เวทีกามเทพ
การประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส นำพาให้มนัญชยาได้ร่วมงานกับกีรดิตดารา นักร้องหนุ่มในดวงใจ ทั้งยังชักนำแรงใจมาให้ยศวันต์พี่ชายของเธอถึงข้างเวทีมวย

แต่เมื่อกีรดิตดูเหมือนจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทั้งกฤตินีที่ยศวันต์หลงรักแต่แรกพบก็คบหากับถิรเจตดาราหนุ่มร่วมค่ายของพี่ชาย อะไรต่ออะไรเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด
Tags: กมลภัทร นักร้อง นักแสดง ละครเวที นักมวย

ตอน: ตอนที่ 5

เช้าวันถัดจากการแพร่ภาพรายการเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสวันแรก บุญช่วยตะโกนโหวกเหวกเรียกคนทั้งบ้าน มนัญชยา ยศวันต์และโชคช่วยเปิดประตูห้องนอนออกมาเกือบจะพร้อมกัน

“อะไรกันพี่ช่วย ไฟไหม้บ้านเหรอ”

“ไฟไหม้บ้านเอ็งสิ เอ๊ย...ก็บ้านข้าด้วยนี่หว่า ไม่ใช่ไฟไหม้โวย มีคนพาลูกมาสมัครเรียนมวยไทย”

“จริงเหรอพี่ช่วย”

“ก็จริงสิวะ ข้ากลับจากออกไปซื้อปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้ก็เจอยืนรอกันอยู่หน้าค่าย”

มนัญชยากับยศวันต์มองกันยิ้ม ๆ ทีมงานรายการเลือกนำเทปสัมภาษณ์ของหญิงสาวออกอากาศตั้งแต่วันแรกและที่สำคัญยังคงช่วงที่เธอพูดถึงโครงการของลุงและพี่ชายเอาไว้ตามคำร้องขอ

‘ค่ายช.โชคชัยกำลังมีโครงการที่จะเปิดสอนมวยไทยสำหรับเด็กค่ะ เป็นการส่งเสริมให้เด็กไทยเรียนรู้แม่ไม้มวยไทยขั้นพื้นฐาน แล้วก็ถือว่าได้ออกกำลังกายไปด้วย’

พ่อกับลุงที่นั่งดูอยู่ด้วยกันร้องออกมาอย่างตกใจเพราะตอนที่สัมภาษณ์ช่วงนี้ทั้งสองไม่ได้อยู่ดูด้วยจึงยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าค่ายมวยมีโครงการที่เธอว่า เมื่อรายการตัดเข้าสู่ช่วงผู้สนับสนุนรายการโชคชัยก็หันขวับมาถามลูกสาวทันที

‘นี่มันอะไรกันเจ้าเกี๊ยว’

‘นั่นน่ะสิ’ บุญช่วยผสมโรงกับน้องชาย ‘ข้าสองคนเคยสอนเด็กซะที่ไหน สอนแต่พวกที่โตเป็นหนุ่มพร้อมขึ้นสังเวียน แล้วมวยเด็กมันจะไหวเหรอวะ’

‘โธ่! พ่อ ก็เกี๊ยวมันก็ให้สัมภาษณ์อยู่ว่าเรียนพื้นฐานมวยไทย ให้ออกกำลังกายไม่ได้เน้นให้ขึ้นชกจริงเสียหน่อย แล้วเด็ก ๆ น่ะได้ออกกำลังกายก็ดีกับสุขภาพนะพ่อ’ ยศวันต์ว่า ‘ถ้าพ่อกับลุงไม่สอน ผมสอนให้เองก็ได้ ถ้ามีเด็กมาเรียนจริงอย่างน้อยเราก็มีเงินเข้ามาช่วยค่าใช้จ่ายบ้าง’

‘วินมอ’ไซค์ก็วิ่ง ซ้อมมวยก็ซ้อมแล้วมาสอนมันจะไหวเหรอวะ’ บุญช่วยถาม ‘วันนึงของเอ็งไม่ได้มีสี่สิบแปดชั่วโมงนะไอ้แหนม’

‘สอนเด็กก็ได้วอร์มไปด้วย แล้วเด็กก็ไม่ได้เรียนกันทั้งวันนี่ลุง สอนเสาร์ อาทิตย์ระหว่างวันก็ได้’

‘ไม่ต้อง ๆ’

‘อ้าว! พ่อ ผมกับเกี๊ยวอุตส่าห์ช่วยคิดหาทางเอาเงินเข้าค่ายมวยเพิ่มแล้วนา พ่อจะไม่ลองคิดดูหน่อยเหรอ’

‘ข้าหมายถึงว่าเอ็งน่ะ ไม่ต้องมายุ่งเรื่องสอนเด็กอีกหรอก เอาตัวเอ็งให้รอดก่อนเถอะ พ่อกับลุงจัดการกันได้’

‘ข้าด้วยเหรอวะ’ บุญช่วยชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงง ๆ ‘ยังไม่ได้รับปากสักหน่อย’

‘ก็แล้วแต่พี่ช่วยเถอะ ว่าจะช่วยฉันรึเปล่า ค่ายมวยนี่พี่ก็ช่วยฉันสร้างขึ้นมา จะปล่อยให้มันล้มก็แล้วแต่พี่ช่วย’

‘ใจน้อยไปได้ ข้าก็แค่ล้อเล่น เอาเป็นว่าตกลง ข้ากับเอ็งช่วยกันสอน...ให้มันมีเด็กมาสมัครก็แล้วกัน’

‘ต้องมีบ้างสิลุง’ มนัญชยาพูดอย่างเปี่ยมความหวัง ‘อาจจะมีไม่มากแต่มันก็ต้องมีมาบ้าง เชื่อเกี๊ยวสิ’

ตอนนั้นหญิงสาวไม่ได้หวังว่าผลตอบรับกับการออกอากาศในรายการเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสจะมาเร็วถึงเพียงนี้ หากเมื่อทุกคนได้ยินข่าวก็พากันวิ่งลงไปหน้าค่ายมวยทันที มนัญชยานั้นวิ่งกลับเข้าไปในห้องหยิบเอกสารออกมาด้วยหนึ่งชุด



เด็กชายในชุดนักเรียนที่จับมือแม่ยืนรออยู่หน้าค่ายนั้นน่าจะอายุราวแปดขวบ ส่วนสูงนั้นเป็นไปตามมาตรฐานเด็กวัยเดียวกันทว่าน้ำหนักนั้นดูน่าจะเกินกว่าเด็กทั่วไปราวสองเท่า มือข้างที่ไม่ได้จับมือแม่นั้นถือโดนัทชิ้นใหญ่ซึ่งถูกกัดแหว่งไปแล้วหลายคำ และเจ้าหนูก็เคี้ยวมันตุ้ยอยู่ในปาก

แม่เด็กยกมือไหว้ชายที่ดูจะสูงวัยกว่าเธอทั้งสองคนและรับไหว้หนุ่มสาวก่อนจะย่อตัวลงพูดกับลูกชาย

“ไหนบอกแม่ว่าอยากมาออกกำลังกายไงครับ”

“ครับ” เจ้าหนูตอบทั้งที่ยังมีแป้งโดนัทอยู่ในปาก ดึงมือจากมารดาแล้วชี้นิ้วป้อมมาทางมนัญชยา “อยากมาเรียนชกมวยกับพี่คนสวย”

ยศวันต์หัวเราะพรวดออกมาเบา ๆ ก่อนสูดปากเมื่อน้องสาวหยิกเข้าให้ที่สีข้าง

“ถ้ามีเวลาพี่เกี๊ยวเป็นคนพาวิ่งเองก็ได้นะคะ แต่ว่าถ้าจะเรียกท่าชกมวยต้องให้คุณลุงสองคนนี้สอน”

“พี่คนสวยจะได้เข้ารอบรึเปล่าครับ ผมอยากถ่ายรูปไปอวดเพื่อน”

“เรื่องเข้ารอบยังไม่แน่หรอกจ๊ะ แต่พี่สัญญาว่าถ้าได้เข้ารอบจะถ่ายรูปคู่กับน้องเป็นคนแรกเลย แต่ถ้าเกิดว่าพี่ไม่ว่างมานำวิ่ง น้องต้องสนใจเรียน ตั้งใจเรียนกับคุณลุงสองคนนี้นะคะ”

ดวงตาเล็กคู่นั่นกรอกไปมาราวกับจะบอกว่าเจ้าตัวกำลังดีดลูกคิดรางแก้วอยู่ในใจ ไม่นานเด็กน้อยก็พยักหน้าเบา ๆ

“ก็ได้ครับ”

“คุณแม่คะ เดี๋ยวคุณแม่คุยรายละเอียดกับพี่ชาย คุณพ่อคุณลุงของเกี๊ยวได้เลยนะคะ เริ่มเรียนวันเสาร์นี้เลยก็น่าจะดี”

“เฮ้ย...เจ้าเกี๊ยวพ่อยังไม่ได้...”

“นี่จ๊ะพ่อ” มนัญชยาส่งเอกสารในมือให้ผู้ให้กำเนิด “รายละเอียดเรื่องค่าเรียนเวลาเรียน เกี๊ยวทำตารางไว้ให้แล้ว ให้คุณแม่เขาเลือกเลยว่าจะให้น้องมาเรียนเมื่อไหร่ ส่วนเรื่องเงินไว้ค่อยเก็บวันที่พามาเรียนวันแรกก็ได้ พี่แหนมก็ช่วยพ่อกับลุงดูหน่อยก็แล้วกันไปวิ่งวินช้าหน่อยคงได้นะ”

“แล้วไม่กินปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ก่อนเหรอเจ้าเกี๊ยวลุงอุตส่าห์ออกไปซื้อให้แต่เช้า”

“ไม่ล่ะจ๊ะลุง วันนี้เกี๊ยวต้องรีบไปให้ถึงที่ทำงานแต่เช้า รีบเคลียร์งานให้เสร็จ จัดอะไรไว้ให้เป็นระบบระเบียบ จะได้ง่ายเวลามีคนมาทำต่อ”

มนัญชยายื่นใบลาออกมาตั้งแต่รู้ว่าตนได้เข้ารอบห้าสิบคนและเริ่มเรียนร้องเพลงแล้ว และวันนี้ก็จะเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของหญิงสาว แม้อนาคตจะยังไม่แน่นอนแต่เธอก็คิดว่าคงไม่ยากเกินไปนักสำหรับคนวัยเธอหากจะเริ่มต้นหางานประจำทำใหม่กรณีที่ไม่สามารถเข้าไปสู่รอบลึกและได้รับโอกาสทำงานในวงการบันเทิงอย่างที่หวัง



เพื่อนร่วมงานที่สนิทกันนัดหมายจะพามนัญชยาไปเลี้ยงส่งที่ร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลีแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่ทำงานนัก หญิงสาวจึงโทร.ไปบอกที่บ้านว่าอาจต้องกลับดึก โชคชัยให้เธอคุยกับพี่ชายทันทีเพื่อนัดหมายเวลาให้ยศวันต์มารอรับ

หนุ่มนักมวยขี่รถจักรยานยนต์มาถึงร้านก็จอดรออยู่บริเวณที่จอดรถ ร้านอาหารแห่งนี้อยู่ในย่านใจกลางเมือง กลุ่มเป้าหมายของร้านเป็นคนที่มีกำลังการใช้จ่ายสูงพอสมควรดังนั้นที่จอดรถของลูกค้าจึงมีเพียงที่จอดสำหรับรถยนต์ ยศวันต์มองซ้ายมองขวาจึงเห็นว่ามีที่จอดรถจักรยานยนต์ส่วนของพนักงานร้านเขาขับรถไปทางนั้น

พนักงานชายซึ่งน่าจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจอดรถให้ลูกค้ามองเขาอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มจึงแจ้งว่าเขามารอรับน้องสาวและได้รับอนุญาตให้จอดรอในที่จอดรถจักรยานยนต์พนักงานได้

“แต่ยังไงพี่ช่วยเฝ้าให้ผมหน่อยนะ ผมปวดท้อง วันนี้พนักงานอีกคนก็ดันลาซะด้วย”

“เฮ้ย...น้อง...พี่ไม่เคย”

“ไม่มีอะไรมากหรอกพี่ ก็แค่คอยดูให้เท่านั้นแหละ ร้านเขาไม่ได้ให้ไปโบกรถอยู่แล้วเขากลัวไปรบกวนขอทิปแขก เขาแค่ให้เดินดูทรัพย์สินให้ลูกค้าเป็นระยะ ผมฝากหน่อยนะพี่นะ ปวดท้องจริง ๆ”

หนุ่มรุ่นน้องพูดพลางเดินหนีไปอีกทางทิ้งให้ยศวันต์อ้าปากค้าง ถอนใจหนักก่อนจะยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาข้อมือซึ่งซื้อมาจากตลาดนัดได้ราวสองปี แม้เป็นของราคาถูกแต่ก็ไม่เคยงอแง มีแต่ถ่านอ่อนต้องไปเปลี่ยนตามที่กำหนด ที่จริงเขาจะต่อสายเรียกน้องสาวออกมาจากร้านทันทีที่มาถึงก็ทำได้หากเข้าใจว่าน้องสาวคงอยากจะใช้เวลาอยู่กับกลุ่มเพื่อนร่วมงานในวันเลี้ยงส่งให้นานที่สุดจึงยืนรออยู่ที่รถ

“น้อง ๆ”

เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น สำหรับเขาแล้วเสียงเรียกนั้นฟังดูวางอำนาจเล็กน้อย ขณะที่กำลังสงสัยว่าชายคนนั้นเอ่ยเรียกใคร เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกพร้อมกับที่ฝ่ามือของผู้เอ่ยเรียกตบลงบนบ่าของยศวันต์

คนถูกเรียกหันไปมองพบชายร่างสูง...ก็สูงกว่าเขาไม่มากนักแค่ยศวันต์ต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยถึงจะมองสบตาอีกฝ่ายได้พอดีก็เท่านั้น

“น้องมาช่วยพี่เข็นรถหน่อยสิ”

“เอ่อ...ผม”

“ทางนี้เลยน้องอย่าช้า”

เขาไม่ทันได้แย้งอีกฝ่ายก็สำทับขึ้นแล้วเดินนำไปทันที ชายหนุ่มคุ้นว่าคนที่มาเรียกเขานั้นเป็นดารานักแสดงแต่ไม่เคยสนใจจะจำชื่อ ยศวันต์ยืนลังเลอยู่ก่อนที่จะเดินตามไปพลางชะเง้อหาพนักงานตัวจริงหากดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นจะยังไม่เสร็จธุระส่วนตัว

ดาราหนุ่มคนนั้นเดินไปถึงรถของตัวก็ชี้ไปที่รถซึ่งจอดซ้อนคันอยู่

“คันนี้เลยน้อง”

ยศวันต์มองตามดาราหนุ่มไปก็พบหญิงสาวซึ่งเขาได้พบเพียงครั้งเดียวแต่จดจำใบหน้าได้ดี ทว่าเหมือนเธอจะไม่ได้ใส่ใจเขาเพราะสายตาของหญิงสาวนั้นจับอยู่แต่กับที่ชายอีกคนหนึ่งในที่นั้น

พี่น้องคงไม่มองกันแบบนี้

“มาแล้วครับน้องกิ่ง ขอโทษนะครับที่ทำให้รอนาน”

“ไม่เป็นไรค่ะ...พี่เจต”

อ้อ...เจต...ถิรเจตอะไรสักอย่างนี่เอง

ชายหนุ่มนึกชื่อดาราชายคนนี้ขึ้นมาได้จากคำเรียกขานของหญิงสาว กฤตินียังคงยิ้มกว้างกระทั่งหันมามองเห็น ‘พนักงาน’ ที่มาช่วยเข็นรถก็เบิกตาโตอย่างตกใจระคนประหลาดใจ

“พี่แหนมทอด...เป็นพนักงานที่นี่เหรอคะ โลกกลมจัง บังเอิญเจอกันที่นี่ได้”

“เอ่อ...”

“น้องกิ่งขึ้นรถเถอะครับ” ดาราหนุ่มเดินไปเปิดประตูรถด้านข้างคนขับให้หญิงสาว สายตาที่จับจ้องมาทางยศวันต์ ทำให้เป้าสายตารู้สึกเหมือนถูกจับผิด

“กิ่งไปก่อนนะคะพี่แหนมทอด”

ยศวันต์ยิ้มให้หญิงสาวขณะออกแรงดันท้ายรถที่จอดขวางอยู่ในเลื่อนไปข้างหน้า มองตามรถที่ขับออกไปจากช่องจอด ยกมือขึ้นกุมอกเมื่อรู้สึกถึงอาการประหลาดที่เกิดกับตัวเอง



การแข่งขันในรอบการแสดงนั้นผู้ผ่านเข้ารอบยี่สิบห้าคนต้องเรียนการแสดงเบื้องต้นก่อนที่จะได้เจอกับโจทย์หินนั่นคือการได้ร่วมแสดงในละครซิทคอมของทีโอพี เทเลวิชั่น ห้าเรื่องแพร่ภาพในหลายช่องโทรทัศน์ บทที่หญิงสาวแต่ละคนได้รับถือว่าเป็นบทที่เล็กมากสำหรับการออกอากาศหนึ่งตอน แต่เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่สำคัญที่สุดเพราะคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้กำกับและนักแสดงในสังกัดทีโอพีจะพิจารณาจากเทปการแสดง ในส่วนของผู้กำกับนั้นจะรวมถึงความสามารถในการรับรู้ถึงสิ่งที่ผู้กำกับสื่อให้แสดงออกด้วย

มนัญชยาได้แสดงให้เรื่อง บ้านสุดท้ายฝั่งซ้ายซอยสี่ ซึ่งเป็นเรื่องราวความวุ่นวายของบ้านสี่พี่น้อง เธอจะต้องเข้าฉากกับถิรเจตซึ่งแสดงเป็นลูกชายคนหนึ่งของบ้าน ในฉากที่เขาอกหักและมานั่งคิดถึงคนรักในสวนสาธารณะและได้พบกับหญิงสาวที่จูงสุนัขเข้ามาขอนั่งด้วย การสนทนาเพียงสั้น ๆ ของทั้งคู่ทำให้เขายิ้มออกมาได้

รอบทดสอบการแสดงนี้เธอได้แยกกลุ่มกับปริศนาซึ่งไปแสดงในละครอีกเรื่องหนึ่ง ทำให้หญิงสาวรู้สึกสบายใจขึ้นมากที่ไม่ต้องคอยเจอสายตาไม่เป็นมิตรและการหาเรื่องคอยแขวะเล็กแขวะน้อย ทว่าเมื่อได้รับบทมาอ่านและฟังความต้องการของผู้กำกับก็ทำเอาหนักใจเพราะบทสนทนานั้นเรียบง่ายมาก แต่เธอต้องแสดงให้คนเชื่อว่า กิริยาท่าทางของหญิงสาวแปลกหน้าในเรื่องจะทำให้ตัวละครที่รับบทโดยถิรเจตยิ้มออกมาได้ทั้งที่ยังเศร้า

ทำยังไงนะ...แค่คุยกันเฉย ๆ แต่ทำให้อีกคนยิ้มได้

“ใจเย็น ๆ นะครับ ลองคิดถึงตอนที่ปลอบใจใครสักคนสิครับ เอาเพื่อนสนิทหรือว่าญาติพี่น้องก็ได้” นักแสดงหนุ่มที่เธอเคยเจอครั้งแรกเมื่อวันประกาศผลเข้ารอบห้าสิบคนและได้มาเจออีกครั้งในวันนี้ส่งยิ้มและให้กำลังใจ “ทำตัวให้เป็นธรรมชาตินะครับ บทไม่ต้องจำให้แป๊ะทุกคำก็ได้ แต่ให้ได้ใจความต่อบทได้ก็พอ ไม่อย่างนั้นจะเกร็งเกินไปกลัวพูดบทผิด”

ถิรเจตกล่าวจบผู้กำกับก็สั่งให้เขาเดินเข้าไปนั่งในฉากภายในสตูดิโอซึ่งจัดไว้ให้เป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ยาวสีขาว และทันทีที่สิ้นคำว่าแอ็คชั่น ใบหน้าของถิรเจตที่ดูเป็นปกติเมื่อครู่ก็แปรเป็นสลดลง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่จะดึงศีรษะกลับมาให้พอดีกับกล้องที่จับอยู่ที่ด้านหน้าของเขาอีกครั้ง หัวเราะ...หากการหัวเราะนั้นสะเทือนไปถึงใจของมนัญชยาที่ยืนมองอยู่

คิดถึงตอนปลอบใจใครสักคน...พี่แหนม

พี่ชายของเธอขึ้นชกและพ่ายแพ้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง มนัญชยาเคยแอบเห็นถึงท่าทางและแววตาทดท้อที่ยศวันต์พยายามจะซ่อนไม่ให้ใครต่อใครเห็น

หญิงสาวนึกถึงการสนทนาระหว่างสองพี่น้อง ความรู้สึกห่วงใยที่มีให้ผู้ที่มีสายเลือดเดียวกัน ความต้องการที่จะชวนคุยเรื่องทั่วไปเพื่อให้เขาสบายใจขึ้นก่อนที่จะเดินเข้าฉากตามคำสั่งของผู้กำกับ



โรงถ่ายของบริษัททีโอพี เทเลวิชั่นมีอยู่หลายสตูดิโอด้วยกัน มนัญชยาและหญิงสาวคนอื่นที่ถ่ายในโรงถ่ายเดียวกันก็ได้รับแจ้งจากทีมงานให้ไปรอที่สตูดิโอกลางซึ่งใช้ถ่ายทำรายการวาไรตี้ทอล์คโชว์ของทีโอพี เทเลวิชั่น เพื่ออัดเทปโปรโมทรายการ เดอะเธียเตอร์ ปรินเซส

มนัญชยาเห็นหญิงสาวหลายคนที่คงจะถ่ายทำเสร็จจากสตูดิโออื่นยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าจึงเลี่ยงไปยืนรอสูดอากาศอยู่ที่ลานจอดข้างสตูดิโอ

รถยนต์ยุโรปหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดบริเวณที่หญิงสาวยืนรออยู่ เธอเพิ่งหันไปสังเกตเห็นพอดีว่ามีป้ายตำแหน่งติดเอาไว้ตรงจุดจอดรถนั้นและผู้ที่เป็นเจ้าของตำแหน่งก็ก้าวลงมาจากรถ

“คุณพิธาน”

“คุณ...ที่เข้าประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสด้วยใช่ไหมครับ” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เข้าไปในโรงถ่ายเหรอครับ”

“พอดีเห็นว่ายังมีคนยืนรออยู่น่ะค่ะ ไม่อยากไปยืนแออัดกันอยู่ตรงหน้าสตูดิโอ ข้างในคงยังไม่เรียบร้อย”

“ผมว่าคุณหาที่ร่ม ๆ กว่านี้รอดีกว่านะครับอย่ายืนตรงนี้ดีกว่านะครับ แดดยังแรงอยู่ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวรับคำ สายตามองไปเห็นปริศนาซึ่งยืนอยู่ที่ข้างประตูเข้าสตูดิโอและกำลังยืนกอดอกมองเธออยู่อย่างจับสังเกต ทั้งยังคำสีหน้าเย้ยหยัน

ฉันไปทำอะไรให้ยะหรือจะเข้าใจว่า...

มนัญชยานึกได้ว่าเธอกำลังอยู่ใกล้กับคนสำคัญที่มีส่วนตัดสินใจในการเลือกผู้ชนะของการแข่งขันและปริศนาก็คงจะคิดว่าเธอกำลังเล่นสกปรกโดยการหาทางใกล้ชิดกับพิธาน

แม้จะบริสุทธิ์ใจแต่เธอก็เบื่อหน่ายกับปริศนาเต็มทนจึงถอนใจแล้วเอ่ยขอตัวกลับพิธาน รีบเดินเลี่ยงไปอีกทางและบังเอิญชนเข้าใครคนหนึ่ง แรงพอที่จะทำให้ทั้งสองซวนเซไปคนละทิศ

“อุ๊ย...ขอโทษค่ะ”

“เดินระวังหน่อยสิ” ดวงตาสีน้ำตาลคมดุดันขึงขึ้นเล็กน้อย “ซุ่มซ่ามจริง”

“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ”

เจ้าของผมและดวงตาสีน้ำตาลและใบหน้าลูกครึ่งไม่สนใจจะตอบรับคำขอโทษหากสะบัดหน้าเดินก้าวฉับ ๆ ไปทางสตูดิโอหลังถัดกันกับที่มนัญชยาจะต้องเข้าไปอัดรายการร่วมกับเพื่อนผู้เข้าประกวด

มนัญชยาหมายจะผละจากบริเวณนั้นเช่นกันหากสายตาไม่ปะทะเข้ากับวัตถุชิ้นหนึ่งซึ่งสะท้อนแสงให้เห็นอยู่บนพื้น...ต่างหูซึ่งน่าจะเป็นของดาราสาวที่เธอเดินชนเมื่อครู่

เธอรีบคว้ามันขึ้นมาจากพื้นแล้วก้าวตามดาราสาวลูกครึ่งไทยอเมริกันคนนั้นไป โรงถ่ายที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันสร้างเส้นทางเดินวกวนไปมาระหว่างตัวอาคารชั้นเดียวแต่ละหลัง และร่างนั้นก็เดินลัดเลาะไปมาอย่างรู้ทิศทางเป็นอย่างดี ผู้ที่ไม่คุ้นชินจึงต้องรีบสาวเท้าให้เร็วขึ้น หากขณะที่กำลังจะเลี้ยวตามไปยังทิศทางที่ดาราสาวเพิ่งจะก้าวเข้าไปเสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ตกลงพี่จะช่วยฉันไหม ฉันขอร้องล่ะ...ไม่ต้องห่วงหรอกฉันอยู่ที่กองแต่เดินหาที่ที่คุยสะดวกแล้ว รับรองว่ายังไงก็ไม่เดือดร้อนถึงพี่หรอกน่า”

เสียงที่ดังเป็นระยะของสิรามลนักแสดงบทสมทบที่มีงานชุกคนหนึ่งทำให้มนัญชยาทราบว่าเธอกำลังคุยกับใครคนหนึ่งอยู่ทางโทรศัพท์

“ฉันคงรอนานมากนักไม่ได้หรอกนะ ถ้าเกิดเรื่องที่กังวลอยู่มันเป็นจริงพี่ก็รู้ว่ามันต้องแดงขึ้นมาสักวัน ถึงตอนนั้นจะให้ฉันไม่ทำอะไรเลยไม่ได้หรอกนะ แค่นี้นะพี่ฉันพักกองแค่แป๊บเดียวต้องรีบกลับไปถ่ายต่อแล้ว”

มนัญชยาได้ยินเสียงท้ายประโยคดังใกล้ตัวเองเข้าทุกทีจึงหมายจะหันหลังเดินกลับ ทว่ายังไม่ทันจะก้าวเท้าก็ต้องสะดุ้งกับเสียงเรียกที่ดังขึ้นเบื้องหลัง

“นี่เธอ”

หญิงสาวหันกลับไปเผชิญหน้าพยายามยิ้มแม้ใจจะเต้นรุนแรง ถึงจะฟังเรื่องราวแล้วไม่ได้คาดเดาอะไรได้เสียหมดแต่ก็พอจะรู้ว่าการสนทนาทางโทรศัพท์ของสิรามลในครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอควรจะได้ยินได้ฟัง

“มาแอบฟังฉันคุยโทรศัพท์เหรอ เป็นนักข่าว? หรือว่า...”

“เปล่าค่ะ คือ...” มนัญชยานึกถึงสิ่งที่กำอยู่ในมือขึ้นมาได้ “ตอนที่เดินชนกัน คุณทำต่างหูหล่น ฉันเห็นเข้าก็เลยเดินตามหา แต่ยิ่งเดินเลี้ยวไปมาก็ยิ่งงงทิศคิดว่าหลงทางกำลังจะหาทางกลับ”

ลูกสาวเจ้าของค่ายช.โชคชัยส่งต่างหูที่เก็บได้คืนให้ ฝ่ายที่รับไปมองหน้าเธออย่างสงสัย

“เธอได้ยินที่ฉันพูดรึเปล่า”

“ไม่ได้ยินอะไรนี่คะ ฉันเพิ่งจะเดินมาถึงแต่กลัวว่าจะกลับไม่ถูกเพราะทางเดินระหว่างสตูดิโอพวกนี้มันดูซับซ้อนจังค่ะ เดี๋ยวจะไปไม่ทันถ่ายรายการ...”

“อ๋อ...วันนี้มีอัดเทปโปรโมทพวกเข้ารอบยี่สิบห้าคนของรายการใหม่ของพี่...” ฝ่ายนั้นพูดแล้วชะงักเล็กน้อยก่อนใช้คำแทนตัวผู้ที่กล่าวถึงใหม่ “คุณพิธาน ที่ว่าจะคัดนักแสดงละครเวทีหน้าใหม่...เธอเองก็เข้ารอบกับเขาด้วยเหรอ”

มนัญชยาพยักหน้าแทนคำตอบด้วยไม่รู้จะพูดอย่างไรกับดาราสาวที่ดูเหมือนจะเป็นคนเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย...ไม่น่าแอบมาได้ยินอะไรเลยเรา ทำหน้าไม่ถูกเลยแฮะ

“ดูหน่วยก้านไม่เลวนะ กลัวกลับไม่ถูกก็เดินตามมาก็แล้วกัน ฉันกำลังจะเดินผ่านไปทางนั้นพอดี”

สิรามลมองอย่างจับสังเกต หากมนัญชยายังคงพยายามปั้นยิ้มก่อนเอ่ยตะกุกตะกัก

“คุณซินดี้สวยจังนะคะ”

“ขอบใจนะที่ชม แต่ฉันไม่มีชื่อเป็นคณะกรรมการตัดสินการแข่งขันของเธอด้วยหรอกนะถ้าจะหวังคะแนนพิศวาสฉันคงไม่มีให้หรอก ทำหน้าที่ของเธอให้ดีก็แล้วกัน”

หญิงสาวขยับจะแย้งแต่เกรงว่าจะเป็นชนวนให้อีกฝ่ายไม่พอใจ และอาจจะคาดคั้นเรื่องที่สงสัยว่าเธอแอบได้ยินบทสนทนาทางโทรศัพท์ขึ้นมาอีก จึงเดินตามไปอย่างสงบปากสงบคำ

“เดินมาถึงตรงนี้ก็คงไม่หลงแล้วนะ สตูดิโอที่ใช้ถ่ายรายการก็อยู่ทางโน้น” สิรามลชี้นิ้ว “จริงสิ เธอชื่ออะไรนะ เผื่อว่าฉันมีโอกาสได้ผ่านตารายการจะได้ช่วยดูให้ว่าทำได้แค่ไหน”

“หมี่เกี๊ยวค่ะ”

“ชื่อแปลกดีนิ โชคดีก็แล้วกันนะ เดี๋ยวฉันขอตัวทำธุระตรงนี้แหละ”

คำพูดนั้นสร้างความสงสัยให้มนัญชยาไม่น้อยเพราะบริเวณที่สิรามลหยุดยืนเป็นซอกที่ค่อนข้างลับตา ดูไม่น่าจะมีธุระอะไรให้ใครทำได้แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร เพียงแต่เดินไปทางสตูดิโอที่มีกลุ่มเพื่อนที่ร่วมเข้าประกวดรวมตัวกันรอถ่ายทำรายการอยู่ กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง

กลุ่มควันสีเทาจางลอยออกมาจากจุดที่มนัญชยาแยกกับสิรามล เธอจึงพอจะเดาได้ว่านักแสดงสาวคงจะเลี่ยงไปยืนสูบบุหรี่เพื่อไม่ให้ใครเห็น แต่อีกสิ่งที่เธอไม่สามารถล่วงรู้ได้ก็คือ สิรามลกำลังต่อโทรศัพท์ถึงใครบางคน



หลังจากอัดรายการแนะนำผู้เข้าแข่งขันเสร็จ มนัญชยาก็เดินเท้าออกไปสู่ถนนใหญ่ แม้ว่าพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปแล้วแต่ก็บรรยากาศรอบตัวก็ไม่ได้มืดมิดเกินไปนัก ทั้งมีเพื่อนที่เข้าร่วมประกวดเดินออกมาเป็นเพื่อนกลุ่มหนึ่งทว่าเมื่อถึงป้ายรถเมล์ กลุ่มหญิงสาวต่างพากันแยกย้ายขึ้นรถสายที่ไปถึงบ้านของตน เหลือเพียงมนัญชยาที่ยืนรอรถเมล์อยู่

เธอมองซ้ายมองขวาแล้วอุ่นใจมากขึ้นเพราะเห็นว่ามีคนรอรถอยู่บริเวณป้ายรถเมล์อีกหลายคนทั้งชายและหญิง เธอเลือกที่จะเดินไปนั่งข้างผู้หญิงคนหนึ่งห่างจากกลุ่มวัยรุ่นชายที่ยืนอยู่อีกทาง ทว่าเพียงหย่อนตัวลงนั่งรถยนต์คันหนึ่งซึ่งเพิ่งแล่นผ่านป้ายไปก็ถอยกลับมา กระจกข้างลดลงก่อนที่คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยจะชะโงกตัวออกมา

แสงไฟในรถยนต์มองเห็นไม่ชัดนัก และเขาก็สวมแว่นตาดำและหมวก แต่แฟนคลับตัวยงอย่างเธอจำได้ในทันที จึงรีบเดินเข้าไปหาหมายใจจะเอ่ยปฏิเสธความช่วยเหลือ หากอีกฝ่ายรีบสั่งทันที

“รีบขึ้นมาแล้วปิดประตู...ก่อนที่จะมีคนอื่นที่รอรถอยู่จำผมได้”



กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 10:55:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 10:55:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 2044





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account