จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...
ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน
ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น
" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”
ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน
ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น
" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 23
---- แวะคุยกันก่อน ----
ขอบคุณที่อ่านกับคอมเม้นนะคะ
ฮือๆ นางเอกจะตายทั้งเป็นอยู่แล้ว
แต่คนเขียนกำลังปวดหลัง
ไปแล้วนะคะ จะรีบปั่นต่อ
บิ้วเศร้าแล้วต้องเขียนต่อเนื่องเดี๋ยวหลุด
----------------------
บทที่ 23
แสงสีทองเหลือบส้มทอทาบทดแทนพื้นนภาสีครามหม่นบ่งสัญญาณของรุ่งอรุณวันใหม่ที่ใกล้เหยียบมาถึง นางพยาบาลคนหนึ่งเคาะประตูเบาสองสามครั้งก็เข็นรถใส่อุปกรณ์พยาบาลเข้ามาภายในทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งนอนพักสายตาไปไม่นานสะดุ้งตื่นก่อนจะลุกจากโซฟาเดินไปยืนกอดอกคุมเชิงห่างจากเตียงมองคนป่วยที่นั่งพิงหมอนทอดสายตาไปด้านนอกปล่อยให้ร่างกายถูกเจาะเลือดและวัดความดันแล้วเสียบเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้เข้าไปในรูหูอย่างว่าง่าย
พยาบาลจดรายละเอียดลงในชาร์ตที่ห้อยอยู่ปลายเตียงเสร็จก็เข็นรถจากไปทิ้งให้สองสามีภรรยาอยู่กันตามลำพังท่ามกลางความเงียบเชียบ...ภาควัฒน์ขยับเข้ามาประชิดเตียงเฝ้ามองความเลื่อนลอยของศศิวิมลนิ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน หากพอจะเอ่ยปากถามเป็นต้องเห็นอีกฝ่ายล้มตัวนอนเสียทุกทีคล้ายกับต้องการเลี่ยงไม่ตอบคำถามอย่างไรอย่างนั้น
“ ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ” เขาทำลายความสงบนิ่งในห้องด้วยการถามเป็นการเปิดประเด็นให้ผู้ป่วยร่วมสนทนา แต่คนบนเตียงกลับเฉยเอาแต่มองบางสิ่งอยู่จึงมองตามไปบ้างถึงได้เห็นนกกระจอกน้อยน่ารักตัวหนึ่งกำลังไซ้ขนใต้ปีกเกาะอยู่บนราวระเบียง
“ ชอบนกตัวนั้นมากเหรอ ” ลองชวนคุยอีกหนแต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ชายหนุ่มจึงเดินอ้อมเตียงใช้ความสูงใหญ่ของตัวเองบังภาพทุกอย่างด้านนอกเพื่อให้คนบนเตียงรู้สึกตัว ทว่าพอได้ยืนอยู่ตรงนั้นจึงได้รู้ว่าแท้จริงเจ้าของดวงตาหวานอมโศกเพียงแค่มองทอดไปข้างหน้าด้วยความว่างเปล่าหาได้มีสิ่งใดสนใจอย่างที่คิดไว้ในตอนแรกเลยลองเรียกชื่ออยู่หลายครั้งกว่าร่างบางจะสะดุ้งหลุดจากความคิดคำนึง
“ มีอะไรคะ” หล่อนเงยหน้าพลางถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ เธอเป็นอะไรไป ทำไมฉันพูดด้วยเธอไม่ยอมตอบ ยังมีไข้อยู่หรือเปล่า ” เขาถามกลับยกหลังมือหมายจะทาบหน้าผากทว่าหญิงสาวกลับถอยหนีไปนั่งชิดขอบเตียงอีกข้าง ต่างฝ่ายต่างเกิดอาการชะงักงันแล้วคนหลบก็แก้เก้อด้วยการบอกว่า สบายดีจากนั้นจึงเลี่ยงมาถามถึงเวลากลับบ้าน
“ หมอเขาสั่งให้เธอนอนอีกคืน ก็ทำตามหมอไปเถอะ จะดื้อไปทำไมหนักหนา ดูแลตัวเองให้มันดีก่อนแล้วอยากทำอะไรก็ค่อยทำ...เดี๋ยวสักพักพอยายช้อยมา ฉันจะกลับไปอาบน้ำ เข้าออฟฟิศแล้วตอนเที่ยงกับตอนเย็นฉันจะแวะมาที่นี่ใหม่ ”
“ ความจริงเล็กก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ต้องลำบากให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อนหรอกคะ ” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความเย็นชาเสียจนคนฟังถึงกับเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจในท่าทีอันแข็งกระด้าง พาลคิดไปว่า คนป่วยคงกำลังคิดถึงช่วงเวลาเมื่อวานอยู่ก็กำหมัดแน่นนึกโกรธแค้นชายผู้ก่อเรื่อง
“ ถ้าเธอยังคิดถึงเรื่องที่ไอ้ใหญ่ทำอยู่ ฉันขอให้เธอเลิกคิดซะ เพราะฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เธอเอง ”
หญิงสาวเหลือบมองดวงหน้าคมคายของชายผู้เป็นสามีแค่ในนาม เหยียดมุมปากหยันโชควาสนาของตัวเองอยู่นานกว่าจะหลุดพูดออกมา
“ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละคะ ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของพี่ใหญ่คนเดียว ” ว่าแล้วก็เงียบไปสักพักก็บอกให้คนเฝ้ากลับบ้านไปจะได้รีบไปทำงาน อีกฝ่ายตั้งท่าจะทัดทานก็พอดีกับที่หญิงสาวมัดผมม้าสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขาวยาวสีน้ำตาลถือตะกร้าใส่นมสดกระป๋องเข้ามาในห้อง
เจ้าหล่อนยกมือไหว้ทักทายสามีของเพื่อนจึงค่อยวางของเยี่ยมลงบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาขยับตัวเดินมาหาเพื่อนก็เห็นทั้งสองฝ่ายเหมือนมีอาการมึนตึงต่อกันก็เปิดปากถาม
“ มีอะไรกันเหรอคะ หรือว่าทะเลาะกันอยู่ ”
“ เปล่าครับไม่ได้ทะเลาะกัน พอดีผมบอกเล็กให้รอยายช้อยมาเปลี่ยนเวรก่อนแล้วผมค่อยกลับบ้าน แต่เล็กเขาไม่ยอมจะให้ผมกลับไปก่อนให้ได้นะครับ ”
“ ถ้าอย่างนั้นคุณภาคกลับบ้านไปก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวสาดูแลเล็กให้เองค่ะ ” เพื่อนสนิทอาสาทำหน้าที่แทน
“ งั้นผมรบกวนฝากเล็กไว้กับคุณสาก่อน ถ้ายายช้อยมาเมื่อไหร่คุณจะกลับก็กลับได้เลยนะครับ ”
“ วันนี้ไม่ต้องให้ยายช้อยมาก็ได้นะคะ เพราะสาตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเล็กถึงเย็นนู้นแหละคะ ”
“ ผมให้คนขับรถมาส่งยายช้อยที่โรงพยาบาลแล้ว คุณสาเองก็ต้องดูแลร้านอาหารถ้าต้องมานั่งเฝ้าเล็กอยู่แบบนี้ การค้ามันจะเสียเอาได้นะครับ ”
“ ทิ้งร้านไว้สักวันสองวันไม่เป็นไรหรอกคะ ตอนนี้เรื่องสำคัญคือจิตใจของเล็กมากกว่า คุณภาครีบไปเถอะคะ ไม่ได้เข้าออฟฟิศหลายวันคงมีงานรอให้เคลียร์อยู่เยอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกนะคะ ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเดินไปพับผ้าห่มกับหมอนบนโซฟาเก็บเข้าที่เรียบร้อยจึงเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้เพื่อนของภรรยารับหน้าที่ดูแลต่อ
รสาเดินไปที่เตียงด้วยรอยยิ้มกว้าง ยื่นมืออุ่นไปจับแขนขาวพร้อมบีบเบาเป็นจังหวะให้รู้สึกตัว ไถ่ถามถึงอาการโดยรวมอย่างห่วงใย แต่พอได้ยินเพื่อนตอบรับสั้นโดยไม่หันมามองก็ทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นผลจากเหตุการณ์เมื่อวานเลยคิดว่าควรใส่ไฟเพิ่มเข้าไปเพื่อกันไม่ให้กลับไปยุ่งเกี่ยวกับพี่ชายตัวเองอีก
“ ถ้าเล็กยังคิดถึงเรื่องเมื่อวานอยู่ สาขอให้เล็กเลิกคิดแล้วก็เลิกไปยุ่งกับผู้ชายเลวๆคนนั้นอีกนะ เขาทำกับเล็กมากขนาดนี้ เขาไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายเล็กอีกแล้วรู้ไหม ”
“อย่าว่าพี่ใหญ่เลย ความจริงพี่ใหญ่เขาไม่ได้ตั้งใจทำอย่างนั้นกับเล็กหรอก ”
“ จะบ้าเหรอเล็ก สารู้นะว่าเล็กเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เรื่องนี้มันไม่เหมือนกันนะเล็ก ในสายตาของผู้ชายคนนั้นนะเขาไม่เคยมองเล็กเป็นแค่น้องสาวหรอกนะ ผู้ชายที่กล้าคิดทำมิดีมิร้ายน้องสาวแท้ๆของตัวเองได้ลงคอนะ มันไม่มีความเป็นคนเหลืออยู่แล้ว เล็กยอมให้อภัยผู้ชายคนนี้อีกได้ยังไง ”
“ เล็กรู้จักพี่ใหญ่ดี สิ่งที่พี่ใหญ่ยึดไวกับตัวเองมีแค่สองคนคือแม่กับเล็ก พอแม่เสียพี่ใหญ่ก็มีชีวิตไปข้างหน้าโดยยึดเล็กไว้เป็นที่พึ่งทางใจ เวลาคนเรายึดมั่นถือมั่นอะไรเป็นสรณะมากเกินไปก็จะกลัวการสูญเสียจึงพยายามทุกทุกอย่างเพื่อเก็บที่พึ่งนี้ไว้ พอนานวันเข้าก็หลงเข้าใจผิดคิดว่าความพยายามเหนี่ยวรั้งไว้คือความรัก...ในชีวิตเรื่องพี่ใหญ่เจ็บปวดที่สุดรองจากเรื่องแม่เสียแล้วก็คือความรู้สึกของเล็ก แต่เรื่องเมื่อวานพี่ใหญ่อยู่ในภาวะที่ทุกข์ใจมากยิ่งเมาก็เลยเผลอทำอะไรแบบนั้น เล็กถือสาคนที่ไม่มีสติไม่ได้หรอก ”
ถ้อยคำยาวที่กล่าวถึงความรู้สึกในใจของพี่ทุกประการจากคนตัวเล็กเต็มไปด้วยความเยือกเย็นทำเอาผู้ที่ยืนฟังอยู่ถึงกับเลิกแกะกระดาษหุ้มกระป๋องนมสด จ้องมองคนบนเตียงที่ผินหน้าไปทางหน้าต่างเขม็งราวกับไม่เชื่อว่าจะได้ยินเรื่องเหล่านี้จากปากของเพื่อน
“ นี่เล็ก...เล็กรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ ” ละล่ำละลักถามปากคอสั่น
“ เล็กคงดูเป็นโง่ในสายตาคนอื่นมากสินะ ” คนป่วยหยุดพูดส่งเสียงหัวเราะเบาจากในลำคอ “ บางครั้งคนเราก็ยอมเป็นคนโง่ ยอมเชื่อทุกอย่างที่คนอื่นบอกทั้งที่ในใจคิดสงสัยตลอด สารู้ไหมว่าเพราะอะไร ก็เพราะเขากลัวว่าถ้าคิดสงสัยอะไรมากเกินไปจะทำให้เขาเจ็บปวด ก็เลยเลือกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรเพื่อจะได้หลอกตัวไปวันๆว่า ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีที่สุด ทั้งที่ความจริงมันก็เป็นแค่ภาพมายาที่เราสร้างมาลวงตาตัวเองเท่านั้น ”
ทันทีที่จบประโยค ตาของรสาก็เบิกกว้างมือไม้สั่นถึงกับทำกระป๋องนมในมือร่วงด้วยความตกใจที่เพื่อนพูดเหมือนกับรู้ความจริงอันขมขื่นที่เกิดขึ้นกับตนเองและผู้ให้กำเนิด หากยังทำใจดีสู้เสือคิดว่าอาจไม่มีอะไรจึงถามหยั่งเชิงไปว่าทำไมถึงพูดแบบนั้น
ศศิวิมลเบือนหน้าจากบานหน้าต่างกลับมาหาผู้เป็นเพื่อนด้วยนัยน์ตาปราศจากความรู้สึกใดเปรียบประหนึ่งตุ๊กตากระเบื้องอันงดงามราคาแพงที่มีประโยชน์เพียงวางไว้ประดับบ้านหาได้มีไว้ให้เด็กเล่นจึงขาดชีวิตชีวา
“ ตลอดเวลาหลายปีที่เล็กอยู่ในบ้านหลังนั้น เล็กนึกสงสัยข้องใจหลายเรื่อง แต่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นรำคาญ จะทำให้ตัวเองเสียใจก็เลยเก็บไว้ในใจคนเดียว เพราะเล็กเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้ คนอื่นก็เลยมองเล็กเป็นคนอ่อนแอ เป็นตัวภาระที่ได้แต่เก็บเอาไว้ พอถึงเวลาก็โยนไปให้คนอื่นรับช่วงต่อ เล็กเป็นผู้หญิงที่น่าสมเพชจริงๆนะ ” คนป่วยเอ่ยไปเรื่อยคล้ายไม่รู้สึกอันใด แต่ผู้รับฟังกลับสัมผัสได้ถึงความทรมานเหนือประมาณซึ่งเร้นอยู่ใต้ความเฉยเมยก็ถึงกับน้ำตาร่วงเผาะมาโดยไม่รู้ตัว...ตระหนักได้ในนาทีนั้นว่าคงไม่มีความลับใดซ่อนพ้นจากคนตรงหน้าได้อีกแล้ว
“ ใคร...ใครบอกเล็กเรื่องนี้ ” หล่อนจับแขนเพื่อนเขย่าถามอย่างแรง
“ ไม่ต้องให้ใครบอกหรอกสา พอถึงเวลาคนจะรู้ก็รู้ได้เอง...ที่จริงเรื่องนี้เล็กก็ระแคะระคายอยู่หรอก แต่เพราะเชื่อว่าคนที่เลี้ยงเรามาเป็นคนดีก็เลยไม่เคยคิดถามหรือความจริงจากมัน เล็กปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเชิดเหมือนหุ่นกระบอก แต่ต่อจากนี้ไปเล็กจะไม่เป็นคนขี้ขลาดอีกแล้ว เล็กจะมีชีวิตอยู่กับความจริง เพราะถึงมันจะเจ็บปวดก็คงดีกว่าต้องถูกคนใกล้ชิดทรยศหักหลังกันแบบนี้ ” คนตัวเล็กเหยียดริมฝีปากอิ่มเล็กน้อยกลืนน้ำขมฝาดลิ้นที่จุกในลำคอลงกระเพาะ ความเจ็บปวดรวดร้าวประดังประเดมาจนเริ่มชินชาได้แต่เวทนาตัวเองที่ขลาดเขลาเบาปัญญา
รสามองคนบนเตียงด้วยดวงตาพร่าเลือนจากน้ำที่เอ่อขังขอบ เอื้อมแขนทั้งสองออกไปกอดเพื่อนไว้แน่น...การได้เห็นอีกฝ่ายเย็นชาแทนที่จะร้องไห้ระบายความในใจทำให้หล่อนทุกข์ทนเสียยิ่งกว่า
“ ถ้ามันเจ็บมากเล็กก็ร้องไห้ออกมาเถอะ ร้องกับสานี้ ร้องออกมาให้ความทุกข์ทั้งหมดมันเบาบางลงบ้าง อย่าเก็บมันไว้คนเดียวอย่างนี้เลยนะ ” บอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ เล็กก็อยากจะร้องไห้หรอกนะ แต่มันเจ็บจนร้องไม่ออก หึ ดูสิสา แค่จะร้องไห้ออกมาเล็กยังไม่มีปัญญาแล้วมีเหรอที่คนจะไม่อยากหลอก ” น้ำเสียงหวานมีแววเย้ยหยันเรียกน้ำตาจากคนเป็นเพื่อนให้ร้องไห้หนักกว่าเก่า...ความหาญกล้าที่เคยมีมาพังทลายลงด้วยความสงสารในชะตากรรมของเพื่อนที่ต้องทนทุกข์อยู่กับการกระทำของคนอื่น
ศศิวิมลปล่อยให้รสากอดตัวเองร้องไห้ไปอย่างนั้นเหมือนคนหัวใจด้านชาได้แต่เบือนหน้ากลับไปทางเก่า วันเวลาแห่งความหลอกลวงจบลงแล้วต่อไปนี้เส้นทางชีวิตคงมีแต่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงแม้ไม่รู้ว่าจะต้องชอกช้ำอยู่เช่นนี้ไปอีกนานเพียงใด หากก็คงดีกว่าหลงอยู่ในภาพมายาจนตาย
...อย่าปล่อยให้ชีวิตคอยเป็นนายเรา อย่าปล่อยให้ตัวเองตรอมตรมจนตายเหมือนแม่ เพราะผู้หญิงคนนั้นสมควรได้รับบางสิ่งที่เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าถูกแย่งชิงอำนาจไปจากมือ...
************************************
กองแฟ้มเอกสารมากมายวางรอประธานกรรมการบริหารอยู่ในห้องให้มาสะสางนั้นสูงเกือบจะท่วมหัวชายหนุ่มร่างใหญ่อยู่มะรอมมะร่อเลยต้องเคลียร์เอกสารไปพร้อมกับการเรียกหัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงินขึ้นมาพบเพื่อขอดูงบประมาณทั้งหมดของบริษัทจนหมด จากนั้นจึงลงไปที่แผนกการตลาดขอดูยอดสินค้าที่วางจำหน่ายก่อนจะแวะไปคุยกับฝ่ายโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อดูความคืบหน้าในการเฟ้นหาดารามาเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ให้ผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะเปิดตัวใหม่ ถึงค่อยลงไปโรงงานเพื่อคุยกับฝ่ายตรวจสอบคุณภาพสินค้า
ผู้บริหารหนุ่มวิ่งรอกไปทั่วทั้งบริษัทกว่าจะกลับขึ้นมารับทราบตารางการนัดพบลูกค้าชาวสิงคโปร์ที่โรงแรมย่านสุขุมวิทจากเลขานุการหนุ่มหน้าห้องได้ก็เลยช่วงพักเที่ยงไปร่วมสองชั่วโมง
“ เดี๋ยวผมออกไปพบมิสเตอร์ลีแล้วคงไม่เข้าออฟฟิศอีก ถ้ามีอะไรด่วนก็โทรมาที่มือถือ แล้วพรุ่งนี้รบกวนฝากแจ้งให้คณะกรรมการทราบเรื่องประชุมด้วยนะครับ ” เขาฝากเรื่องกับเลขานุการได้ก็รีบลงมาที่ลานจอดขับรถออกจากบริษัทยังมีเวลาเหลืออีกชั่วโมงก่อนพบลูกค้าจึงตั้งใจจะแวะไปโรงพยาบาลก่อน
ภาควัฒน์ครุ่นคิดถึงแต่การกระทำของศศิวิมลจนแทบไม่มีสมาธิขับรถจึงไม่ทันเห็นรถยุโรปสีดำที่แล่นตัดข้ามแล่นมาปาดหน้าเดชะบุญที่เท้าเหยียบเบรกทัน...รถยนต์สีดำต่างค่ายทั้งสองคันจากขวางการจราจรไปช่องทางหนึ่งแต่โชคดีที่ท้องถนนแทบชานเมืองค่อยข้างโล่งทำให้ไม่มีปัญหารถติดขัดยาวเช่นในเมือง
ชายหนุ่มจ้องรถที่พุ่งมาปาดหน้าอย่างระแวดระวังหยิบปืนที่ซ่อนไว้ใต้เบาะซ่อนไว้ในช่องลับของเสื้อสูทเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมาดีหรือร้ายแล้วจึงเปิดประตูลงจากรถเพื่อไปเคลียร์เรื่องรถก็เห็นชายต่างชาติวัยกลางคนสวมสูทสีดำติดเข็มกลัดตัวย่อซีดับเบิ้ลยูไว้ที่ปกเสื้อก้มศีรษะทำความเคารพเขาก่อนที่กระจกรถตรงส่วนหลังคนขับจะลดระดับลงเผยให้เห็นชายสูงวัยในชุดสูทสีเทานั่งอยู่ในรถ
“ จะรีบร้อนไปไหนหรือพอล ” เสียงทุ้มทรงอำนาจถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษแบบอเมริกามีรอยยิ้มบางเจือมาด้วย
“ ผมกำลังจะไปโรงพยาบาล ว่าแต่ ปู่มาทำอะไรที่นี่ครับ ” ร้องถามกลับแม้ใบหน้าจะราบเรียบไร้อารมณ์หากสุ้มเสียงกลับเจือความประหลาดใจที่ได้พบกัน
“ ช่วงนี้ปู่ว่างเลยบินมาเยี่ยม...ไปหาอะไรดื่มกับปู่หน่อยสิ จะได้นั่งคุยกัน ” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยชวน
“ ผมมีนัดกับลูกค้าตอนบ่ายสามโมงคงอยู่คุยกับปู่นานไม่ได้นะครับ ”
“ ปู่ก็แค่อยากคุยอะไรนิดหน่อยเอง เอาเป็นว่าไปหาอะไรดื่มกันที่ร้านกาแฟในโรงพยาบาลแล้วกันจะได้ไม่เสียเวลา ดีไหม ”
ผู้เป็นหลานนอกสายเลือดสบสายตากับชายในรถยนต์ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้ความเคลื่อนไหวของตัวเองก่อนจะยอมพยักหน้าตกลงรับข้อเสนอแล้วขับรถตามหลังไปจนมาถึงโรงพยาบาล ทั้งสองพากันเดินไปยังร้านกาแฟ เลือกนั่งในมุมลับตาคนตามความเคยชินแล้วจึงสั่งเครื่องดื่ม
คอยด์สูดกลิ่นหอมกรุ่นของชาเอิร์ลเกรย์ในถ้วยกระเบื้องเคลือบเขียนลายดอกไม้แล้วยกจิบทีละนิดโดยไม่เติมครีมหรือน้ำตาล ขณะที่คนตรงข้ามก็ดื่มกาแฟเอสเปรสโซพลางเหลือบมองอีกฝ่ายไว้เป็นระยะ
“ เอกสารหลักฐานที่ส่งไปได้รับแล้วใช่ไหม ” ชายชราวางถ้วนลงในจานรองพร้อมกับการเอ่ยถามทำลายความเงียบระหว่างกัน
“ ครับ ” ตอบรับสั้นก่อนจะต่อ “ แต่ผมจำได้ว่าเราไม่เคยมีความสัมพันธ์กับทางนิปปอนรอยัล อีกอย่างหลักฐานการทุจริตทั้งหมดฝ่ายนั้นก็ส่งให้ทางอังคพิมานหมดแล้ว ทำไมปู่ถึงมีหลักฐานพวกนี้อยู่ในมือได้อีก หรือว่าปู่กับนิปปอนรอยัลรู้จักกัน ” เสียงของเขาขาดหายไปเพิ่งคิดเฉลียวใจได้ว่า การเข้ามาสอดแนมของนิปปอนรอยัลอาจเกี่ยวข้องกับผู้เป็นปู่รวมถึงหลักฐานที่ฝ่ายนั้นกำลังรวบรวมอาจเป็นของปลอม
“ เราเพิ่งรู้หรือว่าปู่รู้จักกับทางนั้นนะ...นึกว่ารู้ตั้งแต่ไปฉะกับแม่สาวสวยคนนั้นแล้วซะอีก ” บอกให้ทราบแล้วหยิบขนมปังเนยสดมาฉีกเป็นชิ้น
“ แสดงว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของปู่ด้วยหรือครับ ”
“ จะว่าเป็นแผนคงไม่ได้ เพราะปู่แค่ยืมมือพวกนั้นให้เอาหลักฐานจริงมาให้เท่านั้นเอง ”
“ นิปปอนรอยัลคงจะมีความลับมากกว่าแค่เรื่องยาเสพติดกับฟอกเงินใช่ไหมครับ ”
“ ความลับของทางนั้นถึงขนาดล้มอธิบดีกรมตำรวจกับรัฐมนตรีของญี่ปุ่นได้ ก็คิดดูสิว่ามันเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน โชคดีที่ปู่ได้ข้อมูลพวกนี้มาก็เลยเอามาใช้ประโยชน์สักหน่อย ” เขาพูดอย่างสบายอารมณ์ราวกับการกอบกุมความลับดำมืดขององค์กรอื่นมาหาประโยชน์เป็นความชอบธรรม
พอลดื่มกาแฟพลางสูดลมหายใจหนัก...ปกติปู่จะไม่ก้าวก่ายเรื่องการทำงานของเขา แต่ครั้งนี้ปู่ถึงขั้นลงมือช่วยด้วยตัวเองย่อมหมายความว่างานนี้มีความสำคัญเกินกว่าจะปล่อยให้พลาดได้และเป็นการบีบกันกลายๆให้รับจัดการกับงานที่กำลังทำอยู่ให้เสร็จสิ้นเสียที
“ ทางนั้นก็เตรียมจะฟ้องอยู่แล้ว เราก็น่าจะปล่อยให้คนในจัดการกันเอง รอจังหวะอีกหน่อยค่อยบีบให้ขายหุ้นน่าจะดีกว่า ไม่ต้องเปลืองแรงด้วย ”
“ สิ่งที่ปู่ต้องการไม่ใช่การฟ้องร้องแต่เป็นการบีบให้ขายหุ้น ถ้ามีเรื่องฉาวออกไปภาพลักษณ์ขององค์กรจะเสียหาย ปล่อยให้มันสวยหรูดูดีไปอย่างนี้แหละดีแล้ว ”
“ ถ้าได้อังคพิมานโฮเต็ลไปแล้ว ปู่คิดหรือยังครับว่าจะทำยังไงกับมันต่อ ”
“ ปู่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ขอแค่ได้มันคืนมาก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อก็ไม่สายนี้ ” คนตรงข้ามแย้มริมฝีปากอย่างมีเลศนัยปล่อยให้คู่สนทนาแคลงใจในถ้อยคำว่าได้คืนซึ่งเหมือนกับว่าที่แห่งนี้เคยตกเป็นของครอมเวลมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากจบประโยคนั้นชายต่างวัยทั้งสองก็นั่งดื่มกันไปเงียบๆ ต่างฝ่ายต่างหยั่งเชิงกันถึงความในใจที่ซ่อนอยู่ก่อนที่ผู้มากวัยจะปิดฉากการพบปะกันครั้งนี้ด้วยตัวเอง
“ ยังไงก็รีบทำงานนี้ให้เสร็จเถอะ...ถึงปู่จะให้เวลาเพิ่มเพื่อจัดการเรื่องงานศพของแม่ แต่ยังมีงานอีกหลายอย่างรวมทั้งเรื่องเปลี่ยนนามสกุลรออยู่ อย่าลืมว่าเราเป็นทายาทอันดับหนึ่งของปู่ซะล่ะ...เอาล่ะ ตอนนี้ก็คุยกันพอสมควรแล้ว อยากจะไปเยี่ยมใครหรือพบลูกค้าคนไหนก็ไปได้แล้ว ”
ชายหนุ่มตอบรับคำสั้นก้มศีรษะทำความเคารพ วางเงินค่าเครื่องดื่มของตนเองและปู่ไว้บนโต๊ะแล้วหมุนตัวเดินออกจากร้านตรงไปที่ลิฟต์
คอยด์จิบชาเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของหลานชายนอกสายเลือดอย่างใจเย็นจนกระทั่งลับสายตาจึงกดโทรศัพท์พิมพ์ข้อความเป็นรหัสส่งไปหาใครคนหนึ่งสักพักก็มีหญิงสาวสวมเสื้อกราวน์ยาวสีขาวทำทีเป็นเดินหาที่นั่งดื่มกาแฟก่อนจะหยิบกล่องเก็บความเย็นขนาดประมาณฝ่ามือวางลงบนโต๊ะแล้วผละไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ตามปกติ
นิ้วเรียวแข็งไล้ไปตามแนวของวัตถุทรงเหลี่ยม นัยน์ตาสีเขียวมรกตคมกริบดุจพยัคฆ์กลางป่าลึกทอดมองยังดอกลิลลี่สีขาวที่ลอยอยู่ในอ่างแก้วกลางโต๊ะ สัมผัสได้ว่า จิตใจของหลานชายอ่อนแอก็ทำให้หวนรำลึกถึงอดีตหนหลังอันงดงามที่สุดท้ายก็กลายเป็นหนามแหลมย้อนมาแทงให้คอยบ่งจวบจนทุกวันนี้
ความรักรั้งแต่จะทำให้มนุษย์ยอมสูญเสียทุกอย่างแม้แต่ตัวตนเพียงเพื่อความรัก หากผลสุดท้ายเมื่อความรักโบกโบยจากไปสิ่งที่เหลือทิ้งไว้ก็มีเพียงความว่างเปล่า
...ช่างเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย...
****************************
เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำให้หญิงชราคนเดียวในห้องถึงกับสะดุ้งผุดลุกจากโซฟามาก็เห็นคุณหนูของตนหิ้วขนมถุงใหญ่เข้ามาในห้องก็ดีใจรีบเข้าไปหาเพื่อรายงานให้ทราบถึงความเหม่อลอยของคนป่วยด้วยความกังวลใจ ส่วนรสาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงพอเห็นหน้าผู้มาใหม่ก็ถึงกับเม้มริมฝีปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
ภาควัฒน์พยักหน้ารับฟังทุกอย่างจากแม่นมก็เดินอ้อมไปหยุดยืนอยู่ข้างร่างของหญิงสาวมัดผมม้า...ศศิวิมลเหมือนจะรู้ตัวจึงหันหน้ามามอง ในดวงตาเกิดประกายเศร้าไม่ถึงวินาทีก็หายลับทิ้งไว้เพียงความเย็นชา
“ ขอโทษนะที่พี่มาช้า พอดีมีงานให้เคลียร์เยอะ แล้วนี่หมอขึ้นมาหาหรือยังคะ ” คนเป็นสามีเอ่ยถาม
“ ตอนเที่ยงมีพยาบาลมาเจาะเลือดกับวัดความดันไปแล้วคะ คิดว่าอีกสักพักหมอน่าจะเข้ามาดู ” หญิงสาวอีกคนชิงตอบแทนคนป่วยพอดีกับที่แพทย์หญิงเจ้าของไข้จะเดินเข้ามาตรวจดูอะไรอีกเล็กน้อยก็คุยกับทุกคนในห้องให้ทราบถึงอาการที่ดีขึ้น ให้น้ำเกลือกับนอนโรงพยาบาลอีกวันก็กลับบ้านได้
“ ดิฉันขอกลับบ้านวันนี้เลยไม่ได้เหรอคะ ” คนบนเตียงร้องขอกับผู้รักษา
“ ที่จริงก็กลับได้นะคะ แต่หมอคิดว่าถ้าคนไข้นอนโรงพยาบาลน่าจะได้พักผ่อนเต็มที่มากกว่า แต่ถ้าจะกลับจริงๆหมอจะเซ็นให้ค่ะ แต่คนไข้ต้องสัญญานะคะว่ากลับไปแล้วจะกินยาและพักผ่อนให้เพียงพอ ”
“ อย่าดีกว่าครับหมอ...ผมอยากให้ภรรยานอนที่นี่มากกว่า ” ฝ่ายสามีทัดทานทันทีที่เห็นแพทย์จะอนุญาตให้คนไข้กลับบ้านได้
“ ดิฉันจะทำตามคำแนะนำของหมอทุกอย่างค่ะ ขอแค่ให้ดิฉันกลับบ้านวันนี้ก็พอ ” อีกฝ่ายสวนกลับ
“ อย่าอวดเก่ง พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้นอนที่นี่ก่อนจนกว่าจะหายนะ ”
“ เล็กก็บอกแล้วไงค่ะว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว พี่ภาคไม่ต้องกลัวว่าเล็กออกไปแล้วจะเป็นลมให้พี่ลำบากอีกหรอกคะ เล็กไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้น ” หญิงสาวขึ้นเสียงใส่ทำเอาคนทั้งห้องเงียบกริบ ก่อนจะย้ำความต้องการของตัวเองอีก
“ หมอจะให้ออกจากโรงพยาบาลช่วงเย็นๆแล้วกันนะคะ ” แพทย์เจ้าของไข้สรุปด้วยรอยยิ้มแล้วออกจากห้องไป
ชายหนุ่มมองความดื้อดึงของคนตัวเล็กที่กึ่งนอนกึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัย...ความเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดทำให้รู้สึกเป็นกังวลและโกรธในคราวเดียวกัน
“ ถ้าเล็กอยากดูแลแม่ใหญ่มากนัก ก็ควรพักให้ตัวเองหายดีก่อน ไม่ใช่ดื้อจะออกให้ได้อย่างนี้ อีกอย่างคนในอังคพิมานตั้งเยอะแยะ เขาคงไม่ใจร้ายปล่อยให้เจ้านายตัวเองนอนป่วยหนักคนเดียวหรอก ”
“ ให้คนอื่นไปดูไม่ได้หรอกคะ มีแต่เล็กคนเดียวที่สมควรดูแลแม่ใหญ่ โดยเฉพาะตอนป่วยหนักแบบนี้แหละยิ่งดี เล็กจะได้ดูไว้เตือนตัวเอง ” หล่อนยังคงมุ่งมั่นอยู่กับการออกไปดูแลคนป่วยที่นอนอยู่ในไอซียู คนฟังก็ทำได้แต่ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
“ เอาอย่างนั้นก็ได้แล้วตอนเย็นพี่จะมารับกลับบ้าน ”
“ ไม่ต้องหรอกคะ...พี่ภาคมีงานต้องทำเยอะแยะ เดี๋ยวเล็กให้ยายช้อยกับสาพากลับบ้านได้ ”
“ พี่บอกจะมารับไม่เข้าใจเหรอ ”
“ แค่จ่ายเงินค่าโรงพยาบาลให้มารักษาตัวให้เล็กก็รู้สึกไม่ดีพอแล้ว อย่าให้เล็กต้องกลายเป็นภาระไปมากกว่านี้แล้วค่ะ ”
นั่นเป็นอีกครั้งที่ภายในห้องตกอยู่ในภาวะเงียบงันจากนั้นคนตัวเล็กก็ล้มตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้เพื่อนและชายผู้เป็นสามีไปทางยายช้อยแสร้งปิดตาเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตอบคำถามอะไรให้ทรมานใจอีก
“ เล็กเหนื่อยขอนอนก่อนนะคะ ”
คนตัวใหญ่ขมวดคิ้วเริ่มไม่พอใจกับความมึนตึงของอีกฝ่ายจนเผลอกำหมัดแน่น ขยับจะเข้าไปเรียกให้ลุกขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องแต่ก็ถูกมือของคนบนเก้าอี้คว้าไว้ให้หยุด พอเหลือบมามองก็เห็นเพื่อนสนิทของคนบนเตียงส่ายหน้าปรามไม่ให้ตอแยต่อ
ภาควัฒน์ขบกรามแน่นขณะเฝ้ามองแผ่นหลังบางที่นอนอยู่บนเตียงพลางสูดลมหายใจลึกล้ำเพื่อข่มกลั้นอารมณ์เดือดพล่านจากความไม่เข้าใจของตัวเองแล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาให้ต้องกดรับ ปลายสายเป็นเลขานุการโทรมาแจ้งเตือนให้ทราบว่าใกล้ถึงเวลานัดพบลูกค้า
“ อยากทำอะไรก็ทำเลยตามใจ ” เขาทิ้งท้ายเท่านั้นก็หุนหันออกไปจากห้องโดยมียายช้อยตามออกไปส่ง
ศศิวิมลเปิดตาในทันทีที่ได้ยินเสียงปิดประตู...นัยน์ตาว่างเปล่าห่างเหินฉายแววเจ็บสาหัญเหมือนนกปีกหักใน
กรงทองที่รอคอให้ผู้ดูแลเหลียวมาสนใจกันด้วยหัวใจแท้จริงสักครั้ง หากก็ได้แต่หักใจเก็บกดความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่จากไปไว้
เพราะไม่อาจทนเห็นชายผู้เป็นที่รักต้องลำบากตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก หล่อนจึงสมควรเป็นฝ่ายถอยหลังออกมาและยอมรับความจริงที่ว่า เขาอยู่ไกลเกินกว่าที่คนโง่เขลาเบาปัญญาอย่างหล่อนจะเอื้อมไปถึง
ขอบคุณที่อ่านกับคอมเม้นนะคะ
ฮือๆ นางเอกจะตายทั้งเป็นอยู่แล้ว
แต่คนเขียนกำลังปวดหลัง
ไปแล้วนะคะ จะรีบปั่นต่อ
บิ้วเศร้าแล้วต้องเขียนต่อเนื่องเดี๋ยวหลุด
----------------------
บทที่ 23
แสงสีทองเหลือบส้มทอทาบทดแทนพื้นนภาสีครามหม่นบ่งสัญญาณของรุ่งอรุณวันใหม่ที่ใกล้เหยียบมาถึง นางพยาบาลคนหนึ่งเคาะประตูเบาสองสามครั้งก็เข็นรถใส่อุปกรณ์พยาบาลเข้ามาภายในทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งนอนพักสายตาไปไม่นานสะดุ้งตื่นก่อนจะลุกจากโซฟาเดินไปยืนกอดอกคุมเชิงห่างจากเตียงมองคนป่วยที่นั่งพิงหมอนทอดสายตาไปด้านนอกปล่อยให้ร่างกายถูกเจาะเลือดและวัดความดันแล้วเสียบเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้เข้าไปในรูหูอย่างว่าง่าย
พยาบาลจดรายละเอียดลงในชาร์ตที่ห้อยอยู่ปลายเตียงเสร็จก็เข็นรถจากไปทิ้งให้สองสามีภรรยาอยู่กันตามลำพังท่ามกลางความเงียบเชียบ...ภาควัฒน์ขยับเข้ามาประชิดเตียงเฝ้ามองความเลื่อนลอยของศศิวิมลนิ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน หากพอจะเอ่ยปากถามเป็นต้องเห็นอีกฝ่ายล้มตัวนอนเสียทุกทีคล้ายกับต้องการเลี่ยงไม่ตอบคำถามอย่างไรอย่างนั้น
“ ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ” เขาทำลายความสงบนิ่งในห้องด้วยการถามเป็นการเปิดประเด็นให้ผู้ป่วยร่วมสนทนา แต่คนบนเตียงกลับเฉยเอาแต่มองบางสิ่งอยู่จึงมองตามไปบ้างถึงได้เห็นนกกระจอกน้อยน่ารักตัวหนึ่งกำลังไซ้ขนใต้ปีกเกาะอยู่บนราวระเบียง
“ ชอบนกตัวนั้นมากเหรอ ” ลองชวนคุยอีกหนแต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ชายหนุ่มจึงเดินอ้อมเตียงใช้ความสูงใหญ่ของตัวเองบังภาพทุกอย่างด้านนอกเพื่อให้คนบนเตียงรู้สึกตัว ทว่าพอได้ยืนอยู่ตรงนั้นจึงได้รู้ว่าแท้จริงเจ้าของดวงตาหวานอมโศกเพียงแค่มองทอดไปข้างหน้าด้วยความว่างเปล่าหาได้มีสิ่งใดสนใจอย่างที่คิดไว้ในตอนแรกเลยลองเรียกชื่ออยู่หลายครั้งกว่าร่างบางจะสะดุ้งหลุดจากความคิดคำนึง
“ มีอะไรคะ” หล่อนเงยหน้าพลางถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ เธอเป็นอะไรไป ทำไมฉันพูดด้วยเธอไม่ยอมตอบ ยังมีไข้อยู่หรือเปล่า ” เขาถามกลับยกหลังมือหมายจะทาบหน้าผากทว่าหญิงสาวกลับถอยหนีไปนั่งชิดขอบเตียงอีกข้าง ต่างฝ่ายต่างเกิดอาการชะงักงันแล้วคนหลบก็แก้เก้อด้วยการบอกว่า สบายดีจากนั้นจึงเลี่ยงมาถามถึงเวลากลับบ้าน
“ หมอเขาสั่งให้เธอนอนอีกคืน ก็ทำตามหมอไปเถอะ จะดื้อไปทำไมหนักหนา ดูแลตัวเองให้มันดีก่อนแล้วอยากทำอะไรก็ค่อยทำ...เดี๋ยวสักพักพอยายช้อยมา ฉันจะกลับไปอาบน้ำ เข้าออฟฟิศแล้วตอนเที่ยงกับตอนเย็นฉันจะแวะมาที่นี่ใหม่ ”
“ ความจริงเล็กก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ต้องลำบากให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อนหรอกคะ ” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความเย็นชาเสียจนคนฟังถึงกับเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจในท่าทีอันแข็งกระด้าง พาลคิดไปว่า คนป่วยคงกำลังคิดถึงช่วงเวลาเมื่อวานอยู่ก็กำหมัดแน่นนึกโกรธแค้นชายผู้ก่อเรื่อง
“ ถ้าเธอยังคิดถึงเรื่องที่ไอ้ใหญ่ทำอยู่ ฉันขอให้เธอเลิกคิดซะ เพราะฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เธอเอง ”
หญิงสาวเหลือบมองดวงหน้าคมคายของชายผู้เป็นสามีแค่ในนาม เหยียดมุมปากหยันโชควาสนาของตัวเองอยู่นานกว่าจะหลุดพูดออกมา
“ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละคะ ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของพี่ใหญ่คนเดียว ” ว่าแล้วก็เงียบไปสักพักก็บอกให้คนเฝ้ากลับบ้านไปจะได้รีบไปทำงาน อีกฝ่ายตั้งท่าจะทัดทานก็พอดีกับที่หญิงสาวมัดผมม้าสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขาวยาวสีน้ำตาลถือตะกร้าใส่นมสดกระป๋องเข้ามาในห้อง
เจ้าหล่อนยกมือไหว้ทักทายสามีของเพื่อนจึงค่อยวางของเยี่ยมลงบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาขยับตัวเดินมาหาเพื่อนก็เห็นทั้งสองฝ่ายเหมือนมีอาการมึนตึงต่อกันก็เปิดปากถาม
“ มีอะไรกันเหรอคะ หรือว่าทะเลาะกันอยู่ ”
“ เปล่าครับไม่ได้ทะเลาะกัน พอดีผมบอกเล็กให้รอยายช้อยมาเปลี่ยนเวรก่อนแล้วผมค่อยกลับบ้าน แต่เล็กเขาไม่ยอมจะให้ผมกลับไปก่อนให้ได้นะครับ ”
“ ถ้าอย่างนั้นคุณภาคกลับบ้านไปก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวสาดูแลเล็กให้เองค่ะ ” เพื่อนสนิทอาสาทำหน้าที่แทน
“ งั้นผมรบกวนฝากเล็กไว้กับคุณสาก่อน ถ้ายายช้อยมาเมื่อไหร่คุณจะกลับก็กลับได้เลยนะครับ ”
“ วันนี้ไม่ต้องให้ยายช้อยมาก็ได้นะคะ เพราะสาตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเล็กถึงเย็นนู้นแหละคะ ”
“ ผมให้คนขับรถมาส่งยายช้อยที่โรงพยาบาลแล้ว คุณสาเองก็ต้องดูแลร้านอาหารถ้าต้องมานั่งเฝ้าเล็กอยู่แบบนี้ การค้ามันจะเสียเอาได้นะครับ ”
“ ทิ้งร้านไว้สักวันสองวันไม่เป็นไรหรอกคะ ตอนนี้เรื่องสำคัญคือจิตใจของเล็กมากกว่า คุณภาครีบไปเถอะคะ ไม่ได้เข้าออฟฟิศหลายวันคงมีงานรอให้เคลียร์อยู่เยอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกนะคะ ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเดินไปพับผ้าห่มกับหมอนบนโซฟาเก็บเข้าที่เรียบร้อยจึงเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้เพื่อนของภรรยารับหน้าที่ดูแลต่อ
รสาเดินไปที่เตียงด้วยรอยยิ้มกว้าง ยื่นมืออุ่นไปจับแขนขาวพร้อมบีบเบาเป็นจังหวะให้รู้สึกตัว ไถ่ถามถึงอาการโดยรวมอย่างห่วงใย แต่พอได้ยินเพื่อนตอบรับสั้นโดยไม่หันมามองก็ทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นผลจากเหตุการณ์เมื่อวานเลยคิดว่าควรใส่ไฟเพิ่มเข้าไปเพื่อกันไม่ให้กลับไปยุ่งเกี่ยวกับพี่ชายตัวเองอีก
“ ถ้าเล็กยังคิดถึงเรื่องเมื่อวานอยู่ สาขอให้เล็กเลิกคิดแล้วก็เลิกไปยุ่งกับผู้ชายเลวๆคนนั้นอีกนะ เขาทำกับเล็กมากขนาดนี้ เขาไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายเล็กอีกแล้วรู้ไหม ”
“อย่าว่าพี่ใหญ่เลย ความจริงพี่ใหญ่เขาไม่ได้ตั้งใจทำอย่างนั้นกับเล็กหรอก ”
“ จะบ้าเหรอเล็ก สารู้นะว่าเล็กเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เรื่องนี้มันไม่เหมือนกันนะเล็ก ในสายตาของผู้ชายคนนั้นนะเขาไม่เคยมองเล็กเป็นแค่น้องสาวหรอกนะ ผู้ชายที่กล้าคิดทำมิดีมิร้ายน้องสาวแท้ๆของตัวเองได้ลงคอนะ มันไม่มีความเป็นคนเหลืออยู่แล้ว เล็กยอมให้อภัยผู้ชายคนนี้อีกได้ยังไง ”
“ เล็กรู้จักพี่ใหญ่ดี สิ่งที่พี่ใหญ่ยึดไวกับตัวเองมีแค่สองคนคือแม่กับเล็ก พอแม่เสียพี่ใหญ่ก็มีชีวิตไปข้างหน้าโดยยึดเล็กไว้เป็นที่พึ่งทางใจ เวลาคนเรายึดมั่นถือมั่นอะไรเป็นสรณะมากเกินไปก็จะกลัวการสูญเสียจึงพยายามทุกทุกอย่างเพื่อเก็บที่พึ่งนี้ไว้ พอนานวันเข้าก็หลงเข้าใจผิดคิดว่าความพยายามเหนี่ยวรั้งไว้คือความรัก...ในชีวิตเรื่องพี่ใหญ่เจ็บปวดที่สุดรองจากเรื่องแม่เสียแล้วก็คือความรู้สึกของเล็ก แต่เรื่องเมื่อวานพี่ใหญ่อยู่ในภาวะที่ทุกข์ใจมากยิ่งเมาก็เลยเผลอทำอะไรแบบนั้น เล็กถือสาคนที่ไม่มีสติไม่ได้หรอก ”
ถ้อยคำยาวที่กล่าวถึงความรู้สึกในใจของพี่ทุกประการจากคนตัวเล็กเต็มไปด้วยความเยือกเย็นทำเอาผู้ที่ยืนฟังอยู่ถึงกับเลิกแกะกระดาษหุ้มกระป๋องนมสด จ้องมองคนบนเตียงที่ผินหน้าไปทางหน้าต่างเขม็งราวกับไม่เชื่อว่าจะได้ยินเรื่องเหล่านี้จากปากของเพื่อน
“ นี่เล็ก...เล็กรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ ” ละล่ำละลักถามปากคอสั่น
“ เล็กคงดูเป็นโง่ในสายตาคนอื่นมากสินะ ” คนป่วยหยุดพูดส่งเสียงหัวเราะเบาจากในลำคอ “ บางครั้งคนเราก็ยอมเป็นคนโง่ ยอมเชื่อทุกอย่างที่คนอื่นบอกทั้งที่ในใจคิดสงสัยตลอด สารู้ไหมว่าเพราะอะไร ก็เพราะเขากลัวว่าถ้าคิดสงสัยอะไรมากเกินไปจะทำให้เขาเจ็บปวด ก็เลยเลือกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรเพื่อจะได้หลอกตัวไปวันๆว่า ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีที่สุด ทั้งที่ความจริงมันก็เป็นแค่ภาพมายาที่เราสร้างมาลวงตาตัวเองเท่านั้น ”
ทันทีที่จบประโยค ตาของรสาก็เบิกกว้างมือไม้สั่นถึงกับทำกระป๋องนมในมือร่วงด้วยความตกใจที่เพื่อนพูดเหมือนกับรู้ความจริงอันขมขื่นที่เกิดขึ้นกับตนเองและผู้ให้กำเนิด หากยังทำใจดีสู้เสือคิดว่าอาจไม่มีอะไรจึงถามหยั่งเชิงไปว่าทำไมถึงพูดแบบนั้น
ศศิวิมลเบือนหน้าจากบานหน้าต่างกลับมาหาผู้เป็นเพื่อนด้วยนัยน์ตาปราศจากความรู้สึกใดเปรียบประหนึ่งตุ๊กตากระเบื้องอันงดงามราคาแพงที่มีประโยชน์เพียงวางไว้ประดับบ้านหาได้มีไว้ให้เด็กเล่นจึงขาดชีวิตชีวา
“ ตลอดเวลาหลายปีที่เล็กอยู่ในบ้านหลังนั้น เล็กนึกสงสัยข้องใจหลายเรื่อง แต่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นรำคาญ จะทำให้ตัวเองเสียใจก็เลยเก็บไว้ในใจคนเดียว เพราะเล็กเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้ คนอื่นก็เลยมองเล็กเป็นคนอ่อนแอ เป็นตัวภาระที่ได้แต่เก็บเอาไว้ พอถึงเวลาก็โยนไปให้คนอื่นรับช่วงต่อ เล็กเป็นผู้หญิงที่น่าสมเพชจริงๆนะ ” คนป่วยเอ่ยไปเรื่อยคล้ายไม่รู้สึกอันใด แต่ผู้รับฟังกลับสัมผัสได้ถึงความทรมานเหนือประมาณซึ่งเร้นอยู่ใต้ความเฉยเมยก็ถึงกับน้ำตาร่วงเผาะมาโดยไม่รู้ตัว...ตระหนักได้ในนาทีนั้นว่าคงไม่มีความลับใดซ่อนพ้นจากคนตรงหน้าได้อีกแล้ว
“ ใคร...ใครบอกเล็กเรื่องนี้ ” หล่อนจับแขนเพื่อนเขย่าถามอย่างแรง
“ ไม่ต้องให้ใครบอกหรอกสา พอถึงเวลาคนจะรู้ก็รู้ได้เอง...ที่จริงเรื่องนี้เล็กก็ระแคะระคายอยู่หรอก แต่เพราะเชื่อว่าคนที่เลี้ยงเรามาเป็นคนดีก็เลยไม่เคยคิดถามหรือความจริงจากมัน เล็กปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเชิดเหมือนหุ่นกระบอก แต่ต่อจากนี้ไปเล็กจะไม่เป็นคนขี้ขลาดอีกแล้ว เล็กจะมีชีวิตอยู่กับความจริง เพราะถึงมันจะเจ็บปวดก็คงดีกว่าต้องถูกคนใกล้ชิดทรยศหักหลังกันแบบนี้ ” คนตัวเล็กเหยียดริมฝีปากอิ่มเล็กน้อยกลืนน้ำขมฝาดลิ้นที่จุกในลำคอลงกระเพาะ ความเจ็บปวดรวดร้าวประดังประเดมาจนเริ่มชินชาได้แต่เวทนาตัวเองที่ขลาดเขลาเบาปัญญา
รสามองคนบนเตียงด้วยดวงตาพร่าเลือนจากน้ำที่เอ่อขังขอบ เอื้อมแขนทั้งสองออกไปกอดเพื่อนไว้แน่น...การได้เห็นอีกฝ่ายเย็นชาแทนที่จะร้องไห้ระบายความในใจทำให้หล่อนทุกข์ทนเสียยิ่งกว่า
“ ถ้ามันเจ็บมากเล็กก็ร้องไห้ออกมาเถอะ ร้องกับสานี้ ร้องออกมาให้ความทุกข์ทั้งหมดมันเบาบางลงบ้าง อย่าเก็บมันไว้คนเดียวอย่างนี้เลยนะ ” บอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ เล็กก็อยากจะร้องไห้หรอกนะ แต่มันเจ็บจนร้องไม่ออก หึ ดูสิสา แค่จะร้องไห้ออกมาเล็กยังไม่มีปัญญาแล้วมีเหรอที่คนจะไม่อยากหลอก ” น้ำเสียงหวานมีแววเย้ยหยันเรียกน้ำตาจากคนเป็นเพื่อนให้ร้องไห้หนักกว่าเก่า...ความหาญกล้าที่เคยมีมาพังทลายลงด้วยความสงสารในชะตากรรมของเพื่อนที่ต้องทนทุกข์อยู่กับการกระทำของคนอื่น
ศศิวิมลปล่อยให้รสากอดตัวเองร้องไห้ไปอย่างนั้นเหมือนคนหัวใจด้านชาได้แต่เบือนหน้ากลับไปทางเก่า วันเวลาแห่งความหลอกลวงจบลงแล้วต่อไปนี้เส้นทางชีวิตคงมีแต่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงแม้ไม่รู้ว่าจะต้องชอกช้ำอยู่เช่นนี้ไปอีกนานเพียงใด หากก็คงดีกว่าหลงอยู่ในภาพมายาจนตาย
...อย่าปล่อยให้ชีวิตคอยเป็นนายเรา อย่าปล่อยให้ตัวเองตรอมตรมจนตายเหมือนแม่ เพราะผู้หญิงคนนั้นสมควรได้รับบางสิ่งที่เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าถูกแย่งชิงอำนาจไปจากมือ...
************************************
กองแฟ้มเอกสารมากมายวางรอประธานกรรมการบริหารอยู่ในห้องให้มาสะสางนั้นสูงเกือบจะท่วมหัวชายหนุ่มร่างใหญ่อยู่มะรอมมะร่อเลยต้องเคลียร์เอกสารไปพร้อมกับการเรียกหัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงินขึ้นมาพบเพื่อขอดูงบประมาณทั้งหมดของบริษัทจนหมด จากนั้นจึงลงไปที่แผนกการตลาดขอดูยอดสินค้าที่วางจำหน่ายก่อนจะแวะไปคุยกับฝ่ายโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อดูความคืบหน้าในการเฟ้นหาดารามาเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ให้ผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะเปิดตัวใหม่ ถึงค่อยลงไปโรงงานเพื่อคุยกับฝ่ายตรวจสอบคุณภาพสินค้า
ผู้บริหารหนุ่มวิ่งรอกไปทั่วทั้งบริษัทกว่าจะกลับขึ้นมารับทราบตารางการนัดพบลูกค้าชาวสิงคโปร์ที่โรงแรมย่านสุขุมวิทจากเลขานุการหนุ่มหน้าห้องได้ก็เลยช่วงพักเที่ยงไปร่วมสองชั่วโมง
“ เดี๋ยวผมออกไปพบมิสเตอร์ลีแล้วคงไม่เข้าออฟฟิศอีก ถ้ามีอะไรด่วนก็โทรมาที่มือถือ แล้วพรุ่งนี้รบกวนฝากแจ้งให้คณะกรรมการทราบเรื่องประชุมด้วยนะครับ ” เขาฝากเรื่องกับเลขานุการได้ก็รีบลงมาที่ลานจอดขับรถออกจากบริษัทยังมีเวลาเหลืออีกชั่วโมงก่อนพบลูกค้าจึงตั้งใจจะแวะไปโรงพยาบาลก่อน
ภาควัฒน์ครุ่นคิดถึงแต่การกระทำของศศิวิมลจนแทบไม่มีสมาธิขับรถจึงไม่ทันเห็นรถยุโรปสีดำที่แล่นตัดข้ามแล่นมาปาดหน้าเดชะบุญที่เท้าเหยียบเบรกทัน...รถยนต์สีดำต่างค่ายทั้งสองคันจากขวางการจราจรไปช่องทางหนึ่งแต่โชคดีที่ท้องถนนแทบชานเมืองค่อยข้างโล่งทำให้ไม่มีปัญหารถติดขัดยาวเช่นในเมือง
ชายหนุ่มจ้องรถที่พุ่งมาปาดหน้าอย่างระแวดระวังหยิบปืนที่ซ่อนไว้ใต้เบาะซ่อนไว้ในช่องลับของเสื้อสูทเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมาดีหรือร้ายแล้วจึงเปิดประตูลงจากรถเพื่อไปเคลียร์เรื่องรถก็เห็นชายต่างชาติวัยกลางคนสวมสูทสีดำติดเข็มกลัดตัวย่อซีดับเบิ้ลยูไว้ที่ปกเสื้อก้มศีรษะทำความเคารพเขาก่อนที่กระจกรถตรงส่วนหลังคนขับจะลดระดับลงเผยให้เห็นชายสูงวัยในชุดสูทสีเทานั่งอยู่ในรถ
“ จะรีบร้อนไปไหนหรือพอล ” เสียงทุ้มทรงอำนาจถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษแบบอเมริกามีรอยยิ้มบางเจือมาด้วย
“ ผมกำลังจะไปโรงพยาบาล ว่าแต่ ปู่มาทำอะไรที่นี่ครับ ” ร้องถามกลับแม้ใบหน้าจะราบเรียบไร้อารมณ์หากสุ้มเสียงกลับเจือความประหลาดใจที่ได้พบกัน
“ ช่วงนี้ปู่ว่างเลยบินมาเยี่ยม...ไปหาอะไรดื่มกับปู่หน่อยสิ จะได้นั่งคุยกัน ” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยชวน
“ ผมมีนัดกับลูกค้าตอนบ่ายสามโมงคงอยู่คุยกับปู่นานไม่ได้นะครับ ”
“ ปู่ก็แค่อยากคุยอะไรนิดหน่อยเอง เอาเป็นว่าไปหาอะไรดื่มกันที่ร้านกาแฟในโรงพยาบาลแล้วกันจะได้ไม่เสียเวลา ดีไหม ”
ผู้เป็นหลานนอกสายเลือดสบสายตากับชายในรถยนต์ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้ความเคลื่อนไหวของตัวเองก่อนจะยอมพยักหน้าตกลงรับข้อเสนอแล้วขับรถตามหลังไปจนมาถึงโรงพยาบาล ทั้งสองพากันเดินไปยังร้านกาแฟ เลือกนั่งในมุมลับตาคนตามความเคยชินแล้วจึงสั่งเครื่องดื่ม
คอยด์สูดกลิ่นหอมกรุ่นของชาเอิร์ลเกรย์ในถ้วยกระเบื้องเคลือบเขียนลายดอกไม้แล้วยกจิบทีละนิดโดยไม่เติมครีมหรือน้ำตาล ขณะที่คนตรงข้ามก็ดื่มกาแฟเอสเปรสโซพลางเหลือบมองอีกฝ่ายไว้เป็นระยะ
“ เอกสารหลักฐานที่ส่งไปได้รับแล้วใช่ไหม ” ชายชราวางถ้วนลงในจานรองพร้อมกับการเอ่ยถามทำลายความเงียบระหว่างกัน
“ ครับ ” ตอบรับสั้นก่อนจะต่อ “ แต่ผมจำได้ว่าเราไม่เคยมีความสัมพันธ์กับทางนิปปอนรอยัล อีกอย่างหลักฐานการทุจริตทั้งหมดฝ่ายนั้นก็ส่งให้ทางอังคพิมานหมดแล้ว ทำไมปู่ถึงมีหลักฐานพวกนี้อยู่ในมือได้อีก หรือว่าปู่กับนิปปอนรอยัลรู้จักกัน ” เสียงของเขาขาดหายไปเพิ่งคิดเฉลียวใจได้ว่า การเข้ามาสอดแนมของนิปปอนรอยัลอาจเกี่ยวข้องกับผู้เป็นปู่รวมถึงหลักฐานที่ฝ่ายนั้นกำลังรวบรวมอาจเป็นของปลอม
“ เราเพิ่งรู้หรือว่าปู่รู้จักกับทางนั้นนะ...นึกว่ารู้ตั้งแต่ไปฉะกับแม่สาวสวยคนนั้นแล้วซะอีก ” บอกให้ทราบแล้วหยิบขนมปังเนยสดมาฉีกเป็นชิ้น
“ แสดงว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของปู่ด้วยหรือครับ ”
“ จะว่าเป็นแผนคงไม่ได้ เพราะปู่แค่ยืมมือพวกนั้นให้เอาหลักฐานจริงมาให้เท่านั้นเอง ”
“ นิปปอนรอยัลคงจะมีความลับมากกว่าแค่เรื่องยาเสพติดกับฟอกเงินใช่ไหมครับ ”
“ ความลับของทางนั้นถึงขนาดล้มอธิบดีกรมตำรวจกับรัฐมนตรีของญี่ปุ่นได้ ก็คิดดูสิว่ามันเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน โชคดีที่ปู่ได้ข้อมูลพวกนี้มาก็เลยเอามาใช้ประโยชน์สักหน่อย ” เขาพูดอย่างสบายอารมณ์ราวกับการกอบกุมความลับดำมืดขององค์กรอื่นมาหาประโยชน์เป็นความชอบธรรม
พอลดื่มกาแฟพลางสูดลมหายใจหนัก...ปกติปู่จะไม่ก้าวก่ายเรื่องการทำงานของเขา แต่ครั้งนี้ปู่ถึงขั้นลงมือช่วยด้วยตัวเองย่อมหมายความว่างานนี้มีความสำคัญเกินกว่าจะปล่อยให้พลาดได้และเป็นการบีบกันกลายๆให้รับจัดการกับงานที่กำลังทำอยู่ให้เสร็จสิ้นเสียที
“ ทางนั้นก็เตรียมจะฟ้องอยู่แล้ว เราก็น่าจะปล่อยให้คนในจัดการกันเอง รอจังหวะอีกหน่อยค่อยบีบให้ขายหุ้นน่าจะดีกว่า ไม่ต้องเปลืองแรงด้วย ”
“ สิ่งที่ปู่ต้องการไม่ใช่การฟ้องร้องแต่เป็นการบีบให้ขายหุ้น ถ้ามีเรื่องฉาวออกไปภาพลักษณ์ขององค์กรจะเสียหาย ปล่อยให้มันสวยหรูดูดีไปอย่างนี้แหละดีแล้ว ”
“ ถ้าได้อังคพิมานโฮเต็ลไปแล้ว ปู่คิดหรือยังครับว่าจะทำยังไงกับมันต่อ ”
“ ปู่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ขอแค่ได้มันคืนมาก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อก็ไม่สายนี้ ” คนตรงข้ามแย้มริมฝีปากอย่างมีเลศนัยปล่อยให้คู่สนทนาแคลงใจในถ้อยคำว่าได้คืนซึ่งเหมือนกับว่าที่แห่งนี้เคยตกเป็นของครอมเวลมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากจบประโยคนั้นชายต่างวัยทั้งสองก็นั่งดื่มกันไปเงียบๆ ต่างฝ่ายต่างหยั่งเชิงกันถึงความในใจที่ซ่อนอยู่ก่อนที่ผู้มากวัยจะปิดฉากการพบปะกันครั้งนี้ด้วยตัวเอง
“ ยังไงก็รีบทำงานนี้ให้เสร็จเถอะ...ถึงปู่จะให้เวลาเพิ่มเพื่อจัดการเรื่องงานศพของแม่ แต่ยังมีงานอีกหลายอย่างรวมทั้งเรื่องเปลี่ยนนามสกุลรออยู่ อย่าลืมว่าเราเป็นทายาทอันดับหนึ่งของปู่ซะล่ะ...เอาล่ะ ตอนนี้ก็คุยกันพอสมควรแล้ว อยากจะไปเยี่ยมใครหรือพบลูกค้าคนไหนก็ไปได้แล้ว ”
ชายหนุ่มตอบรับคำสั้นก้มศีรษะทำความเคารพ วางเงินค่าเครื่องดื่มของตนเองและปู่ไว้บนโต๊ะแล้วหมุนตัวเดินออกจากร้านตรงไปที่ลิฟต์
คอยด์จิบชาเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของหลานชายนอกสายเลือดอย่างใจเย็นจนกระทั่งลับสายตาจึงกดโทรศัพท์พิมพ์ข้อความเป็นรหัสส่งไปหาใครคนหนึ่งสักพักก็มีหญิงสาวสวมเสื้อกราวน์ยาวสีขาวทำทีเป็นเดินหาที่นั่งดื่มกาแฟก่อนจะหยิบกล่องเก็บความเย็นขนาดประมาณฝ่ามือวางลงบนโต๊ะแล้วผละไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ตามปกติ
นิ้วเรียวแข็งไล้ไปตามแนวของวัตถุทรงเหลี่ยม นัยน์ตาสีเขียวมรกตคมกริบดุจพยัคฆ์กลางป่าลึกทอดมองยังดอกลิลลี่สีขาวที่ลอยอยู่ในอ่างแก้วกลางโต๊ะ สัมผัสได้ว่า จิตใจของหลานชายอ่อนแอก็ทำให้หวนรำลึกถึงอดีตหนหลังอันงดงามที่สุดท้ายก็กลายเป็นหนามแหลมย้อนมาแทงให้คอยบ่งจวบจนทุกวันนี้
ความรักรั้งแต่จะทำให้มนุษย์ยอมสูญเสียทุกอย่างแม้แต่ตัวตนเพียงเพื่อความรัก หากผลสุดท้ายเมื่อความรักโบกโบยจากไปสิ่งที่เหลือทิ้งไว้ก็มีเพียงความว่างเปล่า
...ช่างเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย...
****************************
เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำให้หญิงชราคนเดียวในห้องถึงกับสะดุ้งผุดลุกจากโซฟามาก็เห็นคุณหนูของตนหิ้วขนมถุงใหญ่เข้ามาในห้องก็ดีใจรีบเข้าไปหาเพื่อรายงานให้ทราบถึงความเหม่อลอยของคนป่วยด้วยความกังวลใจ ส่วนรสาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงพอเห็นหน้าผู้มาใหม่ก็ถึงกับเม้มริมฝีปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
ภาควัฒน์พยักหน้ารับฟังทุกอย่างจากแม่นมก็เดินอ้อมไปหยุดยืนอยู่ข้างร่างของหญิงสาวมัดผมม้า...ศศิวิมลเหมือนจะรู้ตัวจึงหันหน้ามามอง ในดวงตาเกิดประกายเศร้าไม่ถึงวินาทีก็หายลับทิ้งไว้เพียงความเย็นชา
“ ขอโทษนะที่พี่มาช้า พอดีมีงานให้เคลียร์เยอะ แล้วนี่หมอขึ้นมาหาหรือยังคะ ” คนเป็นสามีเอ่ยถาม
“ ตอนเที่ยงมีพยาบาลมาเจาะเลือดกับวัดความดันไปแล้วคะ คิดว่าอีกสักพักหมอน่าจะเข้ามาดู ” หญิงสาวอีกคนชิงตอบแทนคนป่วยพอดีกับที่แพทย์หญิงเจ้าของไข้จะเดินเข้ามาตรวจดูอะไรอีกเล็กน้อยก็คุยกับทุกคนในห้องให้ทราบถึงอาการที่ดีขึ้น ให้น้ำเกลือกับนอนโรงพยาบาลอีกวันก็กลับบ้านได้
“ ดิฉันขอกลับบ้านวันนี้เลยไม่ได้เหรอคะ ” คนบนเตียงร้องขอกับผู้รักษา
“ ที่จริงก็กลับได้นะคะ แต่หมอคิดว่าถ้าคนไข้นอนโรงพยาบาลน่าจะได้พักผ่อนเต็มที่มากกว่า แต่ถ้าจะกลับจริงๆหมอจะเซ็นให้ค่ะ แต่คนไข้ต้องสัญญานะคะว่ากลับไปแล้วจะกินยาและพักผ่อนให้เพียงพอ ”
“ อย่าดีกว่าครับหมอ...ผมอยากให้ภรรยานอนที่นี่มากกว่า ” ฝ่ายสามีทัดทานทันทีที่เห็นแพทย์จะอนุญาตให้คนไข้กลับบ้านได้
“ ดิฉันจะทำตามคำแนะนำของหมอทุกอย่างค่ะ ขอแค่ให้ดิฉันกลับบ้านวันนี้ก็พอ ” อีกฝ่ายสวนกลับ
“ อย่าอวดเก่ง พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้นอนที่นี่ก่อนจนกว่าจะหายนะ ”
“ เล็กก็บอกแล้วไงค่ะว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว พี่ภาคไม่ต้องกลัวว่าเล็กออกไปแล้วจะเป็นลมให้พี่ลำบากอีกหรอกคะ เล็กไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้น ” หญิงสาวขึ้นเสียงใส่ทำเอาคนทั้งห้องเงียบกริบ ก่อนจะย้ำความต้องการของตัวเองอีก
“ หมอจะให้ออกจากโรงพยาบาลช่วงเย็นๆแล้วกันนะคะ ” แพทย์เจ้าของไข้สรุปด้วยรอยยิ้มแล้วออกจากห้องไป
ชายหนุ่มมองความดื้อดึงของคนตัวเล็กที่กึ่งนอนกึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัย...ความเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดทำให้รู้สึกเป็นกังวลและโกรธในคราวเดียวกัน
“ ถ้าเล็กอยากดูแลแม่ใหญ่มากนัก ก็ควรพักให้ตัวเองหายดีก่อน ไม่ใช่ดื้อจะออกให้ได้อย่างนี้ อีกอย่างคนในอังคพิมานตั้งเยอะแยะ เขาคงไม่ใจร้ายปล่อยให้เจ้านายตัวเองนอนป่วยหนักคนเดียวหรอก ”
“ ให้คนอื่นไปดูไม่ได้หรอกคะ มีแต่เล็กคนเดียวที่สมควรดูแลแม่ใหญ่ โดยเฉพาะตอนป่วยหนักแบบนี้แหละยิ่งดี เล็กจะได้ดูไว้เตือนตัวเอง ” หล่อนยังคงมุ่งมั่นอยู่กับการออกไปดูแลคนป่วยที่นอนอยู่ในไอซียู คนฟังก็ทำได้แต่ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
“ เอาอย่างนั้นก็ได้แล้วตอนเย็นพี่จะมารับกลับบ้าน ”
“ ไม่ต้องหรอกคะ...พี่ภาคมีงานต้องทำเยอะแยะ เดี๋ยวเล็กให้ยายช้อยกับสาพากลับบ้านได้ ”
“ พี่บอกจะมารับไม่เข้าใจเหรอ ”
“ แค่จ่ายเงินค่าโรงพยาบาลให้มารักษาตัวให้เล็กก็รู้สึกไม่ดีพอแล้ว อย่าให้เล็กต้องกลายเป็นภาระไปมากกว่านี้แล้วค่ะ ”
นั่นเป็นอีกครั้งที่ภายในห้องตกอยู่ในภาวะเงียบงันจากนั้นคนตัวเล็กก็ล้มตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้เพื่อนและชายผู้เป็นสามีไปทางยายช้อยแสร้งปิดตาเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตอบคำถามอะไรให้ทรมานใจอีก
“ เล็กเหนื่อยขอนอนก่อนนะคะ ”
คนตัวใหญ่ขมวดคิ้วเริ่มไม่พอใจกับความมึนตึงของอีกฝ่ายจนเผลอกำหมัดแน่น ขยับจะเข้าไปเรียกให้ลุกขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องแต่ก็ถูกมือของคนบนเก้าอี้คว้าไว้ให้หยุด พอเหลือบมามองก็เห็นเพื่อนสนิทของคนบนเตียงส่ายหน้าปรามไม่ให้ตอแยต่อ
ภาควัฒน์ขบกรามแน่นขณะเฝ้ามองแผ่นหลังบางที่นอนอยู่บนเตียงพลางสูดลมหายใจลึกล้ำเพื่อข่มกลั้นอารมณ์เดือดพล่านจากความไม่เข้าใจของตัวเองแล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาให้ต้องกดรับ ปลายสายเป็นเลขานุการโทรมาแจ้งเตือนให้ทราบว่าใกล้ถึงเวลานัดพบลูกค้า
“ อยากทำอะไรก็ทำเลยตามใจ ” เขาทิ้งท้ายเท่านั้นก็หุนหันออกไปจากห้องโดยมียายช้อยตามออกไปส่ง
ศศิวิมลเปิดตาในทันทีที่ได้ยินเสียงปิดประตู...นัยน์ตาว่างเปล่าห่างเหินฉายแววเจ็บสาหัญเหมือนนกปีกหักใน
กรงทองที่รอคอให้ผู้ดูแลเหลียวมาสนใจกันด้วยหัวใจแท้จริงสักครั้ง หากก็ได้แต่หักใจเก็บกดความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่จากไปไว้
เพราะไม่อาจทนเห็นชายผู้เป็นที่รักต้องลำบากตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก หล่อนจึงสมควรเป็นฝ่ายถอยหลังออกมาและยอมรับความจริงที่ว่า เขาอยู่ไกลเกินกว่าที่คนโง่เขลาเบาปัญญาอย่างหล่อนจะเอื้อมไปถึง
ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ย. 2554, 18:19:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ย. 2554, 18:19:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 2228
<< บทที่ 22 | บทที่ ๒๔ >> |
anOO 24 ก.ย. 2554, 20:14:25 น.
เฮ้อ...ต่างคนต่างเป็นตัวของตัวเองไม่ได้
ทำตามใจไม่ได้ รักอย่างที่ใจต้องการก็ไม่ได้อีก
เฮ้อ...ต่างคนต่างเป็นตัวของตัวเองไม่ได้
ทำตามใจไม่ได้ รักอย่างที่ใจต้องการก็ไม่ได้อีก
violette 25 ก.ย. 2554, 00:06:51 น.
ทำไมหนอชีวิตเล็กมันถึงน่าเศร้าได้แบบนี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องรวมชีวิตคนเศร้าสินะคะ แหะๆ
เฮ้อ ทำไมทุกคนต้องยอมให้คนอื่นมาบลการความต้องการและหัวใจตัวเองกันได้ง่ายๆแบบนี้นะ
ทำไมหนอชีวิตเล็กมันถึงน่าเศร้าได้แบบนี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องรวมชีวิตคนเศร้าสินะคะ แหะๆ
เฮ้อ ทำไมทุกคนต้องยอมให้คนอื่นมาบลการความต้องการและหัวใจตัวเองกันได้ง่ายๆแบบนี้นะ
violette 25 ก.ย. 2554, 00:07:21 น.
หายไวๆนะคะไรเตอร์ :)
หายไวๆนะคะไรเตอร์ :)
ปาณณิศา 25 ก.ย. 2554, 01:30:01 น.
สมชื่อจองจำดวงใจไหมละคะ 555
สมชื่อจองจำดวงใจไหมละคะ 555
อริสา 25 ก.ย. 2554, 02:21:53 น.
เศร้าได้อีก
เศร้าได้อีก
pretty 26 ก.ย. 2554, 10:28:55 น.
เศร้าจัง
เศร้าจัง
คิมหันตุ์ 26 ก.ย. 2554, 22:10:57 น.
เหมือนเรื่องราวเพิ่งเริ่มต้น. T_____T
เหมือนเรื่องราวเพิ่งเริ่มต้น. T_____T