กลรัก สลับหัวใจ
เมื่อเพื่อนสาวจอมยุ่ง จับผลัดจับพลูให้เธอนัดไปดูตัวกับคาสโนว่าหนุ่มแลกกับค่าจ้างหนึ่งหมื่น ม่านนทีจึงยอมเซย์เยส แปลงร่างเป็นนางซินวางแผนตัดสัมพันธ์แทนเพื่อนสาวเสียดิบดี แต่ที่ไหนได้เขาทั้งหล่อ เท่ แถมยังมีรอยยิ้มบาดใจ ทำเอาเธอชักหวั่นไหวซะแล้วสิ
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานๆ,รักใส ๆ

ตอน: ตอนที่ 10 คุณพ่อจอมบงการ

บทที่ 10
คุณพ่อจอมบงการ

ปิ่นแก้วเดินขึ้นบันไดตรงไปยังหน้าห้องหนังสือบนชั้นสอง ร่างบางยกมือขึ้นเคาะประตูเบา ๆ ก่อนหมุนลูกบิดผลักบานประตูเข้าไป ภายในมีชั้นตู้ไม้ขนาดใหญ่เรียงรายไปด้วยหนังสือหลายร้อยเล่ม ตรงกลางเป็นโต๊ะทำงานที่เจ้าบ้านตระกูลวัฒนะเอกดำรงใช้เป็นสถานที่พักผ่อนและอ่านหนังสือพิมพ์

“กลับมาแล้วหรือยายปิ่น”

น้ำเสียงห้วน ๆ ดังมาก่อนตัว ทำให้ปิ่นแก้วยิ้มหวานอย่างประจบ เดินตรงเข้าไปกอดบิดาสูงวัย เส้นผมสีดอกเลาสวมแว่นตาทำหน้าเครียด อ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโต๊ะ

“เพิ่งกลับมาเมื่อกี้นี้เองค่ะ” เธอยิ้มหวาน “ป้านิ่มบอกว่าคุณพ่อถามหาปิ่น มีเรื่องอะไรเหรอคะ”

“นั่งให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยพูดจากัน” นายเดชาออกคำสั่ง

ปิ่นแก้วทำหน้าเจื่อน เดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวใหญ่อย่างว่าง่าย ชายสูงวัยถอนหายใจหนักหน่วง จ้องหน้าบุตรสาวผ่านแว่นตากรอบสี่เหลี่ยม

“เมื่อกี้คนขับรถเพิ่งรายงานให้พ่อฟัง ว่าลูกไม่ได้นั่งรถกลับมาด้วย แต่หายหน้าไปกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ เรื่องนี้จะอธิบายว่ายังไง” นายเดชาถามเสียงเครียด

“เอ่อ..คือ” หญิงสาวอึกอัก

“ว่ายังไงยายปิ่น บอกพ่อมาซิว่าแกไปกับใครมา”

“เพื่อนสมัยเรียนของปิ่นเองค่ะพ่อ เราเจอกันโดยบังเอิญในห้างสรรพสินค้าก็เลยถือโอกาสทานข้าวด้วยกันนิดหน่อย”

เจ้าบ้านวัฒนะเอกดำรงทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“เพื่อนสมัยเรียนหรือ”

“ค่ะ”

“แล้วไอ้หนุ่มที่ขับรถมาส่งแกเมื่อกี้ล่ะ ใช่เพื่อนสมัยเรียนด้วยหรือเปล่า” นายเดชาชำเลืองมองบุตรสาว ที่นั่งหน้าตาตื่น

“คุณพ่อเห็นด้วยเหรอคะ” ปิ่นแก้วใจเต้นระรัว ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเห็นขนาดไหน

“นึกว่าพ่อแก่จนตาฟ้าฟางหรือยังไง ทีแรกก็ตั้งใจจะออกไปดูหน้าอยู่หรอก แต่นึกไปนึกมาเอาไว้รอถามจากปากแกเองดีกว่า สรุปว่าที่หายหน้าหายตาไปทั้งวัน ก็เพราะไปกับมันมาใช่ไหม”

ร่างบางถอนหายใจอย่างโล่งอก...

“ค่ะ...พ่อ” เธอยอมรับผิด

“ทำดีนักนะเรา คราวหน้าถ้าไม่มีหนูน้ำไปด้วย ห้ามแกไปไหนมาไหนกับผู้ชายสองต่อสองอีกนะเข้าใจหรือเปล่า” เจ้าบ้านวัฒนะเอกดำรงหันไปเอ็ดเสียงดัง

ด้วยความที่มีลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว นายเดชาจึงเป็นห่วงกลัวว่าจะมีผู้ชายพายเรือทำตัวไม่ได้เรื่องมาขายขนมจีบให้ลูกสาว จึงพยายามหาทางป้องกันทุกวิถีทาง รวมไปถึงการเฟ้นหาตัวว่าที่ลูกเขยดี ๆ มาจับคู่ให้แก่เธออีกด้วย

“ปิ่นโตแล้วนะคะพ่อ ไม่เห็นต้องห่วงขนาดนั้นเลย” ปิ่นแก้วบ่นเบา ๆ

“ก็เพราะโตเป็นสาวนั่นแหละ ถึงต้องยิ่งห่วง”

“โธ่...พ่อก็”

“เอาเถอะ เรื่องอื่นเอาไว้ว่ากันทีหลัง เจอแกตอนนี้ก็ดีแล้ว เมื่อเช้าพ่อมีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เขาเองก็มีลูกชายเป็นนักธุรกิจแถมยังครองตัวเป็นโสดอยู่ด้วย เลยคิดเอาไว้ว่างานเลี้ยงรุ่นคราวหน้า พ่อจะพาแกไปแนะนำให้เขารู้จักเสียหน่อย”

นายเดชาอธิบายยาวเหยียด แต่คนฟังกลับอ้าปากค้าง

“อะไรนะคะคุณพ่อ” ปิ่นแก้วร้องเสียงดัง “นี่อย่าบอกนะคะ ว่ากำลังวางแผนจับคู่ดูตัวให้ปิ่นอีกแล้ว”

“วางแผนอะไรกัน พูดจาไม่น่ารักเลย”

แต่หญิงสาวไม่มีอารมณ์จะมานั่งเรียบเรียงคำพูดสวยหรูอีกแล้ว เนื่องจากกำลังจะถูกนำใส่พานไปประเคนให้ลูกชายอาเสี่ยที่ไหนก็ไม่รู้

“ปิ่นไม่ยอมนะคะคุณพ่อ นัดดูตัวอะไรกัน ปิ่นไม่ใช่สิ่งของนะคะจะได้จับคู่กับผู้ชายคนไหนก็ได้ เกิดอีกฝ่ายอ้วนลงพุง หน้าตาน่าเกลียดขึ้นมา ปิ่นจะทำยังไง”

“พ่อถึงอยากให้แกพบเขาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจยังไงล่ะ” นายเดชาพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาอ้าง “เท่าที่พ่อรู้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้หน้าตาเลวร้ายอะไร แถมยังมีการศึกษาดีซะด้วย อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ”

ปิ่นแก้วนิ่งอึ้งไปหลายวินาที

“อายุเท่าไหร่คะ” เธอกลั้นใจถาม

“เอ่อ...ราว ๆ สักสามสิบเก้า สี่สิบเห็นจะได้” อีกฝ่ายตอบไม่เต็มเสียงนัก หญิงสาวอยากเป็นลมตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“โอย..ปิ่นอยากจะเป็นลม”

“ฟังพ่อพูดก่อนนะ ฝ่ายนั้นน่ะเขา...” นายเดชาทำท่าจะบรรยายสรรพคุณต่อ แต่ปิ่นแก้วเอ่ยขัดทันควัน

“ขอปฏิเสธค่ะ ปิ่นไม่มีวันไปงานเลี้ยงนั่นเด็ดขาด” หญิงสาวยกฝ่ามือขึ้นปฏิเสธหัวชนฝา “ต่อให้ต้องขึ้นคานตลอดชีวิตก็ตาม”

“ยายปิ่น”

“คำเดียวคือ ‘ไม่’ ค่ะ”

เจ้าบ้านวัฒนะเอกดำรงถอนหายใจยาว คิดหาวิธีรับมือกับลูกสาวหัวดื้ออย่างหนัก สิ่งที่ปิ่นแก้วได้รับถ่ายทอดมาจากมารดา ไม่ได้มีเพียงแค่รูปร่างหน้าตาน่ารักเท่านั้น แต่ยังพ่วงเอานิสัยดื้อรั้นเอาใจแต่มาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ

“แกตั้งใจจะให้พ่อตรอมใจตายก่อนสินะ ถึงจะยอมแต่งงานออกเรือนกับผู้ชายดี ๆ สักคน” นายเดชาเริ่มมาตรการเด็ดขาด

ปิ่นแก้วทำหน้าเหนื่อยหน่าย

“ปิ่นเองก็ไม่ได้อยากเป็นโสดหรอกนะคะ แต่ผู้ชายดี ๆ ของคุณพ่อ ปิ่นเองยังมองไม่เห็นเลยสักคน”

“ทุกคนไม่ดีตรงไหน พวกนั้นล้วนแต่มีการมีงานทำดี ๆ มีชาติตระกูลด้วยกันทั้งนั้น”

“สำหรับปิ่นแค่นั้นไม่พอหรอกค่ะคุณพ่อ ผู้ชายสมัยนี้ต้องมีความจริงใจ ที่สำคัญปิ่นต้องรักเขาด้วยสิคะถึงจะถูก” หญิงสาวค้านเสียงแข็ง

“พูดอย่างกับแก เคยรักใครชอบใครอย่างนั้นแหละ”

นายเดชาเอ่ยปากอย่างรู้นิสัย คนอย่างปิ่นแก้วยากนักที่จะนึกชอบใครก่อน แถมไอ้หนุ่มที่เคยคบหากันอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ได้ข่าวแว่ว ๆ ว่าเลิกรากันไปเรียบร้อยแล้วด้วยเช่นกัน

ปิ่นแก้วนั่งหน้างอเป็นม้าหมากรุก

“เคยสิคะ ทำไมจะไม่เคย” เธอเถียง “ตอนนี้ก็ยังคบหาดูใจกันอยู่ด้วยซ้ำไป”

“งั้นก็พามาแนะนำให้พ่อรู้จักสิ”

“...เอ่อ” หญิงสาวอึกอัก

นายเดชาหัวเราะหึ ๆ อย่างรู้เท่าทันบุตรสาว

“ว่ายังไงล่ะ ถ้าแกยืนยันว่ามีคนที่ชอบพอกันอยู่แล้ว พ่อก็ไม่บังคับฝืนใจหรอกนะ เอาเป็นว่า...ถ้าแกยืนยันว่ามีจริง พ่อก็จะให้โอกาสแกควงเขาไปออกงานเลี้ยงคืนวันอาทิตย์หน้า แต่ถ้าหากจับได้ว่าแกโกหกเมื่อไหร่ พ่อจะจับแต่งงานกับลูกชายเจ้าของโรงงานแทนเสียเลย”

ปิ่นแก้วลืมตาโต “อะไรนะคะ”

“พอแค่นี้แหละ พ่อขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว อยากพักผ่อนเต็มที”

“เดี๋ยวสิคะพ่อ ปิ่นยังไม่ทันได้รับปากเลย”

“นิ่มเอ้ย ขอกาแฟอุ่น ๆ ให้ฉันที” ชายสูงวัยตะโกนเรียกแม่บ้านเสียงดัง

ปิ่นแก้วรู้สึกคล้ายกับมีก้อนแข็ง ๆ จุกอยู่ในลำคอทำให้พูดอะไรไม่ออก ท้ายที่สุดก็ต้องเป็นฝ่ายเดินออกไปจากห้อง ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายใจ คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าบิดาจะหาวิธีหลอกล่อ จนเธอเผลอตกลงไปในหลุมพรางเข้าเต็มเปา

วันต่อมา ม่านนทีทำงานเสร็จก่อนกำหนดเวลาที่ตั้งใจเอาไว้ ทำให้เหลือเวลาอีกเกือบตลอดทั้งวัน หญิงสาวร่างสูงโปร่งภายใต้ชุดกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเล สะพายกระเป๋าและของฝากเด็ก ๆ ลงจากรถ เดินตรงเข้าไปยังประตูรั้วสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าร่มเกล้า ทว่ายังไม่ทันได้เปิดเข้าไปภายใน มาลัยก็รีบเดินตรงรี่เข้ามาหา

“ว่ายังไงจ้ะน้ำ หายหน้าหายตาไปหลายวันเชียวนะ” สาวสวยรูปร่างเล็ก สวมเสื้อสายเดี่ยวกระโปรงยีนกล่าวทักทาย

ม่านนทีหันไปมองด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อพินิจพิจารณาใบหน้าสวยคมชัด ๆ ก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี

“มาลัยใช่ไหม ดีใจจังที่ได้พบเธออีก ได้ข่าวว่าไปทำงานแถวชลบุรีตั้งนาน กลับมาอยู่บ้านตั้งแต่เมื่อไหร่จ้ะ”

“กลับมาได้เกือบสองอาทิตย์แล้วล่ะ...ว่าแต่เดี๋ยวนี้เธอคงสบายแล้วสินะ แต่งตัวดูดีมีรถขับแล้วนี่” น้ำเสียงปนริษยาอยู่ในที

“ไม่หรอก ก็แค่รถมือสองเก่า ๆ น่ะ” ม่านนทีถ่อมตัว หากแต่อีกฝ่ายดูท่าจะไม่ค่อยใส่ใจกลับสอดส่ายสายตาหาใครบางคนมากกว่า

“เธอมาคนเดียวเหรอน้ำ”

“จ้ะ”

“แล้วผู้ชาย...เอ่อ คนที่มาพร้อมกับเธอเมื่อวันก่อนล่ะ ไม่มาด้วยกันเหรอ”

“ฉันกับคุณเตชิตไม่ได้มาพร้อมกันหรอก เขาเองก็คงงานยุ่งน่าดูเหมือนกัน มีอะไรเหรอ” ม่านนทีถามอย่างแปลกใจ

มาลัยทำสีหน้าหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ ทั้งที่อุตส่าห์แต่งตัวสวยรอคอยตั้งหลายวัน เมื่อเห็นว่ารอไปก็ไร้ประโยชน์ หญิงสาวร่างเล็กจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในร้านขายของฝั่งตรงกันข้าม ไม่คิดสนใจถามไถ่อีกต่อไป

“อ้าวมาลัย จะไม่เข้ามาแจกของเด็ก ๆ ด้วยกันหน่อยเหรอ” ม่านนทีออกปากเชื้อเชิญอย่างมีน้ำใจ แต่อีกฝ่ายกลับตีสีหน้ารังเกียจ

“ไม่ล่ะ ฉันไม่ถูกโรคกับเด็กสกปรกพวกนั้น เดี๋ยวจะพาลติดเชื้อโรคไปด้วยเปล่า ๆ”

ม่านนทีถึงกับหน้าเสีย คิดไม่ถึงว่าเพื่อนสาวจะนิสัยเปลี่ยนไปขนาดนี้

“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”

ม่านนทีเอ่ยปากอย่างขุ่นเคือง แต่มาลัยคร้านที่จะฟังต่อ เดินหายเข้าไปภายในร้านของของ ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาพูดคุยกับเธออีกเลย หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ ผลักประตูรั้วเข้าไปภายในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พยายามไม่ใส่ใจคำพูดไร้สาระดังกล่าว

“บอกว่าไม่ย้ายก็ไม่ย้ายสิ เลิกเซ้าซี้ตามตื้อซะทีได้ไหม”

เสียงครูวิภาดังออกมาจากอาคารภายใน ประสานเสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ ทำให้ม่านนทีรีบวิ่งเข้าไปทันที

“ครูวิภา” ม่านนทีหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นชายฉกรรจ์หน้าตาน่ากลัวสองคน กำลังข่มขู่ครูวิภาด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา “นี่มันเรื่องอะไรกันคะ”

“หนูน้ำมาก็ดีแล้ว ช่วยบอกพวกมันไปทีว่าเป็นตายยังไง ครูก็ไม่ยอมย้ายออกไปจากที่ตรงนี้เด็ดขาด” ครูพี่เลี้ยงเด็กยืนกรานเสียงแข็ง สองมือป้องเด็กตัวเล็กไม่ให้พวกมันข่มขู่ทำอันตราย

“ปากดีนักนะ อยากเจ็บตัวหรือไง” หนึ่งในนั้นขู่ตะคอก ม่านนทีรีบวิ่งเข้ามาห้ามปราม

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ พวกแกจะทำอะไร”

พวกมันทำหน้ายียวนกวนประสาท มองดูม่านนทีตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า

“อย่ามาเกะกะหน่อยเลยคนสวย ที่ตรงนี้กลายเป็นทรัพย์สินของบริษัทไปแล้ว ยายป้านี่มัวแต่ทำยึกยักไม่ยอมย้ายออกไปเสียที น่ารำคาญชะมัด”

ครูวิภาตะโกนคัดค้านเสียงดัง

“ไม่จริง พวกแกเอาอะไรมาพูด เจ้าของก่อนเขายกที่ดินให้แก่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งหลายปีแล้วต่างหาก”

“พูดมากน่ายายแก่”

“หยุดนะ ห้ามทำอะไรครูวิภาเด็ดขาด” ม่านนทีเห็นท่าไม่ดี รีบวิ่งเข้าไปขวางหน้า “ถ้าพวกแกลงมือกับพวกเขา ฉันจะโทรฯแจ้งตำรวจให้มาลากคอออกไปเดี๋ยวนี้เลย”

หญิงสาวใช้วิธีข่มขู่ ชายฉกรรจ์สองคนหันไปหัวเราะให้กันเบา ๆ ก่อนล้วงหยิบเอาสัญญาจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมากางให้เห็นชัด ๆ ม่านนทีเบิกตาโต หลังจากเห็นข้อความในหนังสือสัญญา โดยระบุข้อความซื้อขายที่ดินและจำนวนเงินเอาไว้อย่างชัดแจ้ง

“...ไม่จริง” ดวงหน้างามซีดเผือด

“ในนั้นเขียนว่ายังไงหนูน้ำ” ครูวิภากระซิบถามเนื่องจากสายตาไม่ค่อยดี

“เป็นยังไงล่ะ เห็นชัดเต็มตาแล้วหรือยัง ถ้ายังพวกฉันจะอ่านให้ฟังดัง ๆ ก็ได้ ว่าทายาทเจ้าของที่ดินผืนนี้ ได้ตกลงทำสัญญาเงินกู้ไว้กับห้างหุ้นส่วนเอ็มดีพี เป็นจำนวนเงินกว่าหนึ่งล้านสองแสนบาทแล้วไม่ยอมส่งใช้ เพราะฉะนั้นบริษัทจึงทำการยึดที่ดินผืนนี้ เพื่อเตรียมก่อสร้างอาคารสำนักงานสี่ชั้น” พวกมันขยายความเสียงดัง

“ว่ายังไงนะ” ครูวิภายกมือขึ้นทาบอก

“ยังไม่หมดแค่นั้นนะ ในประกาศแนบท้ายหนังสือสัญญา ยังระบุเอาไว้ด้วยว่า ถ้าลูกหนี้ไม่มีปัญญาหาเงินมาชดใช้คืน ก็ให้พวกฉันทำการรื้อถอนขับไล่พวกแกออกไปจากที่ดินผืนนี้ ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนนับจากที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ เอ้า เอาไปอ่านซะ”

ขาดคำชายตัวใหญ่ก็ยื่นเอกสารให้แก่เธอ ม่านนทียื่นมือไปหยิบเอามาอ่านทบทวนอย่างละเอียด

“นี่มันอะไรกัน” เธอกระซิบแผ่ว

“เอาเถอะ วันนี้พวกฉันจะยอมกลับไปก่อนก็ได้ แต่ภายในหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ถ้าพวกแกยังไม่รีบย้ายออกไปละก็ อย่าหาว่าพวกเราใจร้ายก็แล้วกัน”

พวกมันขู่สำทับเสียงอำมหิต พากันเดินอาด ๆ ออกจากประตูกลับไปยังรถปิกอัพที่จอดรออยู่ และสตาร์ทเครื่องขับออกไปอย่างรวดเร็ว ม่านนทีได้แต่นิ่งอึ้งคิดอะไรไม่ออก ครูวิภาพยุงตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ล้วงหายาดมขึ้นมาบรรเทาอาการหน้ามืด

“ครูวิภา ทำใจดี ๆ ไว้นะคะ” หญิงสาวรีบเดินเข้ามาดูอาการ

“แย่แล้วหนูน้ำ...คราวนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี”

ม่านนทีเองก็ยังคิดหาวิธีไม่ออก แต่ก็ไม่คิดท้อใจ

“ใจเย็น ๆ ค่ะ น้ำเชื่อว่าต้องมีหนทางเอาที่ดินคืนมาได้แน่ ๆ” เธอให้กำลังใจ

ครูวิภาส่ายหน้าไปมา “เงินตั้งล้านสองเชียวนะ พวกเราจะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนให้ให้เขา ลำพังแค่เงินซื้ออาหารก็จะไม่พออยู่แล้ว”

“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ”

“ขอบใจมากนะหนูน้ำ ที่อุตส่าห์มีน้ำใจมาช่วย ถ้าไม่ได้เธอเข้ามาห้ามไว้ ป่านนี้จะถูกพวกมันทำยังไงบ้างก็ไม่รู้”

“ครูวิภา” ม่านนทีรู้สึกตีบตันในลำคอจนพูดไม่ออก ขอบตาร้อนผ่าวด้วยความอัดอั้นตันใจที่ตนเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้

สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าร่มเกล้าแห่งนี้ ถือเป็นบ้านหลังที่สอง และตัวครูวิภาก็เปรียบเสมือนแม่คนที่สองของเธอเลยก็ว่าได้ การที่จู่ ๆ ถูกพวกนายทุนใจร้ายแย่งชิงทุกอย่างถือเป็นความเลวร้ายเกินทน

เงินหนึ่งล้านไม่ใช่ว่าจะหากันได้ภายในวันสองวัน ม่านนทีเองก็รู้อยู่เต็มอก...แถมทายาทเจ้าของที่ดินหลังจากที่กู้เงินแล้ว ก็ยังย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นตามหาตัวไม่เจออีกด้วย ลำพังเงินเก็บทั้งหมดของเธอมีไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำไป แต่นั่นก็เป็นทางเดียวที่จะสามารถไถ่ถอนที่ดินกลับคืนมาได้

“ไม่ต้องห่วงนะคะครูวิภา น้ำจะหาทางทำทุกอย่างเพื่อรักษาสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ไว้” หญิงสาวให้คำมั่นสัญญา

“หนูน้ำ” ครูวิภาน้ำตาคลอ

“เข้มแข็งไว้นะคะครู พวกเด็ก ๆ ยังต้องการกำลังใจจากเราอยู่อีก ถ้าเรามัวแต่ยอมแพ้วันนี้ อนาคตของพวกเขาจะฝากไว้กับใครได้”

ม่านนทีโอบกอดครูพี่เลี้ยงเด็กพลางปลอบประโลม แม้ว่าหนทางมืดมนเพียงใด แต่หญิงสาวก็เชื่อว่ายังมีความหวังรออยู่ แม้ว่ามันต้องแลกมาด้วยความยากเย็นเพียงใดก็ตาม...

***********************

ขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาอ่านนิยายของ เบลินญา ค่ะ
ถึงแม้หายหน้าหายตาไปบ้าง แต่ทุกครั้งเวลาที่มีคนอ่านให้กำลังใจ
ก็ทำให้มีกำลังใจเขียนขึ้นเยอะเลยค่ะ
เบลินญา (^o^)





เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ย. 2554, 15:48:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ย. 2554, 15:48:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 2360





<< ตอนที่ 9 หนทางไม่ราบรื่น   ตอนที่ 11 ช่องว่างในหัวใจ >>
anOO 14 ก.ย. 2554, 16:40:56 น.
เดี๋ยวปิ่นต้องไปขอให้ราเมศช่วยเป็นแฟนแน่เลย
ส่วนยัยน้ำ ถ้าเตชิตรู้เดี๋ยวเค้าก็ช่วยเอง


pattisa 14 ก.ย. 2554, 17:30:38 น.
หรือว่าเตชิตจะเป็นทายาทเจ้าของที่ดิน O:


Zephyr 14 ก.ย. 2554, 18:58:17 น.
ปิ่นควงราเมศไปเลยนะ ป๊ะป๋าจะได้ตกใจแน่ๆ แต่ไมป๊ะป๋าแบบนี้ยังมีอีกเหรอ บังคับได้แม้แต่ความสุขของลูกนี่นะ น้ำจ๋า ให้เตชิตช่วยสิคะ รายนั้นคงเต็มใจเลยล่ะ หรือว่า บริษัทไรเนี่ยจะเป็นของเตชิตป่าว


violette 15 ก.ย. 2554, 01:35:56 น.
ตอนหน้าท่าจะมันนะคะ ปิ่นกับราเมศนี่คู่แล้วไม่แคล้วกันสุดๆ


wane 15 ก.ย. 2554, 02:11:34 น.
กำลังเข้มข้นทั้งสองคู่เลย ...ลุ้นคะ


เบลินญา 15 ก.ย. 2554, 09:08:55 น.
ขอบคุณทุกคนมากเลยค่ะ (^^)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account