รอยรักแรงพยาบาท
ที่แค้นนักเพราะรักมากนั่นเอง
Tags: รัก ชิงชัง พยาบาท

ตอน: ความงามที่เป็ยภัย

ที่ทางเดินออกจากพระราชอุทานตำหนักหน้า
พระพี่เลี้ยงขาบ เป็นชายร่างผอมสูง นุ่งผ้าหยักรั้งสีคร่ำ ยาวเกือบถึงเข่า ปล่อยชายผ้าส่วนหน้ายาวเลยลงมาถึงแข้ง ผมยาวของเขาผูกรัดอย่างง่ายๆ เขาไว้หนวดเหนือริมฝีปาก ซึ่งทำให้ดูเจ้าเล่ห์นัก
ขณะนั้นมีหญิงสาวนางอีกนางหนึ่ง มีความสวยงามแบบจืดชืด เพราะผิวของนางขาวจนดูเหลือง นางเกล้าผมมวย นุ่งผ้าจูงกระเบน สีคร่ำ และรัดผ้าแถบสีเดียวกันปิดบังท่อนบน นางมุ่งหน้าเดินเข้าไปหาพระพี่เลี้ยงขาบอย่างเร่งร้อน พระพี่เลี้ยงขาบ ร้องถามอีกฝ่ายไปว่า
“ดูท่าเอ็งรีบร้อนนัก เอ็งจักไปที่ใดอีทาสี”
“พระอนุชาเจ้า เรียกหาท่านให้เข้าเฝ้าที่อุทยานเอื้องจำปาเจ้าค่ะพระพี่เลี้ยง”
“ข้าจักไปบัดเดี๋ยวนี้”ผู้ที่ได้ชื่อว่าขาบรับคำ
ณ. อุทยานเอื้องจำปา มีความร่มรื่นด้วยแมกไม้ใหญ่น้อย รอบกลางลำต้นของต้นไม้เหล่านั้น มีดอกกล้วยไม้ดอกสีเหลือง รูปลักษณะคล้ายกันกับดอกจำปา ส่งกลิ่นหอมกรุ่น เพราะเหตุที่มีเอื้องจำปาอยู่มากจึงได้ชื่อนี้
ที่กลางอุทยานเอื้องจำปา มีพลับพลาที่ประทับหลังเล็กๆ ขณะนั้นเจ้าชายหนุ่มผู้ที่มีความงามดังอิสตรี ประทับนั่งเป็นประธาน ส่วนพื้นด้านข้างทั้งสองฝั่ง มีนางสนมกำนัลคอยสนองเบื้องยุคลบาทด้วยความจงรักภักดี
พระพี่เลี้ยงขาบเข้าไปใกล้ระยะพอควรแล้วเขาจึงเดินเข่าเข้าไปกราบพระบาท แล้วยอบกายอยู่อย่างนั้น
“ถวายบังคมพระอนุชาเจ้า”
สุริยันเจ้าแย้มพระโอษฐ์นิดๆด้วยความยินดี เมื่อพี่เลี้ยงคนสนิทมาเข้าเฝ้าสมดังพระทัย ขาบเงยขึ้นสบพระเนตร ต่างคนต่างฐานะรู้ความนัยน์กันดี
พระอนุชาโบกพระหัตถ์เป็นเชิงไล่ทุกคนให้ออกไป มีพระประสงค์ให้เหลือแต่พระพี่เลี้ยงขาบกับพระองค์เพียงลำพังเท่านั้น และเมื่อทรงเห็นทางปลอดแล้ว ก็เรียกหาคนสนิทให้เข้าไปใกล้ชิดอีก เพื่อมีรับสั่งเป็นความลับ ขาบคลานเข่าไปติดแท่นที่ประทับ สุริยันเจ้าค้อมพระกายลงมาหา ตรัสเบาๆคล้ายเกรงว่าจะมีใครได้ยิน
“เทวียังประทับอยู่ตำหนักซ้ายใช่หรือไม่”
“สุพรรษาเทวีของพระองค์พึ่งเสด็จไปเมื่อครู่นี้พระบาทเจ้า”พี่เลี้ยงแสร้งไม่รู้ กลับทูลตอบไปอีกทาง พระอนุชาในองค์รังสิมันตุ์เจ้าทรงมีสีพระพักตร์แดงขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อน ดำรัสพร้อมกลั้วพระสรวลว่า
“อย่าได้แสร้งทำเป็นไม่รู้ความไปเลยพี่เลี้ยงข้า เพราะเจ้าย่อมเข้าใจว่าเราหมายถึงผู้ใด”
พระพี่เลี้ยงขาบ แอบยิ้มมุมปาก ก่อนจะกราบทูลถึงเรื่องที่พระอนุชาเจ้าทรงพอพระทัยที่จะรับฟังว่า
“ไม่เสด็จออกนอกตำหนักนับแต่พ่อเจ้ากรีฑาทัพไปเมืองราด”
“ข้าส่งสิ่งของไปถวาย พระนางเจ้าไม่ตอบกลับมาประการใด”
“นางพี่เลี้ยงเพียงแต่รับไป แล้วไม่ออกมาส่งข่าวว่าทรงโปรดหรือไม่ พระบาทเจ้า”
สุริยันเจ้าถอนพระทัยหนัก กระสับกระส่ายไม่สบายพระทัย ด้วยว่าพระองค์มีความรักใคร่ลุ่มหลงในองค์อุษาวดีเทวี มเหสีฝ่ายซ้ายของพี่เจ้ารังสิมันตุ์ หลายครั้งที่เข้าเฝ้ารังสิมันตุ์พ่อเจ้า แทบอยากทูลขอมาเป็นมเหสีด้วยความลืมองค์ หากเพราะเห็นว่า พระเชษฐาเองก็มีความรักและเมตตาเหนือสตรีใด อนุชาเจ้าจึงได้แต่อัดอั้นหาทางออกในความกำหนัดของตนไม่ได้ ทรงมีความลุ่มหลงเมามัวจนทุกข์ร้อน
“ข้าจักทำฉันท์ใดได้เล่า ข้าใคร่ยลโฉมเจ้านางสักคราหนึ่ง”
“พระแม่เจ้าอินทิรารังควานหนัก จนแม้แต่ในพระราชอุทยานของตำหนักซ้าย อุษาวดีเทวียังมิกล้าเสด็จลง เห็นทีว่าพระประสงค์ที่จะยลโฉมของพระนางจะเป็นเรื่องยากนักพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ามันได้ชื่อว่ากว้างขวางนัก เจ้าควรคิดหาทางเข้าสิ”ทรงเร่ง บดพระหัตถ์กับพระเพลาไปมาอย่างใคร่ให้สมพระทัย
พี่เลี้ยงคนสนิทนิ่งคิดไปนาน ขณะที่สุริยันเจ้าหงุดหงิดพระทัย เพราะว่า พระตำหนักชั้นในห้ามมิให้บุรุษใดเข้าไป มีจ่าโขลนคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยเฉพาะตำหนักพระมเหสีฝ่ายซ้ายมีการป้องกันมากเป็นสองเท่า เพราะมักจะมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นบ่อยมาก จนพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ไม่วางพระทัยในความปลอดภัยของพระนางเจ้า...เพลานี้พระองค์ไปกรำศึก จึงต้องมีการป้องกันมากขึ้นไปอีก
พระประสงค์ของพระอนุชาสุริยันเจ้าสร้างความนักใจให้เกิดแก่พระพี่เลี้ยงมิใช่น้อย เขากลับมาครุ่นคิดหาทางที่จะเข้าตำหนักมเหสีฝ่ายซ้ายให้จงได้ และในที่สุดความเป็นคนมากเล่ห์ กอบกับเป็นคนรูปงาม มีวาจาดี ใช้ความเจ้าชู้เข้าผูกไมตรีกับนางอี่คำ นางกำนัลตำหนักมเหสีฝ่ายซ้าย ทั้งมีของมากำนัลมิได้ขาดนางและใช้ตัณหาเข้าผูกมัดนางอี่คำจนตกเป็นเมีย ทำให้นางอี่คำตกอยู่ในอำนาจแห่งความลุ่มหลงเสียแล้ว จริงดังคำที่ว่าหญิงใดเมื่อตกเป็นของบุรุษแล้วมักมีความภักดีมอบให้ ส่วนหนึ่งคือน้ำใจสุจริตของความเป็นเพศมารดา
เมื่อขาบสั่งสิ่งใด นางก็รีบตอบสนองโดยเต็มความสามารถ พระพี่เลี้ยงขาบคิดตักตวงผลประโยชน์จากนางอี่คำ จึงได้ปรนเปรอสวาทนาง จนกระทั่งนางลุ่มหลงขาบจนโงหัวไม่ขึ้น และไม่สามารถแยกความภักดีระหว่างสามีลับและเจ้าเหนือหัวได้
อุษาวดีเทวีประทับยืนข้างพระแกล นางพี่เลี้ยงชื่อสลาเข้าเฝ้าไม่ไกลกัน หัตถ์เรียวของอุษาวดีเทวีจับม่านวิสูตรเลิกขึ้นไปด้านข้าง ทอดสายพระเนตรเหม่อบนฟากฟ้า ส่งพระทัยไปถึงจอมทัพผู้เกรียงไกร ป่านฉะนี้จักเป็นฉันใด หรือว่าทรงเสร็จศึกแล้วจักกวาดต้อนนางเชลยโฉมงามมาบำรุงบำเรอฤาไม่...เพียงอุษษวดีเทวีทรงมีพระดำริน้ขึ้นมา ก็ให้รู้สึกปวดร้าวพระทัยยิ่ง เพราะพระนางไม่ต้องการแบ่งปันรักจากองค์รังสิมันตุ์ให้แก่ผู้ใดทั้งสิ้น แม้กับพระมหาเทวีพระนางก็ไม่ทรงยอมให้!
นางอี่คำคลานเข่าเข้าไปใกล้พระเทวีฝ่ายซ้าย แต่นางสลาซักถามทันทีว่า
“มีธุระอันใดอีอี่คำ”
พระนางตื่นจากภวังค์ เอี้ยวพระกายหันไปทางนางกำนัล
“ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญทูลพระเทวี”
“เรื่องใด ใช่มีสาสน์จากพี่เจ้าหรือไม่”
“มิได้เพคะ”นางกำนัลทูลตอบ ทรงแสดงความผิดหวังชัดเจน สลาจ้องจับผิดบริวาร นางอี่คำเอาความภักดีในผู้ชายเข้าเป็นกำลังใจจึงกล้าสบตานางพี่เลี้ยง เพื่อเสแสร้งแสดงความบริสุทธิ์ใจให้ประจักษ์
“ข้าน้อยเห็นแมวประหลาดหมอบขวางอยู่หน้าตำหนัก มันมีลายดังเสือ”
“แมวรึ”อุษาวดีตื่นพระทัย ทรงโปรดเลี้ยงแมว ตัวเก่าได้ตายเนื่องจากสู้กับอรสรพิษที่เข้ามาเพ่นพ่านล่านในตำหนัก ครั้งนั้นได้แมวช่วย ก่อนที่รังสิมันตุ์เจ้าจะเข้ามากำจัดจนสิ้นซากดังนั้นเมื่อนางกำนัลทูลเรื่องแมวจึงดีพระทัย หาทราบไม่ว่า พระพี่เลี้ยงขาบใช้จุดอ่อนนี้เพื่อเข้าถึงพระนาง
“อยู่ที่ใด”
“ในอุทยานเพคะ”อี่คำทูลตอบ
สลาคลางแคลงใจจึงซักไซ้เอาความให้จงได้
“เมื่อเจ้ารู้ว่าพระเทวีทรงโปรด ใยไม่อุ้มมาข้างใน”
“ข้ารีบเข้ามาทูลเจ้าค่ะพระพี่เลี้ยง ไม่ทันยั้งคิด พระเทวีโปรดประการใดเพคะ ข้าน้อยเกรงว่ามันจะหนีหายไปเสียก่อน”
“นำพาเราไปบัดเดี๋ยวนี้”
“เพคะ”นางหมอบกราบ จุดยิ้มมุมปากด้วยความสมใจ เดินใกล้พระเทวี คอยบอกทาง สลาตามติด ส่ายตาล่อกแล่ก ระวังภัยให้เจ้าชีวิต
อุษาวดีเทวีเยื้องย่างพระบาทแต่ละก้าวด้วยท่าทีงดงาม สุริยันเจ้าพระทัยเต้นไม่เป็นส่ำ มิอาจห้ามความกระสันปั่นป่วนที่เกิดขึ้นได้เลย แม้จะทรงทราบดีว่า พระนางนี้มิอาจแม้แต่คิดหมายปอง เพราะทราบกันดีว่าทรงเป็นที่สนิทเสน่หาของรังสิมันตุ์ พี่เจ้าของพระองค์
จังวางขาบเบิ่งตามองสิริโฉมงามละมุน จนบังเกิดความกำซาบถึงกับเหงื่อกาฬไหลซึมกาย แม้แต่มันยังคิด...ขอให้มีโอกาสสักครั้งให้ได้แตะพระหัตถ์เรียวขาวชมพูดังสีกลีบบัวหลวงบางๆ
ลูกแมวตัวน้อยมีลายพาดตามลำตัวดังลายเสือพาดกลอนนอนสงบนิ่งอยู่ใกล้พุ่มไม้ นางอี่คำกำนัลตัวดีรีบทูลทันที
“ยังอยู่เพคะ โอ้นี่คงเพราะเทพไท้ทรงประทานมาให้พระเทวีได้มีสิ่งที่ทำให้คลายทุกข์จากความคิดถึงพ่อเจ้าเป็นแน่เพคะ”
ฟังคำกล่าวอ้างจากนางอี่คำดังนั้นแล้ว เจ้านางอุษาวดีเทวีจึงแย้มพระโอษฐ์ด้วยความพอพระทัย ดำเนินเข้าไปใกล้แมวลายเสือ ทรุดพระวรกายลงโอบอุ้มแมวตัวนั้นมาไว้ในอ้อมพระกร แนบพระปรางกับความอ่อนนุ่ม ตรัสเสียงใสฟังไพเราะ
“แปลกแท้เทียว เหตุใดเจ้าแมวตัวนี้จึงนอนนิ่งดังไม่มีชีวิตแล้ว”
พระพี่เลี้ยงสลามีความรอบคอบมากกว่า นางจึงมองเห็นความผิดปกติที่จะมีแมวมานอนนิ่งให้คนแปลกหน้าจับได้ นางจึงทูลทัดทานต่ออุษาวดีเทวีว่า
“พระเทวีเพคะนี่อาจจะเป็นอุปสงค์ร้ายของผู้ไม่หวังดีที่นำแมวมาล่อลวงพระองค์นะเพคะ”
อุษาวดีเทวีตรัสออกมาอย่างดื้อดึง ไม่รับฟังต่อคำทูลทัดทานด้วยหวังดีนั้นว่า
“สลาพี่ข้ามีความหวาดระแวงกระทั่งแมวได้อย่างไรกันเล่า”
“เพราะหม่อมฉันเห็นว่า ไม่มีเหตุอันควรที่แมวจะนอนนิ่งให้พระองค์มาอุ้มได้โดยง่ายเยี่ยงนี้เพคะ”
“เจ้าลืมแล้วรึ ข้ารอดตายจากงูเพราะได้แมวเอาชีวิตเข้าปกป้องก่อนที่พี่เจ้าของข้ามาถึง”
“เทพมารดาทรงประทานพร”นางอี่คำ นางกำนัลตัวแสบรีบสอพลอ
นางสลาไม่อาจทัดทานพระเทวีได้ จึงได้แต่ปล่อยให้อุษาวดีเทวีอุ้มชูแมวประหลาด ดำเนินไปประทับบนแท่นหินใต้ร่มสารนะต้นใหญ่ ดวงพระพักตร์ที่เคยหม่นหมองเพราะคิดถึงสวามี ได้คลายลงไปบ้าง
ครานั้นสุริยันอนุชาเจ้าซึ่งแอบมองอยู่ไม่ไกล ถึงกับเซซวนด้วยความสิเน่หา ทำให้พระพี่เลี้ยงขาบต้องรีบประคองก่อนที่จะเสียหลัก พระอนุชาทรงสารภาพออกมาจากดวงพระหฤทัยว่า
“ข้าอยากใกล้เจ้านางจนมิอาจระงับใจแล้ว”
“เมื่อต้องพระประสงค์สิ่งใด ทำไมจักทรงทำมิได้เล่า”มันยุยง พร้อมกระซิบทูลแผนอันแยบยล พระอนุชาเจ้าสุริยัน ทรงรับฟังด้วยความพึงพอพระทัยยิ่งนัก หลังจากนั้นจึงทรงดำเนินเข้าไปทางที่ประทับของอุษาวดีเทวี
พระพี่เลี้ยงขาบรีบตามเสด็จ รอลุ้นแผนตนจักสำเร็จหรือไม่
พระอนุชาของรังสิมันตุ์พ่อเจ้าทำทีไม่เห็นว่ามีใครนั่งที่แท่นหิน ทรงตรัสเรียกหาบางอย่างด้วยเสียงดัง อย่างจงพระทัยจะให้คนที่อยู่ในที่แห่งนั้นได้ยิน
“ขลา ขลา ขลา”
อุษาวดีเทวีเหลียวพักตร์ไปตามเสียงเรียก ผุดพระวรกายประทับขึ้น เมื่อทอดพระเนตรเห็นองค์สุริยันเจ้าเสด็จมาทางที่พระนางประทับอยู่ เยื้องด้านปฤษฎางค์ของสุริยันเจ้า มีพระพี่เลี้ยงขาบตามมาไม่ห่าง
เมื่อพระอนุชาเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ตรงเบื้องหน้า นางสลารีบหมอบกับพื้นเช่นนางอี่คำ แต่นางกำนัลพี่เลี้ยงไม่ทันสังเกตเห็นว่านางอี่คำเหลือบสายตาไปทางชู้รัก ซึ่งเขาแอบหรี่ตาส่งมาให้นางนิดหนึ่ง อย่างชื่นชมที่นางทำการนี้สำเร็จ นางอี่คำถึงกับกลั้นรอยยิ้มด้วยความดีใจไว้ไม่ได้ เมื่อนางได้ทำงานให้ขาบได้พอใจ
“พระเทวี”สุริยันเจ้าตรัสทักราวกับพึ่งเห็นโดยไม่ตั้งพระทัย อุษาวดีเทวีย่อพระชานุเป็นการเคารพ ในอ้อมพระกรยังมีแมวลายเสือหลับอยู่
“พระอนุชาเจ้า”
“พระเทวีเสด็จประพาสอุทยานรึ”แสร้งทำเป็นไม่ทรงทราบ เบือนสายพระเนตรมองในอ่อมพระกร หากตวัดแลเลยไปที่เนินอิ่มเอิบงดงามของทรวงถัน ก่อนจะรีบกลืนกล้ำความกำหนัด ทักแมวลายแทน
“โอ้นั่นเจ้าขลาของข้า”
พระนางก้มพักตร์ทอดพระเนตรลูกแมว บัดนี้มันคล้ายรู้สึกตัวตื่น พระนางทูลถามสุริยันเจ้าซึ่งรักษากิริยาเต็มที่ เพื่อมิให้รั้งพระวรกายอ้อนแอ้นนั้นเข้ามาโอบรัดไว้ในอ้อมพาหาให้สาสมกับความหลงใหล
“แมวของพระอนุชาหรอกรึ”
“ใช่พระเทวี”
พระนางจึงส่งคืน เจ้าชายหนุ่มแย้มพระโอษฐ์ แอบต้องพระหัตถ์ อุษาวดีเทวีราวกับไม่จงพระทัย เป็นการปฏิเสธคราหนึ่ง ตรัสทุ้มนุ่มนวล
“ถ้าทรงโปรด ข้าขอถวายพระเทวี”
“ขอบพระทัยเพคะ”พระนางรีบรับลืมองค์ นางสลาจับพระบาทเป็นการเตือนให้ระวังจริยาวัตร อุษาวดีเทวีจึงอึกอักจะส่งคืน หากลังเลด้วยความเสียดาย ไม่ทราบจะทำอย่างไรดีสุริยันเจ้ายิ่งเสน่หาตรัสว่า
“เจ้าขลาเป็นแมวที่ซน พระเทวีคงต้องเหนื่อยสักหน่อย แต่คงทำให้คลายกังวลในพี่เจ้าไปได้บ้าง” พระนางไม่ตรัสตอบประการใด
พระอนุชาในรังสิมันตุ์พ่อเจ้า ไม่อยากให้พระนางรีบกลับตำหนัก ดังนั้นจึงหาเรื่องรั้งพระนางไว้ ทรงคิดอย่างตริตรองแล้วว่า ไม่มีเรื่องใดที่จะทำให้อุษาวดีเทวีสนพระทัยได้เท่าเรื่องรังสิมันตุ์พ่อเจ้า สวามีแห่งเทวี
“พึ่งได้รับข่าวจากม้าเร็วว่าพี่เจ้าตีเข้าเมืองได้แล้ว ทรงส่งสาสน์มาให้ข้า ทรงตรัสถึงพระเทวี”
“จริงรึเพคะพระอนุชา”เบิกพระเนตรกลมโต ด้วยทรงตื่นเต้นในข่าวดีทูลถาม กระตือรือร้นอย่างเห็นชัด ดูท่าของพระนางแล้วสุริยันเจ้าพึงพอพระทัยว่าแผนพระองค์สำเร็จ ตรัสชวนให้ประทับนั่งต่อ
“เชิญพระเทวีประทับนั่งก่อนเถิด ข้าจะได้ทูลให้ทราบว่าพี่จ้าวตรัสถึงว่าอย่างไรบ้าง”
พระเทวีลืมองค์เพราะอำนาจแห่งพระนามรังสิมันตุ์เจ้า ทรงดำเนินตาม นางสลาไม่กล้าทัด
ทานเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ทรงเมตตาพระอนุชาเยี่ยงบิดามีต่อบุตร ทรงพระราชทานพระราชอำนาจให้ทรงตัดสินโทษตายให้ไอ้อีคนใดก็ได้ในนครแห่งนี้แล้วค่อยทูลทีหลัง
อุษาวดีเทวีมิเท่าทันในเล่ห์กลของสุริยันเจ้า ซึ่งจู่ๆก็ทรงมีสาสน์มาจากพ่อเจ้าประทานให้ พระนางจึงไว้พระทัย เสด็จลงอุทยานไปเฝ้าสุริยันเจ้า เป็นหลายครั้ง ทั้งนี้เพื่อได้ตรัสถึงพระผู้เป็นที่รัก และจากการได้ใกล้ชิดกับพระนางมากขึ้น ยิ่งทำให้สุริยันเจ้ายิ่งเกิดความลุ่มหลงขนาดหนัก
ทางด้านอินทิราเทวีทรงทราบข่าวจากนางกำนัล ว่าสุริยันเจ้าและอุษาวดีเทวีได้ใกล้ชิดกันในอุทยานบ่อยครั้ง พระนางยิ่งมีความยินดีนัก ทรงเรียก สุรีย์พระนมชราเข้าเฝ้า หมายให้หาเล่ห์เพทุบายกำจัดอุษาวดีเทวี พระนมสุรีย์กราบทูล
“ว่านดอกไม้ชนิดหนึ่งมีอำนาจประหลาดยิ่ง หากออกดอกแล้วในเวลากลางคืนจะส่งกลิ่นให้หญิงชายที่ได้สูดดมเกิดกำหนัดเกินระงับ โดยขาดสติยับยั้งใจ จนไม่เห็นแก่ว่าลูกเขาผัวใคร สักแต่เป็นหญิงชาก็สักแต่เข้าหากันได้”
“ช่างน่าอุบาทว์สิ้นดีเชียวแม่นม “อินทิราเทวีตรัสออกมาทั้งแสดงพระพักตร์บิดเบี้ยว ท่าทางรังเกียจเหยียดหยันคุณสมบัติของมัน หากก็ทรงสนพระทัย“ว่าแต่มีจริงรึดอกไม้อัปรีย์ที่แม่นมกล่าวอ้างขึ้นมา”
“มีเพคะพระแม่เจ้า มันเรียกว่าว่านดอกทอง ซึ่งอำนาจกลิ่นของมันสร้างความเคลิบเคลิ้มในความ กำหนัดนักเพคะพระแม่เจ้า”
“เช่นนั้นท่านจงหาทางจัดการสักอย่างเถิดแม่นม”อินทิราเทวีมีรับสั่ง ซึ่งพระนมก้มหน้ารับโองการด้วยความภักดีจนไม่แยกผิดถูกทั้งสิ้น...เพียงนายพอใจนางก็ยินดีสนองทุกทาง
ฝ่ายพระพี่เลี้ยงขาบลอบมาที่ตำหนักอุษาวดี เขาได้เห็นว่านฤทธิ์กำหนัด ซึ่งเขารู้ในคุณสมบัติของมันเป็นอย่างดี ขาบถึงกับยิ้มด้วยความพอใจ และเขาได้มอบหมายให้นางอี่คำนำไปไว้ถึงในห้องบรรทมอุษาวดี ซึ่งนางอี่คำถามว่า พระพี่เลี้ยงขาบบอกแต่ว่าดอกมันสวย จนน่าที่พระเทวีจะพอพระทัย!
ราตรีอันไร้เดือนจึงมีเพียงดวงดาวกระพริบพรั่งพราย
นางสลาถือเชิงเทียนเดินผ่านมาตามทางเดินทอดยาว ร่างดำมืดของบุรุษหนึ่งแอบแฝงเสากะระยะได้พอดีมันผู้นั้นพุ่งเข้าไปรวบร่าง ตบเข้าที่ทัดดอกไม้โดยแรง นางสลาสิ้นสติทันที บุรุษนั้นลากนางสลาไปซุกไว้มุมหนึ่ง
อุษาวดีเทวีปรุงแต่งพระกายด้วยอบร่ำตามลำพังองค์เดียวในห้องบรรทม กลิ่นหอมประหลาดจากว่านโชยมาตามกระแสลม กลิ่นของมันช่างมีความหอมอย่างประหลาด เพราะยิ่งสูดกลิ่นนาน ก็ให้ทรง ง่วงงง เคลิบเคลิ้ม รู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งพระวรกาย ความเร่าร้อนคิดถึงพระสวามีพระทัยแทบขาด
โอ้รังสิมันตุ์เจ้า ไฉนบัดนี้ยังไม่เสด็จมา อุษาแทบขาดใจด้วยความเสน่หายิ่งแล้ว…พระนางดำริถึงพระสวามีด้วยความกระสันปั่นป่วนพระทัยยิ่ง ทรงหรี่พระเนตรลงออย่างรู้สึกง่วงขึ้นมาโดยฉับพลัน
ก่อนที่พระนางจะหมดสติ พระนางได้พยายามเบิกพระเนตรกว้างเพื่อทอดพระเนตรให้ชัด ว่าได้ทรงเห็นบุรุษเข้ามาในพระตำหนัก
ภาพบุรุษสูงโปร่งลางเลือนปรากฏตรงเบื้องพระพักตร์ ร่างสูงก้าวเข้าไปหา เห็นทีท่าเคลิบเคลิ้มของพระนางจึงย่ามใจโอบอุ้ม อุษาวดียังพอมีพระสติหลงเหลือ เห็นว่าผู้ที่เข้ามาไม่ใช่พระสวามีจึงทรงปัดป้อง หากก็ไม่มีเรี่ยวแรง แม้จะคิดเบือนพระพักตร์หนี ก็ยังไม่อาจช่วยเหลือพระองค์เองได้
พระนางถูกโอบอุ้มไปวางลงบนพระแท่นที่ประทับ ทรงถามเลื่อนลอย
“ผู้ใด ผู้ใดกัน”หากผู้ล่วงล้ำไม่ตอบ แต่ลูบไล้พระวรกายงดงามไปโดยทั่ว ผู้บุกรุกมันยังก้มหน้าลงไปใคร่เชยชิดพระปรางนวล แต่มีก็มีเสียงดุดันตวาดก้อง เข้ามาว่า
“นั่นเจ้าคิดจะทำเยี่ยงไรต่อพระเทวี”เสียง สุริยันเจ้าแน่แล้ว ในสติเลื่อยลอย แต่อุษาวดีเทวียังจำแนกได้ หากไม่มีเรี่ยวแรงช่วยเหลือพระองค์เองให้รอดพ้นภัยอันน่าอัปยศในครานี้ได้
ฝ่ายพระพี่เลี้ยงขาบตกใจที่การกระทำหยาบช้าได้ถูกจับได้ มัน รีบปล่อยพระนางลงบนแท่นพระที่ แล้วรีบทรุดกายแทบเบื้องพระบาทพระอนุชา พร้อมก้มกราบบังคมทูลแก้ตัวไปกับพระอนุชาเสียงสั่นว่า
“ข้าบาทจักดูให้แน่ใจเทวีเมายาสดมภ์ของข้าพระบาทหรือไม่”
“แล้วยาของเจ้าได้ผลใช่หรือไม่”
“ได้ผลดีพระบาทเจ้า”
“เช่นนั้นก็หมดหน้าที่ของเจ้าแล้ว”ทรงตรัสพลางโบกพระหัตถ์ไล่พี่เลี้ยง ซึ่งพระพี่เลี้ยงขาบอดทอดตามองอุษาวดีเทวีด้วยความเสียดายอย่างเสียไม่ได้
ส่วนนางกำนัลตำหนักพระเทวีฝ่ายขวา ซึ่งถูกส่งมาสอดแนม ได้แอบเห็นพระอนุชา เสด็จเข้าตำหนักอุษาวดีเทวี นางจึงรีบไปกราบทูลอินทิราเทวีให้ทรงทราบ
เมื่อนั้นอินทิราเทวี จึงมีราชโองการให้จับสุริยันเจ้าโทษฐานกระทำการ ทรยศเป็นชู้ด้วยมเหสีฝ่ายซ้าย
แล้วจึงส่งราชสาสน์ไปกราบทูลให้รังสิมันตุ์ทรงทราบในทันที
“จะทรงรอให้ถูกหยามเกียรติอยู่ใยพระบาทเจ้า เร่งประหารชายชั่วหญิงเลวนั้นเสียเถิด”
รังสิมันตุ์พ่อเจ้าทอดพระเนตรราชสาสน์ดั่งพระเนตรถูกสายฟ้าแทง พระทัยร้าวรวดจนทรงกายไม่อยู่ ถอนทัพกลับทั้งที่ยังไม่ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด แม่ทัพเดโชถวายพระแสงดาบ
อินทิราเทวีรอรับการเสด็จด้วยพระทัยที่เบิกบาน ทันทีที่พระบาทแตะวัง มีราชโองการ
“นางพี่เลี้ยง และไอ้พี่เลี้ยงพวกมันแยกไปขังให้ได้รับทุกข์จนกว่าจะตาย”
“ชายโฉดหญิงแพศยาเล่าเพคะพี่เจ้า”อินทิราทูลถาม พระพักตร์เหี้ยมดำคล้ำ
“กูจักฆ่ามันด้วยมือนี้ ส่วนอีหญิงต่างเมืองให้ตั้งตะแลงแกง แห่ประจานกลางเมือง”
ไม่มีคำหวานใดที่จะเสนาะโสตเท่าคำนี้แล้วสำหรับอินทิราเทวี
ภายในห้องขังอับชื้นของนักโทษ นางสลาพี่เลี้ยงถูกแยกขังเดียว สภาพของนางน่าเวทนานัก บนร่างกายของนางมีเพียงผ้าแทบหลุดลุ่ย ผ้านุ่งยาวสกปรก พื้นแผ่นหลังและลำตัว มีรอยหวายเฆี่ยนแตกยับ เลือดแห้งเกรอะกรัง ผมที่เคยรัดถูกปล่อยเป็นกระเซิง ยาว รุงรัง และหนำซ้ำนางยัง อดข้าว อดน้ำ มาหลายวันแล้ว ความหิวโหยทำให้นางเสียสติ กรีดร้องคลุ้มคลั่ง กัดแขนตัวเองอย่างแรงจนเนื้อขาดติด นางกลืนกินลงไปโดยความโหย มิรู้สึกเจ็บปวดด้วยสตินั้นไม่มีเหลืออีกต่อไป
อุษาวดีเทวีถูกตรึงด้วยโซ่ตรวนติดผนังห้อง โดยที่สุริยันเจ้าถูกขังรวมจองจำด้วยโซ่มัดไพล่พระกรเบื้องปฤษฎางค์ สุพรรษาเทวีทรงประทับนั่งหน้ากรงขัง ทอดพระเนตรมองแต่เพียงสุริยันเจ้า ด้วยพระพักตร์นองน้ำพระเนตร ไม่ทรงตรัสสิ่งใดสักคำ ได้เห็นแต่เพียงพระสวามีนั้นเล่าเฝ้าอ้อนวอนขอลุแก่โทษในสิ่งที่ทำลงไปต่อพระเทวีฝ่ายซ้ายองค์รังสิมันตุ์ ซึ่งสุริยันเจ้ามิได้สนพระทัยเหลือบพระเนตรมาทางพระชายาผู้ซื่อสัตย์สักนิดเดียว แม้สุริยันเจ้าจะมีท่าทีเยี่ยงนั้น สุพรรษาเทวีก็มิได้มีพระทัยเครียดแค้น เพราะหากทรงแลกชีวิตได้ พระนางจะทำเสียเดี๋ยวนี้ พระนางเคยเข้าเฝ้าอินทิราเทวี แต่พระมหาเทวีกลับกล่าวให้สุพรรษษเทวีทรงช้ำพระทัยซ้ำไปอีกว่า
“จักมีใครในนครนี้ ที่มีหัวใจไร้ความเครียดแค้นเยี่ยงเจ้าอยู่อีกหรือไม่สุพรรษา ดูรึเจ้าผัวทรยศต่อเจ้าไปทำบัดสีบัดเถลิงงามหน้าถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ายังมีหน้ามาขอชีวิตชายชั่วไว้อีกหรือ”
“พระเทวีทรงมีความงามเลิศล้ำ เป็นธรรมดาที่เจ้าพี่ของข้าน้อยจักต้องเคลิบเคลิ้มไปบ้าง พระแม่เจ้าได้โปรดลดหย่อนโทษแก่พี่เจ้าของข้าน้อยลงด้วยเถิดเพคะ”
“โง่งจักหาใครได้เหมือนเจ้าสุพรรษา เพราะอย่างนี้เจ้าผัวจึงได้หน่ายต่อเจ้าจนไปมีชู้ด้วยมเหสีฝ่ายซ้าย คนยอย่างเจ้านี้น่าที่จะโดดกองไฟตายตามโทษของผัวเจ้านัก”
“พระแม่เจ้า ได้โปรดเถิดเพคะ”สุพรรษาเทวีวิงวอนกราบทูล แต่อินทิราเทวีกลับตวาดก้อง
“อาญาแผ่นดินได้มีอยู่จักมัวก้มหน้าขอข้าอยู่ใย บัดนี้พ่อเจ้าได้ทรงทราบถึงพระเนตรพระกรรณแล้ว เจ้ารอเผาศพผัวเจ้าให้ดีก็พอสุพรรษา”
“โอ้ไม่ ไม่นะเพคะพระแม่เจ้า”สุพรรษาเทวีคลานเข้าไปกอดพระบาทอินทิราเทวีทูลขอซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากไม่ได้รับความสงสาร พระนางจึงได้หมดทางที่จะช่วยเหลือพระสวามี พระนางมีหนทางเดียวคือไปเฝ้าสุริยันเจ้าที่หน้าห้องจองจำด้วยความภักดียิ่งชีวิต
เวลานั้นได้มาถึงแล้วอย่างรวดเร็ว
รังสิมันเจ้าเสด็จมาถึงห้องนักโทษด้วยพระพักตร์บึ้งตึง เย็นชาจนน่าสะพรึงกลัว สุพรรษาเทวีตกพระทัยแทบสิ้นพระสติ แต่ก็มิอาจทัดทาน ทูลขอสิ่งใด เพราะพระนางรู้โทษานุโทษของพระสวามี ว่ามีเพียงสถานเดียว คือตาย พระนางกรรแสงอย่างเงียบๆขณะที่ร่างสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นหากสายพระเนตรทรงจับนิ่งไปที่พระสวามีที่ทรงรักยิ่งชีวิตและดวงใจ แม้สายพระเนตรของพระสวามีจะทรงมองแต่อุษาวดีเทวีที่ถูกจองจำด้วยโซ่ตรึงไว้กับฝาผนังหิน
ผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดินน่านฟ้า เข้าไปด้วยพระทัยเครียดแค้นจนมิอาจระงับความกริ้วได้ ยิ่งเมื่อเห็นคนที่ทั้งสอง ยิ่งทวีแค้นจนไม่อาจระงับพระทัยได้ ทรงเสด็จเข้าไปถีบร่างสุริยันเจ้าล้มกลิ้งกับพื้น แล้วตามไปใช้พระบาทเหยียบลงกลางอุระพระอนุชา เงื้อพระแสงดาบสุดหล้า สุพรรษาเทวีกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คมดาบขององค์รังสิมันตุ์เจ้าตวัดลงก้านพระศอพระอนุชา
“เควี้ยว”เสียงพระแสงดาบแหวกอากาศ
“ฉับ” เพียงดาบเดียวเดียวพระเศียรหลุดกระเด็นกลิ้งไปกองแทบบาทอุษาวดีเทวี โลหิตพุ่งกระฉูดจากลำพระศอเป็นฟู่ฝอย สุพรรษาเทวีตื่นตะลึงจนลืมหายใจ ทรงประทับนิ่งพระวรกายเย็นเยียบ ดวงพระหฤทัยหยุดชะงักแห่งการเต้นเพียงครู่เดียวทรงฟุบพระวรกายแน่นิ่งไปกับพื้น สิ้นพระชนม์ตามพระสวามีไป
“นำนางแพศยานี้ไปแห่ประจานรอบเมือง”ทรงมีพระโองการอย่างเหี้ยมโหด ก่อนจะเสด็จออกไปในทันที
ณ. ลานประหารนักโทษอุกฉกรรจ์ของเมืองน่านฟ้า เป็นแท่นหินศิลาแลงรูปทรงสี่เหลี่ยมสูงจากพื้นดินหนึ่งศอก ตั้งอยู่หน้าประตูเมืองเป็นลานศิลาแลงที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ กษัตริย์ผู้ครองนครใช้เป็นที่ประจานและประหารนักโทษผู้ต้องอาญาแผ่นดิน ลานแห่งนี้เต็มไปด้วยเลือดที่แห้งกรัง ไม่มีการชำระล้างเมื่อการประหารสิ้นสุดลง เป็นลานศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมืองพรั่นสะพรึงกลัว หากเพลานี้เป็นกรณีแตกต่างจากการประหารนักโทษที่ผ่านมา เพราะตรงข้ามไม่ไกลคือพลับพลาที่ประทับชั่วคราวของรังสิมันตุ์พ่อเจ้า พระองค์นั่งเป็นประธานการประหารชีวิต พระพักตร์เย็นชา ดุดัน ประทับนั่งวรกายตรงนิ่ง สายพระเนตรจ้องจับไปที่ร่างนักโทษประหารด้วยความเครียดแค้น หากมีประกายไฟพุ่งออกมาได้ คงทำให้ร่างอ่อนงามของเจ้านางอุษาวดีไหม้เป็นจุล เคียงข้างกันนั้นคืออินทิราเทวี ทรงมีสายพระเนตรสะใจยิ่งเมื่อเวลาแห่งความตายได้คืนคลานเข้าไปหาศัตรูหัวใจแล้ว
อุษาวดีเทวีคุกชานุกลางลานประหาร ทรงตั้งกายตรง ด้วยความทระนงองอาจ แม้ความตายกำลังคืบคลานมาหาทุกขณะจิต หากพระนางมิได้หวั่นไหวสักนิด พระพักตร์งามแม้ซูบไปบ้าง หากยังเชิดรับ พระเนตรดำขลับเป็นประกายทอดไปยังผู้ประทับในพลับพลา มิได้สนใจไยดีในเพชฌฆาตสองคนซึ่งก้มกราบพระบาทรังสิมันตุ์เจ้า รับดาบจากพระหัตถ์ แล้วก้าวอาดๆขึ้นลานประหาร
ชาวเมืองทั้งชายหญิง นับพัน นับหมื่น เป็นผู้ที่เคยรัก แลแซ่ซ้องสรรเสริญความงามอันยากหาใครเทียบได้ แรกเมื่อเสด็จสู่เมืองน่านฟ้า คนพวกนี้มิใช่หรือ นำดอกไม้โปรยรับรายทางแทนลาดพระบาท เวลาเพียงชั่วปี รักกลายเป็นแค้น บ้างส่งเสียงสาปแช่ง บ้างใช้ก้อนหินขว้างปา คลุ้มคลั่งใคร่ประหารเจ้านางด้วยมือแห่งตน อนิจจาไม่มีสักผู้รับรู้เหตุร้ายจากภัยพิบัติที่บังเกิดขึ้นแล้ว พวกมันยังคงต้องการเห็นความตายให้สาแก่ใจ สีหน้าท่าทางของทุกผู้ดุร้ายราวเสียสติ
“ฆ่านางคนกาลี”
“ฆ่านางหญิงต่างเมือง”
“ฆ่ามัน ฆ่ามัน”
เพลงส่งวิญญาณเริ่มบรรเลงปลุกเร้าจากปี่โหยหวน หากเร่งเร้าให้ฆ่าฟัน เพชฌฆาตทั้งสอง ร่ายรำดาบ สลับกับการพาดคมอาวุธกับพระศอขาวนวล อุษาวดีเทวีมิหวั่นยิ่งเชิดรับในความตาย
แต่พระทัยของพระนางสะท้านยะเยือกเมื่อรังสิมันพ่อเจ้าผุดลุกประกาศก้อง
“ฆ่านางคนทรยศบัดเดี๋ยวนี้”
เพชฌฆาตเงื้อดาบสุดหล้า ฟาดลงมา ยังมิทันกระทบก้านพระศอ ฉับพลันนั้น สายฟ้าฟาดเปรี้ยงกลางลานประหารอุษาวดีกระเด็นไปทางหนึ่ง เพชฌฆาตทั้งสองไปอีกทาง แผ่นดินเกิดไหวสะเทือนโคลงเคลง ผู้คนต่างล้มกลิ้งล้มหงายไม่เว้นใคร แม้แต่รังสิมันตุ์เจ้ายังต้องยึดจับที่ท้าวพระกรไว้แน่นลืมพระองค์
ทันใดนั้นเกิดเหตุมหัศจรรย์ แผ่นหินบนลานประหาร แตก แยกออกจากกัน ฉับพลันทันใด เกิดพายุใหญ่กระหน่ำซัด เสียงผู้คนยิ่งกรีดร้อง ด้วยความตกใจกับเหตุร้ายที่ไม่มีใครคาดคิดกันมาก่อน
รอยแยกของแผ่นดินขยาย ร่างเพชฌฆาตทั้งสองร่วงหล่นลงไปอย่างไม่มีใครคาดได้ ประชาชนผู้อยู่ใกล้รอยแยก ต่างร่วงหล่นตามเป็นแถว อนิจจา
...นั้นผู้คนหรือก้อนหินไร้ค่ากันแน่ที่ร่วงหล่นลงหลุมลึกสุดคะเนได้ เสียงร้องโหยหวน กรีดลั่นสุดชีวิต
“อ๊าค...ค...ค...”
พายุฝนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเป็นสิบเท่า โหมพัดกระหน่ำ พลับพลาที่ประทับรังสิมันตุ์พ่อเจ้า ถูกหอบปลิวสู่เบื้องบน อินทิราเทวีเสียหลักตกลงจากพระแท่นที่ประทับ ถูกลมหอบพัดล้มกลิ้งไปกับพื้นจนถึงรอยแยกของแผ่นดิน พระนางพลัดตกลงไปอย่างไม่ทันได้ช่วยเหลือตัวเอง
การตายและการพลัดพรากปรากฏในชั่วพริบตา อุษาวดีถูกกระแสพายุพัดไปสุดขอบลานประหาร จวนเจียนตกลงไปในที่แผ่นดินยุบตัวอีกฝั่งพระนางยึดเกาะไว้ ครู่หนึ่งจึงกวาดพระเนตรแลหารังสิมันตุ์จ้าว
แม้ฟ้าดินจะกราดเกรี้ยวเพียงใด รังสิมันตุ์เจ้ายังไม่หยุดการประหารชีวิต พระองค์ฉวยพระแสงดาบวิ่งตรงไปที่ลานตะแลงแกงซึ่งแผ่นดินได้แยกออกจากกัน อุษาวดีเทวีสะอื้นไห้ออกมาอย่างมิอาจกลั้นไว้ได้อีก ทรงยืนหยัดทั้งที่กรรแสงไห้กู่ร้องท้าทายสุดเสียง เพื่อแข่งเสียงพายุที่พัดและเสียงฟ้าร้องคำรามคุ้มคลั่ง
“เชิญประหารน้อง เชิญพี่เจ้าตัดศีรษะน้องแล้วเอาเลือดล้างบาท ให้สมพระทัย”



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 เม.ย. 2554, 19:14:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 เม.ย. 2554, 19:14:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 3532





<< เทวีซ้าย-ขวา   ผู้ไม่ลืมอดีต >>
Zephyr 11 เม.ย. 2554, 18:51:38 น.
โห หึงหน้ามืดตามัวจริงๆเลยพี่เจ้า ไม่ฟังน้องเลยสักนิด เค้ายังไม่ เอิ่มกันเลย มิมีเหตุผลสิ้นดี พี่เจ้าต้องเสียใจแน่ๆเลย ขนาดฟ้าดินยังรู้เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account