรีย์" ที่หนีรักจากเมืองไทย จะตกหลุมมรักครั้งใหม่อีกครั้งหรือไม่...
Tags: รูมเมท,ปากจัด

ตอน: บทที่ 3 : เที่ยวบินมิตรภาพ (เหรอ?)

บทที่ 3 : เที่ยวบินมิตรภาพ (เหรอ?) - - -30%



Welcome!

Ladies and Gentlemen……………..



เสียงประกาศของกัปตันดังขึ้นในขณะที่สุนทรีย์กำลังขยับเขยื้อนตัวเองให้นั่งตรง ความตื่นเต้นเริ่มทวีขึ้นเมื่อสิ้นเสียงประกาศ เหล่าบรรดาพนักงานต้อนรับบนเครื่องต่างพากันนั่งประจำที่ ก่อนที่ล้อของเครื่องบินจะเริ่มเคลื่อนตัวออกจากรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิประเทศไทย...สุนทรีย์ได้แต่นั่งมองนอกหน้าต่างมองเห็นเมืองทั้งเมืองไกลลิบลิบลงไปทุกที



สัญญาณไฟกระพริบบอกเมื่อเครื่องบินกำลังอยู่ในระดับความสูงคงที่ เหล่าบรรดาพนักงานต้อนรับต่างพากันเสริฟ์อาหาร พนักงานต้อนรับหญิงสาวคนสวยเดินมาถึงที่นั่งของหล่อน พร้อมทั้งแนะนำเมนูอาหารในรถเข็น สุนทรีย์ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ....เอิ่ม เมื่อกี้หล่อนพูดว่าอะไรนะ ลำพังสำเนียงอังกฤษแท้ยังฟังไม่รู้เรื่อง แล้วมาเจอสำเนียงญี่ปุ่นคลุกเคล้าเขาไปด้วย...ตายยยยยยยยย

“เอิ่ม....excuse me” เอาว่ะ ขอฟังอีกสักรอบ เมื่อกี้เจ๊เค้าพูดว่าอะไรว่ะ



เอ่อ..เมื่อกี้ได้ยินฟิช ฟิช อะไรสักอย่าง สงสัยคงเป็นปลาแหละมั้ง....มือบางจึงชี้มือเลือกกล่องนึงที่พนักงานต้อนรับยกขึ้นให้ดู สุนทรีย์ได้แต่นั่งตัวเกร็งรู้งี้ยอมเพิ่มเงินขึ้นสายการบินของคนไทยดีกว่า ไม่น่าตอแหลอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นเลย เป็นไงล่ะ ยิ่งฉลาดภาษาต่างชาติอยู่ คราวนี้ล่ะทำไงดีวุ๊ยยย...สายตาพยายามสอดส่ายหาผู้ร่วมเดินทางที่เป็นชาติเดียวกัน แต่ก็หาได้พบไม่ ข้างกายหล่อนนี่ก็เป็นหนุ่มสูงอายุที่ไม่น่าจะมีเชื้อสายไทยแท้อย่างหล่อนเป็นแน่...ฮ่วย มันอะไรนักว่ะ



การเดินทางจากกรุงเทพถึงสนามบินนาริตะใช้เวลาหกชั่วโมงกว่า สุนทรีย์ได้แต่นั่งหันหน้ามองบรรยากาศภายนอก ไม่มีเพื่อนคุยเลย เริ่มเหงาแล้วนะ...มองดูตั๋วเครื่องบินในมือตัวเอง เหลือเวลาอีกตั้งห้าชั่วโมงกว่าเครื่องบินจะออกไปยังจุดหมายปลายทาง ไหนไหนก็มาแล้วไปเดินสวยในสนามบินดีกว่า...เอิ่ม..แล้วภาษานี่จะต้องพูดญี่ปุ่นไหม..หรืออังกฤษก็ได้...หรือไทยไปเลย ทำตัวพูดไม่รู้เรื่อง เพราะยังไงคนที่นี่ก็คงเจอหล่อนแค่ครั้งเดียว...ว่าแล้วก็ขำกับความคิดตัวเอง จะคิดสั้นไปไหน อยู่ญี่ปุ่นแต่พูดไทย.....



หญิงสาวได้แต่เดินเตร็ดเตร่ในสนามบิน มองผู้คนเดินสวนไปมา ห้างร้านภายในสนามบินสวยงาม ของทุกชิ้นก็น่ารัก น่าหยิบไปหมด ได้แต่ระงับความอยากของตัวเอง..เก็บเงินไว้ ยังต้องใช้อีกเยอะ ทันใดนั้นระหว่างที่เดินสวนกลุ่มคนไปมา หูก็พลันได้ยินเสียงพูดคุยของคนไทย



“เออ..เฮียมาญี่ปุ่น มาทำธุระแต่ว่าจะกลับแล้ว ” ชายหนุ่มเอ่ยพูดกับปลายสาย สุนทรีย์ได้แต่พยายามเดินตาม เย้เย้..เจอคนไทยแล้ว





“เปล่า..ครั้งนี้มาทำงาน เมื่อครั้งที่แล้วมาหาเพื่อน นายนี่ยุ่งกะเฮียไปแหละ” เสียงไทยชัดแจ๋ว ชัวร์ป้าบ สุนทรีย์ยืนยิ้มไปเดินตามไป เอาว่ะ เดี๋ยวรอวางสายก่อนจะเข้าไปทักทายตามประสาคนไทยด้วยกัน



“เออ...เออ มันเรื่องของเฮีย บอกป๊ากะม๊าด้วยว่า คงไม่ได้กลับไทยนะ ครั้งนี้ต้องรีบกลับไปเคลียร์งาน ไว้คราวหน้าแล้วกัน” แหม...เอาแต่ใจใช่เล่นนะพ่อหนุ่ม เอะอะ ก็เรื่องของเฮีย..แหวะ สุนทรีย์แอบเบะหน้า ลืมตัวไปว่าแอบฟังการสนทนาของคนอื่น



“คุณค่ะ....” เมื่อชายหนุ่มตัดสายลงหญิงสาวจึงตัดสินใจเอ่ยทักทายทันที



“หืม?”

ชายหนุ่มได้แต่เลิกคิ้วสูง..ค่อนข้างแปลกใจที่ได้ยินสำเนียงบ้านเกิดในสนามบินแห่งนี้ ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเมื่อหันมาพบกับสาวน้อยตัวเล็ก ผิวสีน้ำผึ้งตากลมบ๊องแบ๊ว ยืนส่งยิ้มประหนึ่งนางสาวไทย





“คุณเป็นคนไทยใช่ไหมค่ะ..เอ่อ..คือ ฉัน..ฉันชื่อสุนทรีย์ค่ะ บังเอิญว่าฉันเพิ่งมาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกอ่ะ ไม่สิไม่สิ เครื่องมันแวะมาอ่ะค่ะ เอ่อ...”

หญิงสาวพูดรวดเดียวทั้งที่ยังเรียงประโยคไม่ถูกต้อง สงสัยจะตื่นเต้นเกินไป เพราะเมื่อเห็นหน้าชายหนุ่มชัดชัดแล้ว จิตใจก็เริ่มหวั่นไหวไปกับความขาว หล่อนแพ้หนุ่มตี๋ใส่แว่นแบบนี้นี่น่า





“แล้ว......” เฮ้ยยยยยยย...ประโยคสั้นไปป้ะ ฉันพูดไปตั้งเยอะ





“ก็...ก็ คือว่า...ฉันต้องอยู่สนามบินตั้งเกือบสามชั่วโมง ระหว่างนี้ฉันขอไปกะคุณกะได้ไหม” สุนทรีย์พยายามใจดีสู้เสือต่อสู้กับสายตาคมปลาบที่มองมายังหล่อน คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย ยังไงนายนี่ก็ต้องมาเป็นผู้ร่วมเดินทางกับหล่อนในสนามบินแห่งนี้ก่อนเครื่องออกให้ได้



ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกตกใจขึ้นไปอีก..เออเว่ย เด็กคนนี้กล้าน่าดู แต่ดูจากดวงตาที่ลนลาน และการพูดจาที่ตะกุกตะกักไม่คุ้นเคยกับสถานที่ก็พอเข้าใจได้.....ชายหนุ่มจึงตัดสินใจส่งยิ้มน้อยน้อยให้...ถือว่าคนไทยด้วยกัน





“ครับ.......” สุนทรีย์ได้แต่มองค้อนเล็กเล็ก...ประหยัดคำจริงจริง แต่เอาเถอะอย่างน้อยเค้าก็ยิ้มเล็กเล็กที่แอบทำให้หัวใจรู้สึกแปลกๆ ในใจก็คิดหมั่นไส้กับการวางท่าของหนุ่มไทยคนนี้ ฉันหวังจะพึ่งนายแค่ตอนภาคพื้นดินนี่แหละย่ะ...ขึ้นเครื่องก็จบกัน ชิ...



“เอ่อ...คุณชื่ออะไรค่ะ ฉันจะได้เรียกถูก”



ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวสักพักก่อนจะนึกขึ้นได้ อ่อ..เมื่อกี้หล่อนแนะนำตัวกับเขาแล้วนี่น่า



“ผมชื่อ ทฤษฎี”



“โหหหห....ชื่อเท่จังเลยคุณ” ชายหนุ่มได้แต่เหลือบมองท่าทียินดีที่ได้ยินชื่อของเค้าจากหญิงสาวที่มันดูจะ ยินดีเกินไปไหม?



ตลอดระยะเวลาที่เดินในสนามบินนาริตะ หญิงสาวมักเป็นฝ่ายชวนเค้าพูดคุยซะมากกว่า ส่วนมากก็จะถามว่า มาอยู่ที่นี่เหรอค่ะหรือมาเที่ยว แล้วจะไปไหนต่อค่ะ..ฉันไปที่นี่ค่ะ....บลาบลาบลา พูดเก่งชะมัด แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แค่แปลกใจนิดหน่อยว่า..หญิงสาวคนนี้นี่เป็นมิตรกับทุกคนบนโลกเลยรึเปล่าเนี้ย......



สุนทรีย์บอกลาพร้อมทั้งขอบคุณชายหนุ่มเพื่อนใหม่ นามว่า ทฤษฎี ทันทีที่ดูนาฬิกาแล้วว่าหล่อนควรจะไปยื่นหน้าประตูเตรียมขึ้นเครื่องสักที


“เครื่องจะออกแล้วเหรอครับ”


“ใช่ค่ะ...กว่าจะเดินไปถึงด้วย ขอบคุณคุณทฤษฎีมากนะค่ะ ถ้าไม่มีคุณฉันต้องแย่ไม่มีเพื่อนเล่นแน่แน่”
หญิงสาวโบกมือบ๊ายบายพร้อมทั้งคว้ากระเป๋าสะพายเดินออกไป ชายหนุ่มได้แต่มองตามด้านหลัง ประทับใจในความช่างคุย และ เป็นกันเองของหญิงสาว...ถึงจะหน้าตาธรรมดา แต่พูดเก่งก็น่ารักใช้ได้นะเนี่ย



หลังจากที่แยกจากชายหนุ่มคนดังกล่าว สุนทรีย์จึงรีบวิ่งกระหืดกระหอบไปยังหมายเลขประตูที่บอกไว้ในตั๋วโดยสาร หล่อนต้องปลอดภัยไว้ก่อน เกิดวิ่งขึ้นผิดลำขึ้นมาจะแย่เอา



หลังจากจัดแจงนั่งที่ริมหน้าต่างที่ไปฟาดฟันกับผู้โดยสารร่วมร้อย สุนทรีย์ก็นั่งนับถอยหลัง ลุ้นเหลือเกินว่า การเดินทางอีกเกือบยี่สิบชั่วโมง ผู้ใดจะได้มานั่งข้างหล่อนตลอดการเดินทางนี้ พลันสายตาก็เห็นชายหนุ่มที่เพิ่งกล่าวลาเมื่อสักครู่...เฮ้เฮ้เฮ้ ไหนบอกจะเจอกันแค่บนพื้นดินล่ะ ไหงกลายเป็นว่ามาปรากฏร่างบนฟ้าล่ะเพ่


“อ้าว..คุณ” สุนทรีย์เอ่ยทักก่อนเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนหันซ้ายหันขวามองเบอร์ที่นั่งของตัวเอง



“อ้าว...คุณ สุนทรีย์”



“ดีใจจังเลยได้เจอคุณ”
สุนทรีย์ทำหน้าตายินดีอย่างสุดซึ้งที่ได้พบคนคุ้นเคย(ตรงไหน) แล้วก็เป็นไปตามที่หล่ออธิษฐาน เพราะข้างกายของหล่อนคือ ชายหนุ่มผู้นี้



“ครับ”
แต่กลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มรู้สึกถึงมหันตภัยในอีกกว่ายี่สิบชั่วโมงที่ต้องมานั่งสนทนากับหญิงสาวที่พูดจนลิงหลับ



“คุณไปนิวยอร์คเหรอค่ะ”



“อ่อ...เปล่าครับ ไปอังกฤษ” ชายหนุ่มตอบกลับหน้าตาย



“อ้าว..จิงเหรอ มันไปแวะอังกฤษอีกที่เหรอเนี่ย” สุนทรีย์ทำหน้าตาเหลอหลา หันซ้ายแลขวา นี่ถ้าเป็นสายการบินคนไทยจะเรียกพนักงานมาถามซักหน่อย ทำไมแวะหลายที่จัง



“ผมล้อเล่น..” สุนทรีย์ได้แต่ทำหน้าเหวอเมื่อรู้ว่าถูกชายหนุ่มอำเข้าให้....กวนนะจ๊ะพ่อหนุ่ม



“นี่คุณ..เรามาเรียกชื่อเล่นกันไหม เรียกชื่อจริงดูเป็นทางการมากอ่ะ เอ่อ....ฉันชื่อเพลง”



ทฤษฎีเลิกคิ้วสูงรู้สึกฉงนนิดหน่อย พูดถึงชื่อเพลงแล้วนึกถึงเพื่อนน้องชาย ทำไมชื่อนี้ถึงได้ติดหูเค้านัก แต่เอาเถอะโลกคงไม่กลมขนาดนั้น ป่านนี้แม่เพื่อนน้องชาย คงยังเมาค้างเพราะอกหักอยู่กระมัง



“ผมชื่ออิ๋ว”



“คุณอายุเท่าไรแล้วอ่ะ..คืองี้ฉันจะได้ลำดับได้ถูกไง ฉัน 23” หญิงสาวชิงถาม แล้วจึงรีบปฏิเสธเมื่อเห็นชายหนุ่มมองหน้า



“ผม 29”



“งั้นฉันเรียกคุณว่าพี่อิ๋วล่ะกัน คุณอายุเยอะกว่าฉันเยอะเลย



“หกปี”



“ก็ตั้งครึ่งรอบ”



“ตามใจ”


เครื่องบินทะยานสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ดูเหมือนว่าการเดินทางคราวนี้จะกินเวลานานเสียด้วย สุนทรีย์ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อุ่นใจกับเพื่อนร่วมเดินทาง แล้วเวลาที่หญิงสาวรอคอยก็มาถึง เมื่อพนักงานต้อนรับนำอาหารนานาชนิดมาแนะนำ เดือดร้อนถึงหญิงสาวที่ยังงงกับภาษาอังกฤษ



“พี่อิ๋ว...พี่อิ๋วกินไรอ่ะ” หญิงสาวชะเง้อคอมองอาหารในกล่องของชายหนุ่ม



“ทำไมเหรอ”



“เปล่า..คือว่า เพลงได้ยินไม่ถนัดอ่ะ เพลงกินแบบพี่อิ๋วก็ได้” หญิงสาวได้แต่ส่งยิ้มแห้งแห้ง อายก็อาย เอาน่ะ ด้านได้(กิน) อายอด(กิน)



“นี่น้องจะไปอเมริกาจริงเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะหญิงสาวกำลังจะตักข้าวเข้าปาก



“ค่ะ...ว่าจะไปเรียนภาษา”



“จะรอดไหมเนี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยเบาเบา แต่นั่นก็ทำให้สุนทรีย์ได้ยินชัดเจนเลยล่ะ



“อ้าว...ไหงพูดงั้นล่ะ” หญิงสาวทำท่าวางช้อนในมือ


“เปล่า..ก็ดูจากความสามารถทางภาษาของน้อง”



“แหมพี่...คนเรามันก็ต้องพัฒนากันมั่งสิ...นี่เพลงก็ไปเรียนเพื่อพัฒนา มันคงไม่ต่ำต้อยไปตลอดหรอก”
หญิงสาวว่าพลางพร้อมทั้งเชิดหน้าใส่คนข้างกาย



“โห...มีอารมณ์เหมือนกันแฮะ”
ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มส่ายหน้ากับความใจร้อนของหญิงสาวข้างๆ



เมื่ออาหารเสริฟ์เรียบร้อย ระบบไฟในห้องโดยสารก็เริ่มหรี่ลง สุนทรีย์ได้แต่นั่งหาววอดวอด..ผ้าห่มผืนก็บ๊างบาง แล้วอีตาข้างๆกินอิ่มก็นอนหลับเลย คงเดินทางบ่อยล่ะซี..แล้วดูหล่อนสิต้องนั่งถ่างตามองไปรอบรอบด้านก็มีแต่ความมืด ว่าแล้วหญิงสาวก็หยิบหูฟังมาเปิดดูทีวีที่อยู่ด้านหน้าฝังไปกับเบาะโดยสาร....



ทฤษฎีรู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักอยู่ข้างข้างหูแต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะเปิดเปลือกตา เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่เค้าต้องนอนดึกเพราะการเจรจาเป็นไปอย่างยืดเยื้อ แถมเที่ยวบินขากลับก็ดันเร็วขึ้นมาอีกหนึ่งวัน กลายเป็นว่า พอประชุมเสร็จเค้ากลับต้องรีบเบิ่งเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับนิวยอร์คเพื่อไปพิมรายงานเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ แล้วยังดวงเฮงมาเจอสาวไทยตัวน้อยเดินมะงุมมะงาหราที่สนามบินอีก คราวนี้เลยเป็นโชคสองชั้นที่ต้องพาหญิงสาวเดินดูร้านนู้นนี่ แล้วไม่วายต้องแปลภาษาญี่ปุ่นให้อีก...เหนื่อยวุ๊ยยยยยย



“ฮ่า........................” เสียงใสยังคงหัวเราะอย่างไม่เกรงใจเวลาพักผ่อน


“นี่น้องจะขำอะไรนักหนา”
ด้วยความที่ง่วงสุดขีดประกอบกับเดินทั่วสนามบินนาริตะ ทำให้ชายหนุ่มอดทนไม่ไหว



“อ้าว...ก็หนังมันตลกอ่ะพี่อิ๋วดูดิๆๆๆๆ” หญิงสาวหันกลับมาตอบอย่างไม่มีท่าทีจะเกรงใจ



“ผม จะ นอน ... ก รุ ณ า เ บ า เ บ า ห น่ อ ย”
บอกเพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็หันหน้าออกไปทางทางเดิน เมินใส่ซะ จะฮาอะไรนักหนากับหนังเรื่องดึกดำบรรพ์ เพิ่งออกมาจากเขารึไง



“แหม....ขำก็ไม่ได้ จะให้ทำไรล่ะ” สุนทรีย์ได้แต่บ่นอุบอิบในใจ ถ้าไม่ติดว่าเค้าเคยช่วยเหลือเธอที่สนามบินนะ แม่จะเม้งแหลก ชิชะ...คนจะดูหนัง สร้างความรื่นรมย์ให้กับชีวิต ขัดตาทัพจริงจริง



ทฤษฎีผล็อยหลับไปไม่นาน แต่เขากลับรู้สึกว่ามีอะไรหยุกหยิกที่ข้างกายของตัวเอง เหมือนรางรางเพราะสติของเค้าก็ด่ำดิ่งอยู่ในห้วงความฝัน กึ่งหลับกึ่งตื่น พอมารู้ตัวอีกทีก็เมื่อคนข้างข้าง ยื่นมือมาตีต้นแขนเขาเบาเบา



“พี่อิ๋ว...พี่อิ๋วง..” เมื่อหรี่ตามองก้พบสาวน้อยคนเดิม...ยัยเด็กป่วนสนามบิน ส่งสายตาบ๊องแบ๊วมาให้



“อะไรอีกล่ะเนี่ยยยย” ชายหนุ่มปรือตามองพร้อมทั้งถอนหายใจ..อยากจะบีบคอเด็กว๊อย



“เพลงปวดฉี่อ่า.....” สุนทรีย์ทำหน้าเรียบร้อย ส่งตหวานเชื่อมมาให้ ทำให้เค้าต้องเด้งตัว ให้หลับชนกับพนักเก้าอี้โดยสารโดยอัตโนมัติ



“ก็เท่านั้น..นอนเป็นจระเข้ขวางคลองไปได้” สุนทรีย์ทิ้งระเบิดทุ่นใหญ่ ก่อนจะแทรกตัวเดินไปตามทางเดินเล็กๆ มุ่งตรงไปยังห้องน้ำ



“ทำไมต้องมาเลือกนั่งที่นั่งนี้ว่ะเนี่ย” ชายหนุ่มสบถออกมาเพียงเบาเบา ยัยเด็กคนนี้นี่มันตัวปัญหาจริงจริง


เสียงประกาศบนเครื่องบอกว่า อีกไม่นาเครื่องกำลังจะลงจอดท่าอากาศยาน จอห์น เอฟ เคนเนดี้ พนักงานต้อนรับต่างพากันแจกกระดาษใบเล็กๆ เพื่อให้กรอกข้อความ สุนทรีย์ได้แต่พลิกใบไปมา พยายามหาคำศัพท์ที่สมองง่อยๆของหล่อนพอจะประมวลได้....เฮ้ย ทำไมแปลไม่ออกเลยว่า ที่แปลได้ก็มีแต่ ชื่อ...แล้วก็นามสกุล....แล้วก็ นี่ไรว้า... ปากบ่นขมุบขมิบ สายตาก็เหลือมองคนข้างกายที่ตั้งหน้าตั้งกรอกอย่างคล่องแคล่ว บร๊ะ....ฉลาดเป็นกรดเลยเว่ย เอาว่ะ หน้าด้านอีกนิด



“เอิ่มม..พี่อิ๋ว นี่นี่มันคืออะไรอ่ะ” พูดเสร็จพลางสายตาน่าเวทนาไปให้...เห็นใจฉันเถอะ ภาษาฉันถูกสาป



“มันคือใบ immigration กรอกข้อมูลซะ แล้วเดี๋ยวเอาไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง” ฟังคำพูดของชายหนุ่มเสร็จ สุนทรีย์ถึงกับอยากจะตีตั๋วกลับเมืองไทยให้รู้แล้ว รู้รอด นี่ต้องสนทนากับชาวเมืองด้วยเหรอ....



“ง่า....ขอลอกหน่อยได้ไหมค่ะ”





“เฮ้ย...จะลอกอะไร”




“งั้นก็แปลให้ฟังได้ไหม ว่าช่องไหนแปลว่าอะไรบ้าง ถือว่าทำบุญกับเด็กยากไร้ทางภาษา”


“พอ..พอ มา กรอกตามที่ผมบอก”
ชายหนุ่มไม่อยากเห็นสายตาเว้าวอนที่มันแสนจะน่าหมั่นไส้มากกว่าน่าสงสารจึงตัดสินใจช่วยเหลือคนข้างกาย



ด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะหญิงสาวดันตอบคำถามแบบ เฉียดจะโดนโยนกลับประเทศ เดือดร้อนถึงชายหนุ่มที่ต้องเข้ามาช่วยเหลือเจรจา ดีที่เจ้าหน้าที่เห็นในพาสปอร์ตเค้าเข้าออกประเทศบ่อยครั้งแถมมีนามบัตรการทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศนี้ และความแข็งแรงทางภาษาก็เป็นเครื่องยืนยันได้อีกแรง ทฤษฎีทั้งเหนื่อยใจปนสงสารเด็กคนนี้เหลือเกิน ใครนะช่างปล่อยให้มาทะเล่อทะล่ากล้าบ้าบิ่นในดงเจ้าของภาษาแบบนี้...นี่มันเป็นวิธีปลิดชีพตัวเองที่สิ้นคิดที่สุดในดลกเลยก็ว่าได้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เมื่อได้เวลาแยกกัน เขาจึงรีบเดินหนีโดยไม่ทันได้ฟังคำขอบคุณ หรือ คำลาใดใดจากสุนทรีย์เลย....ลาก่อนเถิดแม่เด็กป่วนเจ้าปัญหา อย่าได้พบพานกันอีก…ขอให้เจ้าโชคดี



//////////////////////////////////////////////



แว่บมาอัพให้ก่อนนะฮ๊าบบบ

ไรเตอร์จะขอเอาหัวไปฟาดหมอนก่อนนะ วันนี้เหนื่อยมากมายยยยย

ขอบคุณทุกกำลังใจและการรอคอยเน้ออออออ




คุณิณพัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ส.ค. 2554, 22:59:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ส.ค. 2554, 22:59:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1685





<< บทที่ 2 : ระดมทุน   บทที่ 4 : พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก >>
violette 31 ส.ค. 2554, 04:23:28 น.
กร๊ากกกกกกกก ยัยเพลงช่างคุยสุดๆนี่เอง แบบนี้นายหนุ่มไรนั่นถึงขอเลิกเปล่าคะเนี่ย
ผู้ชายบางคนไม่ชอบสาวพูดมากนี่เนอะ


anOO 31 ส.ค. 2554, 19:16:27 น.
555 เยอะไปไหมนางเอกเรา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account