กลรัก สลับหัวใจ
เมื่อเพื่อนสาวจอมยุ่ง จับผลัดจับพลูให้เธอนัดไปดูตัวกับคาสโนว่าหนุ่มแลกกับค่าจ้างหนึ่งหมื่น ม่านนทีจึงยอมเซย์เยส แปลงร่างเป็นนางซินวางแผนตัดสัมพันธ์แทนเพื่อนสาวเสียดิบดี แต่ที่ไหนได้เขาทั้งหล่อ เท่ แถมยังมีรอยยิ้มบาดใจ ทำเอาเธอชักหวั่นไหวซะแล้วสิ
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานๆ,รักใส ๆ

ตอน: ความในใจ

บทที่ 8
ความในใจ

“ครูวิภา อย่าไปเชื่อนะคะ” ม่านนทีรีบหันไปแก้ต่าง

“พูดความจริง ไม่เห็นต้องอายเลย” คนตัวสูงกล่าวดักคอน้ำเสียงจริงจัง ทำให้ครูพี่เลี้ยงเชื่ออย่างสนิทใจ

“นั่นสิหนูน้ำ คุณเตชิตเขาก็ออกจะเป็นคนเปิดเผยแถมยังเป็นคนดีมากด้วย ทีแรกครูเองก็กำลังกลัวอยู่เชียวว่าจะมีผู้ชายพายเรือที่ไหนมาจีบ แต่พอรู้อย่างนี้แล้วค่อยสบายใจหน่อย”

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลคุณน้ำเป็นอย่างดี” เตชิตสวมรอยอย่างแนบเนียน จนม่านนทีพูดไม่ออก

ดวงหน้างามหันไปค้อนคนพูด แต่ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แถมยังก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างยกมือขึ้นโอบไหล่บาง ทำท่าราวกับเป็นคนรักที่พร้อมอุทิศตนดูแลเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ม่านนทีแก้มแดงปลั่ง ยกศอกขึ้นกระทุ้งสีข้างเตชิตเบา ๆ เพื่อให้เขาปล่อยมือ แต่อีกฝ่ายกลับรั้งร่างบางเข้าไปแนบชิดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ดีล่ะ ถ้างั้นดิฉันขอตัวไปดูแลเด็ก ๆ ก่อนนะคะ”

“ตามสบายครับ”

ทันทีที่ครูวิภาเดินผละออกไป ม่านนทีก็รีบยกมือขึ้นผลักเขาออกทันที แก้มเนียนเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ ตวัดสายตาจ้องหน้าเตชิตอย่างฉุน ๆ

“คนบ้า ฉวยโอกาส” เธอกล่าวหาเสียงเบา เนื่องจากเกรงว่าเด็ก ๆ จะได้ยิน

ใบหน้าคมคายยิ้มรับข้อกล่าวหา ทอดสายตามองเธออย่างอ่อนโยน ภายใต้บุคลิกสุภาพและแฝงความอบอุ่นตามแบบฉบับ ทำให้ทุกครั้งที่เตชิตเผยรอยยิ้มออกมา มักกลายเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นผิดจังหวะอยู่เสมอ

“ผมแค่พูดไปตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ

“ความจริงอะไรกัน เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย อย่าเที่ยวพูดให้คนอื่นเข้าใจผิดสิ”

ม่านนทีย้อนน้ำเสียงไม่พอใจ เดินหนีไปทางอื่นไม่ยอมหันไปยิ้มให้เขาอีก เตชิตเพียงแต่มองตามเธอ พร้อมกับระบายลมหายใจออกมาช้า ๆ คำพูดประโยคดังกล่าว...แน่นอนว่าชายหนุ่มพูดออกมาจากใจจริง แต่สำหรับม่านนทียังคงต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าเธอจะยอมรับฟังเสียงหัวใจของตนเอง…

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ม่านนทีกับเตชิตจึงขอตัวลากลับ ทั้งสองช่วยกันเก็บกล่องพลาสติกใบใหญ่และสัมภาระเข้าไปในรถยนต์ โดยมีครูวิภาและพวกเด็ก ๆ พากันเดินออกมาส่งที่หน้าประตูรั้ว
“น้ำขอตัวกลับก่อนนะคะครูวิภา ไว้ครั้งหน้าจะมาเยี่ยมใหม่” เธอพนมมือไว้อย่างนอบน้อม

“ขอบใจมากนะหนูน้ำ ขับรถกลับกันดี ๆ ล่ะ”

“ไปก่อนนะครับ” เตชิตหันมากล่าวลา

“โชคดีจ้ะ”

ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูให้ม่านนที ก่อนที่ตัวเองจะเดินอ้อมเข้าไปนั่งยังฝั่งคนขับ ครูวิภายืนส่งจนกระทั่งรถยนต์ยี่ห้อหรูเคลื่อนออกไปจากซอยช้า ๆ ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จ้องมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต่อมาหญิงสาวร่างเล็กสวมกระโปรงนุ่งน้อยห่มน้อยก็รีบเดินตรงรี่เข้ามาใกล้

“นั่นใครหรือครูวิภา”

พี่เลี้ยงเด็กร่างท้วมหันมามองคนถาม “ก็หนูน้ำที่เคยอยู่ที่นี่เมื่อสมัยตอนเธอยังเป็นเด็กยังไงล่ะ ตอนนี้เขามีการมีงานทำรุ่งเรืองก็เลยกลับมาเยี่ยมเด็ก ๆ จำไม่ได้แล้วหรือ”

“อ๋อ...นึกว่าใครซะอีก ที่แท้ก็ยายน้ำเด็กถูกทิ้งคนนั้นน่ะเอง แหม เดี๋ยวนี้แต่งเนื้อแต่งตัวดูดีมีรถขับเชียวนะ ได้ผัวรวยละสิท่า”

หญิงสาวหน้าตาจัดจ้าน ออกอาการอิจฉาตาร้อน จนคนฟังทนไม่ไหว

“พูดอะไรหัดมีมารยาทบ้างนะมาลัย ทั้งสองยังไม่ได้แต่งงานกันซะหน่อย แค่กำลังคบหาดูใจกันอยู่เท่านั้น อย่าเที่ยวพูดไปเดี๋ยวหนูน้ำเขาจะเสียหาย” ครูวิภากล่าวตำหนิ

“อ้าว ไม่ใช่แฟนกันหรอกเหรอ มิน่าล่ะ เห็นยืนห่างกันเป็นคืบเชียว” มาลัยจีบปากจีบคอพูด อดคิดไปถึงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา บุคลิกท่าทางดูดี ขับรถยนต์ราคาสูงลิบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ผู้ชายอะไรทั้งหล่อ ทั้งรวย แถมท่าทางยังพึ่งพาได้อีกต่างหาก

“โสดงั้นเหรอ...” มาลัยแย้มยิ้ม หูตาพราวระยับ “แบบนี้ฉันเองก็พอมีสิทธิ์อยู่น่ะสิ”

“เธอพูดว่าอะไรนะ” อีกฝ่ายได้ยินไม่ชัด

“เปล่าหรอก ก็แค่ลองคิดอะไรเล่น ๆ ดูเท่านั้นเอง ไปดีกว่า อยู่แถวนี้นาน ๆ เดี๋ยวใครต่อใครจะเข้าใจผิด คิดว่าฉันอยู่บ้านเดียวกับเจ้าพวกเด็กสกปรกพวกนี้”

“มาลัย”

ครูวิภาเอ็ดเสียงดัง แต่มาลัยคร้านที่จะฟังเสียงบ่นเสียงด่า เดินสะบัดหน้ากลับเข้าไปในร้านค้าบ้านตัวเอง เพ้อรำพันถึงชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม อีกไม่นานหรอก มาลัยคนนี้จะยกระดับตัวเองให้เหนือกว่าใครในซอยนี้เลยคอยดู…


ในวันที่อากาศสดใส ปิ่นแก้วเลือกขับรถออกไปตระเวนเลือกซื้อของในห้างสรรพสินค้าท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ร่างบางสวมเดรสผ้าชีฟองลายดอกไม้แขนกุด รองเท้าส้นสูง ปล่อยเส้นผมยาวเป็นคลื่นจรดบ่า ใบหน้าหวานแต่งแต้มลิปกลอสสีชมพูสวย จนใครต่อใครพากันเหลียวมอง

ถึงแม้ในยามปกติปิ่นแก้วจะติดนิสัยเอาแต่ใจตามประสาคุณหนู แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะรองผู้บริหารฝ่ายตลาดของบริษัทนำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ที่บิดามอบหมายให้ดูแล ปิ่นแก้วจึงต้องออกมาสำรวจตลาดเพื่อหาแนวใหม่อยู่เสมอ

“ขอดูตัวนั้นหน่อยได้มั้ยคะ”

“ได้ค่ะ”

พนักงานห้างยื่นแบบชุดชั้นในเสริมฟองน้ำสีสวย ยี่ห้อชื่อดังให้ลูกค้าเลือกชม ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ถือเป็นศูนย์กลางแหล่งแฟชั่นนำสมัย และเป็นตลาดที่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมเลือกซื้อหามากเป็นอันดับต้น ๆ และหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ว่าก็รวมไปถึงตลาดชุดชั้นในที่เธอกำลังถืออยู่ในมือด้วย

“แบบนี้กำลังเป็นที่นิยมเลย ว่าแต่เสริมฟองน้ำมากไปนิดนะว่ามั้ย” ปิ่นแก้วพิจารณาดูเนื้อผ้าและรูปทรงอย่างละเอียด

“แต่ผมว่าเสริมฟองน้ำแบบนี้เหมาะกับคุณแล้วล่ะ”

จู่ ๆ ก็มีเสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาปิ่นแก้วถึงกับสะดุ้งหันไปมอง แต่เมื่อเห็นหน้าคนที่กำลังยืนยั่วโมโหอยู่ชัด ๆ ก็แทบลมจับทันที

“นาย”

“สวัสดีครับ เจอกันอีกแล้วนะคนสวย” ราเมศยิ้มหวาน ดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ด้วยทรงผมตัดสั้นทันสมัย ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนจรดข้อศอกเข้ากับรองเท้าหนัง

“ไม่จริง...นี่ต้องเป็นฝันร้ายแน่ ๆ” ปิ่นแก้วหันกลับไปพึมพำกับตัวเอง แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่ามีเขายืนอยู่ข้างหลัง

พระเจ้า อุตส่าห์หนีมาเดินตากแอร์อยู่ในห้างสรรพสินค้าทั้งที ยังอุตส่าห์มีมารมาผจญเธออีกหรือนี่ หญิงสาวรีบส่งผลิตภัณฑ์คืนแก่พนักงานขาย จากนั้นก็เดินจ้ำอ้าวหนีให้ห่างจากบริเวณนั้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“อ้าว เดี๋ยวสิคุณจะรีบไปไหน” ราเมศก้าวยาว ๆ เดินตามเธอไปอย่างนึกสนุก แต่ปิ่นแก้วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ทั้งสองเดินตามกันไปอีกครู่ใหญ่ กระทั่งแน่ใจว่าปิ่นแก้วไม่ยอมหันมาญาติดีด้วย ราเมศจึงคิดวิธีการเรียกร้องความสนใจ ด้วยการเล่นสงครามจิตวิทยาแทน

“คุณนี่ยังไงกันนะ เห็นหน้าผมทีไรเอาแต่วิ่งหนีอยู่เรื่อย” ร่างสูงยกมือขึ้นล้วงกระเป๋าเดินตามไปช้า ๆ “ชักสงสัยแล้วสิว่า ผมไปทำอะไรให้คุณนักหนา”

ปิ่นแก้วบังคับตัวเองให้ก้าวท้าวเร็วขึ้น พลางนับหนึ่งถึงสิบภายในใจ

“ได้ยินหรือเปล่าครับ คนสวย”

ร่างบางชะงักฝีเท้ากึก หันกลับไปมองอย่างไม่พอใจ

“เรียกคนสวย ๆ อยู่ได้ ฉันมีชื่อนะ”

“อ้าว ก็เห็นคุณไม่ว่าอะไรก็นึกว่าชอบซะอีก” ราเมศทำตาเจ้าชู้ “ว่าแต่จะให้ผมเรียกคุณว่าอะไรดีละครับ”

ปิ่นแก้วเม้มปากอย่างชั่งใจ “ฉันชื่อปิ่นแก้ว เรียกสั้น ๆ ว่า ‘ปิ่น’ ก็พอ”

“ชื่อเพราะจังเลย คุณปิ่นแก้วยาใจ”

“นายคิดจะยั่วโมโหฉันไปถึงไหน”

ปิ่นแก้วเต้นเร่า ๆ นึกแช่งชักหักกระดูกชายหนุ่มให้รีบ ๆ ตายไปให้พ้นหน้า

“ขอโทษครับ ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “ก็คุณเอาแต่วิ่งหนี ไม่ยอมหันกลับมาคุยกันดี ๆ ก็เลยอยากแกล้งเท่านั้นเอง”

“ก็แล้วทำไมฉันต้องหยุดคุยกับผู้ชายโรคจิตด้วยล่ะ”

คำพูดเชือดเฉือนจากริมฝีปากสวย ทำเอาราเมศถึงกับขมวดคิ้วมุ่น

“ผมเนี่ยนะโรคจิต”

“ลองคิดดูสิว่าในโลกนี้มีผู้ชายดี ๆ ที่ไหนบ้าง เที่ยวมายืนแอบมองผู้หญิงตอนเลือกซื้อชุดชั้นในเหมือนนาย” ปิ่นแก้วยกมือขึ้นกอดอก จ้องหน้าเขาอย่างกล่าวหา

ราเมศได้แต่ถอนหายใจยาว อย่างคร้านที่จะต่อปากต่อคำด้วย เพราะถึงอธิบายไปว่าบังเอิญเขาเดินอยู่แถวนั้นและบังเอิญพบเธอเข้าพอดี ก็คงไม่แคล้วถูกเหมารวมว่าเป็นพวกโรคจิตชอบชุดชั้นในด้วยอีกนั่นแหละ

“ตกลง ผมยอมรับผิดแล้วก็ได้ เอาเป็นว่าผมไม่ได้ตั้งใจแอบดูคุณโอเคไหม” ชายหนุ่มยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ “ทีนี้พอใจหรือยัง”

“ไม่”

“ให้ตายสิ เมื่อไหร่เราสองคนจะหันหน้ามาคุยกันดี ๆ สักทีนะ” ราเมศครางในลำคอ

“ช่วยไม่ได้ นายอยากยียวนกวนประสาทฉันก่อนนี่”

“เอาล่ะ ผมสัญญาว่าต่อไปนี้จะพูดจาดี ๆ ไม่ทำให้คุณต้องอารมณ์เสียอีก ตกลงไหม”

แม้อีกฝ่ายจะตกปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ปิ่นแก้วก็ยังไม่วายจ้องหน้าคนพูดอย่างขี้ระแวง

“แน่ใจเหรอ” เธอย้อนถาม

“แน่สิ” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ใบหน้าหล่อเหลาชวนมองมากกว่าเดิม

ปิ่นแก้วชั่งใจอยู่พักใหญ่ ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมีลูกไม้อะไรซ่อนเอาไว้อีกหรือเปล่า ดวงตาคู่สวยลอบมองราเมศตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดู ๆ ไป เขาเองก็จัดว่าเป็นชายหนุ่มที่บุคลิกดูดี ทั้งยังเคยช่วยเธอเอาไว้จากพวกอันธพาลร้านเหล้าครั้งก่อน

เสียก็แต่นิสัยชอบฉวยโอกาสนี่แหละ…คิดแล้วก็ยังตะขิดตะขวงใจไม่หาย

“ตกลง ครั้งนี้ฉันจะยอมยกโทษให้ก็ได้ แต่ต่อไปถ้ายังกวนใจไม่เลิกอีก ฉันจะไม่ยอมญาติดีด้วยเลยคอยดู” เธอกล่าวคาดโทษ

“ขอบคุณครับ”

ราเมศเหยียดยิ้มดวงตาเป็นประกาย ชอบจริง ๆ ยามที่ใบหน้าหวานทำท่าโกรธเหมือนเด็ก ๆ เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจ ซึ่งดีกว่าตอนถูกหญิงสาวทำท่าเย็นชาเข้าใส่เป็นไหน ๆ

หลังจากลงนามในสัญญาสงบศึกกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ราเมศก็ถือโอกาสออกปากขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวกลางวันปิ่นแก้วเพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีในเวลาต่อมา หญิงสาวเองก็ไม่ได้ขัดข้อง ทั้งคู่จึงพากันไปร้านอาหารแถว ๆ เขตดุสิต ซึ่งเป็นร้านอาหารจีนชื่อดังทั้งเรื่องรสชาติความอร่อยและบรรยากาศดี

ราเมศลอบมองปิ่นแก้วเป็นระยะ ระหว่างที่หญิงสาวกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านรายชื่อเมนูอาหารในมือ แก้มใสเจือสีชมพูระเรื่อกับเรียวปากอิ่มสวย แลดูคล้ายกับตุ๊กตาที่มองเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเบื่อ

“เลือกเสร็จแล้วเหรอ” จู่ ๆ ปิ่นแก้วก็เงยหน้าขึ้นถาม ทำเอาราเมศที่กำลังมองเพลิน ๆ ตั้งตัวไม่ถูก

“อะไรหรือ”

“ก็อาหารของนายยังไงล่ะ ไม่สั่งมาทานเหรอ”

“อ๋อ...คือ ผมเป็นคนไม่เรื่องมากน่ะ เอาเป็นว่าคุณอยากทานอะไรก็สั่งมาเผื่อผมเลยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มกล่าวแก้เก้อ

“พิลึกคน” ปิ่นแก้วพึมพำในลำคอ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก หันไปสั่งอาหารจนครบแล้วนั่งเอามือท้าวคางมองดูบรรยากาศภายในร้านอย่างเย็นใจ

ราเมศลอบยิ้มน้อย ๆ พลางถือโอกาสชวนคุยเพื่อสร้างบรรยากาศ

“หลังจากทานข้าวแล้ว คุณมีธุระต้องไปทำที่อื่นต่ออีกหรือเปล่าคุณปิ่น” เขาเรียกชื่อเธอ หลังจากที่อีกฝ่ายยอมเปิดเผยเพียงชื่อเล่นสั้น ๆ

“ถามทำไม”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก เผื่อว่าวันนี้ผมอาจมีธุระแถวนั้นพอดี จะได้ถือโอกาสขับรถไปส่งคุณด้วย” เขายิ้มดวงตาเป็นประกาย

“ขอบคุณ แต่ฉันไปเองดีกว่า” เธอปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“อย่าพูดแบบนั้นสิ ตอนนี้ทุกคนกำลังรณรงค์เรื่องการประหยัดพลังงาน เพื่อลดภาวะโลกร้อนอยู่นะครับ เส้นทางไหนที่พอจะอาศัยไปด้วยกันได้ ก็น่าจะเป็นการดีที่สุดไม่ใช่หรือ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ลองบอกจุดหมายปลายทางให้ผมรู้หน่อย จะเป็นไรไป”

ราเมศชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาหว่านล้อมเธอ จนกระทั่งปิ่นแก้วนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิด ๆ

“ฉันจะไปวัด” เธอตอบสั้น ๆ ทำเอาคนฟังนิ่งอึ้ง

“อะไรนะ”

“วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารไง ไม่รู้จักเหรอ วันนี้ฉันตั้งใจไว้ว่าจะไปไว้พระเสียหน่อย ทำไม...ได้ยินคำว่า ‘วัด’ ขึ้นมาถึงกับออกอาการร้อน ๆ หนาว ๆ เลยหรือไง”

ปิ่นแก้วลอยหน้าลอยตาถาม คิดเอาไว้แล้วว่าผู้ชายกะล่อนอย่างเขา คงไม่มีทางเข้าวัดทำบุญไปได้หรอก

ทว่า...

“งั้นก็พอดีเลย เพราะผมเองก็กำลังจะไปที่นั่นอยู่เหมือนกัน” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ผิดไปจากที่ปิ่นแก้วคาดเอาไว้

“เอ๊ะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น ทำหน้าเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ราเมศจึงหันมาอธิบายให้ฟังเสียยืดยาว

“อย่าหาว่าอย่างงู้นอย่างนี้เลยนะครับ ถึงผมจะดูเหมือนไม่ใส่ใจเรื่องแบบนี้ก็เถอะ แต่ครอบครัวของผมก็เป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด ชอบทำบุญสุนทานเหมือนกันนะ สมัยที่ผมยังเป็นเด็กคุณหญิงป้ายังอยากให้ผมเรียนที่นี่เลยด้วยซ้ำไป”

“จริงเหรอ”

“จริงสิ ถ้าคุณไม่เชื่อคราวหลังผมจะพาไปกราบคุณหญิงป้า แล้วถามท่านดูก็ได้” ราเมศยืนยัน

ปิ่นแก้วทำหน้าแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเห็นดีเห็นงามตามเธอไปวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารด้วย ความจริงเธอตั้งใจไว้ว่าจะนำสังฆทานที่ซื้อติดรถเอาไว้นำไปถวายพระตามลำพัง แต่ในเมื่อเจ้าตัวออกปากพูดมาอย่างนี้ ก็คงปฏิเสธยากเต็มที

“ทีนี้ คงอนุญาตให้ผมไปส่งได้แล้วใช่ไหม” ราเมศยิ้มกว้าง

“ก็...คงได้มั้ง”

ปิ่นแก้วจนปัญญาจะเลี่ยงหลบ เพราะถึงจะปฏิเสธอย่างไร ผู้ชายอย่างราเมศก็คงหาทางชักแม่น้ำสายอื่น ขึ้นมาเป็นข้ออ้างไปกับเธอด้วยอยู่ดี...

********************





เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.ย. 2554, 09:30:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ย. 2554, 09:30:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 2339





<< นางฟ้าผู้อารี   ตอนที่ 9 หนทางไม่ราบรื่น >>
เบลินญา 2 ก.ย. 2554, 09:31:16 น.
ตื้อเท่านั้นที่ครองโลกค่ะ ^^


anOO 2 ก.ย. 2554, 11:04:33 น.
ตื้อกันต่อไป รู้สึกจะมามารร้ายโผล่มาแล้ว


Zephyr 2 ก.ย. 2554, 11:06:29 น.
แหม ตื้อจริงๆนะตาราเมศ แต่คู่นี้นี่ญาติดีกันแล้ว ต่อไปจะหวานบ้างมั้ยน้า


เบลินญา 2 ก.ย. 2554, 19:04:40 น.
คุณ anoo >> เกรงว่าจะหวานเลี่ยนไป เลยส่งนางมารมาขวางค่ะ ^^
คุณ Neferretti >> มีแน่นอนค่ะ แต่เป็นแนวหวาน ๆ เผ็ด ๆ อิอิ


boon 3 ก.ย. 2554, 17:17:11 น.
สลับคู่ไปมาก็เจอคู่กันพอดี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account