อลวน ถนน หัวใจ (จบแล้ว)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 22.ห้องไอซียู

สำหรับนวนิยาย อลวน ถนน หัวใจ โดย เฟื่องนคร จะตีพิมพ์ แบบตามสั่งหรือปริ้นออนดีมานด์ หรือ จะเรียกว่าหนังสือทำมือก็ได้ครับ.. ราคาพร้อมค่าจัดส่ง 200 บาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ f_nakhon@hotmail.com //// มีหนังสือพร้อมส่ง

22.

นมแสงเดินพล่านไปพล่านมาอยู่หน้าห้องไอซียู ญาติพี่น้องและบรรดาเมียที่มีจำนวนมากกว่าสิบคนและลูกที่มากกว่า 20 คนเดินบ่นถึงคนต้นเรื่องอย่างไม่ได้เกรงใจหญิงวัยห้าสิบกว่าที่เลี้ยงดูหญิงสาวมาสักนิด

นมแสงอยากจะหวีดร้องขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงภัยที่จะมาถึงตัว นางจึงจำสงบปากสงบคำไว้ คุณหนูก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นายใหญ่ก็ช็อคจนตาค้าง แล้วธุรกิจการงานจะเป็นอย่างไร ใครจะเป็นคนดำเนินการ พี่น้องและบรรดาเมียทั้งสิบจะฆ่ากันตายก็คราวนี้

“เพราะนมแสงนั่นแหละที่ปล่อยให้รังสิตาเป็นอย่างนี้ เห็นไหมเสี่ยคิดมากจนเส้นสมองแตก”

เมียคนที่สี่เป็นคนเริ่มต้นโทษนมแสง

“ทีนี้ใครจะได้อะไรกันบ้างเสี่ยทำพินัยกรรมหรือยัง” เมียคนที่แปดที่ยังไม่มีลูกนึกถึงเงินมากกว่า

“พวกหล่อนก็ดีแต่คิดถึงเรื่องเงิน รู้บ้างหรือเปล่าว่า กิจการทั้งหมดนั้นเสี่ยถือหุ้นอยู่เท่าไหร่ รู้ไหมว่าใครเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมดอย่างแท้จริง” คุณนายใหญ่ถือโอกาสระบายความรู้สึกออกมาบ้าง

“ก็เจ๊เก็บเงียบไว้คนเดียว แล้วพวกเราจะรู้ได้อย่างไร ทีอย่างนี้มาโวยวาย จะฮุบคนเดียวใช่ไหมล่ะ” เมียคนที่สามสอดเข้ามาร่วมวง

“บ้าซิ ฉันเคยคิดฮุบอะไรไว้คนเดียว ลูกชายลูกสาวเธอฉันส่งเข้าโรงเรียนประจำเสมอลูกฉัน ฉันทำอย่างนี้ยังไม่ดีอีกหรือ” เจ๊ใหญ่ยังเถียงเอาตัวรอด

“อ้าวแล้วลูกหนูเจ๊ทำไมไม่ส่งไปโรงเรียนประจำบ้าง เพราะหนูมันคนที่ห้าใช่ไหม”

“แล้วลูกเธออายุเท่าไหร่กัน ดูแลตัวเองได้หรือยัง เธอก็อยากจะมีเวลาแต่งตัวคบชู้สู่ชาย”

“อ๊าย เจ๊เอาที่ไหนมาพูด”

“เขาพูดกันทั้งเมืองแหละหล่อน” อีกคนสอดขึ้นมา

“แล้วตัวเองล่ะ ลูกก็ไม่มี ผัวก็ไม่ไปหา แล้วเวลาที่.. ทำอย่างไร ทำอย่างไรอยากรู้นัก”

“ทำอย่างไรมันก็เรื่องของฉัน”

นมแสงเอามืออุดหูแล้วรีบเดินออกมาจากหน้าห้องไอซียู ใครนะจะไปห้ามปรามบรรดาเมียที่ออกหน้าออกตาพวกนั้นได้บ้าง แล้วเมียลับ ๆ อย่างนมแสงล่ะมีสิทธิ์โวยวายอะไรไหม


เสียงดนตรีบรรเลงเพลงรักหวานกับแสงไฟวับแวมจากการกระเพื่อมของน้ำปลุกจิตใจของสองหนุ่มสาวให้เคลิบเคลิ้ม ยิ่งได้อยู่ใกล้ชิดแนบสนิทกันถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงรังสิตาก็ยิ่งเห็นถึงความหวานและมาดอันสุขุมเยือกเย็นมากด้วยรสนิยมของเขา ส่วนตัวเธอนั้นเมื่อถือว่าการพากันออกเดินจากบ้านนี้คือการตกลงแต่งงานโดยการใช้วิธี ‘วิวาห์เหาะ’ เธอก็จะต้องปรับปรุงตัวเอง หันกลับมามองข้อด้อยของตัวเองเพื่อให้ชีวิตคู่มีความสุข

การที่เขาตักอาหารให้ การที่เธอกล่าวคำขอบคุณ เขาถามเรื่องชีวิตในวัยเด็กของเธอ โรงเรียนเพื่อนสนิท รวมชีวิตในประเทศอเมริกา เมื่อไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องใด ๆ ไว้ รังสิตาก็เล่าเรื่องส่วนตัวของเธออย่างตื่นเต้นสนุกสนาน แม้แต่เรื่องความมักใหญ่ใฝ่สูงของพี่ชายรวมถึงความผิดพลาดในอดีตที่กว่าพี่ชายของเธอจะก้าวมามีวันนี้ได้ เขาเห็นถึงสายใยรัก ความผูกพันระหว่างพี่น้อง เขาจึงตัดสินใจได้ว่าควรบอก เรื่องร้ายแรงนี้ให้เธอได้รับทราบ

เมื่ออาหารมื้อค่ำจบลงเขาก็เรียกบริกรมาเก็บเงิน

“มีเงินมาหรือเปล่า” รังสิตาเห็นเขาใช้เงินแบงก์พันไปแล้วทั้งหมดสี่ใบ

“ยังมีอีกใบ คุณมีติดตัวมาเท่าไหร่”

“หมื่นนึง เหลือหกพัน” เธอบอกเขาตามตรง

“เรื่องเงินเป็นอีกเรื่องที่ผัวเมียควรตกลงกันก่อน แล้วเราค่อยตกลงเรื่องนี้กันแล้วกัน” เขาลุกขึ้นยื่นแขนให้เธอเกาะแล้วลุกขึ้นตาม กลิ่นหอมจรุงใจที่ติดอยู่บริเวณเส้นผมทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วน

“ผมอยากให้ถึงที่พักเร็ว ๆ จังเลย”

“บ้า”

“ร้อยทั้งร้อย”

“หมายความว่าอย่างไร” เมื่อได้ยินเรื่องที่มันกำกวม จิตใจของเธอเริ่มขุ่นขึ้นมา เป็นธรรมดาก็เธอยังไม่รู้จักเขาดีพอ เพราะฉะนั้น ความหวาดระแวงจึงยังไม่จางหายไปจากใจของเธอง่าย ๆ

“บอกมานะหมายความว่าอย่างไร”

เขาอยากจะบอกว่าล้อเล่น แต่เขาพูดความรู้สึกจริง ๆ ไปเลยดีกว่า

“ก็ถ้าผมพูดอย่างนี้ผมมั่นใจว่า ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยก็คงจะเอ่ยประโยคแก้เขินออกมาว่า บ้า เท่านั้นเอง ก็คุณเป็นผู้หญิงคุณก็ต้องเขิน

“บ้า” เธอพูดคำเดิมอีกครั้ง

เขาประคองเธอไปที่รถ

แล้วจู่ ๆ หัวหน้าบอดี้การ์ดที่เธอคุ้นหน้าก็รีบลุกจากโต๊ะอาหารที่หลบมุมอยู่เดินเข้ามาหา รังสิตาตกใจจนหน้าซีด โชคชัยกุมมือเธอแล้วขยับมาบังตัวเธอไว้อย่างหวงแหน

“คุณหนู ผมมาดี เรื่องนั้นไม่มีอะไรแล้ว” คนหน้าดุรีบบอกความจริง

“แล้วนายมีอะไร” รังสิตาตะเบ็งเสียงข่มความกลัวถามกลับไป โชคชัยอยากจะหัวเราะกับลักษณะกลัวแต่กล้าของเธอเหลือเกิน หากต่อไปเขาไม่เลิกนิสัยเจ้าชู้ รับรองเลยว่า เธอตามราวีไม่เลิกแน่

“คุณหนูรู้หรือยังว่า นายใหญ่เข้าโรงพยาบาล”

รังสิตาหน้าเปลี่ยนสีทันที

“พี่ใหญ่เป็นอะไร”

“ท่านสำลักเหล้าแล้วหัวน็อคพื้นครับ เป็นตายร้ายดีเท่ากัน ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล คุณหนูน่าจะรีบไปเยี่ยมนะครับ ท่านรักคุณหนูมากนะครับ” รังสิตาขยับปากขอบคุณแล้วหันมาหาชายคนที่ได้ชื่อว่าสามี โชคชัยพยักหน้าเป็นเชิงให้รู้ว่าค่อยคุยกันเป็นส่วนตัว


เมื่อขึ้นมานั่งในรถ โชคชัยจึงเอ่ยออกมา

“ผมกำลังจะบอกคุณพอดี แต่เขาบอกคุณก่อน”

“คุณรู้แล้ว”

“ในหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันกับเรื่องของคุณประดิพัทธ์นั่นแหละ แต่กรอบเล็กกว่าเราก็เลยคิดว่าไม่น่าสนใจ”

รถแล่นถึงที่พัก เขาลงมาเปิดประตูให้ รังสิตากล่าวขอบคุณแล้วเดินเคียงคู่กันเข้าไปยังห้องพัก เขาเปิดประตูให้เธออีกครั้ง หญิงสาวจับมือเขาก้าวตามไป หนังสือพิมพ์ฉบับที่ลุงอินตาซื้อมายังวางอยู่บนเตียงนอน โชคชัยนั่งลงใช้มือเคาะเตียงนอนนุ่ม ๆ ให้เธอมานั่งลงข้างกัน ๆ เมื่อเธอนั่งลงเขาสวมกอดแล้วเอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์มาส่งให้

รังสิตารู้สึกอึดอัดการกอดรัดเธอไว้ในขณะที่เธอกำลังจะอ่านข่าวร้ายนี่หมายความว่าอย่างไรนะ

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”


“คุณก็หวานได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง” ปากว่าเขาแต่ใจของรังสิตาเต้นไม่เป็นจังหวะ สายตาของเธอไล่อยู่ที่พาดหัวข่าวของประดิพัทธ์แล้วก็มาดูที่กรอบเล็ก ๆ พบข่าวของพี่ชายใหญ่ เธอพลิกไปดูด้านใน เมื่อได้อ่านข่าวแล้วเธอถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ดีแต่ว่าเขากอดเธอไว้ความอบอุ่นใจจึงเข้ามาแทนที่ความหวาดวิตก

หากพี่ชายใหญ่ตายไปเธอก็แทบไม่มีอะไรเหลือเหมือนกัน หรือว่าเขาหมายถึงประโยคนี้ แต่เธอไม่ได้คิดถึงเงิน เธอคิดถึงความรักที่พี่ชายมีให้เสมอมา หากวันนี้ไม่มีพี่ชาย เธออยากไปดูใจเขาเสียคืนนี้เลย

“ฉันอยากไปโรงพยาบาลคืนนี้ไปได้ไหม”

“แค่สองร้อยกว่ากิโลเมตร ผมกับลุงอินตาเปลี่ยนกันขับสบายบรื๋อ

“ที่คุณให้ลุงอินตาพักด้วยเหตุผลนี้หรือคะ”

“ครับ ผมไม่อยากให้เวลาความสุขของเรามีความทุกข์ของคุณเข้ามาเจือปน แต่ในที่สุดเราก็สุขทั้งหมดไม่ได้ ไปเก็บของเดินทางกันต่อ” พูดจบเขาก็ไล่จูบไปตามแผ่นหลัง รังสิตาไม่ได้รู้สึกเสียวซ่าน หากแต่เธอรู้สึก ถึงความอบอุ่นใจมากกว่า

“ต่อไปเราจะต้องร่วมสุขและทุกข์ด้วยกันนะคุณรังสิตา บางทีผมอาจจะทำให้คุณมีความทุกข์บ้าง แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า ผมอยากให้คุณมีความสุขตลอดเวลา ผมรักคุณนะ”

รังสิตาหันมาเผชิญหน้าแล้วใช้ปลายจมูกแตะที่ปลายจมูกเขาก่อนจะกระซิบแผ่วเบาว่า

“ฉันก็รักคุณ”


เมื่อเห็นว่าเขาเอาอกเอาใจลูกสาวของตนเป็นอย่างดี ทำให้เรื่องคิดจะเอาเงินเอาทองเป็นค่าทำขวัญจากเขาหมดไป นางนั่งมองดารานามประดิพัทธ์ที่นางเคยเห็นอยู่ในจอทีวี วันนั้นนางคิดว่าเขาเป็นคนวิเศษคนหนึ่งที่สามารถล้างจานได้ทีละมากมาย จริง ๆ แล้วนางชอบเขา หากแต่เขาไม่เข้ามาแล้วทำให้ชีวิตครอบครัวเป็นอย่างนี้ ก่อนที่ไฟจะไหม้บ้านหลังหนึ่งแล้วลุกลามไหม้ทั้งชุมชน อีตาพ่อของอินทรา ยังทะเลาะกับนางเรื่องตีโพยตีพาย ทั้งที่ภาพนั้นมีเป็นเพียง คนยืนกอดกัน กับซบกันบนเรือ หาใช่แก้ผ้านอนอยู่บนเตียงเหมือนดาราคนอื่น ตอนนั้นนางโมโหเรื่องของไอ้ลูกชายตัวแสบด้วย

ให้เรียนไม่อยากจะเรียน เกเรไปเอาลูกเต้าที่พ่อแม่ไม่สั่งสอนมานั่งซ้อนท้ายให้ถูกตำรวจจับ แต่ว่าเด็กนั่นอายุเกินสิบแปดปีไม่งั้นคงจะถูกตั้งข้อหาอีกคดี แล้วยังอีตาแก่ที่เข้าข้างลูกสาว ไม่เคยคิดแก้ปัญหาใด ๆ มีการทุ่มเถียงกันจนกระทั่งนางเบื่อที่จะนั่งอยู่ในบ้าน การออกมาข้างนอกแม้เพียงปากซอยนั้นมันทำให้ชีวิตในชุมชนแออัดนั้นมีมุมที่มันสว่างในใจขึ้นมาบ้าง

จนกระทั่งควันและเปลวไฟพวยพุ่ง นางรีบกลับเข้าไป บ้านหลังที่เคยเช่าเขาซุกหัวนอน บ้านหลังที่เก็บสมบัติเท่าที่มีทั้งชีวิตอยู่ในกองเพลิง ซ้ำร้ายไปกว่านั้น อีตาแก่มันทำอะไรมันถึงได้หนีออกมาไม่ทัน ทำไมนางถึงไม่อยู่ด่ากับมันต่อตรงนั้น

เมื่อนึกถึงคู่ทุกข์คู่ยากที่หอบลูกกระเตงกันมาจากชาติตระการ นางก็สั่นงัก ๆ แล้วน้ำตาก็ทะลักออกมา

“เป็นอะไรอีกละแม่” ลูกชายที่นั่งดูทีวีคล้ายไม่มีเรื่องทุกข์ร้อน ดูเหมือนจะถามไปอย่างนั้นเอง

“ไอ้ลูกเวร”

“อ้าว ด่าผมอีก เป็นอะไรอีกเนี่ย”

“มึงไม่คิดถึงพ่อมึงบ้างหรืออย่างไร”

“คิดถึงแล้วทำไรได้ ก็พ่อเป็นเถ้าถ่านไปแล้วนี่ แม่ก็เห็นแล้ว จะให้ทำอย่างไร”

อินทราที่นอนดูเหตุการณ์อยู่อยากจะเอาส้มที่หัวเตียงปาไปนักเชียว ทำไมน้องเธอถึงได้เป็นคนอย่างนี้นะ

“อ๊ะ บอกตามตรงก็ได้ ผมก็เสียใจ เสียใจแล้วจะให้ทำอย่างไร”

“พ่อเอ็งไม่ได้เผา ไม่ได้ทำพิธี วิญญาณจะไปสวรรค์หรือเปล่าก็ไม่รู้

“อันนี้ผมก็ไม่รู้อะนะ”

“แม่อยากให้เอ็งบวชเณรให้สักเจ็ดวัน”

“ไม่อาว ผมกำลังเลี้ยงผมอยู่ กว่าจะยาวได้นะแม่” ลูกชายยังรักตัวเอง ทีนี้อินทราทนไม่ไหว หญิงสาวปาส้มในมือไปยังเป้าหมายคือที่ใบหน้าน้องชายผู้เห็นแก่ตัว แต่ด้วยปาในท่านอน ส้มเลยแฉลบไปถูกประตูห้องน้ำ เมื่อได้ระบายไปแล้ว เมื่อเห็นว่าน้องหน้าเสียเธอก็ร้องไห้ออกมา

“อะไรนักหนาโว้ย” เขาทำท่าจะเปิดประตูออกไป

“ถ้ามึงออกไปนะ มึงกับกูขาดกัน” อินทราตวาดตามไปอย่างเด็ดขาด เด็กหนุ่มซึ่งรู้ดีว่าตัวเองนั้นไม่มีทางไป เพราะไม่มีเงิน ไม่มีที่ซุกหัวนอน ไม่มีอะไรเลย จึงต้องเดินหน้าง้ำกลับมานั่งก้มหัว

“ถ้าพี่บวชให้พ่อได้ พี่ก็จะบวช” แววตานั้นตวัดไปหาว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเองที่ยืนดูสถานการณ์เลวร้ายแบบเป็นประจำในครอบครัวด้วยใบหน้าตระหนก

“ผมบวชให้ก็ได้ แต่แค่ห้าวันนะ”

“ห้าวันก็ยังดี” คนเป็นแม่ยิ้มพร้อมน้ำตาไหลออกมาอีก

“อ้าว บวชให้แล้วก็จะยังร้องไห้อีก แม่นี่เป็นอย่างไร”

“บวชไม่สึกเลยก็ดี จะได้ไม่ต้องออกมาเกเร” นางยังมีหน้ามาต่อปากต่อคำ

“ไม่เอาหรอก ต้องสึกซิ ผู้หญิงรอกันให้ตรึมไปหมด”

“เอ็งยังเด็ก จะรีบร้อนมีเมียไปถึงไหนชีวิตยังจะเอาไม่รอดเลย” อินทราถือโอกาสให้สติ
“ก็แค่พูดเล่น รู้หรอกน่าพี่อิน แต่ผู้หญิงเขามาติดเราเองนะ”

“เด็กผู้หญิงสมัยนี้ก็ เฮ้อ!” นางพูดได้ไม่จบประโยคเพราะลูกสาวตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่า ‘แรด’ หรือเปล่า เมื่อจัดการเรื่องลูกชายแล้ว นางก็ตัดสินใจจัดการเรื่องลูกสาวเสียเลย

“แล้วเรื่องของแกกับคุณดารานี่ล่ะ คุยอะไรกันหรือยัง”

ประดิพัทธ์ที่ยืนอยู่ข้างเตียงคนเจ็บ มองหน้าว่าที่แม่ยายแล้วก็มองหน้าอินทรา

“มันไม่ได้มีอะไรนี่แม่ เดี๋ยวข่าวก็เงียบหายไป สามวันเท่านั้นแหละ” อินทราพูดจากใจจริง

“ไม่ได้นะ แม่ไม่ยอม”

“แม่ก็บอกเขาไปเลยซิว่าจะเรียกเงินจากพี่พัทธ์เขาเท่าไหร่” คนเป็นลูกชายสอดขึ้น ผู้เป็นแม่หยิกทันที

“ถ้าคุณไม่แต่ง ฉันจะฟ้องหนังสือพิมพ์กับโทรทัศน์ก็คุณพูดไปแล้วนะ”

“ผมก็ยังไม่ได้บอกว่าผมจะไม่แต่งนี่ครับ” ประดิพัทธ์เถียงกลับไป อินทราหน้ามุ่ยทันที

“พรุ่งนี้ขอหมอออกจากโรงพยาบาลด้วยนะแม่ ฉันหายแล้ว” อินทรารีบเปลี่ยนเรื่อง

“ออกแล้วเอ็งจะไปอยู่ที่ไหน”

“ก็เอาไอ้ชัยวัฒน์ไปบวชที่ไหน เราก็ตามไปอยู่ที่นั่นด้วย”

“หลวงพ่อคงยอมพี่หรอก” แม้ไม่ได้สนใจแต่ชัยวัฒน์ก็หันมาคุยด้วยเป็นระยะ

“ไปอยู่บ้านผมไงครับ ห้องหับมากมาย” ประดิพัทธ์ตรองไว้ในใจอยู่แล้ว เขาเลี้ยงอินทราได้และสามารถเลี้ยงแม่ยายกับน้องชายคนเล็กของเธอได้ หากว่าเด็กคนนี้จะเป็นเด็กที่น่ารัก แต่ดูแล้ว ก็ยังไม่ได้ถือว่าดื้อด้านจนเยียวยาไม่ไหว ถ้าค่อย ๆ คุย หรือมีอะไรให้ทำบ้าง เขาคงจะกลับมาเป็นเรี่ยวแรงสำคัญให้ครอบครัวได้

“ยังไม่ได้แต่งงานกัน จะเข้าไปอยู่ได้อย่างไร” คนเป็นแม่ยังวกกลับมาที่เรื่องสำคัญ

“ไม่มีใครเขาถือสาหาความกันหรอกครับ อยู่ก่อนแต่งหรือ แต่งแล้วอยู่ หรือแต่งแล้วเลิก สามสี่วันเรื่องก็เงียบหายไปเอง”

“พูดอย่างนี้คุณจะไม่แต่งใช่ไหม”

“ไม่ใช่ครับ แต่งแน่นอน” เขายังยืนยันเจตนาเดิม

“ไม่แต่ง ไม่อยู่ เราจะไปตามทางของเรา ส่วนคุณก็กลับไปตามทางของคุณ” อินทรายืนยันเจตนาเดิม

“หากไม่แต่ง สังคมจะมองผมว่าเป็นคนอย่างไร”

“คุณก็นึกถึงตัวเอง คุณไม่ได้นึกถึง” อินทราหยุดประโยคที่ตัวเองอยากรู้ไว้ แต่งงานเพราะสื่อบีบให้แต่ง แต่งทำไม แต่งก็บ้าแล้ว เธอต้องการแต่งงานกับคนที่เธอรัก และเขาก็รักเธอ การแต่งงานก็คือการเข้าใจกัน ตัดสินใจร่วมทุกข์และสุขด้วยกัน พร้อมที่จะให้อภัยในข้อผิดพลาด พร้อมปรับตัวเข้าหากันเพื่อพึ่งพากันไปจนถึงยามแก่เฒ่า

แต่ถ้าแต่งด้วยเรื่องแบบนี้ เธอขอยืนกระต่ายขาเดียวอยู่อย่างนี้

“ก็ไหนว่าเอ็งเสียตัวให้เขาแล้ว ไม่แต่งได้รึ” คนเป็นแม่ยังจำประโยคที่นายประดิพัทธ์บอกได้

“ยังไม่ได้เสียอะไรหรอกแม่ พูดขายผ้าเอาหน้ารอดไปอย่างนั้น” เธอมองเขาตาขวาง

แต่นั้นทำให้ปฏิพัทธ์นึกเอ็นดูแม่ผู้หญิงปากกล้าคนนี้ขึ้นมาแล้วซิ

“โอเค พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน วันนี้คืนนี้ผมขอกลับบ้านก่อน อยากอาบน้ำ อยากนอนให้เต็มที่ ดีนะที่เป็นแค่ไข้หวัด พรุ่งนี้ผมจะมารับกลับบ้านนะครับแม่ ฝากดูแลเขาแทนผมด้วยนะครับ”

พูดไปพลางใช้สายตากวาดอยู่ที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ค้อนเขาอย่างปะหลับปะเหลือก อินทราย่นจมูกให้ แล้วก็แกล้งหลับตาลง

เมื่อเธอหลับตา ประดิพัทธ์จึงก้มลงแล้วหอมเธอฟอดใหญ่ อินทราดิ้นรน

“ฝันดีนะครับที่รัก พรุ่งนี้เจอกัน”


รังสิตารู้สึกว่าระยะทางจากอำเภอสังขละบุรีถึงอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งรถวิ่งบนถนนที่ทอดยาวบนภูเขานั้นดูอันตรายและยาวไกลเหลือเกิน ด้วยเห็นว่าลุงอินตาพักผ่อนไม่พอ โชคชัยจึงขอเป็นคนขับในช่วงขึ้นภูเขาเสียเอง ลุงอินตาจึงงีบหลับอยู่ด้านหลัง รังสิตามานั่งอยู่ด้านหน้าคู่กับเขา หญิงสาวแอบชายตาแลไปยังเสี้ยวหน้าที่ได้รูป หล่อนหวนนึกกลับไปเมื่อ 5 วันก่อน เธอหิ้วของพะรุงพะรังเรียกรถแท็กซี่ เมื่อเขาเข้ามาเทียบจนประตูด้านหน้าอยู่ตรงที่เธอยืนพอดี แล้วเขาก็เลื่อนกระจกลง แล้วชะโงกหน้ามาฟังเสียงของเธอ

“ซอยมหาดไทย” เธอก้มหน้าบอกเขา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในเสี้ยววินาทีที่ได้เห็นหน้าของเขานั้น จิตใจของเธอสั่นไหว ต้นรักเริ่มเจริญงอกงาม แต่เธอก็ต้องรักษามาดของตนไว้ เธอเป็นใครและเขาไปใคร เมื่อเธอโยนสัมภาระไว้ที่เบาะด้านท้ายแล้ว ด้วยคิดมากเรื่องใช้บัตรเครดิตรูดซื้อของ คิดมากเรื่องพี่ชาย ทำให้เธอพิงเบาะนิ่งแล้วใช้สายตามองไปยังนอกรถทั้งที่ใจจริงนั้นอยากให้สายตาจมอยู่ในวงหน้าได้รูปนั้นใจจะขาด

“แอบมองผมทำไม” ตาเขาอยู่ที่ถนนที่คดเคี้ยวแต่ปากของเขาชวนคุย

“อยากมองคุณไปนาน ๆ อยากเห็นคุณทุกครั้งที่ลืมตา”

เขาหันมายิ้มให้

“ผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะพาคุณไปตกเขาเสียก่อน จริง ๆ คืนนี้เราน่าจะจ้องตากันทั้งคืน” น้ำเสียงท้ายประโยคของเขากระเส่า

“บ้า

“ไม่บ้าหรอก แล้วเขาก็ฮัมเพลงเบา ๆ ให้เธอฟัง ด้วยถ้าปล่อยให้เธอคิดเอง ก็จะมีเรื่องพี่ชายและเรื่องว่าเขาเป็นใครมาจากที่ไหน เอาเพลงของป๊อด โมเดิร์นด็อกละกัน หัดร้องมานานแล้วแต่ไม่เคยได้ร้องให้ฟังสักที

“ก่อนท้องฟ้าจะสดใส ก่อนความอบอุ่นของไอแดด ก่อนดอกรัก(ไม้)จะผลิบาน ก่อนความฝันอันแสนหวาน …ในใจไม่เคยมีผู้ใด จนความรักเธอเข้ามา ทำให้ดวงตาฉันเห็นความสดใส ข้างกายไม่เคยมีผู้ใด จนความรักเธอเมตตา เป็นพลังให้ฉันสู้ต่อไป บนโลกที่โหดร้าย ก่อนดวงดาวจะเต็มฟ้า ก่อนชีวิตจะรู้คุณค่า ก่อนสิ้นศรัทธาจากหัวใจ ก่อนที่คนอย่างฉันจะหมดไฟ ทั้งวิญญาณและหัวใจ ให้เธอครอบครอง ทั้งชีวิตให้สัญญา จะอยู่ จะสู้เพื่อเธอ ฯ”

เมื่อได้ยินเพลงนี้ รังสิตานึกสนุกยกมือขึ้นกระชากขึ้นกระชากลงให้กำลังใจกับนักร้อง

ลุงอินตาที่นอนอยู่ได้ยินเสียงเพลงเสียงหัวเราะเสียงสัญญาแล้วอมยิ้มขึ้นมา ความรักมันมีพลังมากมาย



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ย. 2554, 06:19:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ย. 2554, 06:19:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1838





<< 21 อลวน ถนน หัวใจ   23. “คุณก็บอกมาสักทีซิคะว่าคุณคือใคร” >>
Zephyr 13 ก.ย. 2554, 11:29:34 น.
คู่หนูอินท่าจะราบรื่นแล้ว อีกคู่ล่ะ ยังฝ่าฟันไม่มากพอเหรอจ้ะ น่าจะแฮปปี้ทั้งสองคู่เลย


คิมหันตุ์ 13 ก.ย. 2554, 13:25:18 น.
กำลังขับรถขึ้นเขา พูดถึงตกเขาได้ยังพ่อคุณ เสียวแทนเลย


innam 13 ก.ย. 2554, 13:47:31 น.
อลวน สมกับชื่อเรื่องจริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account