จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒๔

--- แวะคุยกันก่อน ---
ขอโทษที่มาช้านะคะ
พอดีตอนนี้ญาติยังนอนโรงพยาบาลอยู่เลยงะ
ยังไงก็ขอบคุณที่มาอ่านและติดตามและให้กำลังใจนะคะ
คิดว่าอีกสิบกว่าบทจะจบแล้ว
ถ้าหากว่ามันจบก็ขอให้ติดตาม
เรื่องของอเล็กซิสต่อด้วยนะคะ
ไปแล้วนะคะ

----------------
บทที่ 24

บานกระจกขุ่นตรงห้องไอซียูสะท้อนเงาของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนสูดลมหายใจลึก ดวงหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยหากแววตากลับฉายความหนักใจราวกับกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญละล้าละลังอยู่เช่นนั้นเป็นนานกว่าจะหักใจยอมผลักเข้าไปภายในห้องในที่สุด

เขาเดินผ่านห้องที่กั้นเป็นสัดส่วนสำหรับให้คนไข้หนักได้พักรักษาตัวมาแล้วมาหยุดฝีเท้าลงตรงห้องหนึ่งมองลอดกระจกไปก็พบร่างซีดเซียวของสตรีวัยกลางคนสวมชุดผู้ป่วยสีเขียวนอนหลับสนิทเพียงลำพังบนเตียงโดยปราศจากเครื่องช่วยหายใจ ไร้สายระโยงรยางค์ที่เจาะทั่วร่างกายบ่งบอกให้รู้ว่าอาการคงดีขึ้นมากแม้สภาพภายนอกจะยังซูบโทรมอยู่มากก็ตาม

ทั้งที่คิดว่าการจมอยู่กับงานและเตรียมหลักฐานการกระทำผิดทั้งหมดเพื่อยื่นให้คณะกรรมการผู้ถือหุ้นพิจารณาสั่งปลดมลธิกาพ้นจากตำแหน่งโดยไม่เคยเหยียบมาโรงพยาบาลเลยสักครั้งจะทำให้ความเจ็บปวดผ่อนเบาลง หากทันทีที่พบหน้าความปวดร้าวระคนเจ็บแค้นกลับบีบเค้นหัวใจให้เจ็บหนักยิ่งกว่าเก่า

เสียงหัวเราะขมขื่นดังจากในลำคอ...คงต้องรอให้ผู้หญิงตรงหน้าชดใช้บาปทั้งหมดที่กระทำหมดเสียก่อนความรู้สึกในใจทั้งมวลถึงจะสลายหายไปได้และเพียงไม่กี่นาทีต่อจากนั้นคนบนเตียงก็ขยับกายเริ่มรู้สึกตัวลืมตาตื่นจากการหลับใหลอย่างเชื่องช้า

แม้จะใช้เวลาพักฟื้นร่างกายมาหลายวันแล้ว ทว่าอาการมึนคิดทำอะไรช้าอันเป็นผลจากการผ่าตัดก็ยังคงเหลืออยู่ทำให้นางจำไม่ได้ว่าใครยืนอยู่หน้าห้อง พอได้คิดทบทวนอยู่สักพักถึงจำได้ก็ยิ้มกว้างพร้อมกับยกมือเอื้อมหา ปรารถนาจะเห็นหน้าให้ใกล้กว่านี้

อีกฝ่ายจ้องมือที่กวักเรียกตนเองด้วยดวงตาหมางเมินแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย...คนป่วยไขว่คว้าร้องเรียกหาจนร่างนั้นลับสายจึงปล่อยแขนให้ตกลงข้างลำตัวพร้อมกับน้ำตาแห่งความทุกข์ที่หยาดลงมาเป็นสายเปื้อนเปียกหมอน

ศิระออกมายืนข้างนอกห้องไอซียูพลางเม้มริมฝีปากแน่นพยายามกล้ำกลืนความทรมานไว้ใต้ความเรียบเฉยก่อนจะหันไปเห็นพี่เลี้ยงของน้องสาวเดินหิ้วตะกร้าของเยี่ยมพะรุงพะรังใกล้เข้ามาก็แสร้งยิ้มทักทายตามปกติ

“ คุณใหญ่ว่างแล้วหรือคะ ถึงได้มาหาคุณผู้หญิงแต่เช้า ”

“ ครับ...พอดีมีเวลาว่างก็เลยแวะมาดู แต่ตอนเข้าไปเห็นแม่ใหญ่หลับอยู่ก็เลยออกมาข้างนอก ว่าแต่ตอนนี้แม่ใหญ่เป็นยังไงบ้างแล้วครับ ” เขาพูดปดในเรื่องการตื่นของผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นป้ามาตลอด

“ ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วคะ คุณผู้หญิงเธอจำอะไรได้มากขึ้นกว่าตอนแรกเยอะแต่บางทีก็มีอาการหลงๆลืมๆ คิดช้าบ้าง เวลาถามอะไรต้องให้เวลาคุณผู้หญิงเธอคิดหน่อยถึงจะตอบได้นะคะ รู้สึกว่าพรุ่งนี้คุณหมอบอกพี่สมไว้ว่าจะให้ย้ายไปพักฟื้นที่ห้องธรรมดาแล้วล่ะค่ะ ”

“ อ้อ...แล้วหมอกายภาพบำบัดเขามาดูแม่ใหญ่หรือยังครับ ”

“ ก็มาหาได้สี่ห้าวันแล้วคะ นี่หมอเขาก็ให้หนังสือสอนกายภาพบำบัดกับพี่สมไว้เล่มหนึ่งด้วยนะคะ แต่พี่สมอ่านไม่ออกพอดูรูปอย่างเดียวก็งงเลยให้คุณเล็กเธอเก็บไว้สอนคุณผู้หญิงเธอแทน ”

“ เล็กเขามาดูแลแม่ใหญ่ด้วยหรือครับ ”

“ คุณเล็กเธอมาทุกวันแหละค่ะ มาตั้งแต่เช้าพอหมดเวลาเยี่ยมรอบสุดท้ายนั้นแหละค่ะถึงจะกลับ ” สมพรตอบเป็นเวลาเดียวกันกับที่ชายหนุ่มเงยหน้ามาเห็นหญิงสาวเจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยถึงในบทสนทนาจะเดินออกจากลิฟต์มาพอดีและเพียงได้เห็นความผ่ายผอมเซียวซีดไร้ชีวิตชีวาของผู้เป็นน้องเต็มตาเขาก็ถึงกับหลุดอุทานออกมาเสียงดังจากอารามตกใจ แต่พอคิดว่า น้องมีสภาพเช่นนี้คงเพราะการกระทำของตัวเองก็รู้สึกเสียใจหนักจนไม่อยากอยู่สู้หน้าจึงรีบชิงบอกลา

“ เดี๋ยวผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะครับ ”

“ อ้าวจะรีบไปไหนล่ะคะคุณใหญ่ อุตส่าห์มีเวลามาเยี่ยมคุณผู้หญิงเธอทั้งทีน่าจะอยู่รอจนเธอตื่นก่อน นี่คุณผู้หญิงรู้ว่าคุณใหญ่มาเธอต้องดีใจมากแน่ๆเลยค่ะ ”

“ ผมเพิ่งคิดได้ว่า มีนัดกับลูกค้าตอนเช้าเลยต้องรีบกลับนะครับ ไว้ว่างเมื่อไหร่ผมจะมาใหม่แล้วกัน ” บอกเสร็จก็ก้มหน้าก้มตาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นคนที่กำลังเดินมาเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้า ทว่าพอทั้งสองสวนทางกันมือเย็นเฉียบกลับยื่นมาจับรั้งเขาไว้ไม่ให้ไปต่อ

ศศิวิมลไม่พูดอะไรนอกจากเดินถอยหลังขยับกลับไปยืนตรงหน้าของพี่ชายที่เอาแต่หลบสายตาด้วยการจ้องมองแผ่นกระเบื้องสีขาวที่ขัดถูจนเงาวับ

“ พี่ใหญ่จะรีบไปไหนเหรอคะ ” คำถามจากเสียงหวานที่เคยคุ้นไร้อารมณ์เกลียดชังเจือปนทำให้คนฟังแทบไม่เชื่อหูแต่ความละอายยังมีอยู่ทำให้ไม่กล้าสบสายตาทำได้อย่างมากก็เพียงเหลือบมองเพียงเล็กน้อยจึงได้เห็นน้องในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนยืนยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเฉกวันวาน

“ พอดีมีงานด่วน พี่เลยต้องกลับก่อนนะ ” เขาตอบเสียงสั่นเครือยังรู้สึกทรมานทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกัน

“ ที่โรงแรมคงมีงานเยอะสินะคะ เล็กถึงไม่เคยเห็นพี่ใหญ่มาเยี่ยมแม่ใหญ่เลย ”

“ ก็งานเยอะอยู่จ๊ะ ยังไงพี่ต้องขอตัวก่อนนะ ” ผู้เป็นพี่ปลดมือน้องจากการเกาะกุมตั้งท่าเดินหนีแต่ขากลับก้าวไม่ออกเหมือนคนขาตายเคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้เมื่อได้ยินน้องเอ่ยบางสิ่งจากปาก

“ ความเจ็บปวดที่คนอื่นทำไว้กับเราบรรเทาไม่ได้ด้วยการหนีหรอกนะคะ ต่อให้พี่ใหญ่หนีไปไกลแค่ไหนถ้าใจยังแกร่งไม่พอมันก็ตามไปหลอกหลอนเราอยู่ดี ”

ศิระเงยหน้าสบสายตาของน้องสาวที่ยังแย้มริมฝีปากกว้างให้ดังทุกคราราวกับการกระทำเลวร้ายของเขาไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างกันมาก่อน

“ เล็กเข้าใจดีค่ะว่าพี่ใหญ่รู้สึกยังไง เราสองคนต่างก็เจ็บปวดจากคนที่เราไว้ใจที่สุด แต่การหนีมีแต่จะทำให้บาดแผลของเราลึกมากกว่าเดิม วิธีเดียวที่จะทำให้เราแข็งแกร่งจนความเจ็บปวดทำอะไรเราไม่ได้ก็มีแต่เผชิญหน้ากับมันเท่านั้นแหละคะ ” หญิงสาวพูดพลางยิ้มบาง

ชายหนุ่มเบิกตากว้างกับถ้อยคำของน้องนึกรู้ได้ในทันทีว่าความลับที่คนป่วยเก็บซ่อนคงเปิดเผยออกมาแล้ว แต่เหตุไฉนน้องยังคงทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาต่อความร้ายกาจยังบากหน้ามาช่วยดูแล

“ เล็กรู้แล้วเหรอว่า... ” เสียงเขาขาดหายเช่นเดียวกับลมหายใจที่ขาดเป็นห้วง

“ ค่ะ...เล็กรู้ทุกอย่างแล้ว ”

“ เล็กรู้ได้ยังไง มีคนบอกเล็กใช่ไหม...รสาบอกเล็กเหรอ ” มือใหญ่คว้าแขนน้องสาวทั้งสองพร้อมร้องถาม

“ เรื่องนี้เล็กรู้ของเล็กเอง ” หล่อนว่าแล้วเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะต่อ “ ความลับมันไม่มีในโลกของพี่ใหญ่สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องเปิดเผยออกมา ความจริงพี่ใหญ่น่าจะบอกเล็กมากกว่าจะปิดบังกันแบบนี้ ”
ความอ่อนโยนในน้ำเสียงกับฝ่ามือนุ่มที่เอื้อมมาลูบข้างแก้มสากระคายจากไรหนวดที่ยังไม่ได้โกนทำให้เขาหลุดครางอย่างเป็นทุกข์ออกมาพร้อมกับนัยน์ตาคมที่เริ่มสั่นระริก

“ พี่จะเอาทุกอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นเอาไปจากแม่คืนให้เล็ก...แล้วต่อจากนั้นพี่จะดำเนินคดีกับผู้หญิง พอจบเรื่องนี้เมื่อไหร่พี่ก็จะลาออกและจะไปจากบ้านอังคพิมานด้วย ”

“ มรดกบาปที่ทำให้คนกลายเป็นปีศาจแบบนั้นไม่มีความหมายอะไรกับเล็ก อย่างมากมันก็แค่เป็นบทเรียนสำคัญให้เล็กจำไว้ว่าอย่าไว้ใจคนใกล้ชิดมากเกินไปเท่านั้นเอง อีกอย่างพี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องลาออกหรือคืนหุ้นให้เล็กหรอกค่ะ ขอแค่พี่ใหญ่ทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง แล้วก็อยู่เป็นผู้บริหารใหญ่อย่างขาวสะอาดทำงานให้ดีกว่าที่ผู้หญิงคนนั้นทำก็พอ และเล็กคิดว่าถ้าแม่ยังอยู่ แม่ก็คงคิดแบบนี้ ”

“ พี่ขอโทษนะเล็ก...ขอโทษสำหรับทุกอย่าง ”

“ พี่ใหญ่จะขอโทษเล็กไปทำไมคะ พี่ใหญ่ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย อีกอย่างสำหรับเล็กแล้ว ไม่ว่ายังไงพี่ใหญ่ก็จะเป็นพี่ชายที่เล็กรักมากที่สุด ต่อให้ใครจะพูดว่าพี่ใหญ่เป็นคนไม่ดียังไง เล็กก็เชื่อค่ะว่า พี่ใหญ่เป็นคนดีและไม่มีวันคิดร้ายกับเล็ก ” คนตัวเล็กยังคงพูดด้วยสีหน้าแจ่มใสลูบแขนของพี่ชายไว้ “ เดี๋ยวเล็กจะเข้าไปดูแม่ใหญ่ ถ้าพี่ใหญ่ยังไม่อยากเจอหน้าแม่ใหญ่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ไว้วันไหนพี่ใหญ่เข้มแข็งพอจะเจอหน้าเขาค่อยมาแล้วกัน ”

หญิงสาวก้มศีรษะแทนการอำลายังคงแย้มริมฝีปากกว้างแล้วผละจากไปหาสมพรที่ยืนชะเง้อคอมองมาอย่างสนใจใคร่รู้พากันหายเข้าไปในห้องไอซียู

ชายหนุ่มเฝ้ามองน้องสาวจนลับสายตาหลุดยิ้มขื่นให้กับความเข้มแข็งของคนที่เคยคิดว่าอ่อนแอที่สุดก่อนจะโซซัดโซเซพาตัวเองออกจากโรงพยาบาลไปที่ลานจอดรถทรุดลงนั่งบนพื้นคอนกรีตอาศัยท้ายรถของตัวเองเป็นกำบังปล่อยน้ำตาแห่งความอ่อนแอให้ไหลออกมา รู้สึกสมเพชตัวเองเป็นหนักหนาที่ไม่อาจทนทำใจให้แกร่งกล้าประจันหน้ากับทุกสิ่งได้เหมือนที่น้องทำ
****************************************

เสียงเลื่อนบานประตูทำให้คนป่วยที่นอนร้องไห้เงียบๆด้วยความระทมใจบนเตียงรู้สึกตัวรีบใช้หลังมือปาดน้ำตาที่อาบสองแก้มออกจากใบหน้าแล้วหันไปตามต้นเสียงจึงได้เห็นสมพรหิ้วกระเช้ารังนกกับซุปไก่สกัดเข้ามาโดยมีหลานสาวช่วยถือตะกร้าผลไม้ขนาดย่อยตามหลังมาสมทบ

มลธิกาเฝ้าดูทุกอิริยาบถของหลานสาวที่กำลังจัดข้าวของเยี่ยมทั้งหมดไว้ด้วยความดีใจ...การพักฟื้นร่างกายหลังการผ่าตัดเส้นเลือดในสมองทำให้ในช่วงแรกนางยังมีอาการเบลอ สติยังไม่เข้ารูปเข้ารอยทำให้ไม่รู้ว่าใครที่คอยมาดูแลกันตลอดแต่เมื่อสติกลับมาจึงตระหนักได้ถึงความเอื้ออารีที่มีและยิ่งได้ยินสมพรเล่าให้ฟังว่า หลานถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะกังวลในอาการป่วยของนางก็ทำให้ในลำคอตีบตัน

ความดีงามของผู้เป็นหลานกระทบกระแทกหัวใจให้ร้าวแหลกเป็นเสี่ยงรู้สึกละอายใจในสิ่งที่เคยกระทำจนน้ำตารื้นหลั่งออกมาอีกครา

“ คุณผู้หญิงตื่นแล้วเหรอคะ ” สมพรทักทายแล้วหยุดยิ้มทันทีที่เห็นน้ำตา “ คุณผู้หญิงเป็นอะไรไปคะ ร้องไห้ทำไม เจ็บตรงไหนบอกสมมาสิคะ สมจะได้ไปตามคุณหมอมาดู ”

ศศิวิมลแกะเปลือกส้มใส่ในจานกระดาษที่เตรียมมาพอได้ยินเสียงพี่เลี้ยงเอ่ยว่าคนบนเตียงกำลังร้องไห้ก็วางทุกอย่างลงหมุนตัวเดินไปยืนเกาะราวเหล็กกั้น

“ เล็ก ” นางครวญเรียกพลางคว้าข้อมือเล็กของอีกฝ่ายมาบีบแน่นราวกับจะยึดหลานไว้ให้เป็นที่พึ่งพิงทางใจ

“ วันนี้คุณผู้หญิงจำคุณเล็กเร็วกว่าเมื่อวานแสดงว่าตอนนี้สมองคงดีขึ้นมากแล้วแน่ๆ นี่ที่ร้องไห้ก็คงดีใจที่ได้เห็นคุณเล็กมาดูแลแน่ๆเลยค่ะ ” พี่เลี้ยงสาวพูดขึ้นด้วยความดีใจแต่พอมองหน้าคุณหนูที่ตนเลี้ยงมากลับเห็นเพียงความเฉยชาก็รู้สึกประหลาดใจ

“ เล็กเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อเจลล้างมือมาให้แม่ใหญ่...พี่สมลงไปซื้อให้เล็กหน่อยได้ไหมคะ ” หลังจากนิ่งไปหลายนาทีในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยปากวานให้พี่เลี้ยงลงไปซื้อของให้

“ เจลล้างมือเหรอคะ มันเป็นยังไงค่ะไอ้เจลล้างมือที่ว่า ”

“ ลงไปที่ร้านสะดวกซื้อแล้วถามเขาว่า มีเจลล้างมือแบบไม่ต้องใช้น้ำบ้างไหมแล้วขอให้เขาหยิบให้ก็ได้ค่ะ ” หล่อนว่าหยิบเงินออกจากกระเป๋าสะพายยื่นให้โดยไม่แม้แต่จะหันไปหาเพราะยังจดจ้องอยู่กับผู้เป็นป้าไม่วางวาย

“ งั้นคุณเล็กก็อยู่กับคุณผู้หญิงไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่สมจะรีบไปรีบกลับ ”

“ ไม่ต้องรีบก็ได้ค่ะ...เล็กอยู่กับแม่ใหญ่สองคนได้ สบายอยู่แล้ว ” หล่อนบอกด้วยสุ้มเสียงเรียบเย็นมองตามร่างที่เลื่อนบานประตูเดินฉับๆหายไปสักครู่จึงกลับมามองคนบนเตียงอีกครั้ง

นัยน์ตาหวานอมโศกอันอบอุ่นที่นางเคยได้รับบัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า แม้ริมฝีปากอิ่มจะแย้มกว้างเหมือนเดิม หากมลธิกากลับไม่รู้สึกถึงความรักที่หลานสาวมีให้ดังเก่า...ความเย็นชาห่างเหินคล้ายกับคนแปลกหน้าที่บังเอิญเจอกันทำให้ใจของนางหายวาบดุจวัวสันหลังหวะนึกกลัวว่า ความจริงคงจะปรากฏสู่สายตาคนตรงหน้า

“ มือนี้เองใช่ไหมคะที่แม่ใหญ่ใช้ทำลายคนที่เข้ามาขวางความสำเร็จ ไม่เว้นกระทั่งน้องสาวตัวเอง ” หญิงสาวว่าปลดมือของผู้มากวัยวางไว้บนราวเหล็กแล้วใช้ปลายนิ้วเย็นเฉียบลากไปตามหลังมือแผ่วเบาและเชื่องช้าราวกับจะประทับตราคนบาปไว้บนนั้น

“ แม่ใหญ่คิดหรือคะว่าการเลี้ยงดูพวกเรามาจะทำให้เราสำนึกบุญคุณจนยอมอภัยให้ได้ทุกอย่าง เล็กไม่ใช่นางเอกละครนะคะถึงจะได้ให้อภัยคนที่ทำร้ายตัวเองอย่างร้ายกาจได้ง่ายๆ และเล็กอยากให้แม่ใหญ่จำไว้นะคะว่า ที่เล็กมาดูแลไม่ใช่เพราะกตัญญูอะไร แต่เล็กแค่อยากจะรู้ว่าการสวมหัวโขนแกล้งทำเป็นคนดีกับคนที่ตัวเองเกลียด มันให้ความรู้สึกยังไง เผื่อว่าเล็กจะกลายเป็นคนเลือดเย็นเหมือนที่แม่ใหญ่เป็นได้บ้าง ” หล่อนเริ่มพูดความในใจเน้นเสียงทุกคำชัดเจนไปพลางสูดลมหายใจทีละน้อย

ถ้อยประโยคเยียบเย็นไร้อารมณ์นั้นทำให้กายของหญิงวัยกลางคนบนเตียงสั่นเทิ้มอยากจะจับหลานไว้เพื่อเอื้อนเอ่ยคำขอโทษจากใจ แต่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาใช้แทนความรู้สึกทั้งปวงจึงไร้สุรเสียงใดหลุดลอดจากริมฝีปากมีเพียงหยดน้ำตาที่หยาดลงหมอนให้เปียกชุ่มพร้อมกับที่นางพยาบาลคนหนึ่งจะเดินเข้ามาจดตัวเลขหน้าเครื่องวัดทั้งหลายในห้อง

ศศิวิมลยืนสอบทราบอาการคนป่วยสักครู่สมพรก็เลื่อนบานประตูกลับเข้ามาใหม่ถือถุงพลาสติกใส่เจลล้างมือขวดใหญ่วางไว้ให้บนโต๊ะก่อนจะเดินไปดูเจ้านายของตัวเองที่แสร้งนอนหลับตะแคงศีรษะหันไปอีกข้างก็เห็นน้ำตาพรากไหลลงมาเปื้อนเปรอะใบหน้าและลำคอ

“ คุณผู้หญิงร้องไห้ทำไมกันคะ ” ร้องถามด้วยความตกใจที่ยังเห็นนายหญิงแห่งอังคพิมานยังร้องไห้ไม่หยุดเสียที

“ แม่ใหญ่คงเสียใจที่พี่ใหญ่ไม่มาเยี่ยมนะคะ ”

“ โถ...คุณผู้หญิงขา อย่าร้องไห้ไปเลยนะคะ คุณใหญ่มาหาคุณผู้หญิงตั้งแต่เช้าแล้ว แต่พอดีคุณผู้หญิงหลับแล้วคุณใหญ่ก็มีงานด่วนพอดีเลยกลับไปก่อน แต่คุณใหญ่บอกสมแล้วนะคะว่าจะมาเยี่ยมคุณผู้หญิงใหม่ ” คนไม่รู้เรื่องอะไรปลอบใจไปตามประสา

หญิงสาวหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กปล่อยก๊อกน้ำตรงอ่างล้างมือให้ผ้าเปียกพอหมาดจึงเดินเข้าไปเช็ดน้ำหูน้ำตาของป้าอย่างอ่อนโยน

“ แม่ใหญ่อย่าร้องไห้เลยนะคะ...ถึงพี่ใหญ่จะไม่ว่างก็มีเล็กมาทำแทนให้แล้วไงคะ ยังไงเราสองคนก็ต้องทนอยู่กันไปอย่างนี้อีกนาน ” คนพูดแย้มริมฝีปากกว้างเก็บกลั้นความชอกช้ำไว้ยังก้นบึ้งของหัวใจ

คนป่วยสะอื้นฮักในทุกครั้งที่หลานสาวบรรจงเช็ดหน้าให้จนหมดจด ไม่อาจทนเห็นการแสแสร้งจนต้องปิดตา...การต้องอยู่กับคนที่แกล้งทำเป็นห่วงใยทั้งที่ภายในชิงชังกันหนักหนาเลวร้ายยิ่งกว่าการตะโกนด่าทอต่อว่ากันเสียอีก

มลธิกาเพิ่งตระหนักได้ในวันนี้เองว่า ความรู้สึกของคนที่ตายทั้งเป็นซึ่งมินดาราเคยประสบกับมันมาเนิ่นนานเป็นความทุกข์ทรมานที่ไม่อาจสาธยายให้ใครฟังได้มันเป็นเช่นไร
*******************************

ภาควัฒน์วางแฟ้มเอกสารเล่มสุดท้ายลงบนโต๊ะทำงานแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้ารู้สึกเหนื่อยหนักจากการตกเป็นฝ่ายตั้งรับสงครามจิตวิทยาระหว่างชายชราผู้มีพระคุณกับหญิงสาวผู้สถิตนิ่งในดวงใจมาเนิ่นนาน

ในฐานะคนใกล้ชิดย่อมทราบดีว่า การปรากฏตัวของปู่ที่เมืองไทยในครั้งนี้ มิได้มีจุดประสงค์เพียงเพราะความคิดถึงหากแต่เป็นการมาเพื่อเร่งรัดให้รีบปิดฉากงานที่ได้รับมอบหมายได้สร้างความกังวลใจให้คนเป็นหลานนอกสายเลือดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นับตั้งแต่มีชีวิตใหม่ใต้อาณัติตระกูลครอมเวลไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะคิดลังเลสงสัยในชิ้นงานที่ได้รับมอบหมายหรือหวั่นไหวในเส้นทางที่ตนเองเลือกเดิน แต่ในกรณีของงานชิ้นนี้กลับแตกต่างเพราะการได้อยู่ร่วมชายคาและร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาทำให้บุรุษหนุ่มผู้ถูกเปรียบเปรยเป็นหมาป่าซึ่งกำลังจะก้าวรับตำแหน่งสำคัญของครอมเวลคิดอยากสลัดตัวตนปัจจุบันเพื่อหวนคืนสู่ตัวตนในอดีตอยู่ตลอดเวลา

หากเขารู้ว่าการเป็นทายาทอันดับหนึ่งของครอมเวลต้องแลกมากับการสูญเสียความทรงจำทั้งหมดในอดีต หรือเพียงเขาสัมผัสได้ถึงความรักของผู้ให้กำเนิดทั้งสองได้สักนิดมีหรือที่เขาจะเลือกยืนบนถนนเส้นนี้

ชายหนุ่มเปิดตามองไปยังกระถางดอกไม้สีขาวบนโต๊ะพลางคิดถึงวันเวลาที่ทายาทวิสุทธิ์สุนทรต้องกลายเป็นนายใหญ่แห่งครอมเวลแทนที่ชายชราผู้มีพระคุณก็ทำให้ถึงกับถอนลมหายใจอุ่น...ทั้งที่เมื่อก่อนเขาเคยนึกถึงวันที่เข้ารับตำแหน่งสำคัญ ทว่ามาบัดนี้ต่อให้เพียรนึกเท่าไหร่ก็จำภาพความสำเร็จที่เคยวาดไว้ไม่ออก ในใจมีเพียงแต่คำถามที่ว่า หากต้องอยู่ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าโดยปราศจากคนที่เป็นหัวใจคอยเคียงข้างจะสร้างความทรมานให้มากขนาดไหน

ทุกคราที่คิดมาถึงตรงจุดนี้ผู้บริหารหนุ่มแห่งโชเนนฟาวถึงกับถอนใจอีกรอบพาลคิดใครอีกคนที่กำลังกระโจนลงมาร่วมทำสงครามจิตวิทยากับเขาอีกคน

หลังออกจากโรงพยาบาลศศิวิมลก็เริ่มหลบหน้าเขาด้วยการรีบไปโรงพยาบาลตั้งแต่เขายังไม่ตื่นและเข้านอนก่อนที่เขาจะกลับมาถึงบ้านวนเวียนไปเช่นนี้แทบทุกวัน จะเว้นก็เพียงวันที่มีสวดศพแม่ประจำอาทิตย์ที่หล่อนก็มาช่วยดูแลงานตามปกติเพียงแต่ไม่ปริปากพูดอะไรเลยสักคำ พอกลับมาถึงบ้านก็หนีไปอาบน้ำแล้วเข้านอนด้วยความเย็นชา

ความเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังนี้ไม่ใช่เป็นความรู้สึกคิดไปเองแต่อย่างใด เพราะหลายคนในบ้านต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า ตอนนี้คุณผู้หญิงของวิสุทธิ์สุนทรผู้อ่อนโยนเสมอกลับกลายเป็นคนเงียบขรึมอย่างเห็นได้ชัด

ภาพใบหน้าอันหมองคล้ำตรอมตรมตลอดเวลาของผู้เป็นภรรยาทำให้เขาจมอยู่กับความกระวนกระวายใจจนไม่เป็นอันกินอันนอนได้แต่พยายามใคร่ครวญหาสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวมีสภาพเหมือนคนซึมเศร้าไม่สนใจใคร หากจะบอกว่าเป็นผลจากการกระทำของศิระก็อาจจะมีส่วนด้วยแต่มันต้องมีประเด็นอื่นร่วมอยู่เพียงแต่เขายังค้นไม่พบคำตอบ

เสียงเคาะประตูพร้อมขออนุญาตทำให้เจ้าของห้องหลุดจากภวังค์ก่อนจะเห็นเลขานุการส่วนตัวเดินเข้ามารับแฟ้มเอกสารและแจ้งเตือนถึงเวลานัดพบว่าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์ของโชเนนฟาวซึ่งฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์เป็นคนติดต่อเลือกเฟ้นมาให้ได้พิจารณา หากทุกฝ่ายเห็นสมควรก็คงได้ร่วมงานกัน

“ นัดไว้ที่ไหนครับ ”

“ นัดไว้ที่โรงแรม...แถวสุขุมวิทนะครับ ” อีกฝ่ายเอ่ยชื่อโรงแรมแห่งหนึ่ง...คนฟังลูบคางแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูจึงเห็นว่าพอมีเวลาอีกราวหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงกำหนด หากคิดจะเปลี่ยนสถานที่นัดหมายตอนนี้ก็น่าจะทันอยู่

“ รบกวนคุณพลแจ้งฝ่ายโฆษณาประชาสัมพันธ์กับนักแสดงที่เรานัดไว้ว่าผมอยากเปลี่ยนสถานที่นัดพบเป็นร้านอาหารพาเพลินแถวสาทรแทนนะครับ ”

“ ได้ครับ เดี๋ยวผมแจ้งให้ครับ ” เลขานุการหนุ่มรับคำหอบแฟ้มเอกสารทั้งหมดออกไปวางเรียงแยกเป็นแผนกก่อนจะกดโทรศัพท์ต่อสายไปยังภายนอกบริษัทใช้เวลาคุยกับผู้จัดการนักแสดงสาวอยู่นานกว่าจะตกลงกันได้แล้วจึงโทรไปแจ้งกับฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงความประสงค์ของเจ้านายก็กลับเข้ามารายงานให้ทราบใหม่ว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดี

ผู้บริหารหนุ่มจึงลุกจากเก้าอี้หยิบสูทของตนเองมาสวมทับเสื้อเชิ้ตแล้วจึงลงลิฟต์ไปพบกับตัวแทนที่จะร่วมเดินทางไปด้วยกัน จากนั้นรถยนต์ยุโรปสีดำคันใหญ่ก็แล่นออกจากบริษัทโชเนนฟาวไปยังย่านสาทร เลี้ยวรถเข้าไปจอดตรงลานกว้างด้านหลังร้านอาหารกึ่งผับที่เปิดให้บริการในส่วนร้านอาหารช่วงบ่ายเรื่อยไปจนถึงเที่ยงคืน

ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับครีเอทีฟสาวท่าทางทะมัดทะแมงตัดผมสั้นกุดย้อมสีทองเปิดประตูรถจากรถมาพร้อมกับชายวัยกลางคนแต่ยังดูหนุ่มแน่นผู้เป็นหัวหน้าแผนกซึ่งเป็นตัวแทนตามมาร่วมพิจารณาและเจรจากับนักแสดงสาวที่นัดไว้ในครั้งนี้ด้วย

ทั้งสามเดินเข้าไปในร้านอาหารจึงเห็นกลุ่มคนยืนล้อมรอบโต๊ะอาหารที่มีหญิงสาวสวยระดับนางงามคนหนึ่งนั่งเท้าคางด้วยหน้าตาบูดบึ้งเอาแต่ดูดน้ำส้มปั่นไม่สนใจใครปล่อยให้ผู้จัดการสาวประเภทสองต้องคอยขอโทษบรรดาแฟนคลับที่มาขอถ่ายรูปกับลายเซ็นต์เก้อจนฝูงชนยอมสลายตัว

“ หนูเมนี่ขา วันหลังหนูอย่าทำหน้าบึ้งใส่แฟนคลับอย่างนั้นรู้ไหมคะ เขาสนับสนุนเราแทนที่จะยิ้มให้เขาสักหน่อยก็ไม่ได้ ”

“ ก็เมนี่เบื่อนี่คะ อุตส่าห์แต่งตัวสวยตั้งใจมาทางอาหารหรูในโรงแรมเต็มที่แต่ต้องกลายมานั่งในร้านอาหารกระจอกแบบนี้ เมนี่ชักไม่แน่ใจแล้วนะคะว่าเจ้าของสินค้ารายนี้เขาจะมีปัญญาจ้างเมนี่ไหว ค่าตัวไม่ถึงเจ็ดหลักเมนี่ไม่ทำจริงๆนะคะ ”

บทสนทนาระหว่างดาราสาวดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งปีอย่างเมยาวีกับผู้จัดการส่วนตัวทำเอาคนที่ติดต่อเลือกมาถึงกับหน้าถอดสี แม้จะเคยได้ยินกิตติศัพท์ความเรื่องมากมาหนาหูแต่ด้วยความที่อยากอาศัยกระแสความดังมาดันผลิตภัณฑ์เลยตัดสินใจเลือกมา

“ ผู้หญิงคนนี้เขาเป็นดาราดังมากเหรอครับ ” ผู้เป็นเจ้านายถามกับลูกน้องที่มาด้วยกัน

“ ก็ดังที่สุดในพ.ศ.นี้แล้วล่ะฮะคุณภาค เฉพาะปีนี้คุณเมนี่เธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้สินค้าเกือบสิบตัว มีละครจ่อออนแอร์อีกสามเรื่อง ไหนจะหนังที่กำลังจะเข้าโรงอีก นิตยสารเล่มไหนที่คุณเมนี่เธอไม่เคยไปขึ้นปกถือว่าเชยมากนะฮะ ”

“ ดูแล้วไม่น่าดังได้เลย ” ว่าแล้วก็หันไปให้ความสนใจกับหญิงสาวมัดผมหางม้าที่นั่งเท้าคางอยู่ตรงเคาน์เตอร์แคชเชียร์ที่อยู่ติดกับประตูห้องครัวด้านใน...จุดประสงค์ที่เลือกมาที่นี่ไม่ใช่อยากคุยเรื่องงานเพียงอย่างเดียวแต่ต้องการมาหาคำตอบในเรื่องของศศิวิมลด้วย

ลูกน้องทั้งสองยิ้มเจื่อนก่อนจะเดินไปหาดาราสาวที่นัดหมายไว้โดยมีเจ้านายเดินตามหลัง...ครีเอทีฟสาวแนะนำตัวเองกับหัวหน้าฝ่ายที่มาด้วยกันเป็นอันดับแรก ฝ่ายผู้จัดการก็รีบยกมือไหว้ยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเองพร้อมกับใช้ศอกสะกิดเด็กในสังกัดให้ทำหน้าเป็นมิตรกว่านี้

“ และนี่คุณภาควัฒน์ฮะ...ท่านเป็นประธานบริษัทโชเนนฟาวของเราฮะ ” สาวห้าวขยับตัวเผยให้เห็นเจ้านายใหญ่ที่ยืนอยู่ ฝ่ายผู้จัดการก็ยกมือไม้อ่อนไหว้ไปโดยไม่มองหน้าแต่พอเห็นอีกฝ่ายเข้าก็ถึงกับตะลึงเพราะไม่คิดว่าผู้บริหารจะยังหนุ่มและหน้าตาดีขนาดนี้

“ เป็นเกียรติมากเลยนะคะที่ได้พบ เอ๋ไม่คิดเลยนะคะว่าแค่เราคุยกันเฉยๆยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกตัว ระดับผู้บริหารยังต้องลงมาดูด้วย ”

“ บริษัทผมมันไม่ค่อยดังเท่าไหร่มียอดจำหน่ายสินค้าออกไม่กี่สิบประเทศเอง ก็เลยไม่มีปัญญาจ้างบุคลากรพร่ำเพรื่อ ถ้าไม่มีสมองกับความฉลาดทางอารมณ์พอผมก็ไม่อยากจ้างมาทำงานเพราะมันเสียเงินเปล่า บางอย่างผมเลยต้องลงมาดูด้วยตัวเองด้วยนะครับ ” เขาพูดพลางยิ้มเหยียดมุมปาก...ผู้จัดการฟังแล้วได้แต่หน้าม้านส่วนดาราสาวพอถูกกระทบกระเทียบก็ลุกพรวดจากเก้าอี้จะแว้ดใส่แต่เมื่อเห็นเขาท่าทีเอาแต่ใจก็เปลี่ยนไปกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง มือนุ่มยื่นมาเพื่อจะเช็กแฮนด์อย่างเป็นมิตรราวกับคนละคน

“ เมยาวีค่ะ...หรือจะเรียกว่าเมนี่ก็ได้ ” เจ้าหล่อนแนะนำตัวด้วยเสียงหวานจ๋อยส่งสายตาแพรวพราว

คนตัวใหญ่เหลือบมองมือที่ยื่นมาตรงหน้าแล้วยิ้มให้เล็กน้อย แล้วหันไปเชิญให้ทุกคนนั่ง แม่ดาราสาวรู้สึกเก้อที่ถูกเขาเมินเลยได้แต่ชักมือกลับไปข้างลำตัว

ภาควัฒน์ปล่อยลูกน้องให้เป็นฝ่ายเจรจาซักถามโดยที่ตัวเองนั่งเก็บข้อมูลอยู่เงียบๆ ส่ายหน้าเป็นระยะทุกขณะที่เหลือบเห็นสายตาของดาราสาวที่จับจ้องมาอย่างมีความหมาย...ความสวยถูกทอนค่าไปตั้งแต่ธาตุแท้ปรากฏทำให้ยิ่งถูกมองมากเท่าใดก็ทำให้รำคาญมากเท่านั้น

“ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ...จะสั่งอะไรทานไปด้วยระหว่างคุยก็สั่งได้เลยนะครับ ตามสบาย ” เขาลุกจากเก้าอี้เดินหลบไปตามทางที่มีป้ายสัญลักษณ์รูปผู้ชายแขวนอยู่เพื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าของร้านสาวที่กำลังเหม่อลอย

รสาจมอยู่ในโลกส่วนตัวจนไม่ได้ยินหรือสนใจใคร ในหัวครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองและเพื่อนสนิทให้กลัดกลุ้มใจ...หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนเดาใจใครไม่เก่งไปเลยทันทีที่รู้ความจริงว่าเพื่อนของตนเองมิใช่คนไม่ประสีประสาอะไรเพียงแต่อาศัยความรัก ความเชื่อ ความหวังในตัวบุคคลมาเป็นม่านคอยบังตาหาความสุขให้ตัวเอง

การพบกันครั้งล่าสุดในงานสวดอภิธรรมศพของอรพิณเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้หญิงสาวหนักใจเมื่อรู้สภาพอันซึมเศร้าของเพื่อน และยิ่งได้ทราบว่า เพื่อนมีแผนจะหย่าขาดกับสามีโดยจะขอคืนสินสอดทั้งหมดให้ ร่วมทั้งเรื่องที่ไปดูแลคนป่วยก็เป็นการใช้สร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองตามวิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง

หากวันใดที่จิตใจแกร่งกล้าพอแล้วศศิวิมลก็จะทิ้งอังคพิมานมามีชีวิตตามลำพังในแบบของตัวเอง

“ เจ๊มีคนมาหา ” ลูกน้องสะกิดเรียกอยู่นานกว่าหล่อนจะได้สติหันไปมองคนตรงหน้าพอรู้ว่าเป็นใครก็หลุดอุทานออกมาเสียงดัง

“ คุณภาคมาทำอะไรที่นี่คะ ”

“ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ ออกไปคุยกับผมข้างนอกหน่อยได้ไหมครับ ”

เจ้าของร้านสาวกระพริบตาปริบจ้องหน้าคนที่ยืนรอคำตอบอยู่สักพักก็บอกให้ไปคุยกันหลังร้านแล้วเดินนำทางผ่านส่วนของครัวที่มีคนทำอาหารกันวุ่นวายจนได้มายืนกันอยู่ตรงประตูทางออกด้านหลัง

“ คุณภาคมีอะไรกับสาก็ว่ามาเลยค่ะ ” หล่อนเปิดประเด็นให้

“ คุณสาพอจะทราบไหมครับว่าตอนนี้เล็กเขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงดูซึมๆเหม่อๆ ”

“ คุณภาคเป็นสามีเล็ก น่าจะรู้ดีกว่าสานะคะว่าเล็กเขาเป็นอะไรไป ” ถามกลับไปแกล้งตีหน้าใสซื่อไม่รู้เรื่อง

“ ผมไม่ทราบ ตอนแรกก็คิดว่าเล็กอาจจะเครียดเรื่องไอ้ใหญ่แต่พอดูไปดูมาผมคิดว่ามันน่าจะมีเรื่องอื่นอีก ไม่ทราบว่าเล็กบอกหรือเล่าอะไรให้คุณสาฟังบ้างไหมครับ ”

รสายกมือกอดอกเฝ้ามองใบหน้าอันเรียบเฉยแต่ประกายตากลับมีแวววิตกกังวลใจอย่างมากก็ทำให้รู้สึกหมั่นไส้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงทำกับเพื่อนของหล่อนแบบนี้

“ คุณภาคค่ะ สาถามจริงๆเถอะคะ ที่คุณภาคแต่งงานกับเล็กเพราะอยากให้ป้าพิณสบายใจแค่นั้นจริงๆเหรอคะ ”

คนถูกถามนิ่งไปเล็กน้อยแล้วเลี่ยงคำตอบด้วยการถามซ้อนมาอีก

“ คุณน่าจะตอบผมมาก่อนนะครับว่าเล็กเป็นอะไร แล้วค่อยมาตั้งคำถามกับผม ”

“ สาก็ไม่ใช่อยากจะก้าวก่ายความรู้สึกหรือการกระทำของใครหรอกนะคะ แต่ถ้าคุณภาคแต่งงานกับเล็กด้วยเหตุผลแค่นั้นจริงๆ ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่การแสดงของคุณต้องจบลงแล้วล่ะค่ะ ”

“ คุณหมายความว่ายังไง ” เขาเลิกคิ้วสูง

“ คุณภาคค่ะ คุณทราบไหมคะว่าทำไมเล็กถึงรอคุณมาได้ถึงสิบปีโดยไม่เคยสนใจใคร รู้ไหมคะว่าทำไมเล็กถึงยอมแต่งงานกับคุณ แล้วรู้ไหมคะว่าทำไมเล็กถึงยอมทนอยู่กับคนเย็นชาอย่างคุณ ถ้าคุณภาคไม่ทราบสาจะบอกให้ว่าเพราะอะไร ก็เพราะเล็กเขารักคุณยังไงล่ะคะ รักมาโดยตลอด รักโดยที่ไม่เคยต้องอะไรตอบแทนจากคุณเลย ”

ชายหนุ่มสบสายตากับหญิงสาวตรงข้าม...ทุกคำทุกความรู้สึกของคนตัวเล็กที่กล่าวมาทั้งหมดมีหรือที่เขาจะไม่สัมผัสรับรู้ถึงมัน

“ แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรครับ ” คำถามของเขายังคงเก็บซ่อนความรู้สึกแท้จริงต่อไป

เจ้าของร้านเขม่นมองผู้ถามพลางยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา เพราะความเย็นชาของเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เพื่อนของหล่อนเหมือนคนที่ตายทั้งเป็น

“ สาไม่เข้าใจจริงๆนะคะ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณถึงต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเล็กเลย ทั้งที่พอมีเรื่องฉุกเฉินอะไรคุณเป็นคนแรกที่ยื่นมือเข้าไปช่วย สาไม่เข้าคุณภาคกำลังทำอะไรอยู่ การเล่นเกมความรักมันสนุกมากเหรอคะ คุณเห็นเล็กเป็นตัวอะไร เป็นของเล่นเหรอถึงได้ทำกับเล็กมันแบบนี้ ” รสาร้องถามเสียงสั่นทั้งที่พยายามข่มความรู้สึกโกรธแทนเพื่อนแล้วแต่ก็ทำไม่ได้

“ ถ้าคุณภาคไม่เคยรักเล็กเลย เล็กมันก็พร้อมจะปล่อยคุณภาคไปอยู่แล้ว ขอแค่คุณพูดออกมาคำเดียว เล็กมันก็หย่าให้คุณแล้ว ถ้าคุณภาคจะกรุณาเล็กมันบ้างก็อย่าให้เล็กต้องอยู่กับความฝันลมๆแล้งๆอยู่แบบนี้เลยค่ะ เล็กแบกความเจ็บปวดที่คนอื่นทำกับมันมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าคุณภาคไม่เคยรักเลยก็ปล่อยเล็กไปเถอะนะคะ ถือว่าสาขอร้อง ” หญิงสาวพรั่งพรูความในใจออกมาแล้วเม้มริมฝีปากแน่นรู้สึกโกรธเกลียดทุกคนที่กระทำกับคนไม่มีทางสู้จนถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บใจ

“ เล็กเขารู้แล้วหรือครับว่าป้ามลทำอะไรกับเขา ” มือใหญ่จับต้นแขนของหญิงสาวมาเขย่าถาม คนร้องไห้มัวแต่ปาดน้ำตาจึงฟังคำเขาโดยไม่คิดเฉลียวใจว่าอีกฝ่ายทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร

“ สำหรับเล็กแล้วคนที่มันไม่อยากเป็นภาระสร้างความเดือดร้อนให้มากที่สุดก็คือคุณ ถ้าคุณภาคไม่เคยมีใจให้เล็กก็หย่าให้เล็กมันเถอะนะคะ แต่ถ้าในใจคุณภาคยังมีเล็กมันอยู่บ้างก็ได้โปรดเถอะคะ ได้โปรดแสดงให้เล็กมันรู้หน่อยว่ามันมีความหมายกับคุณ อย่าให้เล็กต้องถูกคนรักทำร้ายอีกเลยนะคะ ”

รสาเม้มริมฝีปากกำหมัดแน่นตัดสินใจว่าหากเขายังทำเป็นไม่เข้าใจอีกจะตั้นหน้าให้สักที ทว่าคนตัวใหญ่กลับกัดริมฝีปากอย่างแรงจนเลือดซิบแล้วหุนหันกลับเข้ามาในร้าน

ภาควัฒน์กลับมาที่โต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหยิบบัตรเดบิตจากกระเป๋าสตางค์ยัดใส่มือของครีเอทีฟสาวห้าว แล้วหยิบปากกาหมึกซึมด้ามทองจากในกระเป๋าเสื้อสูทกับเช็กเงินสดที่ติดตัวมาเซ็นต์ชื่อและเติมจำนวนเงินหกหลักโยนให้ผู้จัดการดาราสาว

“ เอาบัตรผมจ่ายค่าอาหารนะ ” บอกกับลูกน้องแล้วหันไปมองกับดาราสาวกับผู้จัดการส่วนตัวที่นั่งมองอย่างมึนงง “ ส่วนนั้นผมให้คุณ เอาเงินไปหาอะไรเรียนยกระดับสติปัญญากับจิตใจซะบ้างอย่าคิดว่าความสวยมันทำเงินได้ตลอดเวลา ”

พูดเสร็จก็รีบวิ่งออกจากร้านฝ่าสายฝนที่อยู่ๆก็พร่างพรมลงมาไปที่ลานจอดรถ ฝ่ายเจ้าของร้านที่วิ่งตามออกมาจากหลังร้านพอเห็นร่างสูงใหญ่หายลับไปไวๆก็หยุดตาม ได้แต่เสยผมถอนหายใจเพราะไม่รู้ว่าการรีบร้อนไปของเขาครั้งนี้จะมีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับเพื่อนอีกหรือไม่

หากในใจก็ภาวนาขอให้ผู้ชายคนนั้นรู้สึกตัวซะทีเถอะว่า เขาเป็นคนเดียวที่ศศิวิมลจะเก็บเกี่ยวให้ชีวิตเดินฝ่าความมืดมนและมียืนอยู่ต่อไปได้อย่างมีความสุข



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ย. 2554, 16:11:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ย. 2554, 16:41:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 2310





<< บทที่ 23    บทที่ ๒๕ >>
anOO 30 ก.ย. 2554, 19:23:59 น.
มันบีบคั้นหัวใจกันเกินไปแล้ว
นายภาคตัดสินใจดีๆ ล่ะ มันจะส่งผลต่อหลายคนเลยนะ


violette 30 ก.ย. 2554, 22:52:44 น.
โอยยย อีกสิบกว่าตอน จะจบแล้ว แต่ทุกอย่างยังดูคลุมเครือมากๆเลยค่ะ ลุ้นกันต่อไป


คุณแม่ลูกสอง 1 ต.ค. 2554, 09:29:28 น.
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ....^_^


อริสา 1 ต.ค. 2554, 13:32:51 น.
เศร้าจัง หวังว่าภาคคงทำให้เล็กกลับมาเชื่อมั่นในความรักเหมือนเดิม


Auuuu 6 ต.ค. 2554, 06:11:05 น.
สะใจมากมาย เรียนยกระดับสติปัญญา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account