จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 22

-- แวะคุบกันก่อน --

พักนี้หายหน้าไปนานหน่อยเพราะญาติป่วยหนัก ทำเราสติจะแตกTT_TT
ไม่ต้องทำงานทำการอะไรกันเลย ฮือๆๆๆ คนอ่านหายกันหมดแล้วหรือเปล่า

ยังไงคนที่ตามอยู่ก็ขอบคุณที่มาอ่านและคอมเม้นนะคะ
หวังว่าจะได้มีเวลาเขียนให้มันต่อเนื่องกันบ้าง

ปล. ใครไม่เคยฟังเพลง หนามชีวิต เอาลิ้งค์มาฝาก http://www.youtube.com/watch?v=aejb_XCGL_s

---------------
บทที่ 22

นางพยาบาลเก็บหลอดเลือดของคนไข้บนเตียงรวมทั้งเครื่องวัดความดันและปรอทวัดไข้ลงในถาดอะลูมิเนียมออกไปตรวจใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงแพทย์หญิงวัยกลางคนก็เดินเข้ามาตรวจดูอาการอีกเล็กน้อยแล้วจึงหันมาสรุปอาการโดยรวมให้กับชายหนุ่มที่กอดอกรอฟังอยู่

“ เท่าที่ตรวจดู อาการของคนไข้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมาก อาจมีเรื่องความดันกับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำไปหน่อย เดี๋ยวหมอจะให้คนไข้นอนพักให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลสักคืนสองคืน ถ้าไม่มีอะไรหมอก็จะให้กลับบ้านนะคะ ”

ภาควัฒน์พยักหน้ารับ ยกมือไหว้พลางเอ่ยขอบคุณผู้ทำการตรวจรักษา ก่อนจะถอยไปยืนหันหลังอยู่หน้าห้องน้ำเพื่อให้นางพยาบาลเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าของโรงพยาบาลแทนชุดเก่าพอเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็เดินเข้าไปหา แลดวงหน้าซีดไร้สีเลือดไว้นิ่งนานภายในกายทรมานเหมือนถูกไฟลนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคนบนเตียง

เขากางเก้าอี้พับลากมาข้างเตียงมานั่ง มือใหญ่ข้างหนึ่งเอื้อมไปลูบเรือนผมนุ่มไปมา อีกข้างก็กุมมือเย็นเฉียบของหญิงสาวบนเตียงมาแนบกับข้างแก้มสากระคายของตัวเอง

“ พี่ขอโทษที่มาช้าไป ” สุ้มเสียงที่เขารำพันเต็มไปด้วยความรวดร้าว ริมฝีปากหยักบางจูบเบาไปตามหลังมือ...หากมาให้เร็วกว่านี้สักนิด แค่นิดเดียวเล็กคงไม่ต้องมานอนตรงนี้

รสาเปิดประตูเข้ามาในห้อง กระชับกระเป๋าสะพายของเพื่อนไว้บนบ่าแล้วหยุดเท้าตรงประตูในทันทีที่ทอดสายตาเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใช้ปลายนิ้วไล้ข้างแก้มของคนป่วยด้วยสายตาเป็นกังวลหนักหนาจนยากจะทำใจว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นเพียงมายาที่สร้างขึ้นเพื่อตบตาคนรอบตัว

ผู้มาทีหลังปล่อยเวลาให้ผ่านไปราวห้านาทีจึงเดินไปยืนอยู่ข้างคนที่เฝ้าไข้ กระแอมไอเล็กน้อยให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวหันมามองถึงได้ปลอดกระเป๋าสะพายออกจากไหล่ส่งให้

“ กระเป๋าของเล็กค่ะ ” หล่อนบอกปล่อยให้เขารับกระเป๋าแล้วนำไปวางบนโต๊ะข้างเตียงเสร็จก็ถามถึงอาการของเพื่อนว่าเป็นยังไงบ้าง พอได้รับคำตอบก็พยักหน้าส่งเสียงในลำคอพอให้รู้ว่ารับทราบ เงียบกันไปอึดใจใหญ่คนบนเก้าอี้ก็ละสายตาจากดวงหน้าหวานเซียวมาหาหญิงสาวมัดผมม้าที่จมูกยังแดงก่ำจากการร้องไห้หนัก

“ คุณสาจัดการกับไอ้ใหญ่มันแล้วหรือครับ ”

คำถามนั้นทำให้คนฟังเม้มริมฝีปากพลางกลืนน้ำลาย รู้สึกลำบากใจที่ต้องหวนคิดถึงความอัปยศที่เกิดขึ้นในตระกูลอังคพิมาน

“ ตอนแรกพอสาเห็นสิ่งที่เขาทำกับเล็ก สาก็อยากจะฆ่าเขาเหมือนกัน แต่ตอนนี้พอสารู้ความจริงบางอย่างก็พอเข้าใจว่าทำไมคุณใหญ่ถึงทำแบบนั้น สาเลยอยากขอให้คุณภาคอย่าเพิ่งโกรธแค้นในสิ่งที่คุณศิระทำลงไปเลยนะคะ ” คนพูดพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ นึกเกรงอยู่ในใจว่าต้องถูกตำหนิแต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นหล่อนกลับเห็นเขาลุกจากเก้าอี้พร้อมกับกอดอกมองมาด้วยสายตาว่างเปล่าก็โล่งใจ

หากในทันใดนั้นเองคนตัวใหญ่ก็ดึงเพื่อนของภรรยาให้นั่งลง ใช้แรงมหาศาลกดไหล่ราวกับอยากให้หล่อนจมหายไปในเก้าอี้ ยินเสียงเย็นเยือกที่เอ่ยข้างหูแล้วรู้สึกเสียวไปทั้งแผ่นหลัง

“ คนที่นอนบนเตียงเป็นเพื่อนรักของคุณ แต่คุณกลับปล่อยให้คนที่ทำร้ายเพื่อนคุณลอยนวลเพราะเชื่อคำพูดไม่กี่ประโยคของมันอย่างนั้นนะเหรอ คุณไม่คิดว่าตัวเองเชื่อคนง่ายไปหน่อยหรือครับ ”

รสาพ่นลมหายใจอุ่นแลดวงหน้าซีดยิ่งกว่ากระดาษของศศิวิมลแล้วก็ได้แต่พ่นลมหายใจอุ่น...มันคงยากจะอธิบายให้ใครเข้าใจถึงสิ่งที่ใหญ่ทำลงไป เพราะหล่อนรับปากไว้แล้วว่าจะไม่แพร่งพรายความลับนี้ให้ใครรู้

“ สารู้ว่ามันทำใจยากที่จะไม่โกรธในสิ่งที่คุณศิระทำ แต่คุณภาคเชื่อสาเถอะว่าสิ่งที่คุณศิระทำไปทั้งหมดก็เพื่อปกป้องเล็ก เขาไม่ได้มีเจตนา... ” ประโยคนั้นเงียบหายไปในอากาศเพราะถูกกลบด้วยเสียงบางสิ่งกระแทกผนังอย่างแรง จากนั้นเก้าอี้ก็ถูกหมุนให้หันมาประจันหน้าบีบให้ต้องสบสายตาคาดคั้นชวนอึดอัดเป็นสถานการณ์คล้ายกับว่าหล่อนเป็นจำเลยให้คนตัวใหญ่สอบสวน

“ ผมจะบอกอะไรให้นะคุณสา ไม่มีใครในโลกนี้รู้จักไอ้ใหญ่ดีเท่าผมหรอก คนอย่างมันไม่ใช่สุภาพบุรุษเหมือนภาพที่มันสร้างหรอก โดยเฉพาะกับเรื่องของเล็ก ต่อให้มันคิดว่าจะไม่ทำร้ายแล้วคุณคิดเหรอว่ามันจะยั้งตัวเองได้ ยิ่งมันดื่มเหล้าแทนน้ำขนาดนั้นสติมันก็พร่องไปตั้งเท่าไหร่แล้ว นี่ขนาดผมไปช้านิดเดียวมันยังทำเล็กขนาดนี้ แล้วถ้าผมไปไม่ทันคุณสาก็คิดดูแล้วกันว่าเล็กจะเป็นยังไง คุณเองก็ไม่ใช่คนโง่อย่าบอกนะว่าดูไม่ออกว่ามันคิดยังไงกับเล็ก ” ถ้อยคำยาวพรั่งพรูออกมาจากความเจ็บแค้น

“ สารู้ค่ะคุณภาค แต่สาเชื่อคะว่าถ้าถึงเวลานั้นจริงคุณศิระจะหยุดตัวเองได้ ตอนนี้คุณศิระมีปัญหาบั่นทอนจิตใจมากพอแล้ว เขาคงไม่คิดทำร้ายน้องสาวตัวเองให้จิตใจมันแย่ไปกว่าเดิมหรอกคะ ”

“ รู้สึกว่าคุณสาจะเข้าข้างไอ้ใหญ่มันเหลือเกินนะครับ ”

“ สาไม่ได้เข้าข้างแค่พูดไปตามเหตุผล ตามเรื่องที่รู้ สาก็อยากจะพูดให้คุณภาคเข้าใจแต่สาสัญญากับคุณศิระแล้วว่าจะไม่บอกใคร เพราะเรื่องนี้มันมีผลกระทบกว้างเกินไป ” เอ่ยแล้วก็เงียบไปนานกว่าจะต่อ “ เออแล้วคุณศิระก็ฝากให้สามาบอกว่า จะจัดการเรื่องพนักงานรักษาความปลอดภัยกับเรื่องข้าวของเสียหายทุกอย่างเอง คุณภาคไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาเอาผิดหรือแจ้งความนะคะ”

ชายหนุ่มเหยียดมุมปากปล่อยมือจากกดไหล่คนพูด หลุดหัวเราะหยันในลำคอออกมาในทันทีที่รู้ว่าคู่กรณีแสดงความรับผิดชอบด้วยวิธีนี้

“ มันคิดว่าผมกลัวมากเหรอถึงฝากคุณมาบอกแบบนี้ แล้วอย่างนี้ผมต้องไปกราบขอบพระคุณมันด้วยไหม ” เขาเหน็บถอยหลังไปยืนกอดอก แม้นไร้สิ่งใดปรากฏบนดวงตาหากคนฟังกลับรู้สึกได้ถึงแรงโทสะ

ความแค้นเคืองในน้ำเสียงกับแววตาเด่นชัดผิดกับการแสดงออกทางร่างกาย...ความขัดแย้งในตัวเองของเขาทำให้หญิงสาวอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งที่ภายในร้อนลนถึงเพียงนั้น ขยับริมฝีปากจะเอ่ยถามกลับมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ใช้เวลาสนทนากับปลายสายสักพักก็กดปุ่มวางสายแล้วขอตัวลากลับ

“ ถ้าคุณภาคยังโกรธสาอยู่ก็ไม่เป็นไรนะคะ เอาไว้สาไม่อยู่คุณภาคก็ลองคิดทบทวนสิ่งที่สาพูดดู แล้วยังไงพรุ่งนี้สาจะมาเยี่ยมเล็กใหม่ ”

“ ครับ ” เขาตอบรับสั้น อยากจะฝากถ้อยคำไปให้ชายหนุ่มอีกคนหากก็ยั้งปากไว้ ปล่อยให้เพื่อนของภรรยาลุกจากเก้าอี้ไปตามสะดวกอาการคุกคามข่มขู่เมื่อครู่สลายไปในมวลอากาศราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น

รสาผลักประตูออกไปข้างนอก ก้าวเท้าเกือบจะพ้นจากห้องแล้วแต่ก็ยังเหลียวกลับมามองชายหนุ่มที่เอาแต่ยืนกอดอกพิงผนังใกล้บานหน้าต่างใหญ่มองคนบนเตียงไว้ไม่วางตา

...มนุษย์เราบางทีก็เพียรทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยากโดยไม่จำเป็น...

ภาควัฒน์กลับมาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ในนาทีที่ได้ยินเสียงประตูปิดลงพร้อมกับไล้นิ้วไปตามพวงแก้วนวลของภรรยาสาวไว้อย่างอ่อนละมุนกระทั่งเห็นเปลือกตาของอีกฝ่ายเขยื้อนทีละน้อยตามด้วยเสียงพร่าร้องขอน้ำก็ทะลึ่งตัวจากที่นั่งรีบกุลีกุจอหยิบน้ำมารินใส่แก้ว ประคองร่างบางให้จิบน้ำทีละนิดก่อนจะวางลงบนเตียงขาว

“ เล็ก...เล็กเป็นยังไงบ้าง ” เขาร้องถามเป็นคำแรกจ้องหญิงสาวที่ลืมตาขึ้นมามองกันด้วยอาการสะลืมสะลือ

ศศิวิมลแลภาพลางเลือนในระยะประชิดเกิดอาการผวาเล็กน้อยพอได้ยินสุ้มเสียงอันคุ้นเคยก็คลายใจลง เพียร กระพริบตาเป็นระยะเพื่อปรับแสงและความคมชัดให้เข้าที่จึงเห็นดวงหน้าคมคายที่ทอดมาด้วยความกระวนกระวายใจ สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากหลังมือที่ทาบลงบนหน้าผากทั้งสองข้าง

“ พี่ภาค ” หล่อนเรียกชื่อเขาแล้วจึงถามต่อ ” เล็กอยู่ที่ไหนคะ ”

“ โรงพยาบาลค่ะ...เล็กเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ ปวดหัวมากไหม เดี๋ยวพี่จะเรียกพยาบาลมาดูนะ ” บอกเสร็จก็เอื้อมแขนไปกดปุ่มแจ้งนางพยาบาลให้ทราบว่าคนไข้ฟื้นแล้ว

หญิงสาวยกแขนข้างที่เจาะเลือดให้น้ำเกลือไว้ขึ้นกุมขมับ อาการเวียนศีรษะจู่โจมเล่นงานพร้อมกับภาพความเหตุการณ์อันคล้ายฝันร้ายก็ประดังประเดเข้ามาให้ทบทวนถึงเสมือนภาพยนตร์ที่ถูกฉายซ้ำ...อารมณ์ความรู้สึกหวาดกลัวในเวลานั้นถูกแทนที่ด้วยความคับข้องใจในทุกการกระทำที่เกิดขึ้น

ถ้อยคำของผู้เป็นพี่ก่อให้เกิดคำถามมากมายฟุ้งกระจายอยู่ในความคิดคำนึง...ความศรัทธาในตัวพี่ชายยังแรงกล้าทำให้เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจมีผลมาจากฤทธิ์สุราและความกดดันจากสภาวะรอบด้าน

เพราะความที่เป็นคนขลาดกลัวความเจ็บปวดจึงเลือกใช้ความเชื่อที่มีต่อตัวตนในอดีตของคนใกล้ตัวมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้มองโลกในแง่ดีเข้าไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตกอยู่ในความเศร้าหมอง

นางพยาบาลเดินเข้ามาในห้องตรวจดูอาการเล็กน้อยก็แจ้งให้ทราบว่าไม่มีอะไร ทานข้าวทานยาก็นอนพักได้ตามปกติ ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วเข็นโต๊ะล้อเลื่อนซึ่งมีชุดอาหารใส่ภาชนะสีขาวปิดฝามารอ สอดแขนลงไปใต้แผ่นหลังพยุงให้ขึ้นมานั่งทำเอาคนป่วยสะดุ้งหลุดจากภวังค์

คนตัวใหญ่เห็นการแสดงออกนั้นก็คิดว่าอีกฝ่ายยังตกค้างในอาการช็อกก็ถอนหายใจทรุดลงไปนั่งบนเตียงโอบคนตัวเล็กให้พิงศีรษะลงมาบนบ่าแข็งแรงของตนเองแล้วลูบผมยาวสลวยพลางกดคางลงกลางกระหม่อมคลึงเบาๆ

“ พี่อยู่นี่ ไม่มีใครทำอะไรเล็กได้หรอก คนดี เชื่อพี่สิ ” เขากระซิบอ่อนละมุนเหมือนเมื่อครั้งทั้งสองยังอยู่ในร่มเงาแห่งอดีต ทุกคราที่ทุกข์หมองจากเรื่องใดต่างฝ่ายต่างเคยเป็นแรงใจให้กัน

คนป่วยเม้มริมฝีปากอดไม่ได้ที่จะแปลกใจกับวิธีปลอบใจและสรรพนามที่เขาแทนตัวเอง หากประเด็นนั้นกลับตกไปเพราะความสำคัญกลับอยู่ที่ทำไมผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีเดินทางกลับมาและพาหล่อนมาส่งโรงพยาบาลได้อย่างไร

“ พี่ภาคกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แล้วทำไมพี่ภาคถึงมาอยู่ที่นี่กับเล็กได้ล่ะคะ ” ถามทั้งที่ประหลาดใจและถ้อยคำนั้นทำให้เจ้าของบ่ารู้สึกแล้วว่า คนที่พิงตัวเองอยู่พ้นจากภาวะตื่นกลัวจึงประคองให้นั่งพร้อมกับลุกจากเคียงหยิบหมอนมารองหลังกลับคืนสู่ความเรียบเฉยอีกครั้ง

“ ถ้ามีแรงกินข้าวก็กินซะจะได้กินยาแล้วนอนพัก ” เขาสั่งเสียงเข้มแล้วเลื่อนโต๊ะอาหารให้เข้ามาแทนตัวเองไม่เอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ศศิวิมลมองข้าวต้มในชามสลับกับชำเลืองมองภาควัฒน์เป็นระยะคล้ายยังอาลัยในไออุ่น หยิบช้อนสั้นมาตักข้าวเข้าปากไม่กี่คำก็วาง เพราะความอยากอาหารได้อันตรธานหายไปกับหลายเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา ขณะที่ความคิดก็ลอยไปถึงสตรีวัยกลางคนที่นอนป่วยอยู่ในห้องไอซียู...เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้โอกาสที่พี่จะไปดูแลแม่ใหญ่คงจะยาก และหล่อนในฐานะหลานสาวก็ควรทำหน้าที่นี้แทน

“ ถ้าเล็กกินเสร็จแล้วรบกวนพี่ภาคไปบอกพยาบาลให้หน่อยได้ไหมคะว่าเล็กค่อยยังชั่วแล้ว จะขอกลับบ้านตอนนี้เลยได้หรือเปล่า ” เอ่ยถามไปด้วยวิตกว่า พรุ่งนี้จะไปไม่ทันพบหมอกายภาพบำบัดที่จะส่งมาสอนการออกกำลังกายให้คนป่วยที่เพิ่งผ่าตัดสมอง

“ หมอบอกให้เธอนอนโรงพยาบาลคืนสองคืนแล้วค่อยกลับ เธอเองก็ไม่ได้มีธุระอะไรจะรีบกลับไปไหนหนักหนา ”

“ พรุ่งนี้หมอกายภาพบำบัดจะมาสอนแม่ใหญ่ออกกำลังกาย ตอนนี้แม่ใหญ่เพิ่งผ่าตัดเส้นเลือดในสมองมาต้องการกำลังใจ เล็กเองตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากเลยอยากไปดูแลแม่ใหญ่มากกว่า ”

เหตุผลของหล่อนทำให้คนฟังถึงกับเม้มริมฝีปาก...ตัวเองก็ไม่ใช่แข็งแรง ส่วนทางนั้นก็ไม่ใช่ร้ายกาจใส่ไม่ใช่เล่นยังจะมีหน้าไปกตัญญูอีก

“ เธอนะนอนให้น้ำเกลืออยู่อย่างนี้แหละดีแล้ว เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา ต้องเดือดร้อนฉันพามาโรงพยาบาลอีก แล้วในบ้านอังคพิมานก็มีคนเยอะแยะ ถึงเธอไม่ไปดูแลเดี๋ยวคนอื่นก็ไปทำแทนให้ ”

“ ไม่ได้หรอกค่ะ คนอื่นไม่ใช่ญาติ ถึงไปดูแลก็ไม่เหมือนเล็กไป ”

เพียงคำทัดทานไม่กี่ประโยคอารมณ์เดือดของคนตัวใหญ่ที่ซ่อนไว้ภายในความเย็นชาก็พุ่งพล่านขึ้นมาให้เผลอตบโต๊ะข้างเตียงอย่างแรง

“ เลิกห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองซะที คนบ้านนั้นมันทำกับเธอขนาดนี้ยังจะไปดีกับมันอีกเหรอ ” เขาตวาดใส่เสียงดังมือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ฝ่ายที่เห็นท่าทางโกรธขึ้งก็ก้มหน้างุดไม่พูดอะไรอยู่นานกว่าจะพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจว่าการกระทำของศิระ

“ เล็กคิดว่าพี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจทำกับเล็กแบบนี้หรอก แต่เพราะพี่ใหญ่เขาเมาแล้วก็เครียดหลายเรื่องก็เลยขาดสติไป เล็กจะไปถือสาอะไรกับคนเมาได้ล่ะคะ ”

“ เธอคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกละครหรือยังไง โดนมันทำมาขนาดนี้ยังจะมีหน้ามาพูดอีกเหรอว่ามันไม่ได้ตั้งใจ ต้องรอให้มันปล้ำเธอเรียบร้อยก่อนไหมแล้วค่อยเกลียดมันนะ ”

“ พี่ใหญ่ไม่ใช่คนเลวถึงขนาดจะทำร้ายเล็กหรอกคะ เล็กเห็นพี่ใหญ่ดื่มเหล้าหนักแถมยังพูดถึงแม่ใหญ่เหมือนทะเลาะกันมาแบบนั้น ก็อย่างที่บอกความเครียดกับความเมาผสมกันทำให้พี่ใหญ่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ตอนนั้นพี่ใหญ่อาจจะไม่คิดว่าเป็น... ” หล่อนสะดุ้งเฮือกหยุดพูดไปทันทีที่เห็นคนที่สนทนากันอยู่ถีบเก้าอี้ข้างเตียงกระเด็น

“ อย่ามองพี่ชายตัวเองเป็นเทพบุตรขนาดนั้นเลย ศศิวิมล ” เขาเค้นทีละคำแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

คนบนเตียงสะดุ้งอีกหนเมื่อได้ยินเสียงกระแทกประตูปิดก่อนจะถอนหายใจยาว รู้สึกได้ถึงแรงอารมณ์แม้นมันจะซ่อนตัวอยู่ใต้ความเฉยเมย...ความโกรธของเขาทำให้หล่อนยิ่งสลดหดหู่ได้แต่ดันโต๊ะอาหารให้ถอยไปอีกทาง ชันเข่าขึ้นมากอดแนบอกแล้วสุดท้ายก็กลับไปหมกมุ่นถึงเหตุผลที่ทำให้พี่ชายเปลี่ยนไป

...ทุกอย่างเริ่มผิดปกติตั้งแต่ตอนที่พี่ใหญ่พยายามไล่ให้หล่อนกลับบ้าน...หญิงสาวคิดได้ถึงตรงนี้ก็ไม่อาจคิดอะไรเพิ่มได้เพราะเคยชินกับการถูกกันให้รับรู้เฉพาะที่ผู้เป็นป้ากับพี่ชายอยากให้รู้ บังเอิญหางตาเหลือบไปเห็นกระเป๋าตัวเองวางอยู่บนโต๊ะก็เลยหยิบมาวางบนเตียง เปิดดูข้าวของภายในแล้วแยกชิ้นที่ไม่ใช่ของตัวเองออกมาจึงเห็นว่ามีซองเอกสารสีน้ำตาล จดหมายที่หน้าซองเขียนว่าเป็นของโรงพยาบาลในต่างประเทศสองฉบับและสมุดบันทึก

ตามปกตินิสัยแล้วศศิวิมลจะไม่แตะต้องสมบัติของบุคคลอื่น หากครั้งนี้ความสงสัยว่า สิ่งเหล่านี้อาจช่วยไขความกระจ่างให้ตัวเองได้จึงยกมือตั้งจิตขออนุญาตกับมลธิกาขอถือวิสาสะเปิดอ่าน

ความลับที่มลธิกาสู้เก็บซ่อนมาเนิ่นนานและปรารถนาอยากให้มันตายไปกับตัวเอง สุดท้ายก็ถูกเปิดเผยให้ศศิวิมลประจักษ์แจ้งในหัวใจถึงการกระทำของผู้เป็นป้าที่กระหนำซ้ำเติมตนเองกับผู้เป็นมารดามาโดยตลอด

...น่าแปลกที่ในตอนนั้นใบหน้าของหญิงสาวกลับเฉยเมย ดวงตาหวานอมโศกเลื่อนลอยว่างเปล่า ความปวดร้าวขมขื่นตีกระแทกเต็มแรงเหมือนถูกใครใช้ของแข็งรุมสกรัมแต่กลับไม่มีน้ำตาแห่งความเศร้าเลยสักหยด...

เพราะไม่มีใครล่วงลึกถึงความในใจจึงไม่อาจเข้าใจได้ว่า ความรู้สึกของคนที่ทุกข์แน่นอกถึงขนาดหลั่งน้ำตาระบายความชอกช้ำออกมาไม่ได้นั้นทรมานแสนสาหัญเพียงไหน

...การมีชีวิตที่เหมือนกับคนตายไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังชดใช้บาปกรรมของตัวเองในนรก วนเวียนรับความลำเข็ญจนกว่าจะหมดสิ้นอายุขัย...มันให้ความรู้สึกอย่างไรวันนี้ศศิวิมลประสบซึ้งถึงมันได้ด้วยตัวเอง
*************************

หลังจากเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยมาทำความเข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้นว่าเป็นความเข้าใจผิดและกำชับไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ไปโดยอ้างว่ากลัวเกิดความแตกตื่นพร้อมทั้งให้เงินค่ารักษาพยาบาลด้วยทุนทรัพย์ของตัวเองเรียบร้อย ศิระก็ลงมือเก็บกวาดห้องพักของตัวเองจนสะอาดเอี่ยมอ่อง หากไม่นับบานหน้าต่างที่ไร้กระจกก็แทบจะไม่เหลือร่องรอยของเหตุการณ์ในเย็นวันนี้เลย

ชายหนุ่มเก็บเครื่องดูดฝุ่นขนาดกะทัดรัดเข้าไปในตู้เสื้อผ้าแล้วก้าวไปยังบานหน้าต่างกว้างปล่อยให้ลมเย็นพัดกระหนำใส่ใบหน้า นัยน์ตาของเขาในยามนั้นเต็มไปด้วยความหมองหม่น...ภาพที่น้องชักจนสลบกลบกลิ่นหอมกรุ่นและสัมผัสนุ่มละมุนไปจนสิ้น ความตั้งใจแรกเพียงต้องการขู่ให้กลัว หากไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเผลอเลยเถิดไปไกลได้ขนาดนั้น

ผีห่าซาตานในใจผสมไปกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ผลักดันให้เขาเกือบข้ามเส้นแบ่งของศีลธรรม...คิดเท่านั้นมือใหญ่ก็กระหนำชกกำแพงจนหมดเรี่ยวแรงไถลกายไปตามผนังนั่งลงบนพรมด้วยความอ่อนล้าไปทั้งกายและใจ ความเจ็บจากการถูกทำร้ายแทบไม่มีก่อให้เกิดความรู้สึกเท่ากับปฏิกิริยาของน้อง

. จริงอย่างที่ไอ้ภาคว่า เขามันเลวระยำถึงปล่อยให้อำนาจฝ่ายต่ำครอบครอง แต่อย่างน้อยการได้เห็นน้องเป็นเช่นนั้นก็ทำให้เขาตระหนักดีว่า ควรพิพากษาตัวเองอย่างไรในความผิดนี้...การคืนทุกสิ่งที่ผู้ให้กำเนิดพรากเอามาโดยมิชอบและปล่อยให้น้องเกลียดชังเขาไปเช่นนี้คงเป็นการดีที่สุด

ศิระเหยียดยิ้มหยันค่อยๆยันตัวเองให้ลุกจากพื้น เดินโซเซไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วออกจากโรงแรมขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลเอกชนที่ประธานกรรมการบริหารคนปัจจุบันพักรักษาตัว

สมพรผลักประตูห้องไอซียูออกมาแล้วสะดุ้งโหย่งด้วยความตกใจเมื่อเห็นหลานชายของคนป่วยโผล่มาจับแขนแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง แต่ที่ทำให้หลุดร้องเสียงหลงก็เพราะเหลือบเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้ากับริมฝีปากที่แตกเป็นรอยเลือด

“ คุณใหญ่ไปโดนอะไรมาคะ ทำไมหน้าเป็นอย่างนั้น ”

“ มีอุบัติเหตุที่โรงแรมนิดหน่อยนะครับ ”

“ โอ๊ยตาย...แผลขนาดนี้ไม่นิดแล้วคะคุณใหญ่ แล้วนี้พี่สมได้กลิ่นเหล้า คุณใหญ่ดื่มเหล้ามาด้วยเหรอคะ ” พี่เลี้ยงของน้องยังซักไซ้ตามประสาคนชอบสอดรู้สอดเห็น ทว่าคนเป็นนายไม่ตอบเลี่ยงไปถามถึงอาการของคนที่เพิ่งผ่าตัดเส้นเลือดในสมองแทน

“ เห็นคุณหมอบอกว่า คุณผู้หญิงจะมีอาการมึนๆงงๆอยู่อย่างนี้สักอาทิตย์หนึ่งก็เลยอยากให้ญาติดูแลใกล้ชิดหน่อย แล้วจะให้นักอะไรบำบัดสักอย่างมาสอนญาติจะได้ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อของคุณผู้หญิงให้ฟื้นตัวเร็วขึ้นนะคะ เห็นคุณเล็กเธอบอกว่าจะมาดูหมอสอนเอง เออ พูดถึงคุณเล็ก ที่คุณใหญ่ทราบเรื่องนี้เพราะคุณเล็กเธอไปบอกใช่ไหมคะ แล้วทำไมคุณเล็กเธอไม่มาด้วยล่ะคะ ” สมพรยังเอาแต่ตั้งคำถาม

“ เล็กเขานอนอยู่โรงพยาบาลคงมาดูแม่ใหญ่ไม่ได้ ส่วนผมตอนนี้ก็งานยุ่งมากคงไม่ว่างมาดูแล ยังไงผมต้องวานพี่สมเป็นคนช่วยดูแลแม่ใหญ่ไปก่อน ถ้ามีอะไรด่วนก็โทรมาตามเบอร์นี้ ” เขาบอกหยิบนามบัตรของตัวเองซึ่งมีเบอร์โทรต่อสายถึงโต๊ะเลขานุการหน้าห้องได้

“ แต่พี่สมไม่ใช่ญาติ ความรู้ก็ไม่สูงจะไปเข้าใจที่เขาสอนได้หรือคะ ทำไมคุณใหญ่ไม่จ้างพยาบาลพิเศษล่ะคะ แล้วคุณพยาบาลที่คุณใหญ่เคยจ้างไปไหนซะแล้ว ”

“ ผมอยากให้คนในอังคพิมานเป็นคนดูแลมากกว่า ไม่ต้องห่วงว่าจะเหนื่อยไม่คุ้มเงินเดือนนะครับ เพราะผมจะขึ้นเงินเดือนให้พี่สมสองเท่าในฐานะที่มาดูแลแม่ใหญ่แทนผมกับน้อง ”

“ โถคุณใหญ่ขา พี่สมไม่ใช่คนเห็นแก่เงินนะคะ อีกอย่างคุณผู้หญิงก็เป็นเจ้านายที่ดีกับพี่สมมาตลอด แล้วตอนนี้ไม่มีคุณเล็กพี่สมก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว แค่มาดูแลคุณผู้หญิงแค่นี้สบายมากคะ ”

“ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังอยากให้เงินพี่สมเพิ่มอยู่ดี รับไว้เถอะนะครับ ผมจะได้สบาย ” ศิระว่าสวมมาดหลานชายผู้แสนดีแนบเนียนเพียงเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตอบคำถามถึงความเปลี่ยนแปลง

“ แล้วนี้คุณใหญ่จะเข้าไปเยี่ยมคุณผู้หญิงไหมคะ ”

คำถามของสมพรทำให้ศิระเกิดอาการเครียด หากจะเลี่ยงไม่เข้าไปพบก็เกรงจะทำให้สงสัย โชคดีที่มองเห็นป้ายเวลาเยี่ยมหน้าห้องจึงนำเรื่องหมดเวลาเยี่ยมมาอ้าง

“ ตอนนี้หมดเวลาเยี่ยมแล้ว ไว้วันหลังผมมาใหม่ก็ได้...ยังไงฝากพี่สมดูแลแม่ใหญ่ด้วยนะครับ อ้อ เดี๋ยวผมจะบอกคนรถที่บ้านให้คอยรับคอยส่ง พี่สมจะได้ไม่ต้องขึ้นรถมาเองให้ลำบากนะครับ ”

สมพรพยักหน้ารับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนจากกันยังหยิบเอายาหม่องยัดใส่มือของเขาไว้ใช้ทาปาก

ศิระหันหลังเดินห่างจากห้องไอซียูแล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบันไดที่ทอดลงไปยังชั้นล่าง...หน้ากากเหล็กที่สวมหลอกคนอื่นถูกกระชากออก นัยน์ตาคมวาวโรจน์ไม่เหลือเค้าหลานผู้แสนดีที่ห่วงใยผู้เป็นป้า ภายในหัวใจร่ำร้องเรียกหาให้ต้องลงทัณฑ์คนบาปอย่างสาสม

...แม้นคนบาปจะเจ็บปวดเจียนตาย แต่ผลกรรมครั้งนี้ต่อให้ต้องกลายเป็นคนอกตัญญูเขาก็ต้องเป็นคนจบเรื่องราวทุกอย่างนี้ด้วยตัวเขาเอง...
************************

หลังจากหลบไปสงบสติอารมณ์ในร้านสะดวกซื้อในโรงพยาบาล ภาควัฒน์ก็หิ้วถุงหลายใบขึ้นลิฟต์กลับเข้ามาในห้องพักพิเศษของภรรยาเห็นศศิวิมลนั่งพิงหมอนทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่วางน้ำผลไม้กับขนมปังไส้ครีมวนิลาไว้บนโต๊ะล้อเลื่อนข้างชุดอาหารก่อนจะนำของที่เหลือแช่ไว้ในตู้เย็น

เสียงถุงพลาสติกทำให้คนป่วยเบือนหน้าจากตึกรามมามองชายหนุ่มที่หยิบเก้าอี้ที่เตะกระเด็นลากกลับมาตั้งข้างเตียง เหลือบเห็นแก้วยาว่างเปล่าก็รู้ว่าคงทานไปแล้วจึงแกะหลอดเสียบลงไปในรูกล่องน้ำผลไม้ส่งให้

“ ดื่มน้ำผลไม้หน่อยนะได้สดชื่น ”

หญิงสาวพยักหน้ารับมันมาถือไว้ในมือโดยไม่พูดอะไรสักคำ ดูดน้ำฝรั่งผ่านหลอดจนเกลี้ยงตามที่ได้รับคำสั่ง จากนั้นก็เอี้ยวตัววางกล่องเปล่าไว้บนโต๊ะได้ก็กลับมานั่งเงียบเหมือนเดิม

“ อยากไปห้องน้ำก่อนนอนหรือเปล่า ฉันจะได้พาไป ” เขาถามแต่คำตอบที่ได้รับคือการส่ายหน้าปฏิเสธจากนั้นร่างบางก็ขยับลงไปนอนตะแคงหันหน้าหาหน้าต่างหยิบผ้าห่มมาคลุมก็หลับตาโดยไม่บอกไม่กล่าว ท่าทางอันเงียบเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึกทำให้ผู้เป็นสามีรู้สึกได้ชัดเจนถึงความผิดปกติ

“ เธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ยังปวดหัวอยู่ไหม ” ลองถามออกไปอีกแต่ก็เห็นหล่อนหลับไม่ขยับเขยื้อนก็คิดว่าคงหลับเร็วเพราะฤทธิ์ยาเลยเดินอ้อมเตียงไปนั่งตรงโซฟาที่มีหมอนกับผ้าห่มพับไว้ให้สำหรับคนมาเฝ้าไข้...เขาหยิบหมอนมาวาง สะบัดผ้าห่มเตรียมไว้เกือบจะกดสวิตซ์ปิดไฟแล้ว หากพอดีได้ยินเสียงจากคนบนเตียงจึงหยุดมือไว้ก่อน

“ พี่ภาคกลับบ้านเถอะค่ะ เล็กอยู่คนเดียวได้ ”

“ กฎโรงพยาบาลที่ไหนเขาก็ไม่ให้คนไข้อยู่ห้องพิเศษคนเดียวหรอกนะ ”

“ แต่พี่ภาคกลับมายังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะนอนได้ยังไง ”

“ พรุ่งนี้พอยายช้อยมาเปลี่ยนเวรเมื่อไหร่ ฉันก็ค่อยกลับบ้านไปอาบน้ำก็ได้ ”

พอสิ้นบทสนทนานั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรจนแน่ใจว่าคนป่วยคงหลับแล้วจึงปิดไฟ ทรุดลงนั่งบนโซฟาแล้วล้มตัวลงนอนก็ได้ยินเสียงหวานเอ่ยขึ้นมาอีก

“ เล็กขอโทษนะคะที่คอยเป็นภาระทำให้พี่ภาคเดือดร้อน ”

“ ช่างมันเถอะ ยังไงเธอก็ช่วยดูแลแม่ฉันมานาน อีกอย่างตอนนี้เธอก็เป็นภรรยาของฉัน ถึงจะแค่ในนามก็เถอะ ในเมื่อเธอเจ็บป่วยฉันก็คงต้องทำหน้าที่สามีเป็นเรื่องธรรมดา ”

“ พี่ภาครอหน่อยแล้วกันนะคะ อีกไม่นานหรอกคะ อีกไม่นานเล็กคงจะไม่ได้อยู่เป็นภาระให้พี่อีกแล้ว ” หล่อนพูดเหมือนจะส่งสัญญาณบางอย่างให้ตระหนัก

แววน้ำเสียงโศกตรมหนักหนากับถ้อยคำอำลาจากทำให้คนร่วมห้องผุดลุกจากการนอนกลับขึ้นมานั่ง เกือบจะเอื้อมมือไปเปิดไฟเพื่อจะเรียกมาคุยกันให้รู้เรื่องก็ถูกตัดบทด้วยการกล่าวราตรีสวัสดิ์

ภาควัฒน์นิ่วหน้าผากรู้สึกได้ถึงความขมขื่นของหญิงสาวบนเตียงแล้วสังหรณ์ใจบางอย่างจนไม่อาจข่มตาหลับได้แต่นั่งบนโซฟาทอดสายตาไปยังแผ่นหลังบางที่ยังนอนลืมตาอยู่บนเตียงท่ามกลางความมืด มือเรียวเล็กกำแน่นทนอยู่ในความรู้สึกหนักอึ้งที่คล้ายกำแพงหินทลายลงมาถมทับ...ดิ้นรนอยากพ้นจากความตายแต่ยิ่งกระเสือกระสนเท่าไหร่ก็พบว่าไร้ความหมาย

ในวินาทีนั้นคนตัวเล็กคล้ายได้ยินเสียงร้องเพลงของแม่แว่วเข้ามาในหู...บทเพลงแสนเศร้าที่แม่ร้องกล่อมสองพี่น้องให้หลับนอนต่อให้ถูกซ้อมจนปางตายแม่ก็ยังฝืนร้องออกมาทั้งน้ำตา

...เปรียบดังชีวิต นั้นมีขวากหนาม
ทรมาน ทรกรรม ทรกรรม ฉันจนช้ำใจ
กว่าเราจะตาย กว่าเราจะตาย ไม่รู้เมื่อไหร่
โอ้ไฉน ชีวิตคอยเป็นนายเรา...

หนามชีวิตที่ผู้หญิงคนนั้นสร้างได้พรากผลาญชีวิตแม่ให้อับเฉาร้าวระบมจนสิ้นใจตายคงไม่สาแก่ใจ ถึงต้องใช้หนามชีวิตมาจองจำทายาทคนเดียวของแม่ให้ตรอมตรมตามไป

“ โอ้ไฉน ชีวิตคอยเป็นนายเรา ” ศศิวิมลร้องท่อนสุดท้ายของเพลงออกมาแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ พาตัวเองดำดิ่งลงไปในความขมขื่นที่เกินกว่าจะคณาเป็นภาษามนุษย์ใดในโลก

...หากเลือกเชื่อตามสัญชาตญาณและเหตุผลมากกว่าเชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งที่เห็น หากย่อมรับความเจ็บปวดมากกว่าขลาดกลัวความเป็นจริง หล่อนคงกลายเป็นนกน้อยในไร่ส้ม มีอิสรเสรีหลุดพ้นจากกรงทองที่จองจำตัวเองนี้ไปได้นานแสนนานแล้ว...




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2554, 07:20:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2554, 07:20:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 2855





<< บทที่ 21   บทที่ 23 >>
เพชรทรียา 21 ก.ย. 2554, 09:13:08 น.
มาอัพเร็ว ๆ น่ะค่ะ รอนานมากเลยค่ะ


anOO 21 ก.ย. 2554, 11:59:13 น.
เศร้าๆๆๆๆๆๆ มันบีบหัวใจมากมาย


อริสา 21 ก.ย. 2554, 13:06:08 น.
สงสารแม่กับน้องเล็กจัง


Edelweiss 21 ก.ย. 2554, 19:45:24 น.
คนที่น่าสงสารที่สุดเห็นทีจะเป็นแม่ของน้องเล็กนะเนี่ย อยากรู้เรื่องต่อแล้วค่ะ


violette 22 ก.ย. 2554, 00:43:52 น.
ตอนนี้เศร้าที่สุดตั้งแต่อ่านมาเลยย (สงสัยเพราะเอนเอียงไปทางน้องเล็กมากกกกกกก)
น้องเล็กกับแม่น่าสงสารมาก แต่แม่ก็ไปสบายแล้ว คนเป็นที่ยังอยู่นี่สิคะน่าสงสารกว่า
พี่ใหญ่เองคงผู้พันกับแม่น้องเล็กมากกว่าแม่แท้ๆตัวเองแน่ๆ
แล้วมารู้อะไรเข้าแบบนี้อีกนะ เฮ่อ

นายพี่ภาคก็รู้ความจริงทั้งหมดยังเนี่ยไม่รู้ก็อย่ารีบด่วนตัดสินล่ะ
รออ่านต่อค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account