จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 21

--- แวะคุยกันก่อน ----
บทนี้ยาวหน่อยนะคะ อดทนอ่านกันนิดนึง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้น
พยายามจะปั่นอยู่แต่คนที่บ้านไม่สบายเพียบจริงจัง

มีไรฝากไว้เดี๋ยวจะแวะมาตอบนะคะ

-----------------------
บทที่ 21

นายแพทย์อายุรกรรมระบบประสาทวัยกลางคนจากแผนกประสาทวิทยาของโรงพยาบาลใช้ปลายปากกาวนเป็นวงกลมบนฟิล์มภาพสมองที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์สลับกับใช้โมเดลจำลองเนื้อสมองมาช่วยอธิบายถึงอาการของโรคเส้นเลือดแตกตรงก้านสมองให้ญาติคนไข้ซึ่งเข้าทำการผ่าตัดด่วนไปเมื่อคืนวานทราบโดยละเอียด แต่ด้วยศัพท์ทางการแพทย์ที่ใช้เรียกค่อนข้างมากทำให้คนฟังค่อนข้างสับสน แต่ก็พอสรุปใจความสำคัญได้ว่า สาเหตุเกิดมาจากความดันโลหิตสูง อันเป็นโรคประจำตัวของผู้ป่วยอยู่แล้ว

“ ผลการผ่าตัดออกมาเป็นที่พอใจนะครับ แต่หมอต้องเรียกให้ญาติทราบด้วยนะครับว่า หลังการผ่าตัดคนไข้อาจมีอาการมือเท้าอ่อนแรง อาจมีอาการของอัมพฤกษ์รวมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นคนไข้ต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายด้วย เดี๋ยวหมอจะให้นักกายภาพบำบัดไปพบที่ห้องไอซียูนะครับ ”

ศศิวิมลพยักหน้ารับทราบ...ยกมือไหว้พลางกล่าวขอบคุณนายแพทย์ที่ช่วยผู้เป็นป้าจนรอดชีวิต ก่อนจะเปิดประตูออกมาจากห้อง เหลือบมองสมพรที่ลุกจากเก้าอี้วิ่งพรวดมาหาเพื่อถามไถ่ถึงอาการนายหญิงของตนเอง

“ เป็นยังไงบ้างคะคุณเล็ก...คุณผู้หญิงไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ ”

“ แม่ใหญ่เส้นเลือดในสมองแตกค่ะพี่สม แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว พี่สมไม่ต้องกังวลไปนะคะ” หล่อนตอบให้พี่เลี้ยงหายกังวลขณะเริ่มออกเดินไปตามป้ายซึ่งชี้บอกทางไปห้องไอซียู

“ โล่งอกไปที ” สมพรพูดพร้อมยกมือทาบอกแล้วค่อยส่งกระเป๋าสะพายข้างคืนให้เจ้าของ “ พี่สมเก็บของทั้งหมดของคุณผู้หญิงที่อยู่ในห้องใส่ไว้ในกระเป๋าตามที่คุณเล็กสั่งแล้วนะคะ ส่วนเรื่องคุณใหญ่ พี่สมโทรเข้ามือถือไปตั้งหลายรอบ ฝากข้อความไว้ก็ไม่เห็นคุณใหญ่โทรกลับมาเลยค่ะ...ยังไงคุณเล็กลองโทรดูไหมคะ เผื่อคุณใหญ่จะรับ ”

หญิงสาวพยักหน้ารับโทรศัพท์มือถือจอขาวดำของพี่เลี้ยงมากดหมายเลขโทรออก รออยู่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงตอบรับอัตโนมัติให้ทราบว่า ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้

“ พี่ใหญ่ปิดเครื่องค่ะ ”

“ อ้าวแล้วกัน...ตอนพี่สมโทรไปยังเปิดเครื่องอยู่เลย สงสัยคุณใหญ่คงยุ่งพอเห็นเบอร์แปลกโทรมาหลายรอบเลยรำคาญปิดเครื่องแน่เลยคะ แล้วทีนี้เราจะติดต่อคุณใหญ่ยังไงล่ะคะ ”

ผู้เป็นหลานถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ ปกติแล้วพี่ชายของหล่อนไม่ใช่คนใจร้ายใจดำขนาดทำงานจนไม่สนใจคนรอบข้าง ยิ่งตอนนี้อาการของญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ทั้งสองมีก็ไม่สู้ดีนักแทนที่จะอยู่ดูแลกลับกลายเป็นหายหน้าไปอย่างนี้ได้อย่างไร

ชั่วจังหวะที่คิดคำนึงสมพรก็สะกิดเรียกให้รู้สึกตัว พยักเพยิดไปทางด้านหลังจึงหันกลับไปมองและพบเข้ากับรสาที่หิ้วกระเช้าผลไม้เดินมาหา พออีกฝ่ายเห็นเพื่อนสนิทของตนเองก็รีบเข้ามาหา

“ สามาทำอะไรที่โรงพยาบาลจ๊ะ ” หล่อนร้องถามแทนการทักทาย

“ พอดีเราโทรไปหาเล็กที่บ้านเลยรู้ว่า เล็กมาโรงพยาบาลก็เลยมาหา แต่เมื่อกี้ไปที่ห้องไม่เห็นใครเลยถามพยาบาลก็ถึงรู้ว่า แม่ใหญ่ของเล็กย้ายมานอนไอซียู แล้วนี้แม่ใหญ่เป็นอะไรมากไหม ”

“ หมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองแตก แต่ผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว นี่เล็กกำลังจะเข้าไปดูแม่ใหญ่อยู่พอดี สามาแล้วก็เข้าไปด้วยกันสิ ”

สาวมัดหางม้าพยักหน้าตอบรับคำชวน จับมือเพื่อนผลักประตูเข้าไปในห้องไอซียู ส่ายสายตาไปตามห้องกั้นกระจกเป็นสัดส่วนกระทั่งมาถึงริมสุดของห้องจึงพบร่างของคนที่ตามหาจึงเลื่อนประตูเข้าไปภายในนั้น

มลธิกานอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงขาวสะอาดมีเครื่องช่วยหายใจครอบรอบปาก มีสายมากมายห้อยระโยงระยางเชื่อมกับแขนและศีรษะซึ่งถูกไถผมออกปิดทับรอยผ่าตัดด้วยผ้าพันแผล ดวงหน้าซีดขาวยามไร้แว่นสายตาบดบังเผยให้เห็นร่องรอยแห่งสังขารอันร่วงโรยเกินวัยชวนให้สะท้อนใจเป็นอย่างยิ่ง

รสากอดอกมองเพื่อนสนิทของตนเองแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่า ตั้งแต่มายังไม่เห็นหลานชายสุดสวาทขาดใจของคนบนเตียงมาเลยดึงสมพรให้ออกมาข้างนอกห้องกระจกเพื่อถามถึงเรื่องนี้

“ ยังติดต่อคุณใหญ่ไม่ได้เลยคะ นี่ตอนเช้าทางโรงพยาบาลก็โทรมาที่บ้านเพราะติดต่อคุณใหญ่ไม่ได้...เมื่อกี้คุณเล็กลองโทรไปก็ปิดเครื่องไปแล้วด้วย พี่สมไม่เข้าใจเลยว่าคุณใหญ่ยุ่งอะไรหนักหนา แค่จะคุยกันสักนาทีสองนาทีมันไม่ได้เสียเวลามากสักหน่อย ”

“ แล้วทำไมไม่โทรไปฝากเรื่องนี้ไว้ที่โรงแรมล่ะคะ ”

“ โอ๊ยไม่ได้หรอกค่ะ ตอนพี่สมมาเยี่ยมคุณผู้หญิง เธอสั่งนักสั่งหนาว่าเรื่องเธอป่วยห้ามบอกใครที่โรงแรมเด็ดขาด ขืนโทรไปแล้วคุณผู้หญิงรู้พี่สมโดนไล่ออกขึ้นมาจะทำยังไงล่ะคะ”

“ ไม่มีเบอร์สายตรงโทรเข้าห้องคุณศิระได้เลยเหรอคะ เล็กเขามีบ้างไหม ”

“ โถ คุณสาขา ขนาดเรื่องในเรือนใหญ่คุณผู้หญิงยังไม่ค่อยจะยอมบอกให้รู้ แล้วเรื่องที่ทำงานคุณเล็กเธอจะไปทราบได้ยังไงคะ นี่พี่สมก็ไม่อยากนินทาเจ้านายหรอกนะ แต่คุณผู้หญิงนะชอบมองข้ามคุณเล็กเธออยู่เรื่อย เชื่อไหมถ้าคุณผู้หญิงตื่นมาทั้งที่คุณเล็กจับมือไว้อย่างนี้แต่ชื่อแรกที่เรียกหาคงไม่พ้นคุณใหญ่หรอก ”

หญิงสาวผมหางม้าเกาคางฟังพี่เลี้ยงของเพื่อนระบายความในใจให้ฟัง...แม้แต่คนที่คอยรับใช้ในตระกูลอังคพิมานยังทนไม่ได้ในพฤติกรรมการเลี้ยงดูหลานสาวของเจ้านายตัวเอง แล้วมีหรือที่คนเป็นเพื่อนจะไม่รู้สึก การได้เห็นผู้หญิงคนนี้นอนเจ็บแทนที่จะสงสารกลับนึกสมเพชอยู่ในที

“ งั้นเอาอย่างนี้ เดี๋ยวสาหาเบอร์โรงแรมอังคพิมานแล้วจะลองถามดูว่า คุณใหญ่อยู่ที่นั่นหรือเปล่า ถ้าได้เรื่องยังไงสาจะบอกอีกที ส่วนพี่สมก็ใช้มือถือตัวเองยิงไปที่เบอร์คุณศิระสักร้อยรอบ เพื่อพี่แกเปิดเครื่องมาจะสำเหนียกได้แล้วโทรกลับมาล่ะกัน ”

อีกฝ่ายตอบรับคำสั่งของรสาอย่างแข็งขัน ปล่อยให้คุณหนูของตัวเองอยู่กับคนป่วยแล้วสองหญิงต่างวัยก็ออกไปโทรศัพท์ตามที่แบ่งหน้าที่กันไว้ข้างนอกห้องไอซียู

หญิงสาวยืนเกาะขอบเตียงใช้มือนุ่มเย็นลูบไปตามข้างแก้มของหญิงวัยกลางคนบนเตียงเบาอย่างห่วงกังวล ระลึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขและอบอุ่นในวันวานที่ทั้งสองได้มีโอกาสอยู่ร่วมพูดคุยใกล้ชิด หลังจากที่ห่างเหินกันไปหลายปี...สภาพอันปกติดีของผู้เป็นป้าทำให้ไม่อยากเชื่อว่าจะถูกนำตัวเข้ารับการผ่าตัดสมอง แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่รักษาทันแม้จะต้องใช้เวลาฟื้นฟูสภาพร่างกายอีกนานก็ตาม

“ เล็กจะดูแลแม่ใหญ่เองนะคะ ” หล่อนกล่าวคำมั่น สอดนิ้วประสานกับฝ่ามือของคนไร้สติ ยกขึ้นมาทาบกับแก้มนุ่มอ่อนโยน เฝ้าสังเกตองค์ประกอบบนใบหน้าซึ่งมีเค้าโครงหลายส่วนละม้ายกับผู้เป็นหลานชายมาก แม้แต่นิสัยบางอย่างก็คล้ายกันจนน่าประหลาด

...อาจเพราะอย่างนี้ถึงทำให้พี่ใหญ่เป็นคนโปรดมากกว่า และหากเลือกได้คนป่วยคงปรารถนาให้หลานชายเป็นฝ่ายนั่งกุมมืออยู่ตรงนี้มากกว่าตนเอง...

หล่อนหยุดคิดเพียงเท่านั้นเพื่อส่ายหน้าพลางถอนหายใจ เพียรตอกย้ำตัวเองว่าไม่สมควรคิดกล่าวโทษหรือน้อยใจญาติผู้ใหญ่ที่ยื่นมือมาช่วยเหลือชุบเลี้ยงตนเองมาจนถึงทุกวันนี้

“ เราต้องเชื่อในการกระทำของแม่ใหญ่ จะมาคิดเล็กคิดน้อยไม่ได้นะ ” ทุกครั้งที่รู้สึกคิดสงสัยในการกระทำของผู้เป็นป้า หล่อนจะใช้คำพูดนี้ปลอบใจตัวเองเสมอ

นางพยาบาลประจำห้องไอซียูเลื่อนบานกระจกเข้ามาในห้อง ตรวจเช็กร่างกายของคนไข้เสร็จก็หันมาบอกเรื่องระเบียบการของโรงพยาบาลที่ห้ามไม่ให้ญาติเฝ้าไข้ ส่วนเวลาการเยี่ยมก็แบ่งเป็นช่วง ช่วงละสองชั่วโมงและเข้าเยี่ยมได้ไม่เกินสามคน

“ ค่ะ...ดิฉันทราบแล้ว แต่ดิฉันเพิ่งไปคุยกับคุณหมอมา เห็นบอกว่าจะให้นักกายภาพบำบัดมาที่นี่ก็เลยรอนะคะ ”

“ วันนี้คนไข้คงยังไม่รู้สึกตัวหรอกค่ะ น่าจะเป็นวันพรุ่งนี้มากกว่า ยังไงที่นี่ก็มีหมอกับพยาบาลคอยดูแลตลอด ญาติไม่ต้องห่วงนะคะ แล้วถ้าคนไข้ฟื้นทางเราจะโทรไปแจ้งให้ญาติทราบเอง ” พยาบาลหยุดพูด ดึงถุงมือยางลงมาเล็กน้อยเพื่อมองเวลาในนาฬิกาข้อมือ

“ อีกสิบนาทีจะหมดเวลาเยี่ยมช่วงแรกนะคะ ” เตือนให้ทราบแล้วจึงเลื่อนรถเข็นอุปกรณ์และยาย้ายไปห้องอื่น

คนตัวเล็กเม้มริมฝีปากเมื่อทราบว่าห้องไอซียูของที่นี่มีกฎเกณฑ์มากกว่าโรงพยาบาลที่อรพิณทำการรักษายังกุมมือไว้แน่นอย่างวิตกกังวล ครู่หนึ่งก็เห็นริมฝีปากของคนหลับขยับครวญเรียกชื่อพี่ชายของหล่อนออกมาแหบเบาทั้งที่ยังหลับไม่ได้สติ

“ เล็กจะตามพี่ใหญ่มาให้นะคะ ”

คนเป็นหลานสูดลมหายใจเข้าปอดลึกล้ำ ทำนายไว้ไม่ผิดว่าพี่ใหญ่ต้องถูกเรียกหา เหลียวหลังกลับไปมองนาฬิกาตรงผนังในห้องไอซียูเห็นว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้วก็บีบมือขาวซีดเป็นจังหวะ กระชับกระเป๋าอันหนักอึ้งแนบลำตัวจากนั้นจึงเดินออกมาสมทบกับพี่เลี้ยงและเพื่อนสนิทที่วุ่นกับการโทรศัพท์มือเป็นระวิง

“ อ้าวเล็กออกมาทำไม ” เพื่อนเงยหน้าจากโทรศัพท์มาเห็นเข้าก็ร้องถาม

“ พยาบาลเพิ่งบอกเล็กว่าญาติเยี่ยมได้เฉพาะเวลาที่ทางโรงพยาบาลกำหนดนะก็เลยออกมาข้างนอก แล้วนี้ยังโทรหาพี่ใหญ่ไม่ได้อีกเหรอ ”

“ ยังเลย เมื่อกี้สาเพิ่งโทรไปที่โรงแรม ทางนั้นเขาบอกมาว่าคุณศิระขอลาป่วยสองสามวัน แปลกเนอะแค่ไม่ถึงวันหลานชายชวนป๋วยปี่แปกอถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อตามป้าไปเลยเหรอ ” ท่าทางแข็งแรงที่พาน้องสาวออกจากห้องมาส่งให้ถึงมือทำให้เผลอประชดประชัน

ศศิวิมลเม้มริมฝีปากเข้าแล้วคลายออกหลายครั้งแทบไม่ใส่ใจคำเสียดสีของเพื่อนที่มีต่อพี่ชายเลยสักคำเพราะกำลังตัดสินใจบางสิ่งอยู่ในใจก่อนจะกระชับสายกระเป๋าหันเดินห่างจากห้องไอซียูไปอย่างรวดเร็ว สมพรกับรสาได้แต่มองหน้ากันแล้ววิ่งตามออกไป

“ เฮ้ยเล็ก...เราไม่ได้ตั้งใจว่าพี่ชายเล็กนะ ถ้าเล็กโกรธก็ว่าเราคืนสิ ทำไมต้องเดินหนีกันแบบนี้ละ ” คนตัวใหญ่กว่าคว้าแขนได้ก็พยายามง้อ

“ เล็กไม่ได้โกรธสาหรอก แต่ที่เดินมานี้เพราะคิดว่าจะไปหาพี่ใหญ่ที่โรงแรมนะ ”

คำตอบของเพื่อนทำเอาคนได้ยินถึงกับอ้าปากค้าง...ปกติอังคพิมาน โฮเต็ลเป็นเสมือนสถานที่ต้องห้ามและคนตัวเล็กเองก็ปฏิบัติตามความต้องการของมลธิกาเคร่งครัดมาตลอด พอรู้ว่าจะบุกไปหาถึงที่ก็อดตกใจไม่ได้

“ ตาย...เดี๋ยวคุณผู้หญิงรู้ คุณเล็กก็ซวยหรอกคะ”

“ ซวยก็ไม่เป็นไรหรอกคะ ขอแค่ตามพี่ใหญ่มาโรงพยาบาลได้ต่อให้ต้องโดนโกรธแค่ไหน เล็กก็ต้องไปตาม ดีกว่ามานั่งรออยู่เฉยๆ แบบนี้ อีกอย่างตอนที่เล็กอยู่ในไอซียูแม่ใหญ่ก็เรียกหาพี่ใหญ่ ถ้าแม่ใหญ่ตื่นมาเห็นพี่ใหญ่เป็นคนแรกคงดีใจกว่าเห็นเล็ก ” หล่อนว่าด้วยน้ำเสียงแข็งขัน แววตามุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน

“ เออดี งั้นสาไปเป็นเพื่อนเล็กเอง ส่วนพี่สมก็อยู่เฝ้าคุณผู้หญิงของพี่ไปแล้วกันนะจะได้ไม่ซวย ” รสาทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มให้กับพี่เลี้ยงของเพื่อน ยกแขนโอบไหล่ศศิวิมลไว้ให้รู้ว่า ยังมีตนเองอยู่เคียงข้างเสมอ แล้วทั้งสองก็ออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าไปอังคพิมาน โฮเต็ลด้วยกัน
*******************

ภายในห้องชุดของประธานกรรมการบริหารของอังคพิมาน โฮเต็ลถูกความมืดดำเข้าครอบคลุม ผ้าม่านสีเลือดหมูปักลายด้วยไหมสีทองช่วยกันมิให้แสงส่องลอดเข้ามาทำให้ดูเหมือนว่ายามค่ำคืนยังไม่ผ่านพ้นไป บนพื้นพรมสีน้ำตาลอ่อนในส่วนพักผ่อนมีร่างสูงโปร่งของบุรุษหนุ่มรูปงามนอนกลิ้งเกลือกหมดสภาพ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เหลือคราบสุภาพชนรอบข้างเกลื่อนไปด้วยกระดาษกับกองกระป๋องเบียร์ บนโต๊ะข้างเตียงมีขวดบรั่นดีกองรวมกับแก้วจนเต็ม และบนเตียงนุ่มก็มีเอกสารหนาที่ถูกคัดสรรไว้ใช้เพื่อเอาผิดสตรีผู้ที่ยากจะทำใจยอมรับว่า เป็นมารดาของตัวเอง

เพราะเชื่อใจทำให้ไม่เคยเฉลียวใจในความหวังดีของผู้ที่อ้างตัวเป็นป้า อาจมีบ้างที่คิดติดใจสงสัยในการกระทำซึ่งดูเหมือนจะลำเอียงให้ความสำคัญกับเขามากเกินไป แต่สุดท้ายความไว้ใจจึงปล่อยทุกอย่างเป็นเพียงความคิด

ผู้หญิงลวงโลกคนนั้นหวั่นกลัวเพียงจะสูญเสียอำนาจถึงขั้นสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้คนในครอบครัวแล้วยังมีหน้าอาศัยความเจ็บปวดของเพื่อนรักมาสร้างเงื่อนไขการแต่งงานเพื่อนผลักไสหลานสาวของตัวเองให้พ้นไปจากตระกูล พ้นจากผลประโยชน์อันชอบธรรมที่สมควรได้

ทุกครั้งที่คิดถึงข้อความในบันทึก ความทรมานเจียนตายก็ถาโถมเข้ามาดังเกลียวคลื่นขนาดยักษ์ได้สาดซัดเอาชายฝังหายลับลงมหาสมุทร วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาทำให้ต้องหาวิธีดับทุกข์ด้วยการดื่มให้มากด้วยหวังว่า ฤทธิ์แอลกอฮอล์จะทำให้ความทรงจำลบเลือน แม้นจะชั่วครั้งชั่วคราวก็คงดีกว่าตกอยู่ในขุมนรกเช่นนี้

ทว่าการดื่มกลับไม่ช่วยบรรเทาบางเบาความระทมทุกข์อันใด ในเมื่อทุกอย่างยังแจ่มชัดในสมอง ความรู้สึกขยะแขยงรังเกียจตัวเองที่มีเลือดชั่วของผู้หญิงคนนั้นเจือปนในร่างกายทำให้ทุกหยาดหยดของเครื่องดื่มนุ่มลิ้นขมจัด เปลือกตาของศิระปิดสนิทลงคล้ายอยู่ในห้วงนิทรา หากความจริงเขายังตื่นตัวตลอดเวลา

“ ทำไม...ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ” เขาครวญถามเสียงดังคับห้องประหนึ่งกับต้องการให้สวรรค์ชั้นฟ้าส่งใครลงมาตอบคำถามให้ทรวงอกคลายความชอกช้ำ

เสียงโทรศัพท์ตรงโต๊ะข้างเตียงดังขึ้นพร้อมกับการไฟกระพริบเตือนให้เจ้าของห้องทราบว่ามีการติดต่อจากภายนอก แต่เจ้าตัวกลับนอนก่ายหน้าผากไม่แม้แต่จะสนใจไปรับ สักพักเสียงโทรศัพท์จึงเปลี่ยนเป็นการบันทึกเสียงเข้าเครื่องอัด เลขานุการรายงานให้ทราบถึงตารางนัดหมายงานใหม่

สติของชายหนุ่มเลื่อนลอยเกินกว่าจะจดจำสิ่งใดได้แต่นอนคุดคู้ใช้สองแขนดกอดเข่าพาตัวเองจมดิ่งลงในวังวนความเศร้าแสนอดสู แล้วลืมตาโพล่งในทันทีที่ได้เลขานุการเอ่ยถึงใครคนหนึ่งที่มาติดต่อขอเข้าพบเขา

“ มีผู้หญิงชื่อศศิวิมลมาขอพบคุณศิระคะ เธอบอกว่าจะรอจนกว่าคุณศิระจะให้พบ ”

เพียงได้ยินชื่อดวงหน้างามกระจ่างตาก็ลอยเด่นขึ้นมาดุจแสงจันทราสว่างไสว ถึงกระนั้นความดีใจของเขาฉับพลันก็สูญสลายไปเมื่อหวนคิดถึงความผิดบาปของผู้หญิงคนนั้นทำให้เกิดความละอายจนไม่อาจสู้หน้าได้แต่หัวเราะเบาออกมาอย่างขื่นขม

ปลายสายเห็นเจ้านายของตนไม่ตอบรับก็สรุปความเอาตามที่ถูกสั่งไว้แต่ตอนแรกจึงแจ้งกลับลงไปด้านล่างว่า คุณศิระไม่สบายและไม่ประสงค์ให้ใครเข้าพบ พนักงานแผนกต้อนรับตรงเคาน์เตอร์พอได้รับคำตอบก็บอกให้หญิงสาวทั้งสองทราบตามที่เลขานุการแจ้งไว้

รสานิ่วหน้าผากอารมณ์ชักจะเดือดทะลุร้อยองศาทันทีที่ได้ยินคำตอบ...ขนาดเอ่ยชื่อน้องสาวไปแล้วยังไม่ยอมให้พบ ไม่รู้ผู้ชายคนนี้มันเกิดบ้าอะไรของมันขึ้นมาอีก

“ ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณศิระป่วยเป็นอะไรมากหรือคะ ถึงไม่ยอมให้เพื่อนดิฉันเข้าพบ ”

“ ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันคะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ” พนักงานสาวกล่าวขออภัยในความไม่สะดวก

ศศิวิมลเดินไปทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ในล็อบบี้แทบไม่มีกะจิตกะใจสำรวจการตบแต่งอันสวยงามภายในโรงแรมประจำตระกูล ในใจใคร่ครวญสงสัยถึงสาเหตุที่พี่ชายไม่ยอมให้เข้าพบ...ถึงป่วยอย่างไรหากไม่ถึงขั้นนอนโรงพยาบาลก็ไม่น่าหนักหนาขนาดแผ่เชื้อให้ใครได้

หญิงสาวอีกคนเดินมาสมทบด้วยท่าทางหงุดหงิดเต็มประดา บ่นพึมพำยาวเหยียดถึงความแล้งน้ำใจของชายหนุ่มผู้บริหารอยู่นานพลางสอดสายตามองไปโดยรอบ สักพักก็ลุกพรวดจากเก้าอี้หายตัวไปนานก็กลับมาใหม่พร้อมกับกวักมือเรียกให้เพื่อนขยับเข้ามาใกล้

“ เมื่อกี้สาแอบตามพนักงานคนหนึ่งไปเลยเห็นว่าที่นี่มีลิฟต์อีกตัวสำหรับขึ้นไปชั้นผู้บริหาร สาว่าแทนที่จะนั่งรอตรงนี้ เราขึ้นไปตามคุณศิระเองเลยดีกว่าไหม ”

รสาเสนอความคิดอันล่อแหลมต่อการถูกจับโยนออกไป ฝ่ายคนที่ห่วงใยในอาการป่วยของผู้เป็นป้าและคับข้องใจในการกระทำของพี่ชายแทนที่จะปรามกลับกลายเป็นตกลงทำตามแผนของเพื่อนเสียอย่างนั้น

สองสาวจับมือกันแกล้งเดินชมอะไรไปเรื่อยเปื่อยพอลับตาคนก็ลอบเข้าไปในลิฟต์พิเศษตัวนั้นกดหมายเลขสามสิบเพื่อขึ้นไปด้านบน พอประตูเปิดออกก็ก้าวออกมา พนักงานรักษาความปลอดภัยหลายนายซึ่งมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในชั้นผู้บริหารก็หันมามองหญิงสาวทั้งสองที่เดินมาหยุดตรงหน้าประตูกระจกแทบเป็นตาเดียว

“ คีย์การ์ดด้วยครับ ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยถาม

สาวผมหางม้าเหลือบมองหน้าของเพื่อนสนิทด้วยไม่รู้ว่าต้องมีคีย์การ์ดเพื่อเข้าไปในชั้นผู้บริหาร เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นอาการนั้นเข้าก็รู้ได้ว่าคงแอบลอบขึ้นมาเองจึงเชิญให้กลับลงไปข้างล่าง หากไม่ทำตามจะแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุก

“ เราสองคนก็ไม่ได้อยากแอบขึ้นมาหรอกนะพี่ แต่เรามีเรื่องสำคัญต้องบอกกับคุณศิระเขา ไม่ได้ใช้เวลานานขอแค่สองสามนาทีก็ยังดีนะพี่นะ ” หล่อนอ้อนวอนเลยโดนเจ้าหน้าที่ล็อกแขนลากตัวไปหน้าลิฟต์

หากกับคนตัวเล็กกว่าเจ้าหน้าที่กลับผายมือเชิญให้กลับลงไปอย่างสุภาพ น้ำเสียงที่เอ่ยด้วยก็นุ่มนวลมากกว่าจนคนโดนล็อกชักโมโหที่โดนเลือกปฏิบัติ แต่ศศิวิมลไม่ส่ายหน้าปฏิเสธไม่ยอมกลับท่าเดียว

“ ขอโทษนะคะ แต่ดิฉันมีเรื่องสำคัญมากต้องบอกกับคุณศิระ ยังไงรบกวนให้พวกคุณไปถามคุณศิระก่อนได้ไหมคะ บอกเขาว่าศศิวิมลขอพบเขา แค่นาทีเดียวแล้วดิฉันจะลงไปข้างล่างเอง ”

เจ้าหน้าที่หนุ่มสบสายตาหวานอมโศกแล้วเกิดอาการเขินระคนลำบากใจอย่างประหลาด สุดท้ายก็จนใจบอกให้รออยู่ตรงนี้ แล้วก็หายเข้าไปแจ้งกับเลขานุการสาวหน้าห้องของผู้บริหารทราบว่ามีคนมาขอเข้าพบอีกครั้ง

คนที่นอนกอดตัวเองในห้วงทุกข์ได้ยินการรายงานเรื่องของน้องสาวทุกคำชัดเจน เม้มริมฝีปากหากันแน่นก่อนจะลุกจากพื้นมากดปุ่มสั่งให้ไล่ทุกคนที่มาพบกลับไปแล้วคว้าขวดบรั่นดีมากระดกลงคอก่อนล้มตัวลงบนเตียง เปิดดวงตาคมสีน้ำตาลอ่อนเหม่อมองไปยังโคมไฟเหนือศีรษะด้วยความรู้สึกปวดร้าว

เจ้าหน้าที่คนเดิมกลับออกมาแจ้งใหม่ว่า เจ้านายบอกเองว่าไม่ต้องการพบใครแล้วก้มศีรษะเชิญให้กลับลงไป ทว่าศศิวิมลยังดื้อแพ่งไม่ยอมขยับเคลื่อนไปไหน บอกเพียงแค่จะรอที่นี่จนกว่าศิระจะออกมา ต่อให้ต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ก็จะรอแล้วทรุดลงนั่งบนพื้นพรมลายสวยด้วยสายตาจริงจังสร้างความลำบากใจให้กับเจ้าหน้าที่โดยถ้วนหน้า ทั้งที่มีอำนาจจะลากหญิงสาวผู้นั้นลงไปได้ แต่มีบางสิ่งในดวงตาที่ยามตวัดมาชวนให้หวาดเกรงเสียจนไม่มีใครกล้าเฉียดใกล้

รสาดิ้นรนจนพ้นจากการล็อกวิ่งลงไปนั่งจับมือเพื่อนไว้แน่น...ตลอดหลายปีที่คบกันมา มีวันนี้เองที่หล่อนเห็นเพื่อนเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ พลังความรักในตัวผู้เป็นป้ายิ่งใหญ่จนทำให้ไม่กลัวอะไรได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ

“ สาว่าถ้าเล็กบอกพวกนั้นว่าตัวเองเป็นใคร ขี้คร้านจะเปิดให้เข้าไปแทบไม่ทัน ” เพื่อนเสนอทางเลือกให้เปิดเผยตัวตนในฐานะหลานสาวของมลธิกาให้ทราบไปเสียจะได้หมดเรื่อง ทว่าอีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรเหมือนกับกำลังรวบรวมสมาธิวัดใจกับคนที่หลบซ่อนตัวในห้องอยู่อย่างไรอย่างนั้น

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกุมขมับกันยกใหญ่ ส่งตัวแทนเข้าไปรายงานใหม่เจ้านายให้ทราบใหม่ก็ได้รับคำตอบว่าอยากรอก็ปล่อยให้รอเลยจำเป็นต้องปล่อยทุกอย่างให้เลยตามเลย

ศศิวิมลนั่งรออยู่อย่างนั้นเกือบสิบชั่วโมงก็ไม่มีทีท่าว่าศิระจะอนุญาตให้เข้าพบ รสาได้แต่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเพื่อนสลับกับบานประตูกระจกเฝ้ารอว่ามีใครจะปรากฏตัวขึ้นบ้าง

“ สากลับไปก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวเล็กพี่ใหญ่คนเดียวได้ ” เสียงหวานบอกกับเพื่อนที่มีทีท่ากระวนกระวายใจ

“ ไม่เอาหรอก ถ้าเล็กไม่กลับสาก็ไม่กลับ โบราณท่านว่าคนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตายนะ ” หล่อนว่าเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้นตามมาด้วยผู้บริหารกับพนักงานหลายคนก็เริ่มทยอยออกมาจากประตูกระจก โดยไม่จำเป็นต้องให้ใครสอน หญิงสาวที่รออยู่ก็ลุกพรวดจากพื้นอาศัยช่วงที่พนักงานเข้าแถวตอกบัตรกลับบ้านและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจค้นกระเป๋าวิ่งลอดเข้าไปข้างในทันที

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเห็นเข้าพอดีจึงผละจากการตรวจบัตรวิ่งเข้าไปหมายจะจับตัวร่างบางก่อนที่ผู้บริหารสูงสุดจะทราบว่า ฝ่ายความปลอดภัยหละหลวม รสาที่วิ่งตามเลยเอาตัวเองเป็นเครื่องกีดขวางกระโจนใส่ชายผู้นั้นจนร่วงลงไปกอง แล้วใช้ขาเตะเข้าที่แข้งของเจ้าหน้าที่คนอื่นสกัดไม่ให้ใครไปจับตัวเพื่อนได้

ศศิวิมลหันรีหันขวางมองหาป้ายชื่อของพี่ชายและผู้เป็นป้าตรงประตูตลอดทางเดิน กระทั่งเหลือบเห็นหญิงสาวร่างเพรียวระหงกำลังเติมเครื่องสำอางอยู่หน้าห้องริมสุดของชั้นก็เดินเข้าไปทุบประตูรัวหลายครั้ง แทบไม่เหลือความเป็นคนหัวอ่อนผ่อนปรนต่อทุกสิ่งอยู่เลย

เพราะเป็นเรื่องความเจ็บป่วยของคนในครอบครัว ของผู้หญิงที่มีพระคุณกับหล่อนและพี่จนล้นพ้นตัวดลให้เกิดความกล้าจะบุกเข้ามาเพื่อทวงถามผู้เป็นพี่ถึงพฤติกรรมอันหมางเมินต่อญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวซึ่งนอนรอคอยกำลังใจจากเขาอยู่

ชายหนุ่มบนเตียงได้ยินเสียงเคาะประตูก็ลืมตาตื่นขึ้นมากลางความมืด ตั้งใจจะปล่อยให้เสียงนั้นเงียบไปเอง ทว่ากลับมีเสียงอึกทึกดังแทรกมาอีก ครู่เดียวอินเตอร์คอมก็ดังกระพริบอีก คราวนี้นิ้วเรียวกดรับสายแล้วถามปลายสายว่าเกิดอะไรก็ได้ยินเสียงของน้องร้องเรียกชื่อเขา เท่านั้นเจ้าของห้องถึงกับสบถสนั่น ลุกจากเตียงเดินโซเซไปเปิดประตูห้อง

ด้านนอกเลขานุการสาวพยายามจับตัวของศศิวิมลลากออกมาโดยมีพนักงานรักษาความปลอดภัยล้อมกันเต็มไปหมดทันทีที่บานประตูเปิดออกทุกคนก็หยุดเคลื่อนไหวก่อนจะได้รับคำสั่งให้ปล่อยตัวผู้บุกรุกเสีย

“ เข้ามา ” คนตัวสูงบอกเสียงห้วนหันหลังลากเท้ากลับเข้ามาในห้องที่ไม่เปิดไฟ ปล่อยให้ลำแสงจากด้านนอกส่องเข้ามาเป็นลำ คนตัวเล็กตามหลังไปใช้แสงลางมองหาสวิตช์ไฟ พอทั้งห้องสว่างก็ปิดประตูเพื่อจะอยู่กันตามลำพัง

หญิงสาวแลเรือนผมยุ่งเหยิงกับเสื้อเชิ้ตเนื้อดีที่หลุดลุ่ยของพี่ชาย สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อขวดเครื่องดื่มกลิ้งมากระทบปลายเท้าและพอก้มลงไปมองก็เห็นข้าวของระเกะระกะทั่วพื้น คราบน้ำสีอำพันหกรดบนพรมเป็นทางยาว ยิ่งเดินลึกกลิ่นแอลกอฮอล์ก็ฉุนจมูกจนคนไม่คุ้นสำลักออกมา

“ เล็กมีอะไรก็ว่ามา ” ผู้เป็นพี่พูดด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้เหมือนคนเมา ทรุดลงนั่งบนขอบเตียงแล้วทอดสายตาไปยังภาพบรรยากาศด้านนอกเผยให้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างอันทรุดโทรมซูบผอมไม่ต่างกับคนป่วยหนัก

“ ทำไมพี่ใหญ่ไม่รับโทรศัพท์คะ...รู้ไหมคะว่าเมื่อคืนแม่ใหญ่ต้องผ่าตัดสมอง ” บอกถึงอาการของผู้เป็นป้าให้ทราบ แทนที่คนเป็นหลานจะตระหนกกลับมีเสียงหัวเราะขื่นในลำคอให้ได้ยิน

“ แล้วไง ตายไหม ” ถามกลับอย่างเย็นชาไม่หันมามองคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย การแสดงออกผิดปกตินั้นทำให้คนเป็นน้องเบิกตากว้างเหมือนไม่เชื่อหูก่อนจะเอ่ยปากต่อ “ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องถ่อมาบอกพี่ถึงนี้เลย ”

“ แม่ใหญ่เส้นเลือดในสมองแตก ถึงผ่าตัดเรียบร้อยก็มีสิทธิ์เป็นอัมพฤกษ์ แม่ใหญ่ป่วยขนาดนี้ พี่ใหญ่พูดเหมือนมันเป็นเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ได้ยังไงคะ ”

“ อ้อ แค่เป็นอัมพฤกษ์เองเหรอ ที่จริงคนแบบนั้นสมควรเป็นอัมพาตไปเลยเสียด้วยซ้ำ ” ประโยคสาแก่ใจไร้ความสงสารทำเอาคนฟังสะอึก ไม่อาจเข้าใจในเหตุผลที่คนเป็นพี่กลายเป็นคนน่ารังเกียจได้ถึงเพียงนี้ หางตาเหลือบเห็นขวดเหล้ามากมายประกอบสีหน้าแดงก่ำก็ยิ่งข้องใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างพี่กับผู้เป็นป้า

“ เล็กไม่รู้นะคะว่าพี่ใหญ่โกรธแม่ใหญ่เรื่องอะไร แต่พี่อย่าลืมนะคะว่าแม่ใหญ่เป็นคนเลี้ยงเรามา แม่ใหญ่ดูแลเรามาถึงขนาดนี้ ไม่ว่าจะโกรธยังไงพี่ใหญ่ก็ไม่มีสิทธิ์แช่งด่าคนที่มีพระคุณกับเราอย่างนี้นะคะ ” หล่อนตำหนิผู้เป็นพี่ด้วยสุ้มเสียงแข็งกระด้างชนิดที่คนใกล้ชิดยังสะดุด

ชั่วชีวิตที่อยู่ด้วยกันมาในสายตาของหล่อนแล้วชายหนุ่มตรงหน้าเปรียบเหมือนเทพบุตรประจำใจ คอยเป็นหลักให้พักอาศัย แทบไม่เคยมีสิ่งด่างพร้อยหรือบกพร่องในหน้าที่ ทว่าวินาทีนั้นความรู้สึกผิดหวังตีประดังให้หล่อนแลอีกฝ่ายด้วยสายตาที่สร้างความเจ็บปวดให้คนเป็นพี่ที่หันมาเห็นยิ่งนัก

“ ออกไปเล็ก ออกไป ” เขาตวาดไล่ ชี้นิ้วไปที่ประตูทั้งที่เบือนหน้าไปทางอื่น

“ เล็กไม่ไปค่ะ ไม่ไปจนกว่าพี่ใหญ่จะยอมไปหาแม่ใหญ่ที่โรงพยาบาลกับเล็ก ”

“ พี่บอกให้ออกไปไม่ได้ยินหรือไง ออกไปเดี๋ยวนี้ ”

“ เล็กขอยืนยันว่า จะไม่ไปไหนจนกว่าพี่ใหญ่จะยอมตามเล็กไปหาแม่ใหญ่ที่โรงพยาบาล ”

เจ้าของห้องพรวดพราดลงจากเตียงมาคว้าแขนทั้งสองของน้องบีบแน่น ความทรมานลึกล้ำเกินบรรยายฉายชัดในดวงตาคมกล้า

“ เล็กไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของพี่หรอก ไม่วันรู้หรอกว่า พี่เกลียดตัวเองขนาดไหน...พี่ขอร้องนะเล็กกลับไปซะ กลับไป อย่าให้พี่รู้สึกขยะแขยงตัวเองมากไปกว่านี้เลย ” น้ำเสียงในตอนท้ายของเขาเครือลงกว่าเดิม มือทั้งสองอ่อนแรงลู่ตกลงมาอยู่บนหน้าตัก กายสูงก้มลงจนตัวงอ ความแข็งแกร่งสมชายชาตรีที่เห็นจนเจนตาอ่อนรูปลงมาเป็นหยดน้ำตาทะลักทลาย

หญิงสาวจ้องหยดน้ำตาอุ่นที่หยาดลงบนหลังมือของพี่ชายแล้วนิ่งงัน ไหล่กว้างลู่ล้มลงไปนอนตะแคงคุดคู้กอดตัวเองพลางร้องไห้หนักอย่างน่าสงสาร เปรียบประดุจคนที่หมดสิ้นทุกสิ่งอันพันละน้อยในชีวิต

“ พี่ใหญ่ ” ร้องเรียกชื่อคนบนพื้นด้วยความตกใจ เอื้อมออกไปโอบประคองร่างสั่นเทาไว้ในอ้อมแขน แม้นไม่เข้าใจว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น หากความระทมหม่นไหม้ของพี่ก็เสียดแทงลงไปในหัวใจของคนเป็นน้องด้วยเช่นกัน

“ พี่อยากตาย อยากตายไปให้พ้นจากโลกโสมมใบนี้ แต่พี่ยังตายไม่ได้ ยังตายไม่ได้จนกว่าจะคืนทุกอย่างให้เล็ก แล้วหลังจากนั้นคงไม่ต้องทนตายทั้งเป็นอยู่แบบนี้แล้ว ” เขาเพ้อรำพันออกมา ซบหน้ากับบ่าปล่อยให้หยาดน้ำตาพรากไหลอาบแก้มรินสู่ชุดสวยสีอ่อนเป็นวงกว้าง

มือเรียวเล็กลูบหลังไหวระริกของพี่เอาไว้แผ่วเบานัยน์ตาหวานอมโศกเต็มไปด้วยความมึนงงสับสน...เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ผู้ชายอกสามศอกแทบล้มประดาตาย

“ มีอะไรในใจทำไมพี่ใหญ่ไม่บอกเล็กล่ะคะ เล็กเป็นน้องของพี่นะคะ ทำไมไม่บอกเล็กว่าเกิดอะไรขึ้น ” กระซิบข้างข้างหูอ่อนโยน แต่ชายหนุ่มกลับผงะดึงตัวออกจากมาจากอ้อมแขนของน้องแล้วล้มลงไปนอนหัวร่องอหายแทบไม่หยุดหายใจ

ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มแก้กลุ้มต่างน้ำเปล่าเริ่มแทรกซึมเล่นงานระบบประสาทส่วนกลางให้ปวดหนึบเหมือนถูกใครทุบ สองแขนยันตัวเองขึ้นมาจากพื้น ส่ายศีรษะไปมาก่อนจะขยับคลานเข้าไปหา จ้องดวงหน้าอันลางเลือนเขม็งแล้วเหยียดยิ้มกว้าง

โดยไม่ทันตั้งตัวแรงมหาศาลจากฝ่ามือใหญ่ก็ผลักให้ร่างบอบบางล้มลงกระแทกพื้น เรือนผมยาวสลวยสีดำขลับสยายตัดกับสีพรมพร้อมกับใบหน้าของอีกฝ่ายก็โน้มมาหา ศศิวิมลเบิกตาโพล่งในนาทีที่ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนลำคอขาวเนียน

“ พี่ใหญ่หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ ” หล่อนกรีดร้อง ดิ้นรนให้พ้นจากฝ่ามือแข็งปานคีมเหล็กที่ตรึงข้อมือเล็กไว้กับพื้น พยายามกระเสือกกระสนให้พ้นจากการถูกสัมผัส กายสั่นเทาเยี่ยงลูกนกที่ตกอยู่ในกรงเล็บนักล่า ลำคอตีบตันเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่ออก

ความหวาดกลัวอย่างที่สุดแล่นทั่วหัวใจส่งผลให้มือเท้าเกร็งแข็ง ปากอ้ากว้างหอบหายใจถี่รัวคล้ายหายใจลำบาก ลิ้นชาเกินกว่าจะขยับพูด เกิดอาการชักกระตุกเป็นห้วงอยู่ใต้ร่างสูงของผู้เป็นพี่

กระสุนปืนนัดหนึ่งหลุดจากปลายกระบอกปืนเจาะรูกุญแจของลูกบิดจนทะลุกระดอนบนพื้นตามด้วยประตูที่หลุดจากกรอบหล่นโครมลงไปด้วยแรงถีบมหาศาลจากเจ้าของรองเท้าหนังสีดำ จากนั้นบานหน้าต่างใสก็เกิดเสียงแตก แผ่นกระจกร่วงกราวลงมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ภาควัฒน์กระชากคอเสื้อของศิระเหวี่ยงกระเด็นออกไปกองห่างจากร่างของศศิวิมลที่กำลังหอบหายใจหนักหน่วงด้วยความช็อก กระโจนลงไปนั่งคร่อมแล้วกระหนำชกใส่ศัตรูคู่แค้นโดยไร้ความปราณี ใช้แขนรัดคอจ่อปลายกระบอกปืนกดลงไปใต้คางนิ่งดุจมือสังหารอาชีพ ดวงตาคมเฉกหมาป่าวาวโรจน์เตรียมฆ่าสิ่งมีชีวิตในมือได้ทุกเมื่อ

“ มึงอยากตายมากใช่ไหม ” เค้นเสียงถามอย่างเยือกเย็น นิ้วชี้เตรียมเหนี่ยวไกแต่คนถูกรัดคอกลับจับกระบอกปืนเลื่อนให้จ่อสูงตรงขมับ

“ ถ้ามึงอยากยิงก็ยิงหัวกูนี้...ยิงทีเดียวทะลุสมองกูไปเลย มึงทำได้ไหม ”

“ อย่าท้ากูนะไอ้ใหญ่ คนอย่างกูไม่เคยยิงใครพลาด ”

“ เออกูรู้ มึงเก่ง เก่งนักก็ระเบิดสมองกูสิ กูอยากตายอยู่พอดี เอาสิ เอาเลย ยิงกูเลย ”

“ โป้งเดียวตายมันง่ายไปไอ้ใหญ่ คนอย่างมึงต้องตายอย่างทรมานถึงจะสาสมกับความชั่วของมึง ” พูดพลางขยับปืนเล็งไปที่เอ็นร้อยหวาย จังหวะนั้นรสากลับโผล่เข้ามากอดแขนของภาควัฒน์รวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อดึงให้เขาถอยออกมา

“ อย่าคุณภาค...อย่า ไปดูเล็กก่อน ไปดูเล็ก เดี๋ยวสาจัดการกับไอ้สวะนี่เอง ” หญิงสาวมัดผมม้าร้องบอกทั้งน้ำตา ทันทีที่เห็นสภาพของเพื่อนที่ชักจนสลบเพราะความช็อกกับการกระทำของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายสายเลือดเดียวกัน ความรู้สึกทั้งมวลในเวลานั้นมีแต่ความเกลียดชัง

คนตัวใหญ่จำใจปล่อยชายหนุ่มอีกคนเป็นอิสระก้าวเข้าไปหาผู้เป็นภรรยา ไล้สายตามองดวงหน้างามที่เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตา ริมฝีปากบิดเกร็ง ข้อมือทั้งสองข้างแดงเถือกปรากฏรูปนิ้วมือเด่นชัด ตามลำคอเป็นจ้ำเขียวสลับแดง

ภาพนั้นทำให้ภาควัฒน์ถึงกับขบกรามแน่น กำหมัดชกลงไปบนพื้นห้องเต็มแรงจนเลือดอาบนิ้ว...ถ้ามาเร็วกว่านี้อีกสักนิด แค่นิดเดียวเล็กคงไม่ถูกทำร้ายขนาดนี้

“ พี่ขอโทษ ” เขาโอบประคองร่างไร้สติไว้ในลำแขนแข็งแรงอบอุ่น จูบซับรอยน้ำตาที่เหือดแห้งแผ่วเบาแล้วอุ้มหญิงสาวลอยสูงจากพื้นเดินออกไปข้างนอก ท่ามกลางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ถูกชกจนสลบเหมือด ส่วนคนเป็นเพื่อนได้แต่กอดอกเฝ้ามองผู้ชายสารเลวพลางกัดริมฝีปากจนเลือดซิบ

ศิระเอนหลังพิงเตียงหรูในห้องพักของตนเองก่อนจะสะบัดหน้าหันไปตามทิศทางแรงตบตี

“ แกมันไม่ใช่คน แกทำอย่างนั้นกับน้องสาวตัวเองได้ยังไง ” หล่อนร้องถามทั้งน้ำตา กระชากเสื้อเชิ้ตของคนตรงหน้ามาเขย่าแรง ทวงถามความชอบธรรมจากการกระทำต่ำทรามนี้

ชายหนุ่มเงียบปล่อยให้หญิงสาวทำร้ายตนเองตามความพอใจได้แต่หลับตาปล่อยให้น้ำตาลูกผู้ชายอาบตามรอยทางน้ำที่เหลือทิ้งไว้บนข้างแก้ม...เพื่อที่จะรักษาความลับไม่ให้หลุดลอดไปสู่น้อง การทำให้เกลียดจึงเป็นหนทางเดียวที่น้องจะไม่มาหาหรือซักถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับผู้หญิงคนนั้น

รสาชะงักงันในทันทีที่เห็นเขาร้องไห้รับคำพิพากษาความผิดของตนเองโดยดุษฎี...หางตาเหลือบเห็นกองเอกสารที่รวบรวมไว้บนเตียงอย่างดีรู้สึกผิดสังเกตจึงเอื้อมมือไปหยิบมันลงมาเปิดดูจึงรู้ว่า เอกสารทั้งหมดเป็นหลักฐานแสดงความผิดในการขึ้นดำรงตำแหน่งโดยมิชอบของมลธิกา นอกจากนั้นยังมีข้อมูลบางอย่างในทางลับที่คนอ่านแทบไม่เชื่อสายตา

คนที่ถูกทำร้ายพอไม่รู้สึกถึงความเจ็บก็ลืมตาขึ้นมองรอบข้าง น้ำที่เอ่อขังขอบทำให้ทุกภาพเกิดประกายระยับมัว ปลายนิ้วปาดมันทิ้งจึงเห็นใบหน้าของรสาที่นั่งร้องไห้เงียบๆชัดขึ้น เหลือบเห็นเอกสารสำคัญวางอยู่ข้างตัวก็ทราบได้ว่าทุกอย่างคงเปิดเผยแล้ว

“ คุณกลัวว่าถ้าเล็กมาที่นี่ เขาจะรู้เรื่องพวกนี้ เลยทำแบบนั้นลงไปใช่ไหม ” หล่อนเงยหน้ามาถาม เริ่มปะติดปะต่อเหตุการณ์เมื่อครู่เชื่อมโยงเข้ากับเรื่องที่เพิ่งรับรู้

“ มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเล็กเกลียดผม เขาจะได้ไม่กล้ามาถามอีกว่าทำไมผมถึงเกลียดผู้หญิงคนนั้น แล้วผมขอร้อง คุณอย่าเพิ่งบอกเขาว่าผู้หญิงคนนั้นทำอะไรกับของเล็กบ้าง ขอเวลาให้ผมจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน ให้ผมคืนทุกอย่างให้เขาได้ก่อน ปล่อยให้ผมไปตามทางของตัวเองได้แล้วคุณค่อยบอกเขา ”

“ ทางของคุณคือความตายอย่างนั้นเหรอ ”

“ ถ้าความตายมันทำให้ความเจ็บปวดมันลดน้อยลง ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตาย ” สิ้นประโยคนั้นแก้มสากก็ถูกฝ่ามือซัดเปรี้ยงเข้าไปเต็มแรงอีกหน

“ คุณคิดว่าชีวิตของคนเรามันมีค่าน้อยขนาดนั้นเลยเหรอ คุณรู้ไหมว่ามีกี่คนที่ดิ้นรนอยากมีชีวิต กี่คนขวนขวายให้ตัวเองอยู่รอดในโลกใบนี้ ฉันรู้ดีว่าการกระเสือกกระสนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อมันลำบากแค่ไหน เพราะฉะนั้นคุณอย่าพูดเหมือนชีวิตเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนั้น ”

ชายหนุ่มยกมือลูบแก้มของตนเอ...คุณค่าของการมีชีวิตอยู่จะสำคัญอะไรหากต้องดำเนินชีวิตต่อไปอย่างทุกข์ทน

“ ชีวิตที่มีแต่ความทรมานจะมีความหมายอะไร ”

“ ทำไมจะไม่มี อย่างน้อยมันเป็นรสชาติที่ทำให้เรารู้ว่ายังหายใจอยู่...คุณอย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวในโลกที่ทุกข์ ยังมีคนอีกมากที่ทุกข์แต่เขายังต้องเดินต่อไปข้างหน้า เพราะวันเวลามันไม่หยุดลงตรงจุดเดิม ฉันเองก็เคยเจ็บปวด แต่ฉันก็ผ่านมันมาได้ แล้วทำไมคุณจะไม่ผ่านมันไปไม่ได้ล่ะ ”

ถ้อยคำปลอบประโลมของรสามีอานุภาพให้น้ำตาเอ่อล้นมากกว่าเก่า...ศิระคุกเข่าก้มศีรษะปล่อยให้ความขมขื่นไหลไปพร้อมกับน้ำตาโดยมีมืออบอุ่นของหญิงสาวคนเดียวกันกับที่เขาเคยไม่ชอบหน้าคอยลูบประคอง ได้แต่หวังว่าสักวันความเจ็บช้ำนี้จะเป็นเพียงบทเรียนราคาแพงในความทรงจำเท่านั้น



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ย. 2554, 06:28:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ย. 2554, 06:28:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 2098





<< บทที่ ๒๐   บทที่ 22 >>
คุณแม่ลูกสอง 14 ก.ย. 2554, 08:41:11 น.
จะรอตอนต่อไปนะคะ. ถึงยาวแค่ไหนก็เต็มใจอ่านค่ะ


anOO 14 ก.ย. 2554, 10:32:21 น.
สาพูดขนาดนี้ ถ้าพี่ใหญ่ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกก็ไม่รู้จะพุดว่าไงแล้ว


Edelweiss 14 ก.ย. 2554, 18:25:34 น.
อยากรู้มาก ๆ ๆ


violette 15 ก.ย. 2554, 04:57:38 น.
พี่ภาคกับสานี่สติดีสุดๆเลยนะคะ ยิ่งสานี่สุดยอดดด
สงสารพี่ใหญ่กับน้องเล็กมาก
ต้องบอกว่าไม่น่าเชื่อว่ผู้หญิงแบบแม่ใหญ่จะทำทุกอย่างเพื่อตัวเองได้ขนาดนี้
สากับพี่ใหญ่คงเข้าใจกันมากขึ้นแน่ๆ (สองคนนี้จะคู่กันมั้ยคะเนี่ย แหะๆ)
แล้วเรื่องของพี่ภาคอีก รออ่านตอนต่อไปค่า
แต่ไม่ต้องรีบนะคะ ทำธุระที่บ้านให้เรียบร้อยก่อนค่า
ยิ่งยาวยิ่งชอบนะคะจริงๆแล้ว อิอิ


อริสา 15 ก.ย. 2554, 12:56:21 น.
ชื่นชอบมากๆค่ะ ทุกตัวละครดูมีเรื่องราวและแง่มุมลึกซึ้ง รอติดตามด้วยใจจดจ่อค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account