จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 19

--- แวะคุยเล็กน้อย ---

ง่วงคะไปนอนก่อน ขอบคุณที่มาอ่านและคอมเม้นนะคะ
ตอนนี้เครียดนิดนึงนะคะ = =" เหอ เหอ
----------------
บทที่ 19

จักรยานยนต์กลางเก่ากลางใหม่คนนั้นแล่นมาจอดตรงหน้าประตูรั้วคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทรในช่วงบ่าย ทันทีที่ยามชะโงกมาเห็นก็รีบกดปุ่มเลื่อนประตูให้คนที่สวมหมวกกันน็อกสีเขียวพารถเข้ามาจอดพิงหลบแดดหลังต้นไม้ใหญ่ก่อนจะเดินออกจากป้อมไปหา

หญิงสาวมัดผมม้าถอดหมวกกันน็อกแขวนไว้ตรงกระจกรถแล้วหันมายกมือไหว้ทักทายพูดคุยสัพเพเหระกันสองสามคำ จากนั้นจึงเดินต่อไปจนเกือบถึงหน้าคฤหาสน์หลังงามถึงได้เห็นศศิวิมลสะพายกระเป๋าผ้าใบใหญ่ยืนยิ้มฟังยายช้อยบ่นอะไรอยู่นาน พอขยับเข้าไปใกล้หน่อยถึงรู้ว่า เพื่อนกำลังถูกห้ามไม่ให้ออกไปข้างนอก

“ คุณเล็กจะไปโรงพยาบาลคนเดียวได้ยังไงคะ ถนนหนทางคุณเล็กก็ไม่ค่อยจะรู้จัก ขืนขึ้นแท็กซี่ไปคนเดียวแล้วมันพาไปทำมิดีมิร้ายจะทำยังไง ยายว่าคุณเล็กรอให้ตาสุขมันกลับจากไปส่งคุณภาคที่สนามบินแล้วค่อยไปก็ได้นะคะ ”

“ ไม่เป็นไรหรอกคะ กลางวันไม่น่ากลัวเท่ากลางคืนหรอก อีกอย่างเล็กก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว จะไปไหนมาไหนคนเดียวคงไม่เป็นไรหรอกคะ ดีซะอีกจะได้รู้จักถนนหนทางด้วยไงคะ ”

“ ตอนไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละคะ คนสมัยนี้มันใจร้ายเจ้าเล่ห์จะตาย คุณเล็กจะไปทันมันได้ยังไง ”

“ งั้นก็ไปกับสาแล้วกัน จะได้ไม่อันตราย ดีไหมคะยายช้อย ” เสียงนั้นดังขึ้นกลางวงให้หญิงสาวต่างวัยทั้งสองรู้สึกตัวหันไปมองจึงเห็นหญิงสาวผมม้าสวมเสื้อเชิ้ตคอบัวสีฟ้ากับกางเกงยีนส์ห้าส่วนกำลังเดินเข้ามาใกล้

รสายิ้มกว้างยกมือไหว้หญิงชราเป็นอันดับแรกก่อนจะอ้าแขนรับการโอบกอดเพื่อนไว้ด้วยความคิดถึง แม้จะเพิ่งจะไม่ได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่วันก็ตาม

“ ยายช้อยไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้าใครหน้าไหนมันกล้ายุ่งกับเล็ก เดี๋ยวสาจะอัดให้น่วมเลย ” พูดจบก็ดันตัวเองออกจากเพื่อนหันไปวาดลวดลายแม่ไม้มวยไทยจริงจังเล่นเอายายช้อยที่ยืนดูอยู่ถึงรีบร้องให้หยุดเสียงหลงอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะเลิกแล้วหันมาถามอย่างมั่นใจ

“ ทีนี้เห็นหรือยังคะว่าสาดูแลเล็กได้ ”

“ ค่ะ ยายเชื่อแล้ว ” นางตอบ ยกมือนวดขมับมึนศีรษะจากการชมศิลปะป้องกันตัวที่ฉวัดเฉวียนน่าเวียนหัว พอถูกถามซ้ำว่ายอมอนุญาตหรือยังก็เห็นนางพยักหน้าโบกมือให้เชิญไปกันตามสบาย สองสาวก็จูงมือกันเดินไปเรื่อยจนกระทั่งมาถึงรถจักรยานยนต์ที่จอดหลบแดดข้างต้นไม้

เจ้าของรถล้วงกุญแจจากในกระเป๋ากางเกงออกมาไขเปิดเบาะเพื่อหยิบหมวกกันน็อกสำรองออกมาแล้วจึงกระแทกเบาะปิดไว้ตามเดิม

“ เออจะว่าไป นี่คุณภาคไปทำงานเหรอ เล็กถึงต้องออกไปข้างนอกคนเดียว ”

“ พี่ภาคไปทำงานต่างประเทศนะจ๊ะ อีกสองสามวันถึงจะกลับนะ ”

“ อ้อ ” ทอดเสียงเช่นนั้นก็เงียบไปส่งหมวกกันน็อกให้ศศิวิมลรับไปสวมไว้ สักพักก็เห็นเพื่อนที่กำลังล็อกสายคล้องของหมวกเข้าใต้คางจะหลุดหัวเราะเบาออกมาจนคนได้ยินยังนิ่วหน้า

“ ขำอะไรนะเล็ก ”

“ เล็กแค่คิดว่า ถ้าคนอื่นรู้ว่าเล็กซ้อนมอเตอร์ไซด์ของสาไปข้างนอก คงจะโวยวายกันน่าดูเลย ”

อีกฝ่ายกระพริบตาขณะสวมหมวกกันน็อกพลางคิดตามคำพูดเมื่อครู่ก็คิดได้ว่า เพื่อนรักของตนเองไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซด์ใครเดินทางไปไหนเลยสักครา พาหนะอย่างแย่ที่สุดที่คนในบ้านอังคพิมานยอมให้ใช้บริการก็รถแท็กซี่นั้นแหละ

“ จริงด้วย...เล็กไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซด์มาก่อนนี่หว่า แล้วเล็กกลัวหรือเปล่าล่ะ ถ้ากลัวเดี๋ยวสาจอดรถทิ้งไว้นี่แล้วเราเรียกแท็กซี่กันไปก็ได้เอาไหม ”

“ ไม่ต้องหรอกจ๊ะ เอาเป็นว่าสาอย่าขับเร็วมากจนเล็กตกลงจากรถก็พอแล้วล่ะ ” หล่อนว่าแย้มริมฝีปากกว้าง เลยถูกเพื่อนดุที่พูดเป็นลางแล้วตีแขนเบาๆเข้าให้ทีหนึ่ง

คนตัวเล็กสอดแขนลงมาคล้องกับเพื่อนไว้อย่างรักใคร่ ระบายยิ้มทั่วใบหน้า อารมณ์ดีผิดหูผิดตาเสียจน คนตัวใหญ่กว่าถึงกับย่นหน้าผากเพราะไม่ค่อยจะมีโอกาสเห็นเพื่อนเป็นเช่นนี้ หากก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ถามถึงจุดหมายปลายทางที่เพื่อนจะไป

“ อ้าว เล็กนึกว่าสารู้แล้วซะอีกว่าเราจะไปไหน ”

“ ไม่รู้หรอก แต่เดินไปเห็นยายช้อยแกพิรี้พิไรใส่เล็กไม่ยอมให้ไปข้างนอกคนเดียวอยู่อย่างนั้น เลยรีบไปช่วยก่อน ขืนมัวถามว่าไปไหนอีก กว่าจะได้ไปคงชาติหน้าพอดี เอาเป็นว่าเล็กบอกเรามาก็พอว่าจะไหน ”

“ เล็กจะไปโรงพยาบาล...นะจ๊ะ ” บอกชื่อโรงพยาบาลเอกชนในย่านนั้นขึ้นมา

“ ไปโรงพยาบาล ไปทำไมอีกล่ะ หรือว่าเล็กไม่สบายตรงไหน ”

“ ไม่ใช่เล็กหรอกที่ไม่สบาย แม่ใหญ่ต่างหากล่ะที่เป็นลมจนเข้าโรงพยาบาลนะ ”

“ แม่ใหญ่ของเล็กนะเหรอเข้าโรงพยาบาล ท่าทางแข็งแรงจะตาย ทำไมอยู่ๆเข้าโรงพยาบาลได้ ”

ความสงสัยของรสาเกิดขึ้นทันทีที่ได้ยินเพื่อนเล่าถึงอาการเจ็บป่วยของมลธิกา เพราะถึงจะไม่มีโอกาสเจอหน้ากันมากนัก แต่ปกติก็เห็นนางแข็งแรงดีถึงขั้นเคยได้รับรางวัลนักธุรกิจสุขภาพดีจากนิตยสารสุขภาพ กระทั่งเพื่อนไขความกระจ่างด้วยการเล่าถึงสาเหตุก็เบิกตากว้าง

“ แล้วอย่างนี้เล็กก็ต้องเป็นคนดูแม่ใหญ่แทนคุณศิระสิ”

“ เมื่อวานเล็กก็บอกพี่ใหญ่ว่าจะดูแลแม่ใหญ่ให้เอง แต่พี่ใหญ่บอกว่าไม่ต้อง เพราะเห็นเล็กก็ยุ่งเรื่องงานศพป้าพิณอยู่แล้วก็เลยจ้างพยาบาลพิเศษไว้ดูแลแทนนะ ทีนี้ช่วงนี้เล็กว่างก็เลยคิดว่าจะไปอยู่กับแม่ใหญ่ถึงเย็นแล้วค่อยกลับ ”

หล่อนพยักหน้ารับแอบคิดไม่ถึงว่า คำพูดของหล่อนจะมีน้ำหนักมากพอให้ผู้ชายหัวรั้นคนนั้นเชื่อถึงขั้นลงไปตรวจสอบประวัติของคู่หมั้นตัวเองเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ จากนั้นจึงขึ้นคร่อมรถ ตบเบาะเป็นสัญญาณให้เพื่อนนั่งหันข้าง ดึงแขนขาวพลางสั่งให้เกาะเอวตนเองไว้แน่นๆ แล้วสตาร์ทรถ เห็นประตูรั้วเปิดรอท่าก็ขับออกไปในทันที

ความคล่องตัวของจักรยานยนต์ทำให้รสาซอกแซกไปตามท้องถนนฝ่าการจราจรอันติดขัดมาถึงหน้าโรงพยาบาล เสียบรถเข้าไปจอดในช่องว่างตรงลานจอดจักรยานยนต์ เก็บหมวกกันน็อกไว้ใต้เบาะเรียบร้อย คนสูงกว่าก็จูงมือกันเข้าไปในอาคาร พอขึ้นลิฟต์มาถึงหน้าห้องก็ช่วยเคาะประตูให้

พยาบาลสาวคนหนึ่งโผล่หน้ามาจากหลังบานประตู เอ่ยถามสถานภาพของทั้งสองกับคนไข้ เมื่อได้คำตอบจึงยอมเปิดประตูให้เข้าไปข้างในแต่รสากลับจับแขนเพื่อนไว้

“ เล็กเข้าไปคนเดียวแล้วกันนะ ”

“ ทำไมล่ะ แม่ใหญ่น่าจะดีใจที่เจอสานะ ”

“ อย่าเลย ไว้สาแน่ใจก่อนว่าแม่ใหญ่ของเล็กอยากเจอค่อยว่ากัน ตอนนี้เล็กเข้าไปเยี่ยมแม่ใหญ่เถอะ เดี๋ยวเรารออยู่หน้าห้อง ถ้าออกมาแล้วไม่เจอก็โทรหานะ เราอาจจะไปเดินหาอะไรกิน ”

ศศิวิมลเห็นท่าทางของเพื่อนก็ไม่คะยั้นคะยอเพราะรู้นิสัยดีว่า หากบอกว่าไม่ทำก็คือไม่ทำ จึงตัดสินใจเดินตามทางผ่านหน้าห้องน้ำเข้าไปก็เห็นหญิงวัยกลางคนสวมชุดคนผู้ป่วยสีฟ้า มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงร้อยเข้ากับเข็มที่เจาะคาไว้ตรงข้อมือ แขนทั้งสองกอดเข่าท่าทางเหม่อลอยคล้ายสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงหันไปซักถามอาการป่วยของผู้เป็นป้าจากนางพยาบาลที่พี่ชายจ้างจึงได้รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“ หลังจากนั้นดิฉันก็เห็นท่านก็เริ่มเหม่อลอย ชวนคุยอะไรก็เงียบ เลยต้องให้ยาคลายเครียดกับยานอนหลับให้ทาน พอเช้ามาท่านก็นั่งอยู่แบบนั้นแหละคะ ข้าวปลาก็ไม่ทาน ดิฉันคิดว่าคนไข้คงเครียดที่ต้องอยู่โรงพยาบาล ยังไงต้องฝากญาติช่วยดูแลอีกแรงนะคะ เพราะดิฉันเองก็ไม่ใช่ญาติ ถ้าคนไข้ไม่เปิดใจก็คงดูแลสภาพจิตใจข้างในไม่ได้ ”

คนเป็นหลานยิ้มบางรับคำแนะนำจากพยาบาลแล้วเดินเข้าไปวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ข้างเตียงพร้อมร้องเรียกชื่อคนป่วยอยู่นาน ทว่าคนบนเตียงยังคงนั่งนิ่ง กระทั่งรู้สึกว่ามีฝ่ามือตบบนบ่าอารามตกใจทำให้ถึงกับสะดุ้งเฮือกคว้ามือนั้นมาจับไว้แน่น

“ ใหญ่ ” ชื่อนั้นหลุดเป็นคำแรก แต่พอเหลือบเห็นดวงหน้าของหลานสาวก็เพียงแย้มริมฝีปากให้เล็กน้อย

“ แม่ใหญ่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ เมื่อวานตอนเล็กกลับไปมีใครมาทำอะไรให้แม่ใหญ่ไม่สบายใจใช่ไหมคะ ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างห่วงใย นัยน์ตาฉายชัดความเอื้ออาทรให้คนเฝ้ามองสะท้อนใจได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางเก่า

“ ถ้าจะมีใครทำให้แม่ไม่สบายใจ ก็คงมีแต่ตัวแม่เองเท่านั้นแหละเล็ก ” นางทอดเสียงเศร้า ดวงตาหลังแว่นหม่นแสงลงเหมือนคนตามืดบอด ผู้เป็นหลานสูดลมหายใจบีบมือของผู้เป็นป้า แลความตึงเครียดอย่างเห็นใจ

“ แม่ใหญ่ไม่สบายใจตรงไหน ทำไมไม่บอกเล็กล่ะคะ เล็กอาจจะช่วยอะไรเรื่องธุรกิจของครอบครัวไม่ได้ก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องความทุกข์ของแม่ใหญ่ เล็กนั่งฟังทั้งวันยังไงได้เลยค่ะ ”

คนป่วยเผลอกัดริมฝีปากแรงทันทีที่ได้ยินถ้อยความปรารถนาดีของหลานสาว ละสายตาจากหน้าต่างกลับเข้ามาในห้องก็พบรอยยิ้มกว้างราวกับจะกล่อมโลกไว้ให้พบความสุกสว่าง น้ำตาอุ่นรื้นรินออกมา สองแขนคว้าร่างบางมาโอบกอดแล้วซบหน้าลงบนไหล่ไร้สิ้นมาดนักธุรกิจหญิงมากความสามารถดังที่เคยเป็นมา

คนตัวเล็กที่เข้าใจว่าผู้เป็นป้ากำลังเครียดเรื่องวิกานดาได้แต่ยกมือลูบหลังเบาเพื่อปลอบประโลม สัมผัสอบอุ่นปราศจากพิษภัยประจักษ์ในหัวใจเรื่อยมา

นางเคยเชื่อมั่นมาตลอดว่า การได้ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดของภูเขาย่อมดีกว่าเป็นฝ่ายอยู่เบื้องล่าง ความทะเยอทะยานอยากของนางเป็นเหตุให้ทำได้ทุกอย่าง แม้จะต้องหักหลังคนทั้งโลก ต้องเหยียบหัวใครขึ้นไปก็ทำได้ ขอเพียงได้มีอำนาจในมือ และเมื่อวันหนึ่งได้มีโอกาสยืนอยู่ในจุดนั้น สิ่งที่ค้นพบหาใช่ความยิ่งใหญ่ แต่เป็นความหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจที่ไม่อาจหาคนจริงใจอยู่รอบกาย ทั้งที่สำนึกผิดแต่ด้วยความกลัวจะสูญเสียทุกสิ่งในมือไปจึงทำได้เพียงแก้ไขไปอย่างแบ่งรับไม่อาจแก้ไขไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้

ความรู้สึกก่ำกึ่งระหว่างรัก สงสาร และชิงชังที่ระคนคนเคล้าในตัวหญิงสาวตรงหน้า อีกทั้งความกลัวจะสูญเสียทุกสิ่งในกำมือไปทำให้แม้จะสำนึกผิดต่อการกระทำของตนเอง แต่ก็ไม่อาจรับผิดชอบแก้ไขความชั่วร้ายในอดีตของตนเองเต็มกำลัง ทำได้ดีที่สุดก็เพียงเลี้ยงดูไปตามที่เห็นสมควร

“ แม่ขอโทษนะเล็ก ” นางครวญทั้งน้ำตาเช่นนั้นหลายครั้ง

ความขมขื่นประดังเข้ามาในจิตสำนึกให้เจ็บลึกเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยได้แต่อาศัยไหล่ของหลานสาวเป็นแหล่งพำนักปรับทุกข์ โดยไม่รู้เลยว่า หากความจริงปรากฏขึ้นมา หญิงสาวจะคงเหลือความรักให้นางเหมือนดังที่เคยเป็นมาหรือไม่
**************************************************

แผนการยอมรับสมอ้างตีหน้าว่าเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าของศิระ นอกจากจะหลอกวิกานดาให้ยอมคืนหุ้นสองเปอร์เซ็นต์มาได้แล้ว ยังสามารถลวงหนึ่งในคณะกรรมการบริหารที่ร่วมมือกับคู่หมั้นสาวในครั้งนี้ให้เปิดเผยตัวออกมาในที่สุด

หลังจากใช้เวลาสอบสวนถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้บริหารอาวุโสยอมร่วมมือกับวิกานดาอยู่นานก็ทำให้ทราบว่า อดีตผู้บริหารอังคพิมาน โฮเต็ลที่ล่วงลับไปนานหลายสิบปีเคยให้นางเป็นพยานในการมอบมรดกอันประกอบด้วยหุ้นและอำนาจการบริหารรวมทั้งทรัพย์สมบัติให้ลูกสาวทั้งสองคนละครึ่ง แม้ในภายหลังประธานคนเก่าจะไม่พอใจที่ลูกสาวคนเล็กหอบลูกชายมาจากต่างประเทศแต่พินัยกรรมฉบับนั้นก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์

กระทั่งถึงคราวอดีตประธานประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต มลธิกากลับมีเอกสารการมอบอำนาจและหุ้นทั้งหมดของอังคพิมาน โฮเต็ลมาแสดงต่อหน้าที่ประชุมจนได้ขึ้นรับตำแหน่งผู้บริหารใหญ่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จแล้ว ทรัพย์สินอันเป็นมรดกทั้งหมดนั้นกลับเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว ขณะที่มินดารานอกจากจะไม่ได้รับอะไรแล้วยังมีข่าวเสียหายกับคนงานในบ้านจนต้องหนีหน้าออกจากตระกูลไป

“ ถึงตอนนั้นดิฉันจะยังไม่ได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ แต่เพราะท่านเคยเมตตาและให้ดิฉันช่วยเป็นพยานเรื่องมรดก ทำให้ดิฉันสงสัยเรื่องนี้มาตลอด ไม่ใช่แค่ดิฉันนะคะ แต่มีอีกคนหลายคนอยากตรวจสอบเรื่องนี้ เพียงแต่ผู้บริหารหรือพนักงานที่เกี่ยวข้องและอยู่ทันช่วงท่านประธานคนเก่าไม่โดนปลดเกษียณล่วงหน้าก็โดนย้ายไปประจำที่สาขาอื่น ก็มีแค่ดิฉันคนเดียวที่ยังอยู่ พอดีคู่หมั้นของคุณใหญ่บอกดิฉันว่า คุณใหญ่อยากให้เธอช่วยตรวจสอบการทุจริตหรือความไม่ชอบมาในองค์กรตั้งแต่คุณมลธิกาเข้ารับตำแหน่ง ดิฉันเลยคิดว่าเธอจะช่วยให้ความจริงบางอย่างกระจ่างก็เลยร่วมมือกับเธอ ไม่ได้คิดหรอกคะว่าเธอจะเอามาใช้ประโยชน์แบบนี้ ”

ผู้บริหารหญิงผู้อาวุโสกว่าทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิกล่าวทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น ฝ่ายชายหนุ่มผู้สืบสาวราวเรื่องจ้องลึกลงไปในดวงตาของคนตรงหน้าไม่มีความหวั่นเกรงใดราวกับเชื่อมั่นว่าการกระทำของตนนั้นถูกต้อง

“ ไม่ใช่เฉพาะคุณหรอกครับที่อยากได้ความกระจ่าง ผมเองถึงจะเป็นหลานและอยู่ในฐานะตัวแทนประธานบริหารก็จริง แต่ผมจะไม่ยอมให้ใครใช้อำนาจในทางมิชอบหรือทุจริตกับองค์กรของเราเด็ดขาด ทุกคนไม่ว่าใครที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่อยากให้ผมตรวจสอบ หาข้อเท็จจริงส่งมาให้ผมได้ หรือถ้าไม่ไว้ใจก็มาช่วยผมสืบหาความจริงเรื่องนี้ด้วยกัน แต่ในทางกลับกัน ถ้าผมทราบว่าทุกคำของคุณเป็นแค่การปัดความผิด ผมจะไม่ไว้หน้าคุณเหมือนกัน ”

เขาประกาศเจตนารมณ์ของตนเองชัดเจนก่อนจะก้มศีรษะผายมือให้อีกฝ่ายออกจากห้อง จากนั้นจึงกดโทรศัพท์โทรไปยังฝ่ายรักษาความปลอดภัยให้ช่วยจับตาดูการทำงานของผู้บริหารคนนี้ไว้อย่าให้คลาดสายตา หากพบความผิดปกติให้แจ้งกลับมาทันทีแล้วจึงหันไปกดอินเตอร์คอมสั่งให้พาผู้ร้ายเข้ามาพบในห้องอีกครั้ง
วิกานดาเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยมีชายฉกรรจ์ยืนคุมเชิงป้องกันการหนีขนาบข้าง พามานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของห้องก็ถอยหลังยืนรออยู่ที่ประตู

“ คุณต้องการอะไรจากฉันอีก ” หล่อนตวัดหางเสียงใส่ มองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ ผมแค่อยากเตือนคุณกับคนของคุณให้เลิกยุ่งกับโรงแรมของผมซะ เพราะถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ผมจะไม่หยุดแค่แฉสิ่งที่คุณทำ แต่ผมจะล่าพวกคุณให้ถึงที่สุด และคนแรกที่ผมจะตามหาคือคุณ จำเอาไว้ ”

ท่าทางและน้ำเสียงอันแข็งกร้าวของเขาทำให้หญิงสาวรีบพยักหน้ารับคำพอได้รับอนุญาตให้ออกไปได้ เจ้าหล่อนก็ลุกพรวดจากเก้าอี้เดินปั้นปึ่งออกไป โดยศิระส่งสัญญาณนัดแนะกับคนงานของตัวเองให้คอยสะกดรอยตามคนที่เพิ่งพ้นจากห้องไป

ยามเมื่อห้องทำงานและห้องพักแห่งนี้ไร้ผู้คนเดินเข้าออก บรรยากาศโดยรอบก็ตกอยู่ในความเงียบ...ศิระเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้ ปิดตาพลางถอนหายใจเฉกคนที่เดินทางรอนแรมมาไกลแสนไกลเสียจนเหนื่อยล้าไปทั้งกายทั้งใจ ใช้เวลาพักเพียงครู่เดียวก็เปิดตา เอื้อมมือไปดึงลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบเอาสมุดบันทึกเล่มหนึ่งวางลงบนโต๊ะ

ดวงตาคมฉายแววมุ่งมาดอาฆาตแรง เยื่อใยแห่งสายสัมพันธ์และความดีงามที่เคยเกี่ยวกวัดให้ระลึกบูชาสตรีผู้เปรียบเสมือนแม่พระมาโปรดในยามเยาว์จวนเจียนหมดสิ้น ผุดลุกจากเก้าอี้สอดมันเก็บใต้โต๊ะ คว้าสูทเนื้อดีซึ่งพาดอยู่มาสวมทับ หยิบของสำคัญชิ้นนั้นยัดใส่ในกระเป๋าที่เย็บซ่อนอยู่ด้านในเสื้อสูทแล้วสูดลมหายใจลึกล้ำ พยายามอย่างหนักในการรวบรวมพลังศรัทธาที่มีอยู่น้อยนิด ก่อนจะกดสวิตซ์ไฟหายออกจากห้องไป
*******************************************
อาหารกลางวันสำหรับคนไข้ในห้องพิเศษที่ทางโรงพยาบาลจัดมานอกจากจะมีหน้าตาสีสันน่ารับประทานแล้ว ภาชนะที่เลือกใช้บรรจุมาให้ก็สวยงามเจริญตา ทว่าสำหรับมลธิกาที่หมดความรู้สึกอยากอาหารมาตั้งแต่เมื่อวานกลับกล้ำกลืนทีละคำลงคอด้วยความทรมาน ไม่นานนางก็โบกมือเป็นเชิงให้หยุดป้อนแล้วยกมือปิดปากทำท่าจะขย้อนทุกอย่างในท้องออกมาทำให้คนเป็นหลานวิ่งเข้าห้องน้ำหยิบเอาถุงพลาสติกมาให้

แม้แทบจะไม่มีอะไรในกระเพาะหากคนป่วยก็อาเจียนของเหลวออกมาจนหมดไส้หมดพุงก่อนจะล้มลงไปนอนแผ่หมดแรงอยู่บนเตียงโดยมีมือขาวหยิบกระดาษเช็ดหน้าคอยเช็ดคราบสกปรกที่เปื้อนเปรอะรอบปาก รินน้ำลงแก้วแล้วใส่หลอดให้จิบทีละน้อย

ศศิวิมลลากโต๊ะล้อเลื่อนมาหลบมุม หยิบผ้าขนหนูที่พาดบนเหล็กกั้นกันคนไข้ตกเตียงไปชุบน้ำพอหมาด ค่อยๆใช้มันเช็ดหน้าเช็ดตาให้คนบนเตียงอย่างนุ่มนวลจนสะอาดก็นำผ้าไปซักกับน้ำสบู่ในอ่างล้างมือ ทุกครั้งที่ขยี้ผ้าสภาพอิดระโหยโรยแรงของผู้เป็นป้าก็วนเวียนติดตา

อาจเพราะเคยชินกับการได้เห็นนายหญิงแห่งอังคพิมานเยื้องกรายสง่างามในวงสังคม เมื่อมีโอกาสได้เห็นความอ่อนแอเข้าทำให้อดจะห่วงกังวลมากกว่าปกติไม่ได้

นายแพทย์เจ้าของไข้เปิดประตูเข้ามาโดยมีพยาบาลพิเศษและพยาบาลอีกคนเดินตามหลัง...หญิงสาวสะบัดผ้าตากไว้ตรงอ่างรีบเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างเตียงเฝ้าสังเกตผู้ทำการรักษาตรวจอาการทั่วไปพร้อมฟังรายงานจากนางพยาบาลแล้วหยิบแฟ้มบันทึกผลมาดูอยู่ครู่หนึ่งก็หันมาถามญาติถึงความปกติอื่นและพอแจ้งว่ามีอาเจียนหลังทานอาหารก็ได้รับคำตอบว่า คงเป็นผลจากความเครียดลงกระเพาะ

“ ดูจากผลทุกอย่างแล้วในลำไส้กับกระเพาะก็ไม่มีแผล คงไม่ได้เป็นโรคกระเพาะ ยังไงคนไข้ต้องพยายามอย่าเครียดมากนะครับ ความเครียดจะทำให้อาการที่เป็นอยู่แย่ลง ” นายแพทย์วัยกลางคนเอ่ยพลางยิ้มอย่างใจดี ก้มศีรษะให้คนที่ยกมือไหว้ทีหนึ่งก็เดินไป ส่วนพยาบาลพิเศษที่จ้างมาหลังจากหายไปอีกก็กลับมาพร้อมกับยาในถ้วยพลาสติก

“ ทานยาค่ะ ” หล่อนว่าเทยาทั้งหมดลงในมือให้คนป่วยทาน ตามด้วยน้ำ แล้วปรับหัวเตียงให้เอนลงให้เหมาะกับการนอนพักผ่อน ตรวจดูน้ำเกลือในถุงที่แขวนอยู่เรียบร้อยจึงถอยหลังออกมา

“ เล็กจะกลับเลยหรือเปล่าลูก ” มลธิกาเอ่ยถามขณะจับแขนของหลานสาวไว้แน่น

“ ยังหรอกค่ะ วันนี้เล็กเตรียมเสื้อผ้ามาด้วย ตั้งใจจะมานอนเฝ้าแม่ใหญ่ที่นี่ ”

“ มานอนเฝ้าแม่ แล้วตาภาคเขาไม่ว่าเหรอลูก ”

“ พี่ภาคไม่อยู่บ้านนะคะ เล็กก็เลยคิดว่ามานอนเฝ้าแม่ใหญ่ดีกว่า ” หล่อนว่าลูบหลังมือของป้าตนเองไปมาก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเหลียวไปดู

บรรยากาศเงียบสงบในห้องพลันอึดอัดเพียงแค่ศิระก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาเหลือบมองน้องสาวที่ยืนอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่งก็ปรายมาจ้องคนป่วยนิ่ง ปราศจากการไหว้หรือคำทักทาย มือเรียวใหญ่คว้าเอากระเป๋าสะพายบนเก้าอี้มาพาดบ่าได้ก็คว้าต้นแขนน้องพาให้ตามออกไปข้างนอก

“ พี่ใหญ่ เดี๋ยวคะ จะพาเล็กไปไหน ” คนตัวเล็กร้องเสียงหลงเมื่อถูกพี่ชายนำตัวมาโดยพละการ

รสาวางแก้วกาแฟลงข้างตัว ลุกพรวดพราดออกจากเก้าอี้วิ่งไปหาเพื่อนในทันทีที่เห็นเหตุการณ์นั้น เพียงชายหนุ่มเหลือบเห็นก็คว้ามือของอีกฝ่ายให้มาจับแขนน้องไว้

“ ผมฝากคุณพาเล็กไปส่งที่บ้านหน่อยได้ไหม ” ไหว้วานเอากับหญิงสาวอีกคนที่เดินมาสมทบ

“ เดี๋ยวสิคะพี่ใหญ่ เล็กยังไม่ทันได้ดูแลแม่ใหญ่เท่าไหร่เลย ทำไมพี่ใหญ่ต้องรีบไล่เล็กกลับด้วยล่ะคะ ”
ชายหนุ่มจับแขนทั้งสองข้างของน้องบีบเบาๆ ทอดสายตาอ่อนโยนประสานกับดวงตาหวานอมโศกไว้พลางยิ้มกว้างดังที่เคยทำเสมอยามอยากให้น้องคล้อยตาม

“ พี่มีเรื่องสำคัญต้องคุยกับแม่ใหญ่เขา คงจะคุยกันยาว เล็กกลับบ้านไปก่อนจะดีกว่า เชื่อพี่นะคะ ”
ศศิวิมลจ้องคนตรงหน้าเขม็ง สักพักก็ถอนหายใจยอมรับความต้องการของพี่ชายด้วยการพยักหน้า รับกระเป๋ามาสะพายไหล่ เหลียวกลับไปยังบานประตูแล้วสุดท้ายก็ยอมปล่อยให้เพื่อนจูงมือพากลับบ้าน

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากขณะมองแผ่นหลังบางห่างออกไปจากสายตาก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นนางพยาบาลพิเศษยืนรออยู่ก็เอ่ยปากให้ออกไปรอข้างนอก จากนั้นก็ขยับย่างเท้าตรงไปหาหญิงวัยกลางคนในชุดสีฟ้าที่กำลังนั่งรอเขาอยู่บนเตียง

มลธิกาแหงนหน้ายังคนข้างเตียงพร้อมเหยียดยิ้มกว้าง วางมือบนราวเหล็กกั้น เอ่ยถามถึงสถานการณ์ของอังคพิมาน โฮเต็ลตามปกติ แสร้งทำเหมือนไม่รู้สึกถึงความเย็นชาซึ่งแผ่ขยายอาณาเขตไปทั่วทุกสารทิศ

“ แม่ดีใจที่ใหญ่เชื่อแม่มากกว่าวิกานดา ” นางพยายามข่มความช้ำไว้มิให้เจือมากับน้ำเสียง ในใจยังแอบหวังลึกๆว่า เรื่องราวทั้งหมดอาจเป็นเพียงการแกปัญหาเฉพาะหน้า หาใช่เพราะอีกฝ่ายล่วงรู้ความจริง
แปลกที่เขากลับไม่ตอบโต้อะไรมากไปกว่าการลากเก้าอี้มาทรุดลงนั่งจับจ้องทุกอิริยาบถของคนป่วยด้วยความหมางเมินเนิ่นนานราวกับพญาอินทรีที่เฝ้าคอยให้เหยื่อที่จิกทึ้งมาหมดลมหายใจอย่างช้าๆ เป็นความอึดอัดชวนทรมานเสียยิ่งกว่าการฆ่าให้ตายในคราวเดียว

ศิระอดทนฟังน้ำเสียงทรงพลังอันคุ้นหูอันเปรียบได้กับมีดคมที่คอยแต่จะกรีดลึกในหัวใจให้เจ็บปวดจนแทบกระอักเลือดด้วยสีหน้าเฉยเมยกระทั่งมันถึงจุดสิ้นสุดก็ลุกจากเก้าอี้เดินกลับไปประจันหน้ากับผู้ที่เคยเชื่อเสมอว่าเป็นป้าของตนเอง

“ คุณตีหน้าเก่งนะ ” เขาพูดเป็นประโยคแรก แววน้ำเสียงทอดลึกไร้ความสั่นหากเจือความร้าวระทมเด่นชัด มือที่เกาะราวเหล็กกำเข้าหากันแน่นจนแทบจะหักมันเป็นสองส่วน

“ แม่... ” นางเอ่ยแผ่วเบา ประสานมือกันบนหน้าตักอย่างข่มกลั้น ชำเลืองมองดวงตาคมโศกซมของสายเลือดตัวเองก่อนจะหลับตาฟังเสียงของแข็งกระแทกกับผนังอย่างแรงแล้วน้ำตาก็ท่วมออกมาอาบทั่วหน้าปรายมองอีกครั้งก็เห็นว่า ชายหนุ่มวางกำปั้นไว้ตรงกำแพงและมีเลือดแดงฉานไหลเป็นทางให้ได้ตระหนก

“ อย่าเรียกตัวเองว่าแม่ เพราะคนอย่างคุณไม่มีวันเป็นแม่ใครได้หรอก ” ทุกคำลอดผ่านไรฟันที่ขบกันแน่นคล้ายไม้แข็งที่กระแทกกลางลำตัวอีกคนให้ร้าวระบม ถึงกระนั้นฝ่ามือของนางก็ยังเอื้อมมือออกไปวางลงบนหลังมือจึงถูกสะบัดกระแทกลงกับเตียงอย่างแรง

“ คุณคิดว่าความยิ่งใหญ่มันสำคัญมากกว่าความรักความเชื่อใจใช่ไหม ถึงได้ทำกับเราสามแม่ลูกขนาดนี้ ”
เพียงได้ยินกายคนป่วยก็ไหวสะท้าน ป่ายมือไปหมายจะไขว่คว้าแขน หากเขาถอยหนีจึงสัมผัสได้เพียงอากาศ

“ ใหญ่...ใหญ่ฟังแม่ก่อนได้ไหม ” ฝืนพูดทั้งที่ต้องกล้ำกลืนก้อนแข็งที่แล่นมาจุกลำคอ เฝ้ามองความเกลียดชังจากคนตรงหน้าอย่างขมขื่นเกินบรรยาย

“ ผมไม่ได้เสียใจสักนิดที่คุณทิ้งผมไป เพราะเรื่องนี้มันทำให้ผมรู้ว่า แม่ที่เลี้ยงผมมารักผมมากขนาดไหน แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องมาถามหาความเป็นคนจากคุณที่นี่ ก็คือวิธีที่คุณใช้ตอบแทนความรักที่แม่มีให้คุณต่างหาก ” เขาหยุดเค้นเสียงทีละคำอย่างโกรธเคืองเพื่อหอบหายใจ “ แม่รักคุณมากถึงขนาดยอมแบกหน้ารับผิดชอบชีวิตที่ไม่ได้ให้กำเนิด ยอมให้คนอื่นเขานินทาว่าสำส่อนท้องไม่มีพ่อ ยอมกระทั่งไม่รับตำแหน่งผู้บริหารเพราะรู้ว่าคุณอยากได้ แม่ผมให้คุณได้ทุกอย่าง แต่คุณกลับหาเรื่องใส่ร้ายให้คุณตาเชื่อว่าแม่มีอะไรกับคนงานจนโดนไล่ออกจากบ้านไม่พอ คุณยัง...” ถ้อยความในตอนท้ายจางหายไปพร้อมกับหยดน้ำตาลูกชายที่เอ่อท้นจากแรงแค้น

ผู้หญิงชั่วช้าสามานย์คนนี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนาถึงกับยอมทอดร่างใช้ศักดิ์ศรีความเป็นคนจนตั้งท้องแล้วยังวางยาน้องสาวตัวเองเอาไปประเคนให้ผู้ชายคนนั้นย่ำยีแลกกับความมั่นคงในตำแหน่ง ไอ้ความเลวทรามน่าสะอิดสะเอียดนั้นทำให้เขาซึ่งมีเลือดของผู้หญิงคนนี้ครึ่งหนึ่งนึกรังเกียจตัวเองจับขั้วหัวใจ

มลธิกาสะอื้นปล่อยน้ำตาออกมาอย่างเต็มกลืน ความทะเยอทะยานแรงกล้าเปลี่ยนให้นางเป็นยิ่งกว่าอสูรร้ายที่กล้าพร่าผลาญทำร้ายทุกคนทุกสิ่งที่กีดขวางให้พ้นทาง...อดีตอันชั่วร้ายนี้เปรียบเสมือนวิญญาณที่คอยตามหลอกหลอนให้นางไม่สามารถพานพบความสุขได้อีกเลย

“ คุณหน้าสร้างภาพให้ตัวเองเป็นนางฟ้า แกล้งทำเป็นว่ารักเราสองพี่น้องหนักหนา ทั้งที่ความจริงคุณก็ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง คุณเลี้ยงดูเชิดชูผมออกหน้าออกตาเพราะจะใช้ผมเป็นทายาททางธุรกิจ แต่คุณกลับเลี้ยงเล็กเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงของตัวเอง แบบนี้นะเหรอที่คุณเรียกว่ากำลังไถ่บาปให้เราสามแม่ลูกอยู่นะ ” ตะโกนก้องทวงถามความเป็นธรรมสุดเสียงแล้วหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นออกมาโยนใส่ผู้เป็นเจ้าของ ความอัปยศอดสูครั้งนี้รุนแรงตอกตรึงฝังลึกในหัวใจและความทรงจำ

“ คุณเขียนความผิดตัวเองลงในสมุดบันทึกหวังว่ามันจะช่วยลดความรู้สึกผิดของตัวเองลง แต่คุณกลับไม่เคยรับผิดชอบในการกระทำของตัวเองจริงๆเลยสักอย่าง ใจคุณยังคิดกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองจะหมดอำนาจ ในเมื่อกลัวมากนัก ผมก็จะทำทุกทางให้คุณหมดอำนาจ และถ้าจำเป็นต้องส่งเข้าตาราง ก็อย่าหาว่าผมใจร้ายแล้วกัน ”

ศิระประกาศก้องจ้องมองผู้ให้กำเนิดด้วยความรู้สึกที่เกินกว่าจะใช้คำว่าเกลียดชังกัน ความรักความศรัทธาพลันสลายกลายเป็นฝุ่นละอองลอยในอากาศก่อนจะหุนหันเดินออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวหันกลับมามองคนป่วยที่กำลังกุมหน้าอกหอบหายใจรุนแรง

แรงอาฆาตของผู้เป็นลูกทำให้โลกทั้งใบของมลธิกาหายลับไปต่อหน้าต่อตา...ในอกปวดแปลบรวดร้าวราวแก้วน้ำที่พร้อมจะแตกเป็นเสี่ยง เส้นเลือดขยายปูดโปนให้เห็นตรงขมับปวดศีรษะคล้ายถูกบางสิ่งบีบรัด หัวใจเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะจนเกิดอาการชักทุรนทุรายรุนแรง ดวงตามองเห็นภาพนางพยาบาลที่เดินเข้ามาเลือนรางแล้วความมืดก็แทรกตัวเข้ามาให้จิตสำนึกล่องลอยไปไกลแสนไกล




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ย. 2554, 06:15:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.ย. 2554, 06:15:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 2076





<< บทที่ ๑๘   บทที่ ๒๐ >>
ling 5 ก.ย. 2554, 15:48:28 น.
ทำดีย่อมได้ดี เขียนได้อารมณืมากเลยค่ะ


anOO 5 ก.ย. 2554, 19:31:15 น.
อ้าว....แม่ใหญ่จะเป็นอะไรไปอีกคนไหมเนี้ย


Edelweiss 5 ก.ย. 2554, 20:16:27 น.
สงสารพี่ใหญ่ แต่อีกใจก็รักพี่ภาคย์ โอ๊ยยย


violette 6 ก.ย. 2554, 02:34:53 น.
โห....เลวได้ขนาดนี้เลยนะคะเนี่ย
แสดงว่าพี่ใหญ่กับเล็กเป็นพี่น้องคนละแม่จริงๆด้วย
นอกจากพี่ใหญ่กับน้องเล็กและนายภาคแล้ว
คนที่น่าสงสารมากอีกคนคือแม่ของน้องเล็ก เฮ้อ อดีตอันน่าเจ็บปวดจริงๆ
รอเรื่องของตาภาคคลี่คลายดีกว่า (น่าปวดหัวพอกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account